สรุปหนังสือ Feel-Good Productivity เขียนโดย Ali Abdaal

เช้าวันคริสต์มาสที่ควรจะเต็มไปด้วยกลิ่นขนมปัง อบอุ่นด้วยเสียงเพลง และข้อความอวยพรจากคนรัก กลับกลายเป็นวันที่หนาวเหน็บที่สุดในชีวิตของหมอหนุ่มคนหนึ่ง “Ali Abdaal”
.
เขาเป็นแพทย์ฝึกหัดใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตในโรงพยาบาล และในวันนั้น เขาต้องทำงานคนเดียวทั้งวอร์ด เพราะลืมกรอกใบลาหยุดช่วงเทศกาล การเริ่มต้นก็วุ่นวายอย่างกับฝันร้าย ผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลัน, ผู้ป่วยต้องการ “manual evacuation”, พยาบาลวิ่งพล่านทั่ววอร์ด และคนเมาที่เดินตะโกนหาใครบางคนชื่อ “Olive” อย่างไร้เหตุผล
.
Ali พยายามอย่างสุดความสามารถ เขาอยู่ดึก ทำงานหนัก คิดว่าการแก้ปัญหาคือ “ทำให้มากขึ้น” เขาท่องคำพูดของ Muhammad Ali ในหัว “Don’t quit. Suffer now and live the rest of your life as a champion.” แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งเหนื่อย เขาทำงานดึกดื่นแต่เอกสารก็ยังไม่หมด ผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น เขาเริ่มรู้สึกเหมือนคนจมน้ำ นอนไม่หลับ ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัวหายไป ความสุขที่เคยมีในการรักษาคนหายไปจนหมดสิ้น
.
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อเขาทำอุปกรณ์ทางการแพทย์หล่นกระจัดกระจาย และตระหนักว่า “การทำงานหนักอาจไม่ใช่คำตอบ” เขานึกถึงคำพูดของอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งว่า “If the treatment isn’t working, question the diagnosis.” ถ้าวิธีรักษาไม่ได้ผล บางทีคุณอาจวินิจฉัยผิดมาตั้งแต่ต้น
.
คำถามที่เขาเริ่มถามตัวเองคือ… ทำไมความสำเร็จต้องแลกกับความทุกข์? ทำไมการเหนื่อยจึงกลายเป็นเครื่องหมายของคุณค่าชีวิต?
.
และถ้าความเหนื่อยไม่ได้ทำให้เราเก่งขึ้น แต่มันทำให้เราหมดไฟ แล้วเราควรจะทำงานอย่างไรให้ “ดีขึ้นและมีความสุข” ไปพร้อมกัน?
.
จากคำถามนั้นเอง เขาเริ่มค้นพบสิ่งที่ต่อมาจะกลายเป็นแนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้
.
“Feel-Good Productivity” หรือ “ประสิทธิภาพที่เกิดจากความรู้สึกดี”
.
.
================================
.
1. จาก ‘ทำมาก’ สู่ ‘ทำด้วยความสุข’
.
ก่อนจะมาถึงจุดนี้ Ali เคยหมกมุ่นกับแนวคิดเรื่อง productivity มานาน เขาอ่านบทความ ดูคลิป และจดบันทึกอย่างบ้าคลั่งระหว่างเรียนแพทย์ ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า “ความสำเร็จคือการทำงานหนัก” แต่เมื่อเขาเริ่มใช้ชีวิตจริงในระบบการแพทย์ เขาพบว่าความคิดนั้นไม่เพียงพอ เพราะถึงจะทำงานหนักเพียงใด ถ้าใจคุณหมดแรงเสียก่อน “ความขยัน” ก็กลายเป็นการทรมานตัวเองแบบมีตราอนุมัติจากสังคม
.
จนเขานึกถึงงานวิจัยคลาสสิกที่เคยเรียนสมัยเรียนจิตวิทยา “The Candle Problem” ของ Karl Duncker ในปี 1945
โจทย์คือ: คุณมีเทียน, กล่องไม้ขีด, และกล่องหมุดตอกกระดาน หน้าที่ของคุณคือทำให้เทียนติดกับกำแพงโดยไม่ให้ไขเทียนหยดลงโต๊ะ ส่วนใหญ่จะคิดว่าต้องใช้เทียนกับหมุดโดยตรง แต่คนที่ “คิดนอกกรอบ” จะหยิบเอากล่องหมุดมาใช้เป็น “เชิงเทียน” วิธีแก้ที่เรียบง่ายแต่น่าทึ่ง
.
หลายสิบปีต่อมา นักจิตวิทยาชื่อ Alice Isen ทำการทดลองซ้ำ แต่เพิ่มความ twist เข้าไปเล็กน้อย เธอแบ่งผู้ร่วมทดลองออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้ขนมก่อนเริ่มทำโจทย์ อีกกลุ่มไม่ได้อะไรเลย ผลคือกลุ่มที่ได้ของขวัญเล็กๆ (ขนมหวาน) มีแนวโน้มคิดหาคำตอบได้มากกว่ามาก
.
งานวิจัยนี้เปิดประตูสู่ความเข้าใจใหม่ “ความรู้สึกดี ไม่ได้เป็นแค่ผลลัพธ์ของความสำเร็จ แต่มันคือเชื้อเพลิงของความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพ”
.
.
2. ทฤษฎี “Broaden-and-Build”: ความสุขขยายขอบเขตความคิด
.
จากจุดเล็กๆ ของขนมหวานในห้องทดลองนั้น นำไปสู่ทฤษฎีสำคัญโดย Barbara Fredrickson ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา เธอเรียกมันว่า “Broaden-and-Build Theory” ความรู้สึกเชิงบวกจะ “ขยาย” มุมมองของเรา และ “สร้าง” ทรัพยากรทางจิตใจระยะยาว
.
I. Broaden (ขยาย) = เมื่อเรารู้สึกดี สมองจะเปิดกว้างมากขึ้น เราจะมองเห็นทางเลือกที่หลากหลาย คิดเชื่อมโยงได้กว้าง และกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ เช่นเดียวกับตอนคนเล่นเกมอย่างมีความสุข ความคิดจะ “ไหล” ออกมาอย่างต่อเนื่อง
.
II. Build (สร้าง) = ความรู้สึกดีซ้ำๆ จะสะสมเป็นพลังภายใน เช่น ความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์ที่ดี และสุขภาพที่แข็งแรง
.
.
3. ทำไม “รู้สึกดี” ถึงทำให้เราผลิตผลงานได้มากขึ้น
.
Ali อธิบายว่าความรู้สึกดีส่งผลต่อเราในสามมิติหลัก: พลัง (Energy), ความเครียด (Stress) และ คุณภาพชีวิต (Fulfillment)
.
I. พลังงานทางจิตใจ
.
พลังที่เรารู้สึกเมื่ออยู่ในสภาวะ “อิน” กับงาน ไม่ใช่แค่พลังกล้ามเนื้อหรือคาเฟอีน แต่เป็นพลังผสมของ แรงจูงใจ สมาธิ และแรงบันดาลใจ ซึ่งเกิดจากการหลั่งของฮอร์โมนแห่งความสุข 4 ตัว ได้แก่
.
Endorphins - ทำให้รู้สึกเบาและต้านความเจ็บปวด
Serotonin - ทำให้เรารู้สึกพอใจและสงบ
Dopamine - ฮอร์โมนรางวัลที่ผลักให้เราทำต่อ
Oxytocin - ฮอร์โมนแห่งความไว้ใจและความผูกพัน
.
เมื่อฮอร์โมนเหล่านี้ทำงานร่วมกัน มันสร้างวัฏจักรเชิงบวก
.
“รู้สึกดี → มีพลัง → ทำงานได้ดี → ภูมิใจในผลงาน → รู้สึกดีอีกครั้ง”
.
นี่คือวงจรพลังบวกของ productivity ที่แท้จริง
.
II. ความเครียดที่ถูก “Undo”
.
Fredrickson ยังเสนอมุมมองที่เรียกว่า “Undoing Hypothesis” ความรู้สึกดีสามารถ “ยกเลิก” ผลเสียจากความเครียดได้
.
