สรุปหนังสือ The Rules Of Work : เดินเกมอย่างฉลาด คว้าโอกาสรุ่งในองค์กร (กฎ 108 ข้อที่คนทำงานควรรู้) เขียนโดย Richard Templar

หากคุณเป็นคนที่เชื่อว่าความขยันและความซื่อสัตย์อย่างเดียวจะพาคุณไปสู่ความสำเร็จ หนังสือเล่มนี้จะทำลายความฝันสีชมพูของคุณจนแหลกเป็นจุล
.
แต่ถ้าคุณพร้อมที่จะรู้ความจริง อ่านต่อได้เลยครับ
.
ลองนึกภาพว่า คุณแอบหลบไปร้องไห้ในห้องน้ำออฟฟิศ หลังจากรู้ว่าน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ 6 เดือน ได้เลื่อนตำแหน่งแซงหน้าคุณที่ทำมาตั้ง 3 ปี
.
คุณนั่งบนโถส้วม มือถือม้วนกระดาษชำระ (ไม่ได้ใช้ตามปกติ แต่ใช้ซับน้ำตานะครับ) แล้วถามตัวเองว่า...
.
"ฉันทำอะไรผิด?"
.
คุณทำงานหนักที่สุดในทีม มาก่อนใคร กลับหลังใคร รับงานทุกอย่างที่เจ้านายโยนมา ไม่เคยปฏิเสธ ไม่เคยบ่น ผลงานก็ดี KPI ก็ผ่าน แต่ทำไม... ทำไมคุณถึงติดแหงกอยู่ตรงนี้?
.
ในขณะที่น้องคนนั้น... มาสาย 30 นาทีทุกวัน ตอนเที่ยงหายไป 2 ชั่วโมง งานก็ทำได้แค่พอผ่าน
.
แต่รู้อะไรไหม? เขามีสิ่งที่คุณไม่มี... เขารู้ "กฎลับ" ของการทำงาน
.
หลังจากนั้น คุณเดินออกมาจากออฟฟิศด้วยความหงุดหงิด ผ่านร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แล้วเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่หน้าร้าน
.
"Rules of Work" โดย Richard Templar
.
คุณหยิบขึ้นมาพลิกดู เห็นข้อความที่ทำให้คุณหยุดหายใจ
.
“ความต่างระหว่าง Efficiency และ Effectiveness คือเส้นแบ่งระหว่างคนธรรมดากับผู้นำ” (เก่งงานไม่พอ ต้องเก่งเลือกทำงานที่ “ถูกต้อง” ด้วย)
.
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง...
.
.
=============================
.
[ นี่คือกฎทั้ง 108 ข้อจากหนังสือ The Rules Of Work ]
.
.
หมวดที่ 1 Walk Your Talk (ให้สิ่งที่ทำสอดคล้องกับสิ่งที่พูด)

1. Get Your Work Noticed - ทำให้งานของคุณเป็นที่สังเกต

2. Never Stand Still - อย่าหยุดนิ่ง

3. Volunteer Carefully - อาสาทำงานอย่างระมัดระวัง

4. Carve Out a Niche for Yourself - สร้างจุดเด่นเฉพาะตัว

5. Under Promise and Over Deliver - สัญญาน้อย แต่ทำได้มาก

6. Learn to Ask Why - เรียนรู้ที่จะถามว่าทำไม

7. Be 100 Percent Committed - ทุ่มเท 100 เปอร์เซ็นต์

8. Learn from Others' Mistakes - เรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น

9. Enjoy What You Are Doing - สนุกกับสิ่งที่คุณทำ

10. Develop the Right Attitude - พัฒนาทัศนคติที่ถูกต้อง

11. Be Passionate but Don't Kill Yourself - มีความหลงใหลแต่อย่าทำลายตัวเอง

12. Manage Your Energy - จัดการพลังงานของคุณ

13. Never Let Anyone Know How Hard You Work - อย่าให้ใครรู้ว่าคุณทำงานหนักแค่ไหน

14. Keep Your Home Life at Home – เก็บชีวิตส่วนตัวไว้ที่บ้าน
.
.
หมวดที่ 2. Know That You’re Being Judged at All Times (รู้ไว้ว่าคุณกำลังถูกประเมินอยู่ตลอดเวลา)
.
15. Cultivate a Smile - ฝึกยิ้ม

16. No Limp Fish—Develop the Perfect Handshake - สร้างภาพลักษณ์มั่นใจแม้ในการจับมือ

17. Exude Confidence and Energy - แสดงความมั่นใจและพลังงาน

18. Develop a Style That Gets You Noticed - พัฒนาสไตล์ที่ทำให้คุณโดดเด่น

19. Pay Attention to Personal Grooming - ใส่ใจการดูแลตัวเอง

20. Be Attractive - ทำให้ตัวเองดูดี

21. Be Cool - ทำตัวให้ดูดี

22. Speak Well - พูดให้ดี

23. Write Well – เขียนให้ดี
.
.
หมวดที่ 3. Have a Plan (ต้องมีแผน)
.
24. Know What You Want Long Term - รู้เป้าหมายระยะยาวของตัวเอง

25. Know What You Want Short Term - ตั้งเป้าระยะสั้นที่เป็นขั้นบันไดไปสู่เป้าหมายใหญ่

26. Study the Promotion System - ศึกษาระบบการเลื่อนขั้นขององค์กร

27. Develop a Game Plan - สร้างแผนกลยุทธ์ในการเดินหน้า

28. Set Objectives - ตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม วัดผลได้

29. Know Your Role - เข้าใจหน้าที่และขอบเขตงานของคุณ

30. Know Yourself - Strengths and Weaknesses - รู้จุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง

31. Identify Key Times and Events - รู้จักเลือกจังหวะและเหตุการณ์สำคัญให้ถูกเวลา

32. Anticipate Threats - คาดการณ์ปัญหาและเตรียมรับมือ

33. Look for Opportunities - มองหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ในทุกสถานการณ์

34. Make Learning a Lifelong Mission - ทำให้การเรียนรู้เป็นภารกิจตลอดชีวิต
.
.
หมวดที่ 4. If You Can’t Say Anything Nice = Shut Up (ถ้าไม่มีอะไรดีๆจะพูด ก็เงียบซะ)
.
35. Don’t Gossip - อย่านินทาใคร เพราะจะย้อนกลับมาทำลายคุณ

