Economics in One Lesson เขียนโดย Henry Hazlitt

สรุป 25 ข้อคิดจาก Economics in One Lesson : เศรษฐศาสตร์บทเดียว ที่ทำให้คุณไม่ตกหลุมพรางทั้งระบบ
.
เศรษฐศาสตร์อาจฟังดูเหมือนศาสตร์ของกราฟ รายงาน และการคาดการณ์ผิดทุกไตรมาส
.
แต่บทความนี้จะพาคุณเข้าใจเศรษฐศาสตร์แบบที่ไม่มีใครบอกคุณในห้องเรียน
.
Henry Hazlitt นักเขียนมือฉมังจาก The New York Times พยายามจะบอกคุณว่า
.
แค่เข้าใจ “บทเรียนเดียว” ก็พอจะมองทะลุนโยบายที่ฟังดูดีแต่ทำร้ายคนธรรมดาทุกวัน
.
.
และนี่คือ 25 ข้อคิดจากบทเรียนนี้
.
.
1. บทเรียนเดียวที่เปลี่ยนคุณจากเหยื่อ เป็นนักคิดเชิงระบบ
.
Hazlitt บอกว่าเหตุผลที่โลกนี้เต็มไปด้วย “นโยบายโง่ๆ ที่ทำเหมือนฉลาด” ก็เพราะมีคนเข้าใจเศรษฐศาสตร์แค่ “ครึ่งเดียว”
.
คนส่วนใหญ่มองแค่ว่า
.
นโยบายนี้ช่วยใครตอนนี้?
คนกลุ่มนี้ได้ประโยชน์ใช่มั้ย?
ตัวเลข GDP ขึ้น = เยี่ยม?
.
แต่เขาบอกว่า... ถ้าคุณจะเป็นนักคิดเศรษฐศาสตร์ที่ดี คุณต้อง:
.
มองให้ไกลกว่า “ผลลัพธ์ทันที” และมองให้กว้างกว่า “ใครได้ประโยชน์แค่กลุ่มเดียว”
.
พูดง่ายๆ คืออย่าเห็นรถชนแล้วรีบสรุปว่า “รถพัง แต่อู่ซ่อมได้งาน”
.
.
2. ทำไมมันฟังดูง่าย แต่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้?
.
Hazlitt ชี้ให้เห็นว่า การวิเคราะห์ผลกระทบระยะยาว และผลกระทบที่มองไม่เห็นนั้น...
.
ต้องมี “ภูมิคุ้มกันทางปัญญา”
.
เขายกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็นภาพ:
.
เด็กกินของหวานมากๆ รู้ไหมไม่ดี? รู้
.
คนเมา รู้ไหมพรุ่งนี้จะปวดหัว? รู้
.
คนใช้เงินฟุ่มเฟือย รู้ไหมจะเป็นหนี้? รู้
.
แต่พอพูดเรื่องเศรษฐกิจประเทศ... คนกลุ่มเดียวกันกับที่สอนลูกตัวเองไม่ให้กินลูกอมก่อนนอน กลับเชียร์การพิมพ์เงินกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไม่คิดผลระยะยาวเลยแม้แต่น้อย
.
.
3. แล้วใครกันที่เป็น “เหยื่อ” ของความคิดแบบนี้?
.
Hazlitt บอกว่า “คนที่ได้ประโยชน์” จะจ้างกองทัพที่ปรึกษา นักเขียน นักการเมือง มาพูดวนๆ ว่า
“โครงการนี้ดี! สร้างงาน! กระตุ้นเศรษฐกิจ!”
.
โดยไม่ต้องพูดถึงว่าใครจ่าย — ก็คุณนั่นแหละจ่าย (ผ่านภาษี เงินเฟ้อ หรือหนี้สาธารณะ)
.
และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องโกหก — พวกเขาแค่พูด “ครึ่งเดียว” แล้วหยุด
.
การพูดครึ่งเดียวในโลกเศรษฐกิจนี่แหละ… เป็นอาวุธที่น่ากลัวกว่าการพูดโกหกเสียอีก
.
.
4. การคิดแบบเศรษฐศาสตร์ = การไม่ลืม "สิ่งที่ไม่มีอยู่"
.
Hazlitt เตือนว่า ศาสตร์นี้คือการมอง “สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น” ให้ชัดเจนเท่ากับ “สิ่งที่เกิดขึ้น”
.
ทุกครั้งที่มีโครงการรัฐ 1 อย่างเกิดขึ้น
.