ในการทดลองหนึ่ง เธอให้กลุ่มอาสาสมัครเตรียมพูดต่อหน้าคนอื่น (สถานการณ์ที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและเหงื่อแตกแทบทุกคน) จากนั้นให้แต่ละคนดูหนังที่กระตุ้นอารมณ์ต่างกัน สนุก เฉยๆ หรือเศร้า ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ดูหนังสนุกหรืออบอุ่นหัวใจจะฟื้นตัวเร็วกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตกลับสู่ปกติเร็วกว่า
.
แปลว่า “การรู้สึกดี” ไม่ใช่การหลีกหนีความเครียด แต่เป็นระบบฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยคืนสมดุลให้เรา
.
III. ความสุขนำหน้าความสำเร็จ
.
นักจิตวิทยากลุ่มหนึ่งรวบรวมงานวิจัยกว่า 225 ชิ้น ครอบคลุมข้อมูลจากคนกว่า 275,000 คน เพื่อหาคำตอบว่า “ความสุขทำให้ประสบความสำเร็จ หรือความสำเร็จทำให้มีความสุขกันแน่”
.
ผลที่ได้คือสิ่งที่หลายคนอาจไม่อยากยอมรับ “ไม่ใช่ความสำเร็จที่ทำให้เรามีความสุข แต่คือความสุขที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ”
.
คนที่มีอารมณ์บวกบ่อยครั้งมักมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่า มีความสัมพันธ์ที่ดี และมีรายได้มากกว่า พวกเขาไม่เพียง “ทำงานได้มากกว่า” แต่ยัง “ใช้ชีวิตได้ดีกว่า”
.
.
4. จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนชีวิต
.
เมื่อเข้าใจหลักการนี้ Ali เริ่มทดลองกับตัวเอง เขาเลิกยึดติดกับวินัยแบบเดิมที่บังคับให้ทำทุกอย่างตามตาราง เขาหันมาโฟกัสกับคำถามว่า “ทำยังไงให้การทำงานรู้สึกดีขึ้น?”
.
ผลลัพธ์ชัดเจน เขาทำงานได้มากขึ้นโดยไม่เหนื่อย เขายังจำได้ถึงคนไข้สูงอายุที่บอกว่า “คุณเป็นหมอคนแรกในสัปดาห์นี้ที่ยิ้ม” และนั่นทำให้เขาตระหนักว่า “ความสุขของตัวเรา” ไม่ได้เป็นแค่เรื่องส่วนตัว แต่มันส่งต่อพลังบวกให้กับผู้อื่นได้ด้วย
.
จากหมอหนุ่มที่หมดไฟ Ali กลายเป็นคนที่เริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขากลับมาเชื่อมโยงกับเพื่อน ครอบครัว และงานอดิเรกที่เคยละเลย และเริ่มนำแนวคิด “Feel-Good Productivity” ไปเผยแพร่บนช่อง YouTube ที่เดิมเขาใช้สอนเทคนิคการเรียนรู้และไอทีเล็กๆ แต่คราวนี้เขาเริ่มพูดเรื่อง “การทำงานโดยไม่ต้องทรมานตัวเอง” จนมีผู้คนมากมายส่งอีเมลมาบอกว่า แนวคิดนี้ช่วยให้พวกเขาเรียนดีขึ้น ทำงานดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น
.
“การทำงานที่ดี” ไม่จำเป็นต้องแลกกับ “ชีวิตที่ดี”
.
.
5. โครงสร้างของวิธีคิด “Feel-Good Productivity”
.
Ali สรุปหนังสือเล่มนี้ออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ ซึ่งแต่ละประเด็นคือกลไกของการสร้างพลังงานเชิงบวกในชีวิตประจำวัน
.
“Energise” อธิบายวิธีสร้างพลังงานด้วยความรู้สึกดี
.
“Overcome” เจาะลึกสิ่งที่ทำให้เราหมดไฟ
.
“Sustain” กล่าวถึงเครื่องมือรักษาพลัง
.
.
6. PLAY การเล่นคือพลังงานแห่งความคิดสร้างสรรค์
.
Richard Feynman คือหนึ่งในนักฟิสิกส์อัจฉริยะที่สุดในศตวรรษที่ 20 เจ้าของรางวัลโนเบลและผู้ร่วมพัฒนาโครงการ Manhattan Project แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขากลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างไม่คาดคิด ทั้งชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสมการและการสอน แต่จู่ๆ “ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็น” ก็ดับวูบไป เหลือเพียงความเบื่อหน่ายและความรู้สึกว่าตนเอง “หมดแรงจะอยากทำสิ่งใดต่อ”
.
เขาเขียนไว้ตรงไปตรงมาว่า “ผมเผาไหม้ตัวเองจนหมดสิ้น” การสูญเสียภรรยา, ความเหนื่อยล้า, และแรงกดดันจากชื่อเสียง ทำให้เขาไม่เหลือความสนุกในฟิสิกส์อีกต่อไป จนวันหนึ่ง เขาเห็นนักศึกษาคนหนึ่งโยนจานหมุนในโรงอาหาร แล้วสังเกตว่าจานหมุนและตราโลโก้ Cornell บนจานนั้นสั่นไม่พร้อมกัน เขาเกิดสงสัยขึ้นมาทันทีว่า “ทำไมตราบนจานถึงหมุนเร็วกว่าตัวจาน?” คำถามที่ดูไร้สาระนี้เองคือจุดเปลี่ยนของชีวิต
.
Feynman เริ่มเล่นกับมันจริงๆ เขาคิดคำนวณ ทดลอง และหัวเราะกับสมการที่ไม่มีใครสนใจ เพราะเขา “อยากรู้เฉยๆ” ไม่ใช่เพราะมันสำคัญหรือมีประโยชน์ จนเขาพบว่าการเล่นกับจานหมุนนี้เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของอิเล็กตรอนในอะตอม และในที่สุด แนวคิดนี้ก็กลายเป็นรากฐานของทฤษฎี “Quantum Electrodynamics” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในปี 1965
.
Feynman พูดประโยคหนึ่งที่กลายเป็นตำนานในวงการวิทยาศาสตร์ “I was playing, really. And before I knew it, I was working again.”
.
นั่นคือจุดเริ่มต้นของพลังแรกแห่ง “Feel-Good Productivity” = Play
.
.
7. พลังแห่งการฟื้นชีวิตจากความเหนื่อยล้า
.
Ali Abdaal บอกว่า “ชีวิตทุกวันมันเหมือนเราถูกบีบให้จริงจังกับทุกอย่างจนลืมว่าเราสามารถสนุกได้” ตั้งแต่เด็ก เราใช้ชีวิตแบบนักผจญภัย วิ่งสำรวจ ต้นไม้คือปราสาท กิ่งไม้คือดาบ แต่เมื่อโตขึ้น “การเล่น” ถูกสังคมมองว่าไร้สาระ ทั้งที่จริงมันคือเชื้อเพลิงทางอารมณ์ที่ขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์โดยตรง
.
นักจิตวิทยาพบว่า การเล่นทำให้ร่างกายหลั่งสารโดพามีนและเอนดอร์ฟิน ซึ่งไม่เพียงลดความเครียด แต่ยังเปิดระบบ “การคิดแบบกว้าง” (broad mode) ที่ช่วยให้เรามองเห็นทางเลือกใหม่ๆ จึงไม่น่าแปลกที่มนุษย์ที่ยิ่งใหญ่หลายคนจะพูดเหมือนกันว่า “ความสำเร็จเริ่มต้นจากความสนุก”
.
Alexander Fleming บอกว่าการค้นพบเพนิซิลินของเขาเกิดจาก “การเล่นกับเชื้อราในห้องแล็บ”
.
James Watson และ Francis Crick บอกว่าพวกเขา “เล่นกับโมเดลโมเลกุล” จนค้นพบโครงสร้าง DNA
.
และ Donna Strickland, เจ้าของโนเบลฟิสิกส์ปี 2018 กล่าวว่า “สิ่งที่ฉันทำมาตลอดชีวิตคือการเล่นกับเลเซอร์”
.
ชีวิตที่จริงจังเกินไปคือศัตรูของความคิดสร้างสรรค์ ส่วน “การเล่น” คือการปลดล็อกความสามารถของสมองในแบบที่วินัยไม่สามารถทำได้
.
.
8. การสร้าง “การผจญภัย”
.
แต่ในวัยผู้ใหญ่ การจะเล่นไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เราติดอยู่ในตาราง, งาน, และเป้าหมายจนลืมรสชาติของความอยากรู้อยากลอง
.