36. Don’t Bitch - เลิกบ่นและด่าลับหลัง

37. Stand Up for Others - ปกป้องคนอื่นเมื่อเขาถูกวิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม

38. Compliment People Sincerely - ชมอย่างจริงใจ ไม่ใช่ประจบ

39. Be Cheerful and Positive - มีพลังบวกและสร้างบรรยากาศดี

40. Ask Questions - แสดงความสนใจและเปิดใจเรียนรู้

41. Use “Please” and “Thank You” - คำพูดง่ายๆที่ได้ผลดี

42. Don’t Swear - หลีกเลี่ยงคำหยาบในที่ทำงาน

43. Be a Good Listener - ฟังอย่างตั้งใจ ทำให้คนอื่นรู้สึกมีค่า

44. Only Speak Sense - พูดแต่สิ่งที่มีประโยชน์และสร้างสรรค์
.
.
หมวดที่ 5. Look After Yourself (ดูแลตัวเองให้ดี)
.
45. Know the Ethics of Your Industry - รู้จริยธรรมของอุตสาหกรรมของคุณ

46. Know the Legalities of Your Industry - รู้กฎหมายของอุตสาหกรรมของคุณ

47. Set Personal Standards - ตั้งมาตรฐานส่วนบุคคล

48. Never Lie - อย่าโกหก

49. Never Cover up for Anyone Else - อย่าปกปิดให้ใคร

50. Keep Records - เก็บบันทึก

51. Know the Difference Between the Truth and the Whole Truth - รู้ความแตกต่างระหว่างความจริงกับความจริงทั้งหมด

52. Cultivate Your Support/Contacts/Friends - สร้างเครือข่ายสนับสนุน/ติดต่อ/เพื่อน

53. Date with Caution - คบหาอย่างระมัดระวัง

54. Understand Others' Motives - เข้าใจแรงจูงใจของผู้อื่น

55. Assume Everyone Else Is Playing by Different Rules - สมมติว่าทุกคนเล่นตามกฎที่แตกต่างกัน

56. Keep the Faith - รักษาความเชื่อ

57. Put Things in Perspective - มองสิ่งต่างๆ ในมุมมองที่ถูกต้อง
.
.
หมวดที่ 6. Blend In (กลมกลืน)
.
58. Know the Corporate Culture - รู้วัฒนธรรมองค์กร

59. Speak the Language - พูดภาษาเดียวกัน

60. Dress Up or Down Accordingly - แต่งตัวให้เหมาะสม

61. Be Adaptable in Your Dealings with Different People - ปรับตัวในการติดต่อกับคนต่างๆ

62. Make Your Boss Look Good - ทำให้หัวหน้าดูดี

63. Know Where to Hang Out, and When - รู้ว่าควรไปไหนและเมื่อไหร่

64. Understand Social Protocols - เข้าใจมารยาททางสังคม

65. Know the Rules About Authority - รู้กฎเกี่ยวกับอำนาจ

66. Know the Rules About the Office Hierarchy - รู้กฎเกี่ยวกับลำดับชั้นในสำนักงาน

67. Never Disapprove of Others - อย่าไม่เห็นด้วยกับผู้อื่น

68. Understand the Herd Mentality - เข้าใจความคิดของสังคม
.
.
หมวดที่ 7. Act One Step Ahead (ทำตัวให้ล้ำไปหนึ่งก้าว)
.
69. Dress One Step Ahead - แต่งตัวล้ำหน้าหนึ่งขั้น

70. Talk One Step Ahead - พูดล้ำหน้าหนึ่งขั้น

71. Act One Step Ahead - ทำตัวล้ำหน้าหนึ่งขั้น

72. Think One Step Ahead - คิดล้ำหน้าหนึ่งขั้น

73. Address Corporate Issues and Problems - จัดการปัญหาขององค์กร

74. Make Your Company Better for Having You There - ทำให้บริษัทดีขึ้นเพราะมีคุณ

75. Talk of "We" Rather Than "I" - พูดว่า "เรา" แทนที่จะเป็น "ฉัน"

76. Walk the Walk - ทำตามที่พูด

77. Spend More Time with Senior Staff - ใช้เวลากับผู้บริหารมากขึ้น

78. Get People to Assume You Have Already Made the Step - ทำให้คนคิดว่าคุณได้ก้าวขึ้นไปแล้ว

79. Prepare for the Step After Next - เตรียมตัวสำหรับขั้นถัดไป
.
.
หมวดที่ 8. Cultivate Diplomacy (ปลูกฝังศิลปะแห่งการทูต)
.
80. Ask Questions in Times of Conflict - ถามคำถามในยามขัดแย้ง

81. Don't Take Sides - ระวังการเลือกข้าง

82. Know When to Keep Your Opinions to Yourself - รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเก็บความคิดเห็นไว้

83. Be Conciliatory - ประนีประนอม

84. Never Lose Your Temper - อย่าอารมณ์เสีย

85. Never Get Personal - อย่าพาดพิงเรื่องส่วนตัว

86. Know How to Handle Other People's Anger - รู้วิธีจัดการความโกรธของผู้อื่น

87. Stand Your Ground - ยืนหยัดในจุดยืนของคุณ

88. Be Objective About the Situation - มองสถานการณ์อย่างเป็นกลาง
.
.
หมวดที่ 9. Know the System and Milk It (รู้จักระบบและใช้มันให้คุ้มค่า)
.
89. Know All the Unspoken Rules of Office Life - รู้กฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งหมดของชีวิตสำนักงาน

90. Know What to Call Everyone - รู้ว่าควรเรียกทุกคนว่าอะไร

91. Know When to Stay Late and When to Go Early - รู้ว่าเมื่อไหร่ควรอยู่ดึกและเมื่อไหร่ควรกลับเร็ว

92. Know the Theft or Perks Rule - รู้กฎเกี่ยวกับการขโมยหรือสิทธิประโยชน์

93. Identify the People Who Count - ระบุคนที่มีอิทธิพล

94. Be on the Right Side of the People Who Count - อยู่ฝั่งที่ถูกต้องกับคนที่มีอิทธิพล

95. Be Well Up on New Management Techniques - รู้เทคนิคการจัดการใหม่ๆ

96. Know the Undercurrents and Hidden Agendas - รู้กระแสใต้น้ำและวาระซ่อนเร้น

97. Know the Favorites and Cultivate Them - รู้ว่าใครเป็นคนโปรดและสร้างความสัมพันธ์

98. Know the Mission Statement - and Understand It - รู้พันธกิจ และเข้าใจมัน
.
.
หมวดที่ 10. Handle the Opposition (รับมือกับฝ่ายตรงข้าม)
.
99. Identify the Opposition - ระบุคู่แข่ง