จะมี “สิ่งอื่น” อีกหลายอย่างที่ไม่เคยได้เกิดขึ้น — และไม่มีใครเห็นมันเลย
.
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า The Forgotten Cost — ราคาที่จ่ายโดยไม่ได้คิด เพราะเราไม่รู้ว่าตัวเองเสียอะไรไป
.
นึกภาพง่าย ๆ เหมือนคุณเอาเงิน 100,000 ไปจ้างคนทาสีห้องน้ำของสำนักงานเขต… แทนที่จะเอาไปสร้างธุรกิจเล็กๆ ของคุณเอง
.
.
5. มุกฮิตของเศรษฐกรสาย “มองสั้น” คืออะไร?
.
“ในระยะยาวเราทุกคนก็ตายอยู่ดี”
.
ประโยคนี้ดูขำ ๆ แต่ Hazlitt มองว่ามันคือการสวมหน้ากากตลกให้กับความขี้เกียจคิด
.
“ปัญหาไม่ใช่แค่ว่าเราจะตายในระยะยาว… แต่เราต้อง ‘อยู่’ ในระยะยาวก่อนจะตาย — พร้อมกับรับกรรมจากนโยบายห่วย ๆ ที่เราเคยเชียร์ไป”
.
และตอนนี้… สิ่งที่เราทำเมื่อวานได้ย้อนกลับมาแล้วครับ
.
วันนี้คือ “อนาคตของอดีตที่เราละเลย”
.
.
6. หนึ่งบทเรียนที่ครอบคลุมทั้งเล่ม
.
Hazlitt บอกว่า คุณสามารถสรุปหนังสือเล่มนี้ได้ด้วยประโยคเดียว:
.
“The art of economics consists in looking not merely at the immediate but at the longer effects of any act or policy — not merely for one group, but for all groups.”
.
"ศิลปะของเศรษฐศาสตร์ ไม่ได้อยู่ที่การมองเพียงแค่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันที แต่ยังรวมถึงผลกระทบในระยะยาวของการกระทำหรือนโยบายใดๆ — ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่สำหรับทุกกลุ่ม"
.
นั่นแหละครับ — คือหัวใจทั้งเล่ม
.
และคุณจะเห็นว่าเขานำบทเรียนเดียวนี้ไปไล่แฉทุกนโยบายที่ดูดีแต่หลอกลวง ตั้งแต่ “การทำลายคือการสร้าง”, “จ้างงานปลอม”, “ภาษีไม่เจ็บ”, ไปจนถึง “ควบคุมราคาเพื่อช่วยคนจน”
.
=================
.
และข้อที่เหลือถัดจากนี้เราจะเริ่มพิสูจน์กันว่า...
.
โลกที่ดูเหมือนมี “ผลดี” ต่อหน้าคุณ อาจจะซ่อน “ราคาที่คนทั้งประเทศจ่าย” เอาไว้อย่างแยบยล
.
และทั้งหมดนั้น เริ่มจาก... “กระจกที่แตก”
.
=================
.
7. The Broken Window — มายาคติของการทำลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
.
เปิดฉากด้วยเสียงอันดัง เพล้ง! — หน้าร้านเบเกอรี่มีเด็กมือบอนขว้างก้อนหินใส่กระจกแตก
คนผ่านไปผ่านมามุงดู บางคนส่ายหัว บางคนบ่นว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน แต่จะมีสักกี่คนที่บอกว่า...
.
"ดีแล้ว กระจกแตกแบบนี้จะได้มีงานให้ช่างกระจกทำ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ!"
.
Hazlitt เรียกแนวคิดนี้ว่า "Broken Window Fallacy" — และมันคือหนึ่งในกับดักที่ทรงพลังที่สุดในเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
.
.
8. ปัญหา = การสร้างงาน จริงไหม?
.
ในตัวอย่างคลาสสิกนี้:
.
กระจกแตก = เบเกอรี่ต้องจ่าย $50 ให้ช่างกระจก
ช่างกระจกได้เงิน เอาไปซื้อของ ใช้จ่ายหมุนเวียน
คนมองบอกว่า "กระจกแตกเป็นเรื่องดี เพราะทำให้เกิดงาน เกิดการใช้จ่าย"
.
แต่ Hazlitt บอกว่า พวกเขาลืมดูอีกมุมที่สำคัญที่สุด:
.