นักวิจัยจาก New York University และ University of Miami ทำการทดลองกับคนกว่า 130 คน โดยติดตามตำแหน่ง GPS ของพวกเขาและวัดอารมณ์ในแต่ละวัน พบว่า “คนที่ใช้ชีวิตอย่างผจญภัยมากกว่า” เช่น ลองร้านกาแฟใหม่ เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน หรือไปสถานที่ที่ไม่เคยไป รายงานว่ารู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นมากกว่ากลุ่มที่ใช้ชีวิตแบบเดิม
.
สรุปได้ว่า “Adventure” หรือความแปลกใหม่ คือหัวใจของการเล่นในวัยผู้ใหญ่ เพราะมันกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวเหมือนเด็กอีกครั้ง
.
Ali แนะนำให้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ เช่น เปลี่ยนมุมโต๊ะทำงาน, ไปนั่งคาเฟ่ใหม่, หรือทำงานพร้อมเพลงที่ไม่เคยฟังมาก่อน การสร้างความรู้สึก “การผจญภัยเล็กๆ” ทุกวันคือการเปิดช่องทางใหม่ให้สมองผลิตพลังงานบวก
.
.
Experiment 1: Choose Your Character เลือกตัวละครในชีวิตจริง
.
Ali ยอมรับตรงๆ ว่าเขาเคยติดเกม World of Warcraft แบบถอนตัวไม่ขึ้น เล่นไปกว่า 4,000 ชั่วโมงในสามปี เพราะเกมนี้ให้เขา “เป็นใครก็ได้” จากเด็กเรียนขี้อายกลายเป็น “Sepharoth” จอมเวทย์ผู้ทรงพลังและน่าทึ่ง
.
ในโลกจริง เราก็ทำได้แบบนั้นเช่นกัน เพียงแต่ไม่ต้องสวมผ้าคลุมหรือพกคฑาไฟ แต่คือ “การเลือกตัวตนของการเล่น” ที่สอดคล้องกับบุคลิกเรา
.
Dr. Stuart Brown, ผู้ก่อตั้ง National Institute for Play แบ่ง “Play Personalities” ของคนออกเป็น 8 แบบ ซึ่งช่วยให้เราค้นหาว่ารูปแบบการเล่นของเราคืออะไร
.
The Collector = สนุกกับการสะสมหรือจัดหมวดหมู่สิ่งต่างๆ
The Competitor = สนุกกับการแข่งขันและชัยชนะ
The Explorer = ชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเดินป่าหรือลองเส้นทางใหม่
The Creator = มีความสุขกับการสร้างสิ่งสวยงาม เช่น ศิลปะ ดนตรี หรือสวน
The Storyteller = ใช้จินตนาการเล่าเรื่อง ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตชีวา
The Joker = รักเสียงหัวเราะและการทำให้คนรอบข้างยิ้ม
The Director = ชอบวางแผน ควบคุม หรือจัดการทีมให้ไปถึงเป้าหมาย
The Kinesthete = รู้สึกสนุกเมื่อร่างกายได้เคลื่อนไหว เช่น เต้น วิ่ง ปีน
.
.
Experiment 2: Embrace Your Curiosity ยอมให้ความอยากรู้นำทาง
.
มนุษย์มีพลังพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ “ความสงสัย” และมันคือเชื้อเพลิงของการเรียนรู้ที่ยั่งยืนที่สุด
.
งานวิจัยจาก University of California, Davis ทดลองให้ผู้เข้าร่วมตอบคำถามไร้สาระ เช่น “คำว่าไดโนเสาร์หมายความว่าอะไร?” หรือ “เพลงของ Beatles เพลงไหนอยู่บนชาร์ตนานที่สุด?” แล้วให้พวกเขาวัดระดับความอยากรู้ก่อนตอบ ผลคือคนที่ “อยากรู้มากกว่า” จำคำตอบได้แม่นกว่า 30% และสมองหลั่ง “โดพามีน” ระหว่างการเรียนรู้ด้วย
.
Ali แนะนำเทคนิคที่เรียกว่า Side Quest Thinking มองชีวิตเหมือนเกม RPG ที่มี “เควสต์หลัก” กับ “ภารกิจเสริม” เควสต์หลักคือสิ่งที่เราต้องทำ ส่วนเควสต์เสริมคือสิ่งที่เราเลือกเพราะ “มันน่าสนุกดี” เช่น ลองใช้ซอฟต์แวร์ใหม่, เปลี่ยนสถานที่ทำงาน, หรือเรียนรู้ทักษะที่ไม่เกี่ยวกับงานโดยตรง
.
.
Experiment 3: The Magic Post-it Note คำถามที่เปลี่ยนวิธีทำงาน
.
Ali พบแรงบันดาลใจจากหนัง Mary Poppins ตอนที่นั่งดูพร้อมเพื่อนในวันที่เหนื่อยที่สุดของชีวิตแพทย์ เพลง A Spoonful of Sugar ทำให้เขาฉุกคิดกับประโยคหนึ่ง “In every job that must be done, there is an element of fun.”
.
เขาเขียนคำถามลงในโพสต์อิทแล้วติดไว้ที่หน้าคอมพิวเตอร์ว่า “What would this look like if it were fun?”
.
เมื่อเขากลับมาทำงานในวันถัดมา เขามองโพสต์อิทนั้นและลองตอบ: “ถ้าเรียนวิชาชีวเคมีให้สนุก ควรมีเพลงประกอบสิ!” เขาเปิดเพลง Lord of the Rings แล้วเริ่มท่องโมเลกุลไปพร้อมดนตรี และมันได้ผล เขารู้สึกมีพลังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เขาใช้เทคนิคนี้กับงานในโรงพยาบาลด้วย เปิดเพลง Pirates of the Caribbean เบาๆ ระหว่างทำเอกสาร ผลคือเขาทำงานได้เร็วขึ้นและอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
.
โพสต์อิทแผ่นนั้นกลายเป็นหลักคำสอนสำคัญของเขา “ถ้าคุณไม่อยากทำสิ่งใด ลองถามตัวเองว่า ‘จะทำให้มันสนุกได้อย่างไร?’”
.
.
Experiment 4: Enjoy the Process, Not the Outcome สนุกกับกระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์
.
Ali ยกตัวอย่างนักปีนเขาในโอลิมปิก Alberto Ginés López ที่ปีนกำแพงสูงอย่างสง่างามด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้แข่งเพื่อ “ชนะ” แต่เพื่อ “รู้สึกถึงการปีน” นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยา Mihaly Csikszentmihalyi เรียกว่า “Flow State” ภาวะที่เรามีสมาธิจนเวลาหายไป
.
ความสุขของการเล่นไม่อยู่ที่ “ได้อะไร” แต่อยู่ที่ “ได้อยู่กับมัน”
.
แม้แต่งานที่น่าเบื่อที่สุดก็ทำให้สนุกได้ หากเราเปลี่ยนมุมมอง ตัวอย่างคือ Matthew Dicks อดีตพนักงานแมคโดนัลด์ที่เกลียดงานเสิร์ฟจนแทบลาออก แต่เขาตัดสินใจเปลี่ยนมันทันที เขาประกาศ “วันนี้คือวันขายซอสบาร์บีคิว!” แล้วเริ่มพยายามขายซอสให้ลูกค้าทุกคน จนพบว่าเขายิ้มมากกว่าที่เคยยิ้มในชีวิต และต่อมาเขากลายเป็นนักเล่าเรื่องระดับโลก
.
.
Experiment 5: Reframe Your Failure มองความล้มเหลวใหม่
.
วิศวกร NASA ชื่อ Mark Rober ทดลองกับผู้เรียนเขียนโปรแกรม 50,000 คน โดยให้พวกเขาทำแบบฝึกหัดเขียนโค้ดและแบ่งเป็นสองกลุ่ม
.
กลุ่มแรกได้รับข้อความว่า “คุณล้มเหลว ลองใหม่อีกครั้ง”
กลุ่มที่สองได้รับว่า “คุณล้มเหลว -5 คะแนน เหลือ 195 คะแนน”
.
ผลคือกลุ่มแรกพยายามซ้ำเฉลี่ย 12 ครั้งก่อนสำเร็จ ส่วนกลุ่มที่สองพยายามเพียง 5 ครั้งแล้วเลิก ทั้งที่คะแนนเป็นเรื่องสมมติทั้งหมด
.