100. Study Them Closely - ศึกษาพวกเขาอย่างใกล้ชิด

101. Don't Back-Stab - อย่าแทงข้างหลัง

102. Know the Psychology of Promotion - รู้จิตวิทยาการเลื่อนตำแหน่ง

103. Don't Give Too Much Away - อย่าเปิดเผยมากเกินไป

104. Keep Your Ear to the Ground - ฟังข่าวสารรอบตัว

105. Make the Opposition Seem Irreplaceable - ทำให้คู่แข่งดูเหมือนแทนที่ไม่ได้

106. Don't Damn the Opposition with Faint Praise - อย่าทำลายคู่แข่งด้วยคำชมที่แอบแฝงคำติ

107. Capitalize on the Career-Enhancing Moments - ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ส่งเสริมอาชีพ

108. Cultivate the Friendship and Approval of Your Colleagues - สร้างมิตรภาพและการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน
.
.
==============================
.
20 ข้อคิดจากหนังสือ The Rules Of Work (แอดเอาเฉพาะอันที่น่าสนใจมา)
.
.
1. ทำงานให้ถูกมองเห็น (Get Your Work Noticed)
.
นี่คือกฎที่ฟังดูเรียบง่ายแต่จริงแล้วทรงพลังมาก เพราะมันตีแผ่ความจริงที่เจ็บปวด การทำงานเก่งไม่พอ คุณต้องทำให้คนเห็นว่าคุณเก่งด้วย
.
ลองนึกภาพพนักงานสองคน: คนหนึ่งขยัน ทำงานจนดึก ผลงานเนี๊ยบ แต่ไม่พูด ไม่โชว์ ไม่เคยนำเสนอ อีกคนหนึ่งอาจไม่ได้ขยันกว่ามาก แต่รู้จักยกมือในที่ประชุม เสนอไอเดียเล็ก ๆ ที่ฟังดูฉลาด ทำรายงานเสริมให้ทีมสะดวกขึ้น แบบไหนที่ผู้บริหารจะจำชื่อได้ง่ายกว่า?
.
Templar บอกชัดว่า “ถ้าไม่มีใครเห็น คุณก็เหมือนไม่ได้ทำ” เพราะฉะนั้นคุณต้องสร้าง “จังหวะที่ถูกสังเกต” ด้วยความพอดี — อาจจะเป็นการทำให้รายงานธรรมดาอ่านง่ายขึ้น, เสนอมุมมองที่คนอื่นไม่คิด, หรือแม้แต่แค่ถามคำถามดี ๆ ที่ทำให้การประชุมมีคุณภาพขึ้น
.
สิ่งสำคัญคือสมดุล: ถ้าโชว์มากไปคุณจะดูโอ้อวด แต่ถ้าเงียบเกินไปคุณก็จะถูกกลืนหาย วิธีที่ดีที่สุดคือการ “สร้างคุณค่าเพิ่มเล็กน้อย” ทุกครั้งที่มีโอกาส ทำให้คนอื่นพูดถึงคุณโดยไม่รู้ตัว
.
.
2. ให้มากกว่าความคาดหวัง (Under Promise, Over Deliver)
.
ในที่ทำงาน สิ่งที่ทำให้หลายคนเสียความน่าเชื่อถือไม่ใช่การ “ทำงานไม่ได้” แต่เป็นการ “พูดเกินกว่าที่ทำได้” คุณอาจเป็นคนเก่ง แต่ถ้าสัญญาไว้เกินจริงแล้วทำไม่ถึง ความประทับใจทั้งหมดจะพังทลายลงในพริบตา
.
Templar จึงเสนอว่า กุญแจสู่ความสำเร็จไม่ใช่การสัญญาให้ดูยิ่งใหญ่ แต่คือการ “ลดความคาดหวังลงเล็กน้อย แล้วส่งมอบผลงานที่เกินกว่าที่ใคร ๆ คิดไว้” เพราะมนุษย์เราจำได้เสมอว่า “คุณทำเกินความคาดหวังหรือไม่” มากกว่าจำว่าคุณเหนื่อยแค่ไหนในการทำงานนั้น
.
ทำไมต้อง “พูดน้อยกว่าที่จะทำ”
.
I. ป้องกันตัวเองจากความล้มเหลว
.
ถ้าคุณบอกว่าจะทำให้เสร็จในสามวัน แต่ใช้เวลาจริงห้าวัน คุณถูกมองว่า “ช้า” แต่ถ้าคุณบอกห้าวัน แล้วทำเสร็จภายในสามวัน คุณจะถูกมองว่า “ยอดเยี่ยม” ทั้ง ๆ ที่เวลาที่ใช้จริงเท่ากัน
.
II. สร้างชื่อเสียงระยะยาว
.
ทุกครั้งที่คุณส่งมอบเกินที่สัญญาไว้ คุณสะสมเครดิตความเชื่อมั่น เมื่อเครดิตนี้มากพอ คนจะเชื่อว่าคุณคือ “คนที่ไว้ใจได้” และจะมอบหมายงานสำคัญให้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
.
III. คุมเกมความคาดหวัง
.
ในออฟฟิศ ความคาดหวังคือทุกสิ่ง ถ้าคุณสร้างความคาดหวังสูงเกินไป คุณจะทำให้ตัวเองเสี่ยง แต่ถ้าคุณวางกรอบต่ำกว่าเล็กน้อย คุณสามารถควบคุมภาพลักษณ์ได้เสมอ
.
.
3. ทำงานหนัก แต่ทำให้ดูง่าย (Never Let Anyone Know How Hard You Work)
.
นี่อาจเป็นกฎที่สวนทางสัญชาตญาณที่สุด หลายคนเชื่อว่าต้องแสดงให้เห็นว่าเหนื่อยแค่ไหน ขยันแค่ไหน เพื่อให้เจ้านายสงสารหรือเห็นใจ แต่ Templar บอกว่า “คุณควรปิดบังความเหนื่อย และแสดงออกเพียงความมั่นใจและการควบคุมได้”
.
เหตุผลคือโลกการทำงานไม่ได้ให้รางวัลกับ “คนที่เหนื่อยที่สุด” แต่มอบตำแหน่งให้กับ “คนที่ดูรับมือทุกอย่างได้อย่างสงบที่สุด” ภาพลักษณ์ที่คุณสร้างจึงสำคัญกว่าความจริงที่คุณแบกรับ
.
เปรียบเทียบง่าย ๆ กับกัปตันเครื่องบิน: ผู้โดยสารอยากเห็นกัปตันที่ยิ้มมั่นใจ เดินออกมาพูดเสียงนิ่ง ไม่ใช่กัปตันที่บ่นว่า “โอ๊ย เหนื่อยจริง ๆ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน” ถึงแม้ทั้งสองจะทำงานหนักเท่ากัน แต่คนที่สร้างภาพลักษณ์มั่นใจคือคนที่ได้รับความไว้วางใจ
.
.
4. บุคลิกคือบัตรผ่าน (Cultivate a Confident Manner)
.
งานวิจัยด้านจิตวิทยาสังคมบอกเราว่า คนใช้เวลาไม่ถึง 7 วินาทีในการสร้างความประทับใจแรก — และที่เหลือของความสัมพันธ์มักถูกตีกรอบด้วยการตัดสินครั้งนั้น นั่นคือเหตุผลที่ Templar บอกว่า “คุณต้องเดิน พูด และยืนเหมือนคนที่มั่นใจในทุกสถานการณ์”