ถ้าไม่ต้องซ่อมกระจก เจ้าของร้านจะเอา $50 ไปซื้อสูทใหม่ หรือขยายร้าน หรือเก็บออม
.
การซ่อมกระจกไม่ได้ "เพิ่ม" การผลิต แต่มันแค่ "เปลี่ยนทาง" การใช้ทรัพยากร
.
หรือพูดให้ชัดกว่านั้นคือ:
.
สิ่งที่สร้างขึ้น = กระจกใหม่
.
สิ่งที่หายไป = สูทใหม่ (ที่ไม่มีใครเห็น เพราะมันไม่เคยได้เกิดขึ้น)
.
เศรษฐศาสตร์ที่ดีต้องคิดให้ครบทั้งสองด้าน
.
สิ่งที่คุณไม่เห็น... ก็ยังมีผลทางเศรษฐกิจ
.
Hazlitt บอกว่า นี่คือหัวใจของความเข้าใจผิดในนโยบายเศรษฐกิจทั้งปวง — เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่ "เกิดขึ้นจริงตรงหน้า" และมองข้ามสิ่งที่ "ควรจะเกิดขึ้นแต่ไม่เคยเกิดขึ้นเพราะทรัพยากรถูกใช้ไปกับอย่างอื่น"
.
นี่คือ "cost" ที่ถูกลืม: โอกาสที่สูญเสียไปจากทางเลือกอื่น
.
ในกรณีนี้ เราเห็นช่างกระจกได้เงิน
.
แต่เราไม่เห็นช่างตัดเสื้อที่ไม่ได้งาน
.
.
9. Broken Window ในคราบใหม่ๆ ของโลกจริง
.
Hazlitt บอกว่า แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดแค่กระจกแตก แต่แฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง:
.
สงคราม: โรงงานผลิตอาวุธเฟื่องฟู คนมีงานทำ นักวิเคราะห์บอกเศรษฐกิจฟื้น
.
ภัยพิบัติ: บ้านน้ำท่วม ต้องสร้างใหม่ GDP ขึ้น ยอดซีเมนต์พุ่ง
.
โครงการรัฐ: ทุบถนนดี ๆ เพื่อเทปูนใหม่ เพราะ "งบต้องใช้ให้หมด"
.
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนมีประโยชน์ แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่า...
.
ทรัพยากรที่ใช้ไปกับการซ่อมของที่ไม่ควรพัง = โอกาสในการสร้างสิ่งใหม่อย่างแท้จริงที่หายไป
.
เศรษฐศาสตร์ไม่ได้วัดแค่จำนวนเงินที่เปลี่ยนมือ แต่วัดว่าเงินนั้นไปทำให้โลกนี้ดีขึ้นแค่ไหน
.
.
10. Public Spending & The Taxation Trap — กับดักของการใช้จ่ายและภาษีที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็น
.
“ถ้าโครงการรัฐดูดีเกินจริง... มันอาจดีแค่บนเวทีอภิปราย แต่แย่ในกระเป๋าประชาชน”
.
"สร้างงาน" หรือ "ขุดหลุมแล้วกลบหลุม"?
.
รัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงของเราเอง มักชอบพูดว่า “การลงทุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจซบเซา… ไม่ว่าจะเป็นทางด่วน สนามบิน รถไฟฟ้า หรือแม้แต่ลู่วิ่งในสวนสาธารณะกลางป่า
.
แต่ Hazlitt บอกไว้ชัดเจนว่า:
.
ทุกบาทที่รัฐบาลใช้ = ภาษีที่ต้องเก็บ = รายได้ที่ประชาชนไม่มีโอกาสใช้ด้วยตนเอง
.
ลองนึกภาพว่า ถ้าเราสร้างสะพาน 100 ล้านแล้วภูมิใจว่าสร้างงานได้ 500 คน… แต่ไม่เคยถามว่า:
.
ถ้าไม่เก็บภาษี 100 ล้านนั้น ประชาชนจะเอาไปทำอะไร?
.
งาน 500 ตำแหน่งนั้น มาจากการทำลายงานอีกกี่พันตำแหน่งในตลาดเสรี?
.
Hazlitt ชี้ชัดว่า:
.
“สำหรับทุกตำแหน่งงานที่รัฐสร้างขึ้นด้วยการใช้จ่าย... มีงานอีกจำนวนเท่ากันหรือมากกว่าถูกทำลายไปโดยที่คุณไม่เคยเห็น”
.
.
11. เงินของรัฐ ไม่เคยเป็น “เงินฟรี”
.