Rober สรุปว่า “เรากลัวการเสียคะแนนที่ไม่มีอยู่จริง มากกว่าความล้มเหลวที่แท้จริงเสียอีก”
.
ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองว่า “ทุกความล้มเหลวคือข้อมูล” ไม่ใช่การตัดสิน เราจะกล้าลองมากขึ้น และพลังในการเล่นจะกลับมา
.
.
Experiment 6: Don’t Be Serious. Be Sincere จริงใจแต่ไม่ต้องจริงจังเกินไป
.
Ali ปิดบทเรื่อง “Play” ด้วยปรัชญาจากนักคิดอังกฤษผู้หลงใหลในพุทธศาสนา Alan Watts ผู้กล่าวไว้ว่า “Don’t be serious. Be sincere.”
.
ความจริงจังมากเกินไปคือแรงโน้มถ่วงที่ฉุดให้ใจเราหนักขึ้น แต่ “ความจริงใจ” คือปีกที่ทำให้เราเล่นกับชีวิตได้อย่างเบาใจ เหมือนการเล่นบอร์ดเกมที่สนุกเพราะทุกคน “เล่นเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส”
.
ถ้าเราทำงานด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์คุณค่าตัวเอง แต่เพื่อเพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำ เราจะเข้าสู่สภาวะเดียวกับที่ Feynman เจอในวันนั้น
.
หรือพูดอย่าง Dr. Derek Shepherd จากซีรีส์ Grey’s Anatomy ที่เปิดเพลงก่อนผ่าตัดทุกครั้งว่า “It’s a beautiful day to save lives. Let’s have some fun.”
.
.
9. POWER พลังเกิดจากความรู้สึกว่า “เรามีอิทธิพลต่อผลลัพธ์”
.
Ali Abdaal เรียกมันว่า “Power” ไม่ใช่อำนาจเหนือผู้อื่น แต่คืออำนาจในการ “ควบคุมตัวเองและชีวิตของเรา”
.
ในปี 1965 นักจิตวิทยาชื่อดัง Martin Seligman ทำการทดลองที่ต่อมาจะกลายเป็นรากฐานของแนวคิด “Learned Helplessness” (การเรียนรู้ที่จะหมดหวัง) เขาให้สุนัขสองกลุ่มอยู่ในกรงที่มีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ กลุ่มหนึ่งสามารถกดปุ่มเพื่อหยุดกระแสไฟได้ ส่วนอีกกลุ่มไม่สามารถทำอะไรได้เลย หลังจากนั้นเมื่อเปิดกรงทั้งคู่ กลุ่มแรกรีบหนีทันที แต่กลุ่มหลังกลับนั่งนิ่ง ปล่อยให้ตัวเองโดนไฟฟ้า เพราะ “พวกมันเรียนรู้ไปแล้วว่า ไม่มีอะไรที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้”
.
มนุษย์เองก็เป็นแบบนั้น เมื่อเรารู้สึกว่าชีวิตอยู่นอกการควบคุม ความหมดแรงก็จะเข้ามาแทนที่โดยอัตโนมัติ Ali เรียกสิ่งนี้ว่า “The Illusion of Powerlessness” ภาพลวงตาแห่งความไร้อำนาจ
.
แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรารู้สึกว่า “สิ่งที่เราทำมีผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้น” สมองจะเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า “Active Control” ร่างกายจะหลั่งโดพามีนมากขึ้น อัตราการเต้นหัวใจและความดันโลหิตลดลง และความสามารถในการตัดสินใจดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
.
.
10. แหล่งพลังที่แท้จริงมีสามชั้น Autonomy, Competence, และ Connection
.
นักจิตวิทยา Edward Deci และ Richard Ryan เสนอทฤษฎีที่เรียกว่า Self-Determination Theory (SDT) ซึ่งอธิบายว่าความสุขและพลังของมนุษย์ขึ้นอยู่กับ “ความต้องการพื้นฐานทางจิตใจสามประการ”
.
I. Autonomy (ความเป็นอิสระ) การรู้สึกว่าเรามีสิทธิ์เลือกและควบคุมชีวิตของตัวเอง
.
II. Competence (ความสามารถ) การรู้สึกว่าเราทำสิ่งต่างๆ ได้ดีและมีความก้าวหน้า
.
III. Connection (ความเชื่อมโยง) การรู้สึกว่ามีคนเข้าใจเราและเราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า
.
Ali พบว่าทั้งสามสิ่งนี้คือ “กล้ามเนื้อพลังงาน” ที่ต้องฝึกและดูแลเหมือนกล้ามเนื้อจริงๆ เพราะเมื่อมันอ่อนแรง เราจะหมดไฟ แต่เมื่อมันแข็งแรง เราจะรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้
.
.
[ เนื่องจากโพสต์ความยาวเกินจำกัดของ FB แอดจะใส่ Experiments ต่างๆ ของ “Power” ไว้ในคอมเมนต์แทนครับ ]
.
.
11. PEOPLE มนุษย์และพลังของการเชื่อมโยงเชิงบวก
.
เพราะต่อให้คุณมีระเบียบวินัยแบบเหล็ก มีแรงบันดาลใจระดับนักรบสปาร์ตัน แต่ถ้าคุณรู้สึกโดดเดี่ยว มันก็เหมือนพยายามขุดบ่อน้ำในทะเลทรายที่ไม่มีใครช่วยตักน้ำขึ้นมาเลย การเชื่อมโยงกับผู้คนจึงไม่ใช่เรื่องเสริม แต่มันคือ “แหล่งพลัง” โดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์”
.
ความสัมพันธ์ที่ดี = Productivity ที่ดี
.
Ali เปิดบทนี้ด้วยผลวิจัยอันโด่งดังของ Harvard Study of Adult Development การศึกษาที่ยาวนานที่สุดในโลก (เริ่มตั้งแต่ปี 1938 และยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน) ซึ่งติดตามชีวิตของชายกว่า 700 คนตลอดหลายทศวรรษ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เรื่องเงินหรือชื่อเสียง แต่กลับเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ:
.
“สิ่งที่ทำนายความสุข สุขภาพ และอายุยืนได้ดีที่สุด ไม่ใช่ฐานะหรือความสำเร็จ แต่คือความสัมพันธ์ที่อบอุ่นกับผู้คนรอบตัว”
.
คนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมักมีระดับความเครียดต่ำกว่า ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และแม้แต่สมองยังคงเฉียบคมกว่าคนที่โดดเดี่ยวในวัยชรา ความผูกพันทางใจจึงไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นระบบบำรุงภายในที่ลึกที่สุดของมนุษย์
.
Ali พูดไว้ชัดว่า “If you want to do more, start by connecting more.” ถ้าคุณอยากทำได้มากขึ้น จงเริ่มจากการเชื่อมโยงกับผู้คนให้มากขึ้น
.
ทำไม “คน” จึงเป็นแหล่งพลังงานที่แท้จริง?
.
มีเหตุผลทางชีววิทยารองรับ สมองของเรามีโครงสร้างที่เรียกว่า Mirror Neurons เซลล์ประสาทที่ทำงานขึ้นเมื่อเรามองเห็นหรือคิดถึงการกระทำของคนอื่น เช่น ถ้าเห็นใครหัวเราะ สมองเราจะส่งสัญญาณเหมือนกำลังหัวเราะเอง นี่คือเหตุผลที่ “พลังของคนรอบข้าง” ส่งผลต่อเรามากกว่าที่คิด
.
นอกจากนี้ การอยู่ในสังคมที่ให้การสนับสนุนยังช่วยกระตุ้นการหลั่ง Oxytocin ฮอร์โมนแห่งความไว้วางใจ ซึ่งช่วยลดระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนแห่งความเครียด) และทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอขึ้น พูดให้เข้าใจง่ายคือ “คนที่อยู่ในวงล้อมของความสัมพันธ์เชิงบวกจะเหนื่อยน้อยกว่าในระดับชีวเคมี”
.
ดังนั้น productivity ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เกิดจากการแลกเปลี่ยนพลังงานทางอารมณ์กับคนที่ทำให้เรา “รู้สึกมีชีวิตชีวา” มากกว่าเดิม
.
.
Experiment 1: Energy Audit ตรวจสุขภาพพลังมนุษย์ในชีวิตคุณ
.