.
ไม่ใช่เพราะคุณต้องแกล้งมั่นใจ แต่เพราะโลกการทำงานตีความ “ความมั่นใจ” ว่าเป็น “ความสามารถ” อัตโนมัติ ถ้าคุณพูดติด ๆ ขัด ๆ หรือนั่งกอดอกมองพื้น เจ้านายไม่ได้คิดว่าคุณขี้อาย แต่จะคิดว่าคุณไม่พร้อม
.
.
5. การสื่อสารคือร่องรอยที่คุณทิ้งไว้ (Be Aware of What You Say and Write)
.
Templar เตือนว่า “ทุกคำที่คุณพูดและเขียนคือหลักฐานที่ย้อนกลับมาได้เสมอ” อีเมลที่พิมพ์ส่งออกไปไม่ต่างอะไรกับจดหมายเปิดผนึกที่ใครก็อาจได้เห็น และคำพูดเล่น ๆ ในห้องประชุมอาจถูกหยิบไปขยายจนกลายเป็นข้อกล่าวหา
.
แต่ในอีกมุมหนึ่ง การสื่อสารที่ดีคืออาวุธทรงพลัง ถ้าคุณเขียนอีเมลชัด กระชับ และสุภาพ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกมองว่ามีความเป็นมืออาชีพเหนือกว่าคนที่ใช้เวลาเท่ากัน แต่เขียนอีเมลวกไปวนมา
.
อีเมลที่ดี: “ตามที่ประชุมเมื่อเช้า ผมสรุปได้ 3 ประเด็นหลัก… (ลิสต์สั้น ๆ) … เพื่อความชัดเจน หากมีข้อแก้ไขยินดีปรับครับ”
.
อีเมลที่แย่: “ผมไม่แน่ใจนะครับ แต่คิดว่าที่คุยกันเช้าจะเป็นแบบนี้แหละ ถ้าใครจำผิดช่วยแก้ให้ด้วย”
.
สองข้อความนี้ต่างกันแค่โทน แต่ผลสะท้อนต่อภาพลักษณ์ต่างกันราวฟ้ากับเหว
.
.
6. หยุดนินทา หยุดบ่น (Never Gossip, Never Moan)
.
นี่คือกฎที่ดูง่าย แต่แทบไม่มีใครทำได้จริง เพราะการบ่นและการเมาท์คือ “กีฬาประจำออฟฟิศ”
.
Templar เตือนว่า “ทุกครั้งที่คุณนินทา คุณกำลังเผาตัวเอง” คนที่คุณคิดว่าคุยเล่นด้วยอาจเอาไปเล่าต่อ และในที่สุดชื่อของคุณจะถูกผูกกับคำว่า “ไม่น่าไว้ใจ”
.
ที่สำคัญกว่านั้นคือ บรรยากาศของการบ่นทำให้คุณถูกจัดเข้ากลุ่ม “คนที่ไม่สร้างพลัง” — และไม่มีผู้บริหารคนไหนอยากเลื่อนตำแหน่งให้คนที่เอาแต่บ่นชีวิตยากแค่ไหน
.
หลักคิดง่าย ๆ: ถ้าสิ่งที่คุณจะพูดไม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้น ไม่ทำให้ทีมได้ข้อมูล หรือไม่ทำให้ใครยิ้มได้ = ก็เก็บไว้เถอะ
.
.
7. ให้เครดิตมากกว่าคำวิจารณ์ (Give Praise, Hold Back Criticism)
.
หนึ่งในความผิดพลาดของคนทำงานคือการรีบชี้จุดบกพร่องของคนอื่นเพื่อแสดงความเก่ง แต่ผลที่ได้มักกลับด้าน เพราะคุณจะถูกมองว่า “ขี้จับผิด” มากกว่า “ฉลาด”
.
Templar แนะนำให้คุณ “ให้เครดิตก่อนเป็นหลัก” เวลาทีมทำงานสำเร็จ จงชื่นชมคนอื่นอย่างจริงใจ ส่วนคำวิจารณ์ถ้าจำเป็นต้องพูด ให้เลือกเวลาและพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น คุยตัวต่อตัว ไม่ใช่ประกาศในที่ประชุม
.
เหตุผลลึก ๆ คือ คนเราจำคำชมได้ไม่กี่วัน แต่จำคำวิจารณ์ได้เป็นปี ๆ การลงทุนกับคำชมจึงสร้างทุนทางสังคมที่จะกลับมาช่วยคุณในอนาคต
.
.
8. วางเงื่อนไขของคุณเอง (Set Your Own Boundaries)
.
ในออฟฟิศ มักจะมีเส้นแบ่งไม่ชัดระหว่าง “ความทุ่มเท” กับ “การถูกเอาเปรียบ” ถ้าคุณไม่กำหนดเองว่าเส้นไหนคือขอบเขตที่ยอมได้ คุณก็จะถูกคนอื่นลากไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งตระหนักว่ากลายเป็นคนที่ “ทำงานแทนทุกคน”
.
Templar แนะนำว่า “คุณต้องชัดในสิ่งที่ยอม และไม่ยอม” เช่น ถ้าคุณพร้อมทำโอทีบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกวัน ให้พูดตรง ๆ หรือหาวิธีวางระบบให้ภาระไม่ตกที่คุณซ้ำ ๆ การรู้จักปฏิเสธบางครั้งไม่ได้ทำให้คุณดูแย่ แต่ทำให้คนเคารพว่าคุณรู้คุณค่าของตัวเอง
.
.
9. รู้จักเจรจาเพื่อผลประโยชน์ของคุณ (Learn to Negotiate for Yourself)
.
หลายคนทำงานเก่งแต่ไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งหรือขึ้นเงินเดือน เพราะคิดว่า “ทำดีแล้วเจ้านายจะเห็นเอง” แต่ Templar เตือนว่า “ระบบองค์กรไม่ใช่การกุศล” ถ้าคุณไม่พูดแทนตัวเอง โอกาสก็มักจะถูกหยิบไปโดยคนที่พูดเป็น
.
การเจรจาไม่ได้แปลว่าคุณต้องต่อสู้ แต่คือการใช้เหตุผลและผลงานจริงมาสนับสนุน เช่น เวลาขอขึ้นเงินเดือน แทนที่จะพูดว่า “ผมทำงานหนักมาก” คุณควรพูดว่า “ในปีที่แล้วผมช่วยเพิ่มยอดขาย 15% และลดต้นทุนในโปรเจกต์ X ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของทีม นี่คือเหตุผลที่ผมคิดว่าผมสมควรได้ค่าตอบแทนที่สอดคล้องกับผลงาน”
.
การรู้จักต่อรองคือการส่งสัญญาณว่า “คุณให้คุณค่ากับตัวเอง” และโลกการทำงานมักเคารพคนที่มีท่าทีนี้
.
.
10. รักษาความลับของคุณ (Protect Your Private Life)
.