ทุกโครงการภาครัฐ มีคนต้องจ่ายเสมอ — ถ้าไม่ใช่วันนี้ ก็เป็นหนี้พรุ่งนี้ ถ้าไม่ใช่ตัวคุณ ก็เป็นรุ่นลูก
.
และอย่าหลงกลกับวาทกรรม “เรากู้จากตัวเราเอง” เพราะ...
.
คนเสียภาษีไม่ใช่คนเดียวกับคนได้โครงการ
.
ภาระดอกเบี้ยกู้ไม่เคยลดลงเพราะคำพูดหวาน
.
การใช้เงินเกินตัวทำให้เกิดการเบียดขับ (crowding out) และเงินเฟ้อ
.
Hazlitt พูดชัดว่า: การกู้เงินรัฐเพื่อสร้างงานอาจดูดีระยะสั้น แต่ในระยะยาวคือการ "ทิ้งระเบิดเศรษฐกิจ" ที่ตั้งเวลาระเบิดไว้ล่วงหน้า
.
.
12. โครงการรัฐที่ดี = จำเป็น ไม่ใช่แค่สวยงาม
.
Hazlitt ไม่ได้บอกว่ารัฐห้ามลงทุนเลย — แต่เขาบอกว่าควรลงทุนเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เช่น
.
ถนนที่เชื่อมต่อเมืองใหญ่ที่ตลาดเสรีไม่คุ้มจะทำ
.
ระบบยุติธรรม หรือโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ
.
แต่เมื่อใดก็ตามที่เป้าหมายคือ "สร้างงาน" แทนที่จะเป็น "ตอบโจทย์ของประเทศจริง ๆ" นั่นคือการเบี่ยงเบน
.
“การจ้างคนขุดหลุมแล้วจ้างอีกคนมากลบ ไม่ได้สร้างมูลค่า มันแค่ทำให้ GDP ดูดีในรายงาน”
.
แล้วเราควรดูอย่างไรว่าโครงการไหนควรเกิด?
.
Hazlitt เสนอกรอบคิดง่าย ๆ:
.
ถ้าไม่มีการบังคับเก็บภาษี ประชาชนจะอยากจ่ายไหม?
.
สิ่งนี้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระยะยาวหรือแค่ภาพลวงตาระยะสั้น?
.
มีวิธีอื่นที่เอกชนทำได้ไหม โดยไม่ต้องใช้เงินรัฐ?
.
เพราะเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่เศรษฐกิจที่ “หน่วยงานภาครัฐมีงานทำเต็มมือ”
.
แต่มันคือเศรษฐกิจที่ “คนธรรมดาไม่โดนเบียดบังจากภาษีที่หลบซ่อนอยู่ในทุกสิ่ง”
.
.
13. Machines, Employment & the Productivity Myth — เทคโนโลยีกับความเข้าใจผิดเรื่องงานหาย
.
“ถ้าคุณกลัวหุ่นยนต์แย่งงาน ให้ลองจินตนาการโลกที่ทุกอย่างยังทำมืออยู่... แล้วคุณจะอยากกอดเครื่องซักผ้ามากขึ้น”
.
มนุษย์กลัวสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้น
.
ในทุกยุคสมัย เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น มักมีเสียงโวยวายว่า “มันจะทำให้คนตกงาน”
.
สิ่งทออัตโนมัติทำให้ช่างทอผ้าเคยทุบเครื่องจักร (Luddite)
รถยนต์ทำให้คนเลี้ยงม้าหายไป
คอมพิวเตอร์ทำให้พนักงานพิมพ์ดีดตกงาน
.
แต่ Hazlitt ถามกลับว่า
.
“ถ้าเป้าหมายของเราคือการมีงานให้ทุกคน... ทำไมไม่ให้คนขุดคูน้ำด้วยช้อน?”
.
.
14. งานหาย ≠ มูลค่าหาย
.
Hazlitt อธิบายว่า แม้เครื่องจักรจะทำให้คนบางกลุ่มตกงาน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ ผลผลิต และ เวลาว่าง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะหมุนกลับไปสร้างงานใหม่
.
เช่น:
.
เครื่องจักรในโรงงานทำให้สินค้าเยอะขึ้น ราคาถูกลง
.
คนซื้อของได้มากขึ้น มีเงินเหลือไปจับจ่ายอย่างอื่น
.
ตลาดใหม่ งานใหม่จึงเกิดขึ้นจาก "ต้นทุนที่ลดลง"
.