Ali เสนอวิธีง่ายๆ ที่เขาใช้ประจำเดือนละหนึ่งครั้ง เขาเรียกมันว่า “การตรวจพลังมนุษย์”
.
-เขียนรายชื่อคน 10 คนที่คุณใช้เวลาด้วยมากที่สุด (ทั้งออนไลน์และออฟไลน์)
.
-ให้คะแนนพลังจากแต่ละคนหลังจากเจอหรือคุยด้วย (+2 = เติมพลัง, +1 = ดี, 0 = เฉยๆ, -1 = หมดแรง, -2 = ดูดพลังชีวิต)
.
-พิจารณาอย่างซื่อสัตย์ว่าอยากเพิ่มหรือลดเวลาที่ใช้กับแต่ละคน
.
.
Experiment 2: The 3 Types of People You Need in Life
.
Ali แบ่งคนรอบตัวออกเป็นสามประเภทที่จำเป็นต่อชีวิตที่ productive และมีความสุข
.
A. Cheerleaders (ผู้เชียร์) = คนที่เชื่อในตัวคุณมากกว่าคุณเชื่อในตัวเอง คนเหล่านี้เป็นเหมือนแสงแดดยามเช้า พวกเขาไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างที่คุณทำ แต่อยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อคุณเริ่มสงสัยในตัวเอง
.
B. Challengers (ผู้ท้าทาย) = คนที่กล้าบอกคุณว่า “นายคิดผิด” ด้วยความหวังดี พวกเขาคือกระจกเงาที่ไม่โกหก เป็นคนที่กล้าตั้งคำถามและช่วยให้คุณเติบโตโดยไม่หลงทางในความคิดของตัวเอง
.
C. Companions (ผู้ร่วมทาง) = คนที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่เดินข้างๆ คุณในวันที่เหนื่อย พวกเขาทำให้คุณไม่ลืมว่า “ชีวิตไม่ได้เป็นสนามแข่ง แต่เป็นการเดินทางร่วมกัน”
.
ความสัมพันธ์ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีความขัดแย้ง”
.
Ali ยอมรับว่าความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้หมายถึงการไม่มีปัญหาเลย เขายกตัวอย่างชีวิตการทำงานเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เขาเคยทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีมหลายครั้งจนอยากลาออก แต่สิ่งที่เปลี่ยนทุกอย่างคือเขาเริ่มฝึกสิ่งที่เรียกว่า “Radical Candor” ความตรงไปตรงมาที่มาพร้อมความเห็นอกเห็นใจ (แนวคิดจาก Kim Scott)
.
Radical Candor มีสองแกนสำคัญ
.
Care Personally = แสดงให้เห็นว่าคุณห่วงใยคนคนนั้นจริงๆ
.
Challenge Directly = กล้าพูดสิ่งที่เป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา
.
หลังจากใช้แนวทางนี้ เขาพบว่าทีมทำงานมีพลังขึ้น และการประชุมที่เคยอึดอัดกลายเป็นเวทีของการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เพราะทุกคนรู้ว่ากำลังพูดจาก “ความรักต่อภารกิจเดียวกัน”
.
.
Experiment 3: The Gratitude Loop วงจรแห่งการขอบคุณ
.
Ali แนะนำการฝึกที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก “ขอบคุณใครสักคนทุกวัน โดยไม่หวังผลตอบแทน”
.
เหตุผลคือ การขอบคุณไม่ใช่แค่การให้ความสุขกับอีกฝ่าย แต่ยังเป็นการ “รีเซ็ตสมองของเราให้เห็นความดีรอบตัว”
.
งานวิจัยจาก UC Berkeley พบว่าคนที่เขียนจดหมายขอบคุณเพียงสัปดาห์ละหนึ่งฉบับ มีระดับความสุขและความพึงพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึงสามเดือน แม้ไม่ได้ส่งจดหมายนั้นจริงก็ตาม เพราะกระบวนการ “ระลึกถึงบุญคุณ” เองได้เปลี่ยนโครงสร้างสมองบางส่วนให้ไวต่อความสุขมากขึ้น
.
Ali ใช้วิธีนี้กับทีมงาน เขามี “Thankful Friday” ทุกวันศุกร์สมาชิกในทีมจะส่งข้อความสั้นๆ เพื่อขอบคุณใครสักคนในทีมหนึ่งคน บางครั้งแค่ประโยคว่า “ขอบคุณที่ฟังผมระบายเรื่องนั้นวันก่อน” ก็เพียงพอที่จะทำให้วันศุกร์ทั้งวันรู้สึกมีความหมาย
.
“The fastest way to feel good about your work is to make someone else feel good about theirs.”
.
.
Experiment 4: The “5-Minute Favor” Rule กฎแห่งน้ำใจห้านาที
.
แนวคิดนี้มาจาก Adam Grant เช่นกัน เขาเสนอว่า “คุณสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ในห้านาที ถ้าทำด้วยเจตนาที่ถูกต้อง” เช่น
.
แนะนำคนสองคนที่ควรได้รู้จักกัน
ส่งลิงก์บทความหรือหนังสือที่อีกฝ่ายน่าจะชอบ
เขียนรีวิวเชิงบวกให้เพื่อนร่วมงาน
.
Ali ใช้หลักนี้กับผู้ติดตามในช่อง YouTube เขาพยายามตอบคอมเมนต์หรือแชร์คำแนะนำเล็กๆ ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ และสิ่งที่ได้กลับมาคือพลังใจมหาศาลจากผู้คนที่บอกว่า “คุณช่วยผมเปลี่ยนชีวิต” ทั้งที่เขาใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที
.
.
Experiment 5: Don’t Network → Build Relationships
.
Ali วิจารณ์แนวคิด “การสร้างคอนเน็กชัน” แบบโลกธุรกิจไว้อย่างเจ็บแสบ เขาเรียกว่า “networking face” รอยยิ้มปลอมๆ ที่ยัดนามบัตรใส่มือกันโดยไม่มีเจตนาจริง เขาบอกว่าความสัมพันธ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตไม่เคยเกิดจากงาน networking เลย แต่มักเริ่มจาก “ความอยากช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ”
.
เขายกตัวอย่างการเจอเพื่อนคนหนึ่งในคอร์สเรียนออนไลน์ ตอนแรกเขาเพียงตอบคำถามให้ในฟอรั่ม แต่ต่อมาทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนร่วมงานในโปรเจกต์ใหญ่และยังติดต่อกันจนถึงทุกวันนี้
.
.
Experiment 6: Be the Source of Light จงเป็นแสง ไม่ใช่กระจก
.
Ali ปิดบทนี้ด้วยความคิดที่งดงามว่า คนเรามักสะท้อนพลังของกันและกันเหมือนกระจก แต่ถ้าคุณอยากเปลี่ยนโลก คุณต้องเป็น “แสง” = คนที่ปล่อยพลังบวกออกมาก่อน
.
เขาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวตอนเป็นแพทย์เวรกลางคืนในห้องฉุกเฉิน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดและเสียงตะโกน เขาตัดสินใจเริ่มวันใหม่ด้วยรอยยิ้มและคำพูดง่ายๆ ว่า “สวัสดีครับทุกคน วันนี้เราจะทำให้ดีที่สุดนะ” พยาบาลบางคนหัวเราะในตอนแรก แต่พอผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง บรรยากาศในวอร์ดเริ่มเปลี่ยน เสียงหัวเราะเกิดขึ้น และทีมเริ่มทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น
.
.
12. OVERCOME ศัตรูของประสิทธิภาพอยู่ในใจเราเอง
.
เราอาจคิดว่า productivity ไม่เกิดเพราะขาดเวลา ทรัพยากร หรือสภาพแวดล้อม แต่ Ali กลับชี้ว่า “ศัตรูตัวจริงของ productivity ไม่ได้อยู่ข้างนอก มันอยู่ในหัวเรา” ความกลัว ความสงสัยในตนเอง ความผัดวันประกันพรุ่ง ความสมบูรณ์แบบเกินเหตุ และเสียงในใจที่คอยบอกว่า “ฉันยังไม่พร้อม”
.
ในตอนนี้เขาไม่ได้สอนวิธีวางแผนงาน หรือจัดการตารางเวลา แต่สอนวิธี “ต่อรองกับจิตใจ” เพื่อให้เรากลับมารู้สึกดีพอที่จะเริ่ม
.