หนึ่งในความผิดพลาดใหญ่ของคนทำงานคือการ “เปิดหมดเปลือก” เรื่องส่วนตัวในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน ปัญหาครอบครัว หรือความไม่พอใจต่อเจ้านาย เพราะข้อมูลเหล่านี้อาจถูกใช้ย้อนกลับมาทำร้ายคุณในอนาคต
.
Templar แนะนำว่าให้คุณ สร้างกำแพงระหว่างชีวิตงานกับชีวิตส่วนตัว ไม่ใช่ว่าห้ามสนิทกับใครเลย แต่เลือกแชร์เท่าที่จำเป็นและปลอดภัย ตัวอย่างเช่น การเล่าว่าคุณไปเที่ยวไหนบ้างไม่เป็นไร แต่การบอกปัญหาหนี้สินหรือความขัดแย้งกับคนในบ้านอาจกลายเป็นเครื่องมือให้คนอื่นใช้ตีความว่าคุณ “จัดการชีวิตไม่ได้”
.
การเก็บชีวิตส่วนตัวไว้กับตัวเองคือการปกป้องภาพลักษณ์มืออาชีพให้สะอาดและมั่นคง
.
.
11. เลือกศัตรูให้น้อยที่สุด (Don’t Stand Out for the Wrong Reasons)
.
โลกการทำงานคือระบบนิเวศที่ทุกคนคอยสังเกตกันอยู่เสมอ ถ้าคุณถูกจดจำเพราะ “ชอบเถียง” หรือ “มีสไตล์แปลกประหลาด” มันอาจทำให้คุณกลายเป็น ตัวละครสีสัน ของออฟฟิศ แต่ไม่ใช่ ตัวเลือกสำหรับเลื่อนตำแหน่ง
.
Templar ไม่ได้บอกให้คุณเสแสร้ง แต่แนะนำว่า “อย่าปล่อยให้ความแตกต่างของคุณถูกตีความในทางลบ” เช่น การพูดตรงเกินไปจนคนอื่นรู้สึกว่าคุณ “ก้าวร้าว” หรือการแต่งตัวหวือหวาจนเบี่ยงเบนความสนใจจากงานจริง ๆ
.
หลักคิดง่าย ๆ คือ ถ้าคนอื่นพูดถึงคุณเมื่อคุณไม่อยู่ ให้แน่ใจว่าเขาพูดถึงผลงาน ไม่ใช่นิสัยหรือความประหลาด
.
.
12. คิดและทำเหมือนตำแหน่งถัดไป (Think Like Your Boss’s Boss)
.
นี่คือกฎที่ Templar ย้ำหลายครั้งในเล่ม “ถ้าคุณอยากเลื่อนขึ้น คุณต้องคิดเหมือนคุณอยู่ที่ตำแหน่งนั้นแล้ว”
.
ลองนึกภาพว่าคุณเป็นหัวหน้าทีม คุณอาจคิดเพียงเรื่องการส่งงานให้ทัน แต่ถ้าคุณอยากเป็นผู้จัดการแผนก คุณต้องคิดถึงงบประมาณ ภาพรวม และความสัมพันธ์ระหว่างทีมต่าง ๆ และถ้าคุณอยากก้าวไปถึงระดับผู้อำนวยการ คุณต้องคิดว่าการตัดสินใจเล็ก ๆ ส่งผลต่อกลยุทธ์ใหญ่แค่ไหน
.
คนส่วนใหญ่คิดเพียงในระดับที่ตัวเองอยู่ และนั่นคือเหตุผลที่เขา “ติดอยู่ตรงนั้น” ในขณะที่คนที่เลื่อนตำแหน่งมักเป็นคนที่ “แสดงให้เห็นว่าเขาคิดได้เกินกว่าตำแหน่งปัจจุบัน”
.
ตัวอย่าง
.
ในที่ประชุม ถ้าเจ้านายพูดถึงปัญหาลูกค้า แทนที่จะเสนอแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คุณอาจชี้ว่า “ถ้าเราปรับระบบนี้ จะลดปัญหาแบบเดียวกันในระยะยาว และยังช่วยประหยัดงบ” นี่คือตัวอย่างของการคิดแบบระดับสูงกว่า
.
ถ้าคุณเป็นหัวหน้าทีมย่อย แทนที่จะห่วงเฉพาะงานทีมตัวเอง คุณลองแสดงมุมมองที่คำนึงถึงทีมข้าง ๆ หรือผลกระทบต่อทั้งองค์กร
.
สิ่งที่เกิดขึ้น: เจ้านายของคุณจะเริ่มมองคุณว่า “นี่คือคนที่พร้อมขึ้นมาแทนฉันในอนาคต” และนั่นคือประตูสู่การก้าวหน้า
.
.
13. คาดการณ์เสมอ (Anticipate What’s Coming Next)
.
อีกหนึ่งทักษะที่ทำให้คุณล้ำหน้าคนอื่นคือการ “คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนใคร” ไม่ว่าจะเป็นปัญหา โอกาส หรือการเปลี่ยนแปลง
.
Templar พูดชัดว่า “อย่ารอให้ไฟไหม้ถึงค่อยหาน้ำ” คุณควรเป็นคนที่เตรียมถังดับเพลิงไว้ล่วงหน้า แล้วค่อย ๆ ดึงมันออกมาอย่างสงบในวันที่ทุกคนเริ่มตื่นตระหนก
.
ตัวอย่าง
.
ถ้าคุณรู้ว่าลูกค้ารายใหญ่กำลังไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะบ่น คุณอาจเสนอไอเดียเชิงรุกเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ ผลคือคุณไม่ใช่แค่แก้ปัญหา แต่คือ “ผู้ป้องกันวิกฤติ”
.
การ Anticipate ยังหมายถึงการ “อ่านเจ้านายออก” เช่น ถ้าคุณรู้ว่านายของคุณจะถูกถามคำถามยากในที่ประชุมใหญ่ คุณควรเตรียมข้อมูลล่วงหน้าไว้ให้ เมื่อถึงเวลา นายคุณจะรู้ว่าคุณคือคนที่ช่วยให้เขาดูดีขึ้น — และไม่มีใครลืมบุญคุณแบบนั้น
.
.
14. ทำตัวเหมือนคุณพร้อมแล้ว (Act As If You’re Already There)
.
นี่คือกฎที่ฟังดูเหมือนเสแสร้ง แต่จริง ๆ คือจิตวิทยา คนจะปฏิบัติต่อคุณตามบทบาทที่คุณแสดงออก
.
Templar บอกว่าถ้าคุณอยากให้คนเห็นว่าคุณคู่ควรกับตำแหน่งสูงกว่า คุณต้องแสดงออกเหมือนคุณเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่ในงาน แต่ในท่าที การสื่อสาร และการจัดการตัวเอง
.
ตัวอย่าง
.
ถ้าคุณอยากเป็นหัวหน้าแผนก คุณต้องเริ่มบริหารทีมเล็ก ๆ ของคุณให้เป็นมืออาชีพ พูดและวางแผนในเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่จัดการงานวันต่อวัน
.
ถ้าคุณอยากเป็นผู้บริหาร คุณต้องฝึกการนำเสนอในเชิงภาพรวม สื่อสารด้วยวิสัยทัศน์ ไม่ใช่รายละเอียดยิบย่อย
.
ข้อควรระวัง: อย่า “เล่นใหญ่” จนเกินจริง เช่น เดินทำตัวเหมือน CEO ทั้งที่ยังเป็นพนักงานใหม่ เพราะจะถูกตีความว่าเป็นการโอ้อวด แต่ควรเลือกทำตัวให้ดู “พร้อม” แทนที่จะ “พยายามเป็น”