“เทคโนโลยีไม่ได้ทำลายงาน มันเปลี่ยนรูปแบบของงานต่างหาก”
.
.
15. กับดักของคำว่า “รักษางานไว้”
.
การห้ามใช้เครื่องจักรเพื่อรักษางาน เทียบเท่ากับการห้ามใช้ลิฟต์เพราะอยากจ้างคนยกของขึ้นตึก 10 ชั้น
.
Hazlitt เตือนว่า:
.
“การจ้างคนทำงานที่เครื่องจักรทำได้ดีกว่า คือการกันไม่ให้ทรัพยากรถูกใช้ให้คุ้มค่าที่สุด”
.
เมื่อทรัพยากรถูกล็อกไว้กับงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ… สังคมโดยรวมก็โตช้าลง
.
และสุดท้าย คนเหล่านั้นก็ไม่พัฒนาไปทำสิ่งที่ “สร้างมูลค่ามากกว่า” ซึ่งคือเป้าหมายที่แท้จริงของเศรษฐกิจ
.
.
16. แล้วจะไม่เกิด “ตกงานถาวร” จริงหรือ?
.
Hazlitt ชี้ให้เห็นว่า แม้บางคนจะตกงานจากเทคโนโลยี แต่
.
ความต้องการมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด
.
คนจะหางานใหม่ที่ตอบโจทย์ใหม่ ๆ เสมอ (ถ้าไม่ถูกขัดขวางด้วยกฎรัฐ)
.
ยกตัวอย่าง:
.
ไม่มีใครในยุค 1920 คิดว่าจะมีอาชีพ “นักพัฒนาแอป” หรือ “อินฟลูเอนเซอร์”
.
แต่เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน คนก็ปรับตัวตาม และงานใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นจาก “พื้นที่ว่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
.
“ปัญหาคือการขาดความยืดหยุ่นและกฎเกณฑ์ที่รั้งคนไว้ ไม่ใช่เทคโนโลยี”
.
.
17. ถ้าอยากให้คนมีงานทำ: จงเพิ่มเครื่องจักร ไม่ใช่แบนมัน
.
เพราะเครื่องจักรคือ:
.
ตัวคูณของแรงงาน (Leverage)
.
ผู้สร้างต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งนำไปสู่กำลังซื้อที่มากขึ้น
.
ตัวผลักดันเศรษฐกิจจริง มากกว่ามาตรการ “สร้างงานหลอก ๆ” ของรัฐบาล
.
“การเลิกกลัวเทคโนโลยี คือจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจแห่งความมั่งคั่ง”
.
.
18. Spreading the Work — กับดักของการกระจายงานอย่างเท่าเทียม (แต่ไม่พัฒนา)
.
“การแบ่งงานให้ทุกคนเท่า ๆ กัน อาจฟังดูเป็นธรรม... จนคุณพบว่าสังคมนั้นไม่มีใครได้พัฒนาเต็มศักยภาพเลย”
.
ความเข้าใจผิดคือ แบ่งงาน = แบ่งรายได้ = สังคมยุติธรรม
.
ฟังดูดีใช่ไหมครับ? ถ้ามีงาน 1 ตำแหน่ง แล้วรัฐบอกว่า “เพื่อให้ทุกคนมีงานทำ เราจะแบ่งตำแหน่งนี้เป็น 2 คนทำครึ่ง ๆ”
.
Hazlitt บอกว่า...
.
นั่นไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ แต่มันคือการ “ทำให้สังคมมีความทุกข์แบบเสมอภาค”
.
เพราะเศรษฐศาสตร์ไม่เคยมองแค่ว่า “ใครได้งานทำ” แต่มองว่า “งานนั้นสร้างมูลค่าเท่าไหร่” และ “เรากำลังใช้ทรัพยากร (คน เวลา เงิน) อย่างคุ้มค่าหรือไม่”
.
.
19. ตัวอย่างที่ชัดที่สุด: ชั่วโมงทำงานสั้นลงโดยบังคับ
.
หลายรัฐบาลออกกฎหมายลดชั่วโมงทำงาน เช่น ห้ามทำเกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อให้มีคนทำงานมากขึ้น
.
Hazlitt ชี้ว่า การทำแบบนี้คือการ:
.
บีบให้ธุรกิจต้องจ้างคนมากขึ้น โดยไม่สนใจต้นทุน
.
ทำให้ค่าแรงต่อคนลดลง หรือสินค้าต้องขึ้นราคา
.