ความกลัวคือสัญญาณ ไม่ใช่ศัตรู
.
Ali เริ่มด้วยการเล่าถึงช่วงที่เขาอยากลาออกจากอาชีพแพทย์มาเป็น YouTuber เต็มตัว เขากลัวหลายอย่าง กลัวถูกหัวเราะเยาะ กลัวพ่อแม่ผิดหวัง กลัวอนาคตพัง เขาเล่าว่าเขาใช้เวลานับเดือนแค่คิด “จะลาออกดีไหม” จนรู้สึกเหมือนชีวิตติดหล่ม
.
แต่จุดเปลี่ยนคือวันที่เขาอ่านเจอประโยคหนึ่งจาก Susan Jeffers ในหนังสือ Feel the Fear and Do It Anyway
.
“ความกลัวไม่ได้หายไปเมื่อคุณรอให้พร้อม มันหายไปตอนที่คุณลงมือทำ”
.
.
Experiment 1: Fear Setting เขียนแผนความกลัวให้หมดแรง
.
แนวคิดนี้มาจาก Tim Ferriss (The 4-Hour Workweek) ที่ Ali ใช้ประจำทุกครั้งก่อนตัดสินใจใหญ่
.
เขาเรียกว่า Fear Setting
.
-เขียนว่า “สิ่งที่กลัวที่สุดคืออะไร?”
-เขียนว่า “ถ้าเกิดขึ้นจริง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
-แล้วต่อด้วย “ถ้าเกิดขึ้นจริง ฉันจะรับมือยังไง?”
-สุดท้ายเขียนว่า “ถ้าไม่ทำสิ่งนี้เลย จะพลาดอะไร?”
.
เมื่อทำครบ เขาพบว่าความกลัวส่วนใหญ่ “ไม่มีน้ำหนักจริง” มันคือเรื่องเล่าที่สมองแต่งขึ้นเพื่อปกป้องเราจากความไม่แน่นอน แต่พอเห็นมันบนกระดาษ ความกลัวจะกลายเป็นสิ่งที่จัดการได้
.
Ali บอกว่า “Writing is thinking made visible and fear loses power when it’s visible.”
.
.
Experiment 2: The 2-Minute Rule
.
Ali แนะนำวิธีที่เขาใช้จนกลายเป็นนิสัย คือ “กฎ 2 นาที” จาก David Allen (Getting Things Done) “ถ้าสิ่งนั้นใช้เวลาน้อยกว่า 2 นาที ทำมันเดี๋ยวนี้”
.
แต่ Ali ปรับใช้กับการเริ่มต้นงานใหญ่ โดยเปลี่ยนเป็น “ถ้างานใหญ่เกินไป ให้เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งใดก็ได้ใน 2 นาที เพื่อเข้าสู่โหมดเริ่ม”
.
เช่น เขียนหัวข้อแรกของบทความแทนการเขียนทั้งบท, เปิดโปรเจกต์ Premiere Pro โดยยังไม่ต้องตัดต่อ, หรือเพียงวางกระดาษลงบนโต๊ะ
.
เพราะสิ่งยากไม่ใช่ “การทำ” แต่คือ “การเริ่มทำ” และสมองจะเปลี่ยนจากความกลัวเป็นแรงเฉื่อยทันทีเมื่อคุณเริ่มขยับ
.
“Action isn’t the result of motivation — it’s the source of it.”
.
.
Perfectionism ความต้องการสมบูรณ์แบบคือการกลัวในรูปแบบหนึ่ง
.
Ali สารภาพว่าเขาเป็นพวก perfectionist แบบหนัก เขาเคยใช้เวลานานหลายวันเพื่อแก้ตัวอักษรในสไลด์ PowerPoint ทั้งที่ไม่มีใครสังเกต และผลคือเขาหมดไฟโดยไม่รู้ตัว
.
เขาบอกว่า perfectionism คือ “ความกลัวในคราบของมาตรฐานสูง” เพราะในความจริง ไม่มีงานใดที่ “สมบูรณ์แบบ” มีแต่งานที่ “สำเร็จแล้วพัฒนาได้ต่อ”
.
เขาเสนอสูตรที่เรียกว่า Perfect Enough Principle
.
“If it’s 80% good and done, it’s 100% better than perfect and unfinished.”
.
.
Experiment 3: Version 0.1
.
Ali มีนิสัยอย่างหนึ่งในทุกโปรเจกต์คือ “ออกเวอร์ชัน 0.1” เสมอ เขาเริ่มใช้มันตั้งแต่สมัยทำคอร์สออนไลน์ โดยจะปล่อยวิดีโอชุดแรกให้เพื่อนดูทั้งที่ยังไม่ตัดต่อสมบูรณ์
.
เขาพบว่าการแสดง “ความไม่พร้อม” ให้คนอื่นเห็น เป็นการฆ่าความกลัวในตัวเอง และทำให้ feedback ที่ได้มีคุณค่ากว่าการคิดอยู่คนเดียว
.
Self-Doubt การจัดการกับเสียงวิจารณ์ในหัว
.
Ali พูดถึง “เสียงวิจารณ์ในหัว” ว่าเป็นเพื่อนสนิทของคนเก่งทุกคน เขายอมรับว่าแม้จะมีผู้ติดตามหลายล้าน เขายังมีช่วงที่รู้สึกว่า “ฉันหลอกคนอยู่หรือเปล่า?”
.
เขาใช้วิธีง่ายแต่ทรงพลังที่เรียกว่า Evidence Board กระดานแห่งหลักฐาน
.
คือการเขียน “หลักฐานว่าฉันทำได้ดี” จากเหตุการณ์จริง เช่น
.
คอมเมนต์จากผู้ชมที่บอกว่าคลิปช่วยเขาเปลี่ยนชีวิต
รีวิวคอร์สเรียนที่คนบอกว่าเข้าใจง่าย
ความสำเร็จเล็กๆ ที่มองข้าม
.
ทุกครั้งที่เสียงในหัวเริ่มพูดว่า “นายไม่ดีพอ” เขาจะเปิดดู Evidence Board เพื่อบอกตัวเองว่า “นี่คือข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความรู้สึก”
.
.
Experiment 4: Turn Anxiety into Excitement เปลี่ยนความกลัวเป็นความตื่นเต้น
.
Ali หยิบเทคนิคจากงานวิจัยของ Harvard Business School ที่ให้ผู้เข้าทดลองเผชิญสถานการณ์ตื่นเต้น เช่น พูดต่อหน้าคน แล้วให้พูดกับตัวเองว่า “I’m excited!” แทน “I’m nervous.”
.
ผลคือผู้เข้าทดลองทำผลงานได้ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสมองแปลพลังตื่นตัว (arousal) เป็น “ความพร้อม” แทนที่จะเป็น “ความกลัว”
.
เขาเริ่มใช้เทคนิคนี้ก่อนขึ้นเวทีบรรยาย โดยพูดกับตัวเองว่า “ฉันตื่นเต้นที่จะได้แบ่งปันสิ่งดีๆ” แทน “กลัวว่าจะพูดผิด” และพบว่าพลังที่ส่งออกไปเปลี่ยนจริงๆ
.
Failure ความล้มเหลวคือครูที่ซื่อสัตย์ที่สุด
.
Ali เล่าถึงตอนทำคอร์สแรกที่ยอดขายแย่มาก เขารู้สึกอับอายและอยากลบทุกอย่างทิ้ง แต่หลังผ่านไปสองปี เขามองย้อนกลับไปแล้วขอบคุณตัวเองที่ล้มเหลวตอนนั้น เพราะมันทำให้เขาเรียนรู้การสื่อสารและเข้าใจผู้เรียนมากขึ้น
.
เขาเปรียบความล้มเหลวว่า “เหมือนเครื่องสแกนสนามบิน” มันไม่ได้มีไว้เพื่อตัดสินว่าใครผิด แต่มันมีไว้เพื่อหาว่าคุณลืมอะไรไว้ในกระเป๋า
.
.
Experiment 5: The Anti-Goals List เขียนสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น
.
นอกจากการตั้งเป้าหมาย Ali ยังมีสิ่งที่เขาเรียกว่า “Anti-Goals” รายการสิ่งที่เขาไม่อยากให้ชีวิตกลายเป็น เช่น
.