.
สิ่งที่เกิดขึ้น: เมื่อโอกาสเลื่อนตำแหน่งมา คนรอบตัวจะรู้สึกว่า “คุณเหมาะแล้ว” เพราะเขาเห็นคุณในบทบาทนั้นมาตลอดอยู่แล้ว
.
.
15. ปกป้องคนอื่นเมื่อเขาถูกวิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม (Stand Up for Others)
.
Richard Templar ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จในการทำงานไม่ได้เกิดจากการทำงานคนเดียว แต่เกิดจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น และสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างคนที่เป็นเพียง “เพื่อนร่วมงาน” กับคนที่ถูกมองว่าเป็น “ผู้นำโดยธรรมชาติ” คือการ “ยืนหยัดปกป้องผู้อื่น เมื่อเขาถูกวิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม”
.
ทำไมมันถึงสำคัญ?
.
ในที่ทำงาน ความผิดพลาดมักถูกขยายใหญ่เกินจริง และการวิจารณ์หลายครั้งไม่ได้ตั้งอยู่บนความจริงทั้งหมด บางครั้งเกิดจากการโยนความผิด หรือการตีความผิด ๆ หากคุณเลือกที่จะปกป้องเพื่อนร่วมงานในสถานการณ์เช่นนี้ คุณกำลังส่งสัญญาณสำคัญ 3 อย่างออกไป
.
คุณมีความยุติธรรม – คนจะเชื่อว่าคุณกล้าพูดเพื่อความถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
.
คุณน่าเชื่อถือและมีศักดิ์ศรี – คนอื่นจะเห็นว่าคุณไม่กลัวที่จะยืนข้างสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะเสี่ยงเล็กน้อย
.
คุณคือคนที่ทำงานเป็นทีมจริง ๆ – องค์กรมองหาคนที่สร้างความแข็งแรงให้ทีม ไม่ใช่คนที่ผลักเพื่อนลงน้ำเพื่อเอาตัวรอด
.
วิธีปกป้องอย่างชาญฉลาด
.
การยืนหยัดเพื่อผู้อื่นไม่ได้หมายถึงการเข้าไปเถียงเสียงดังหรือปะทะตรง ๆ Templar แนะนำว่าให้ใช้วิธีที่ “สุขุมและสร้างสรรค์” เช่น
.
ถ้ามีคนถูกกล่าวหาว่าทำงานล้มเหลว คุณอาจบอกว่า “ผมเห็นว่าเขามีเหตุผลและพยายามแก้ปัญหาเต็มที่ อาจมีปัจจัยอื่นที่เราควรพิจารณาด้วย”
.
หรือถ้าใครถูกตำหนิอย่างไม่ยุติธรรม ให้หาข้อเท็จจริงที่สนับสนุนและช่วยทำให้ภาพรวมสมดุลขึ้น
.
หัวใจสำคัญคือ ไม่ใช่การ “ลบล้าง” คำวิจารณ์ แต่คือการ “คืนความยุติธรรม” และทำให้ทุกคนเห็นภาพชัดเจนขึ้น
.
เมื่อคุณทำเช่นนี้ เพื่อนร่วมงานจะรู้สึกปลอดภัยเมื่อทำงานกับคุณ และเจ้านายก็จะเห็นว่าคุณมีคุณสมบัติของผู้นำที่แท้จริง เพราะผู้นำไม่ใช่คนที่แค่ปกป้องตนเอง แต่คือคนที่ยืนข้างทีมแม้ในเวลายากลำบาก ความเชื่อมั่นนี้คือสิ่งที่จะสะสมเป็นทุนทางชื่อเสียง ที่ช่วยให้คุณก้าวหน้าต่อไปในสายอาชีพ
.
.
16. อย่าปกปิดให้ใคร (Never Cover up for Anyone Else)
.
Richard Templar เตือนเอาไว้ชัดเจนว่า ในโลกการทำงาน การ “ช่วยปกปิด” ความผิดพลาดหรือความบกพร่องของเพื่อนร่วมงานนั้น ไม่ได้ทำให้คุณดูเป็นคนใจกว้าง แต่กลับเป็นการดึงคุณลงไปอยู่ในปัญหาด้วยโดยไม่รู้ตัว กฎข้อนี้จึงเป็นหนึ่งในหลักการป้องกันตัวเองที่สำคัญที่สุด
.
ทำไมไม่ควรปกปิด
.
I. คุณจะเสียความน่าเชื่อถือ – เมื่อเรื่องจริงถูกเปิดเผยในที่สุด (ซึ่งแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้) คนอื่นจะมองว่าคุณ “สมรู้ร่วมคิด” มากกว่ามองว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดี
.
II. คุณกลายเป็นคนผิดร่วมโดยไม่จำเป็น – เพียงเพราะคุณพยายามช่วยใครสักคนไม่ให้ถูกตำหนิ คุณอาจโดนลากลงมารับผิดไปพร้อมกัน
.
III. คุณตัดโอกาสการแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา – การปกปิดคือการยืดปัญหาออกไป ไม่ใช่การแก้ไข และเมื่อความจริงปรากฏขึ้น ปัญหาก็มักจะแย่ลงกว่าเดิม
.
วิธีที่ควรทำแทน
.
Templar ไม่ได้บอกให้คุณทอดทิ้งเพื่อนร่วมงาน แต่เสนอให้คุณ “ช่วยอย่างถูกทาง” เช่น
.
ถ้าเพื่อนทำผิดพลาด ให้ช่วยเขาหาทางแก้ไขโดยเร็วและตรงไปตรงมา
.
สนับสนุนให้เพื่อนรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ แทนที่จะช่วยปิดบัง
.
ถ้าคุณจำเป็นต้องพูด ให้พูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ไม่โจมตี เช่น “ปัญหานี้เกิดขึ้นจริง แต่เรากำลังหาทางแก้อย่างเต็มที่”
.
การกระทำแบบนี้ทำให้คุณยังคงรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ โดยไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยง
.
การปกปิดแทบจะไม่เคยจบสวย การปกปิดเล็ก ๆ จะขยายกลายเป็นปัญหาใหญ่ และสุดท้ายคนที่พยายามปกปิดก็มักถูกมองว่า “ไม่ซื่อสัตย์” มากกว่าถูกมองว่า “ภักดี”
.
.
17. สะสมเครดิตและชื่อเสียงในระบบ (Build a Reputation the System Rewards)
.