“ไม่อยากทำงานกับคนที่ทำให้รู้สึกแย่”
“ไม่อยากใช้ชีวิตที่ไม่มีเวลาสำหรับครอบครัว”
“ไม่อยากให้สุขภาพแย่เพราะงาน”
.
เขาพบว่าการมี anti-goals ทำให้เขาเลือกเส้นทางได้ง่ายขึ้น และลดความกลัวพลาด เพราะเขาไม่ได้มุ่งหาทางที่ดีที่สุด แต่แค่หลีกเลี่ยงทางที่ผิดที่สุด
.
.
13. RECHARGE & ALIGN ฟื้นพลัง และจัดชีวิตให้สอดคล้อง
.
Productivity ที่ “ยั่งยืน” ไม่ใช่เรื่องของการเร่ง แต่คือเรื่องของ “จังหวะ”
.
มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานตลอดเวลา เราเกิดมาเพื่อสร้าง บ่มเพาะ และพัก เหมือนฤดูกาลที่ต้องมีทั้งฝน แสงแดด และความเงียบของคืนหนาว
.
“You can’t pour from an empty cup, but you also can’t refill it if there’s a hole at the bottom.”
.
.
13.1 Recharge การพักที่ทำให้ชีวิตกลับมามีไฟ
.
ในช่วงที่เขาเป็นแพทย์ เขาเคยคิดว่า productivity คือการทำมากที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุด แต่เมื่อหมดไฟครั้งใหญ่จนถึงจุดที่ไม่อยากตื่นไปโรงพยาบาล เขาเข้าใจว่าผลงานไม่เคยสำคัญกว่าความมีชีวิตชีวา
.
“Burnout is what happens when your output exceeds your input for too long.”
.
มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร และไม่ควรใช้ตัวเองเหมือนเครื่องจักร
.
เขาจึงเริ่มออกแบบระบบฟื้นพลังของตัวเอง 3 ชั้น Rest - Reflect - Reconnect
.
I. Rest: พักกายที่เหนื่อยล้า
.
Ali เริ่มจากสิ่งที่ทุกคนรู้แต่ไม่ค่อยทำ = การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ
.
เขาเล่าว่าเมื่อเปลี่ยนจาก “นอนเท่าที่เหลือ” เป็น “จัดเวลานอนเหมือนจัดประชุมสำคัญ” สมองเขาเฉียบขึ้นจนทำงานได้ครึ่งเวลาแต่ผลลัพธ์ดีกว่าเดิม
.
เขาบอกว่า “Sleep isn’t a luxury; it’s maintenance.”
.
เขาแนะนำให้มองการพักแบบ “จงใจ” อาจไม่ต้องนอนก็ได้ แต่อย่างน้อยให้มี “ช่วงว่างที่ไม่มีเป้าหมาย” เพื่อให้สมอง Default Mode Network ได้เชื่อมโยงความคิดในเบื้องหลัง
.
เพียงการนั่งเฉยๆ มองท้องฟ้าโดยไม่แตะมือถือก็ถือเป็นการฟื้นพลังในเชิงลึก เพราะช่วงเวลานั้นจิตหยุด “ตอบสนองโลก” และเริ่ม “กลับมารับรู้ตัวเอง”
.
II. Reflect: พักใจที่สับสน
.
Ali กล่าวว่ามนุษย์มักหมดแรงไม่ใช่เพราะทำมาก แต่เพราะไม่รู้ “ว่าทำไปทำไม”
.
เขาเล่าว่าช่วงที่ช่อง YouTube ของเขาเติบโตจนมีผู้ติดตามนับล้าน กลับเป็นช่วงที่รู้สึกเหนื่อยที่สุด เขาใช้เวลาทั้งวันกับการวิเคราะห์ยอดวิว และเริ่มเกลียดสิ่งที่รัก วันหนึ่งเขานั่งเงียบแล้วเขียนลงสมุดว่า
.
“ทำไมฉันถึงเริ่มทำสิ่งนี้ตั้งแต่แรก?”
.
คำตอบคือ “เพื่อช่วยให้คนอื่นเรียนรู้ และสนุกกับการเรียนรู้ไปด้วย”
เขารู้ทันทีว่าเขาเบี่ยงจากเส้นทางเดิม เพราะเริ่มทำเพื่อ “อัลกอริทึม” แทนที่จะทำเพื่อ “คนดู”
.
นั่นคือจุดที่เขาเริ่มออกแบบชีวิตแบบใหม่ที่เน้น “meaning over metrics.”
.
เขาบอกว่า “Resting isn’t just about stopping work. It’s about remembering why the work matters.”
.
III. Reconnect: พักจากโลก แต่กลับสู่ชีวิต
.
Ali พบว่าการพักที่ดีที่สุดไม่ใช่การอยู่คนเดียวเสมอไป บางครั้งคือการกลับไปอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้ว่า “เรายังเป็นมนุษย์”
เขาเล่าว่าเคล็ดลับ recharge ที่ดีที่สุดของเขาคือการกินข้าวเย็นกับครอบครัวโดยไม่มีโทรศัพท์บนโต๊ะ
.
สิ่งนี้เรียบง่ายจนเกือบไม่น่าเชื่อ แต่พลังที่ได้กลับมามหาศาล เพราะมันเติม “ความสัมพันธ์” ที่มักถูกกลืนหายไปกับความรีบเร่ง
.
เขาย้ำว่า “Energy flows through connection.” พลังงานของคนเราไม่ได้เกิดจากการพยายามฮึด แต่มันส่งต่อกันผ่านความสัมพันธ์
.
Ali แยกแยะ “Passive Rest” กับ “Active Rest”
.
Passive Rest คือการปิดทุกอย่างแล้วพยายามนิ่ง เช่น นอนดูซีรีส์ 8 ชั่วโมง ซึ่งบางครั้งกลับทำให้รู้สึกเฉื่อยกว่าเดิม
.
Active Rest คือการพักแบบมีส่วนร่วม เช่น วาดภาพ ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร เดินเล่น ฟังเพลงโปรด
.
เขาเรียกมันว่า “Flowful Rest” การพักที่ทำให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันโดยไม่ต้องพยายามหนีจากอะไรเลย
.
.
13.2 Align จัดแนวชีวิตให้สอดคล้องกับคุณค่า
.
หลังจากเติมพลังแล้ว คำถามต่อไปคือ “เราจะใช้พลังนี้ไปทางไหน?”
.
เพราะถ้าคุณเติมพลังทุกวัน แต่ขับรถผิดทาง คุณก็ยังหมดน้ำมันอยู่ดี
.
Ali จึงพูดถึงขั้นตอนสุดท้ายของ Productivity ที่รู้สึกดี “Alignment” หรือ “การจัดชีวิตให้สอดคล้องกับคุณค่าที่แท้จริงของเรา”
.
Ali นิยาม Alignment ง่ายๆ ว่า
.
“When what you do, matches what you value.”
.
เขาเล่าว่าช่วงที่เขาทำคลิปทุกวันตามสูตร YouTube algorithm เขาเติบโตทางตัวเลขแต่รู้สึกห่างจากตัวเอง จนวันหนึ่งเขาเปลี่ยนจากคำถามว่า
.
“What should I do next?” เป็น “What feels right to do next?”
.
มันเปลี่ยนวิธีตัดสินใจทั้งหมด เขาเริ่มเลือกโปรเจกต์ที่มีความหมายแทนที่จะมีมูลค่า เขาพบว่าผลลัพธ์ไม่ได้ลดลงเลย — กลับตรงข้าม เพราะเมื่อคุณทำในสิ่งที่สอดคล้องกับคุณค่า คุณจะทุ่มเทโดยไม่ต้องบังคับ
.
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า Feel-Good Feedback Loop พลังเชิงบวกที่เกิดเมื่อ “สิ่งที่ทำ” สอดคล้องกับ “สิ่งที่เชื่อ” จนแรงบันดาลใจเกิดขึ้นเองอย่างต่อเนื่อง
.
Ali เสนอแบบฝึกหัดง่ายๆ เพื่อหา “คุณค่าหลัก” ของตัวเอง
.
-เขียนว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฉันภูมิใจที่สุดในชีวิต?”
.
-เขียนว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดที่สุด?” (เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่ทำเราเจ็บคือสิ่งที่เรามองว่าสำคัญ)
.
-เขียนว่า “ถ้าฉันมีพลังเปลี่ยนโลกได้หนึ่งอย่าง ฉันอยากเปลี่ยนอะไร?”
.
จากนั้นดูคำตอบทั้งหมด แล้วลองสกัดออกมาเป็น 3 คำ เช่น “Growth, Kindness, Freedom” นั่นแหละคือเข็มทิศชีวิต
.
จากนั้นให้ถามตัวเองก่อนทำทุกอย่างว่า “สิ่งนี้สอดคล้องกับเข็มทิศของฉันหรือเปล่า?”
.
Ali บอกว่าเขาเริ่มใช้หลักนี้ทุกครั้งก่อนรับโปรเจกต์ใหม่ และมันช่วยกรองสิ่งที่ “ดีแต่ไม่ใช่เรา” ได้เกือบหมด
.
.
14. The Power of Enough ความพอคือสุดยอดกลยุทธ์
.
นึกถึงวันคริสต์มาสวันนั้นที่ Ali ยืนอยู่ในหอผู้ป่วย รู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ ท่ามกลางเสียงกริ่ง เสียงร้อง และความวุ่นวายที่ไม่มีวันจบ เขาคิดว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเขา ไม่มีวินัยพอ ไม่ทำงานหนักพอ ไม่ดีพอ
.
แต่ความจริงคือ เขาไม่ได้ขาดวินัย เขาแค่ “วิ่งในทิศทางที่ไม่ใช่สำหรับเขา ด้วยความเร็วสูง”
.
โลกผลักดันให้ทำมากขึ้นเสมอ More Productivity, More Success, More Achievement
.
Ali อ้างถึงแนวคิดของนักจิตวิทยา Barry Schwartz เรื่อง The Paradox of Choice ยิ่งมีทางเลือกมาก ยิ่งไม่มีความสุข เพราะสมองจะจมอยู่กับความกลัวว่าพลาดสิ่งที่ดีกว่า เราไล่ตามทุกโอกาส กลัวพลาดทุกประตู จนลืมไปว่าบางประตูเราไม่จำเป็นต้องเปิด
.
ความพอไม่ใช่การหยุดโต ไม่ใช่ความขี้เกียจ ไม่ใช่การยอมแพ้ความทะเยอทะยาน
.
มันยังคงเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องแลกความสุขกับความเร่งรีบ
.
ไม่ต้องเสียสุขภาพเพื่อความสำเร็จ โดยไม่ต้องทำลายวันนี้เพื่อพรุ่งนี้ที่ไม่แน่นอน
.
คนส่วนใหญ่ขับรถชีวิตด้วยความเร็วสูง เหยียบคันเร่งจนสุด มองแต่ที่ไกลๆ ข้างหน้า แต่ไม่เคยเช็กพวงมาลัยว่ายังตรงทางหรือเปล่า พอรู้ตัวอีกที เราอาจไปถึง "ที่ไหนสักแห่ง" รวดเร็ว ทันเวลา ประสบความสำเร็จตามนิยามของคนอื่น
.
แต่กลับไม่ใช่ที่ที่เราอยากไป
.
“Direction beats speed. Always.”
.
.
============================
.
ในหนังสือมีเรื่องราวของ Matthew Dicks ชายหนุ่มที่ทำงานที่ McDonald's และเกลียดมันสุดชีวิต
.
เขาบอกว่าวันทำงานรู้สึก "ไม่มีที่สิ้นสุด" ทำซ้ำๆ เดิมๆ รับออเดอร์ ทอดแฮมเบอร์เกอร์ แจกเฟรนช์ฟรายส์ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีความท้าทาย ชีวิตดูเหมือนติดอยู่ในวงจรที่หนีไม่ออก
.
แต่แทนที่เขาจะยอมแพ้ เขาเลือกที่จะเล่น
.
เขาตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ตัวเอง "วันนี้เป็น BBQ Sauce Day จะขายซอสบาร์บีคิวได้กี่คน?"
.
เมื่อลูกค้าสั่ง Big Mac กับเฟรนช์ฟรายส์ เขาถาม "เอาซอสด้วยไหมครับ?" ถ้าปฏิเสธ เขายิ้มแล้วบอก "ผมแนะนำซอสบาร์บีคิวนะครับ ไม่มีอะไรเทียบได้เลย" ลูกค้ามักจะงงนิดหน่อย แล้วก็บอก "โอเค งั้นเอาซอสละกัน"
.
ถ้ายังไม่ยอม เขาพูดต่อ "ไม่เป็นไรครับ แต่คุณพลาดของดีแน่ๆ ลูกค้าคนก่อนหน้านี้ลังเลเหมือนกัน แต่พอลองแล้วรู้เลยว่าตัดสินใจถูก"
.
สิ่งเล็กๆ นี้เปลี่ยนทุกอย่าง เขาเริ่มตื่นเต้นที่จะไปทำงาน อยากรู้ว่าวันนี้จะโน้มน้าวคนได้กี่คน งานที่น่าเบื่อกลายเป็นเกมที่สนุก
.
ปีต่อมา Matthew Dicks กลายเป็นนักเล่าเรื่องแชมป์ระดับโลก และนักเขียนขายดี
.
ไม่ใช่เพราะเขาหนีจาก McDonald's เร็วที่สุด แต่เพราะเขาเรียนรู้บทเรียนสำคัญที่นั่น “ถ้าคุณหาความสนุกในสิ่งที่ทำไม่ได้ ให้สร้างมันขึ้นมา”
.
.
นี่คือสิ่งที่ Ali อยากบอกเราตลอดทั้งเล่ม
.
ชีวิตไม่ได้ง่ายเสมอไป งานไม่ได้สนุกทุกวัน เราไม่ได้มีอิสระเลือกทุกอย่างเสมอ บางครั้งเราต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำ อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ชอบ เดินทางบนเส้นทางที่ไม่ได้วาดฝันไว้
.
แต่เรามี “ทางเลือก” เสมอ ไม่ใช่ทางเลือกในสถานการณ์ แต่เป็นทางเลือกใน “มุมมอง”
.
Mary Poppins ร้องเพลงสอนเด็กๆ ว่า "In every job that must be done, there is an element of fun. You find the fun and snap! The job's a game."
.
ฟังดูเหมือนการ์ตูนดิสนีย์ แต่มันลึกซึ้งกว่าที่คิด
.
เพราะมันบอกความจริงข้อหนึ่ง “เราไม่จำเป็นต้องรอให้ชีวิตสมบูรณ์แบบถึงจะมีความสุข” เราสามารถหาความสุขได้ ตอนนี้, ในสิ่งที่มี, ในสิ่งที่ทำ
.
Ali ใช้เวลาหลายปีต่อสู้กับความคิดที่ว่า "ต้องทุกข์ก่อนถึงจะสำเร็จ" เขาอ่านคำพูดของ Muhammad Ali ที่ว่า "I hated every minute of training, but I said, 'Don't quit. Suffer now and live the rest of your life as a champion.'"
.
เขาเชื่อมัน เขาบังคับตัวเอง เขาทนทุกข์
.
จนกระทั่งวันหนึ่งหอผู้ป่วยใน เมื่อเขายืนท่ามกลางความโกลาหล เหนื่อยล้าจนแทบไม่ไหว
.
เขานึกถึงคำพูดของอาจารย์ Dr. Barclay "If the treatment isn't working, question the diagnosis."
.
ถ้าวิธีรักษาไม่ได้ผล ให้ตั้งคำถามกับการวินิจฉัย บางทีปัญหาไม่ใช่ที่เขาไม่ทำงานหนักพอ บางทีปัญหาคือเขากำลังใช้วิธีการผิด
.
ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมาจากความทุกข์ ความมีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องมาจากการบีบบังคับ ความยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องมาจากการเสียสละความสุข
.
มันมาได้จากสิ่งตรงกันข้าม
.
มาจากการรู้สึกดี
.
ตอนนี้ Ali ไม่ได้เป็นหมออีกต่อไป เขาเป็นนักการศึกษา นักธุรกิจ ครีเอเตอร์ เขาสร้างธุรกิจที่ช่วยคนนับล้านทั่วโลก ทำในสิ่งที่รัก อยู่กับคนที่รัก ใช้ชีวิตตามคุณค่าที่ตัวเองเชื่อ
.
และทั้งหมดนี้คือ “Feel-Good Productivity” ครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ So Good They Can’t Ignore You (ฉบับภาษาไทยชื่อ Skill Before Passion) เขียนโดย Cal Newport