ระบบองค์กรมีสิ่งที่มัน “ให้รางวัล” เสมอ แม้อาจไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เช่น บางองค์กรให้รางวัลกับ “ความจงรักภักดี” มากกว่า “ความคิดสร้างสรรค์” บางองค์กรให้รางวัลกับ “คนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี” มากกว่าคนที่ “วางกลยุทธ์ระยะยาว”
.
Templar บอกว่า คุณต้องสังเกตว่าองค์กรของคุณให้รางวัลกับอะไร แล้วปรับภาพลักษณ์ของคุณให้ตรงกับนั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนตัวเองทั้งหมด แต่คือการเน้นสิ่งที่คุณมีให้ “เข้าตา”
.
บางองค์กรให้รางวัลกับ การทำงานหนักแบบเห็นได้ชัด
.
บางองค์กรให้รางวัลกับ การสร้างสัมพันธ์และเครือข่าย
.
บางองค์กรให้รางวัลกับ ความคิดสร้างสรรค์และการริเริ่มสิ่งใหม่
.
หรือบางองค์กรอาจเน้น ความจงรักภักดีและการอยู่ในระบบอย่างต่อเนื่อง
.
.
18. จำแนกคู่แข่ง (Identify the Opposition)
.
Templar บอกว่า สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ แยกให้ออกว่าใครคือ “ฝ่ายตรงข้ามจริง” กับใครคือ “คนที่แค่ไม่ถูกจริต”
.
A. ฝ่ายตรงข้ามจริง: คือคนที่ผลประโยชน์ของเขาขัดกับคุณ เช่น คุณกับเขาแข่งเลื่อนตำแหน่งเดียวกัน
.
B. ไม่ถูกจริต: แค่สไตล์ต่างกัน เขาอาจไม่ชอบวิธีทำงานคุณ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะล้มคุณ
.
ความผิดพลาดของหลายคนคือ “เหมารวม” จนสร้างศัตรูมากเกินไป แล้วทำให้ตัวเองติดกับดักความเกลียดชัง
.
คุณจะ “รู้ว่าควรโฟกัสกับใคร” และไม่สิ้นเปลืองพลังไปกับการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น
.
ลักษณะของ “คู่แข่ง” ที่พบบ่อย
.
คู่แข่งโดยตรง – คนที่แย่งตำแหน่งหรือโอกาสเดียวกับคุณ
.
ผู้ไม่หวังดี – คนที่อาจรู้สึกว่าคุณเป็นภัยต่ออำนาจหรือความมั่นคงของเขา
.
ผู้มีอิทธิพลเบื้องหลัง – คนที่ไม่ได้แข่งขันกับคุณโดยตรง แต่สามารถบ่อนทำลายชื่อเสียงหรือสร้างอุปสรรคได้ด้วยอิทธิพลของเขา
.
คู่แข่งที่ซ่อนตัว – คนที่แสร้งทำเป็นเป็นกลางหรือเป็นมิตร แต่จริง ๆ แล้วไม่อยากเห็นคุณก้าวหน้า
.
.
19. ฉวยโอกาสจากช่วงเวลาที่เสริมเส้นทางอาชีพ (Capitalize on the Career-Enhancing Moments)
.
Richard Templar อธิบายว่า ในเส้นทางการทำงาน คุณจะไม่ได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองทุกวันตลอดเวลา แต่จะมี “บางช่วงเวลา” ที่โดดเด่นกว่าปกติ เป็นจังหวะที่หากคุณทำได้ดี มันจะยกระดับภาพลักษณ์และสถานะทางอาชีพของคุณทันที เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “Career-Enhancing Moments”
.
ช่วงเวลาแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้จากสถานการณ์พิเศษ เช่น
.
คุณได้รับมอบหมายงานใหญ่ที่สำคัญต่อบริษัท
คุณถูกขอให้แทนเจ้านายในการประชุมระดับสูง
คุณมีโอกาสรับผิดชอบโครงการที่ทุกสายตากำลังจับตามอง
หรือคุณได้โอกาสแก้ไขปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้า ที่ส่งผลชี้เป็นชี้ตายต่อความน่าเชื่อถือของทีม
.
สิ่งเหล่านี้คือจังหวะที่ไม่เกิดบ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทุกการกระทำของคุณจะถูกจดจำมากกว่าปกติ
.
ทำไมจังหวะนี้สำคัญ?
.
ในชีวิตการทำงานประจำวัน แม้คุณจะทำงานหนักและสม่ำเสมอ แต่หลายครั้งสิ่งเหล่านั้นก็ถูกมองข้ามไปเป็น “เรื่องปกติ” เพราะทุกคนคาดหวังว่าคุณต้องทำอยู่แล้ว แต่ใน “จังหวะพิเศษ” ความคาดหวังจะสูงขึ้น และการแสดงออกของคุณจะถูกขยายความหมายให้มากกว่าเดิม
.
ถ้าคุณทำได้ดี คุณจะถูกมองว่า “คนที่ไว้ใจได้ในยามสำคัญ” ซึ่งคือภาพลักษณ์ที่ส่งผลต่อการเลื่อนตำแหน่งหรือโอกาสในอนาคตโดยตรง
.
Templar ไม่ได้บอกให้คุณแค่รอโอกาส แต่ให้ “เตรียมพร้อมอยู่เสมอ” เมื่อโอกาสมาถึง คุณต้อง:
.
แสดงความมั่นใจ – เพราะในจังหวะนี้ คนจะไม่วัดแค่ว่าคุณทำได้ แต่ยังดูด้วยว่าคุณควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่
.
เน้นผลลัพธ์ชัดเจน – จงทำให้งานนั้นออกมาเป็นรูปธรรมและมีคุณค่า ไม่ใช่แค่ความพยายามที่ดูดี
.
จัดการแรงกดดัน – อย่าให้ความตื่นเต้นหรือความกังวลบั่นทอนภาพลักษณ์ เพราะบางครั้ง “ท่าที” สำคัญพอ ๆ กับ “ผลงาน”
.
ใช้โอกาสสร้างภาพลักษณ์ระยะยาว – อย่าให้เป็นเพียงความสำเร็จชั่วคราว แต่ทำให้คนจดจำว่าคุณคือ “คนที่ทำได้จริง”
.
.
20. เข้าใจจิตวิทยาของการเลื่อนตำแหน่ง (Know the Psychology of Promotion)
.
Richard Templar ชี้ให้เห็นว่า การเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่แค่เรื่องของผลงาน แต่เกี่ยวพันโดยตรงกับ “จิตวิทยาของผู้ตัดสินใจ” และบรรยากาศในองค์กร คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าถ้าทำงานหนัก ทำงานเก่ง ผลงานจะ “พูดแทน” แล้ววันหนึ่งเก้าอี้ใหม่จะเดินเข้ามาหา แต่ความจริงคือ “การเลื่อนตำแหน่งคือการเมืองผสมกับการรับรู้” มากพอ ๆ กับการทำงานจริง
.
เลื่อนตำแหน่งไม่ใช่รางวัล แต่คือ “การลงทุน” ขององค์กร
.
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก็คือ องค์กรมองการเลื่อนตำแหน่งเป็นการลงทุน ไม่ใช่รางวัล พวกเขาไม่โปรโมตใครเพราะ “ทำงานหนัก” แต่เพราะเชื่อว่าคนคนนั้นสามารถนำพาทีม องค์กร และผลลัพธ์ในอนาคตไปข้างหน้าได้ การเลื่อนตำแหน่งจึงไม่ใช่การตอบแทนอดีต แต่เป็นการซื้ออนาคต
.
Templar แยกให้เห็นว่า ปัจจัยที่ทำให้คนได้เลื่อนตำแหน่งมีหลายชั้น เช่น
.
ความเชื่อมั่น – ผู้บริหารต้องเชื่อว่าคุณ “เอาอยู่” ในระดับสูงกว่าเดิม
.
ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำ – คุณไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าอย่างเป็นทางการ แต่ต้องทำให้คนรอบข้างมองว่าคุณเป็น “ตัวเลือกที่ใช่”
.
ความสัมพันธ์ – ใช่ครับ คนที่ถูกชอบ ถูกเชื่อใจ มักมีโอกาสมากกว่าคนเก่งแต่ไม่ถูกใจ
.
จังหวะและเวลา – บางทีคุณพร้อมแล้ว แต่ตำแหน่งยังไม่ว่าง หรือยังไม่มีแรงกดดันให้เปลี่ยน
.
.
===========================
.
[ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรแหกกฎ ]
.
.
Richard Templar เขียนไว้ในบทส่งท้ายของหนังสือ The Rules of Work ว่า Rules Player ที่ดีหลายคนเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติตามทุกกฎอย่างเคร่งครัด และนี่เป็นแนวทางที่สมเหตุสมผลเมื่อคุณเพิ่งเริ่มต้น เพราะทางเลือกอื่นคือความประมาทและความมั่นใจผิดๆ ว่า "ฉันทำได้อยู่แล้ว" ซึ่งแน่นอนว่าไม่เป็นความจริง
.
ไม่มีใครพบว่าทุกสถานการณ์เป็นเรื่องง่าย บางครั้งเราอาจรู้ชัดเจนว่าควรทำอะไร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการทำมันจะง่ายเสมอไป และบางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่าควรไปทางไหน
.
การปฏิบัติตามทุกกฎอย่างจริงจัง นั่นคือแนวคิดทั่วไป อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเริ่มมั่นใจมากขึ้นในฐานะ Rules Player และเริ่มพัฒนาสัญชาตญาณที่ดีสำหรับพฤติกรรมตามกฎ คุณสามารถเริ่มผ่อนคลายได้ กฎหลายข้อจะกลายเป็นการกระทำอัตโนมัติ และคุณไม่ต้องคิดถึงมันอีกต่อไป
.
และเมื่อถึงขั้นนี้ คุณจะพบว่าบางครั้งกฎบางข้ออาจไม่เหมาะสม
.
กรณีที่ 1: การโต้ตอบเชิงลบ
.
กฎข้อที่ 85 บอกว่า "Never Get Personal" - อย่าพาดพิงเรื่องส่วนตัว แต่บางครั้งคุณอาจต้องเผชิญกับคนที่ใช้การโจมตีเรื่องส่วนตัวเป็นอาวุธประจำ ในกรณีนี้ การพูดตรงๆ ว่า "การที่คุณมีปัญหาส่วนตัวไม่ได้ให้สิทธิ์คุณมาระบายกับคนอื่น" อาจเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดพฤติกรรมนั้น
.
กรณีที่ 2: การแสดงอารมณ์
.
กฎข้อที่ 84 "Never Lose Your Temper" - อย่าอารมณ์เสีย แต่ Templar เองก็ยอมรับว่าการแสดงอารมณ์แบบ "จัดฉาก" เพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการนั้นสามารถทำได้ ถ้าคุณเลือกช่วงเวลา โอกาส และผู้ชมที่เหมาะสม
.
กรณีที่ 3: การเปิดเผยแผน
.
กฎข้อที่ 103 "Don't Give Too Much Away" - อย่าเปิดเผยมากเกินไป แต่บางครั้งการเปิดเผยแผนของคุณกับคนที่ไว้ใจได้อาจนำมาซึ่งคำแนะนำที่มีค่าหรือการสนับสนุนที่คุณต้องการ
.
.
อย่างไรก็ตามมีกฎที่ไม่ควรแหกเด็ดขาด
.
Never Lie - อย่าโกหก ความซื่อสัตย์เป็นรากฐานของความน่าเชื่อถือ
.
Never Cover Up - อย่าปกปิด การปกปิดความผิดจะนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่า
.
Set Personal Standards - มีมาตรฐานส่วนตัว หากไม่มีหลักการ คุณจะหลงทาง
.
.
การมีวิจารณญาณที่ดีพอจะรู้ว่าเมื่อไหร่กฎช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ และเมื่อไหร่กฎอาจเป็นอุปสรรค
.
เส้นทางของอาชีพไม่ได้ตัดสินกันเพียงผลงานในวันนี้ แต่ถูกหล่อหลอมจากการกระทำเล็กน้อยที่สะสมไปทุกวัน การเข้าใจเกมขององค์กรจึงเป็นสิ่งจำเป็นพอๆ กับความสามารถที่แท้จริง เพราะระบบมองหาคนที่วางตัวเป็นพอๆ กับคนที่ทำงานเก่ง และคนที่อ่านรายงานเป็นพอๆ กับคนที่อ่านสถานการณ์ออกนั่นเองครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ So Good They Can’t Ignore You (ฉบับภาษาไทยชื่อ Skill Before Passion) เขียนโดย Cal Newport

Next
Next

Range: Why Generalists Triumph in a Specialized World เขียนโดย David Epstein