ลดประสิทธิภาพการผลิต โดยรวมทั้งระบบเศรษฐกิจ
.
“ชั่วโมงที่ถูกลดลง ไม่ได้สร้างมูลค่าใหม่... มันแค่กระจายเวลาทำงานให้ดูเท่าเทียม แต่ไม่ได้ช่วยให้สังคมรวยขึ้น”
.
.
20. ถ้าอยากให้คนมีงานทำ — จงปลดล็อกคุณค่า ไม่ใช่แบ่งเท่า
.
แนวทางที่ Hazlitt เสนอคือ:
.
ให้แรงงานเคลื่อนย้ายง่าย ไม่ติดขัด
.
ให้ธุรกิจเติบโตได้ โดยไม่ถูกบีบจากกฎไร้เหตุผล
.
ให้แรงงานแข่งขันกันด้วยฝีมือ ไม่ใช่ถูกจัดสรรงานแบบเสมอภาคปลอมๆ
.
Hazlitt บอกว่า:
.
“งานที่แท้จริง คือสิ่งที่มีคุณค่าในตัวมันเอง — ไม่ใช่สิ่งที่รัฐแบ่งมาให้คุณ เพื่อกันคุณตกงานเฉย ๆ”
.
.
21. Minimum Wage, Labor & the Profit Mechanism — ค่าแรงขั้นต่ำ กับความเข้าใจผิดเรื่องความเป็นธรรม
.
“การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ทำให้คนจนรวยขึ้น... มันอาจทำให้พวกเขาว่างงานเร็วขึ้นต่างหาก”
.
ทำไมค่าแรงขั้นต่ำฟังดูดี (แต่ไม่ได้ช่วยเสมอไป)
.
นักการเมืองหลายคนหาเสียงด้วยนโยบาย “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” เพราะมันเป็นการส่งสัญญาณว่า “เราอยู่ข้างคนทำงาน”
.
แต่ Hazlitt บอกว่า เราต้องถามคำถามที่ไม่มีใครกล้าถามว่า:
แล้วคนที่นายจ้างไม่สามารถจ้างได้ในราคานั้นล่ะ?... เขาจะไปอยู่ที่ไหน?
.
ถ้าค่าจ้างสูงเกินกว่าที่นายจ้างคิดว่าคุ้มในการจ้าง คนกลุ่มแรกที่จะถูกตัดออก คือ:
.
เด็กจบใหม่
คนไม่มีทักษะ
คนพิการ หรือมีข้อจำกัดบางอย่าง
.
เพราะการจ้างคนหนึ่งคน ไม่ได้จ่ายแค่เงินเดือน แต่คือนายจ้างต้องเชื่อว่า “คนนี้จะสร้างรายได้ให้มากกว่าค่าจ้าง”
.
.
22. ค่าจ้างควรถูกกำหนดโดยอะไร?
.
Hazlitt ย้ำว่า ค่าจ้างที่แท้จริงควรมาจาก “ผลผลิตของแรงงาน” (productivity) ไม่ใช่จากกฎหมาย
.
ถ้าคุณผลิตได้มาก นายจ้างก็พร้อมจ่ายมาก — ไม่ต้องรอรัฐมาบังคับ
.
การบังคับค่าแรงขั้นต่ำที่สูงเกินจริง จะทำให้ธุรกิจ:
ลดการจ้างงาน
เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักร
เพิ่มราคาสินค้า (ซึ่งสุดท้ายคนจนก็ต้องจ่ายแพงขึ้นอยู่ดี)
.
ผลลัพธ์คือ: คนที่รัฐตั้งใจจะช่วย กลับกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
.
.
23. ความเข้าใจผิด: คนจนจะมีเงินใช้มากขึ้น
.
ในระยะสั้น คนที่ยังมีงานอยู่ อาจได้เงินเดือนสูงขึ้น
.
แต่ในระยะกลางถึงยาว จะเกิดสิ่งเหล่านี้:
.
นายจ้างคัดคนเข้มขึ้น (จบ ป.ตรี ยังตกงาน เพราะแพงเกิน)
.
คนไร้ประสบการณ์ไม่มีที่ฝึกฝีมือ
.
การจ้างงานแบบไม่เป็นทางการ (ผิดกฎหมาย) เพิ่มขึ้น
.
“การบังคับให้คนจ่ายเงินมากขึ้น ไม่ได้สร้างความยุติธรรม ถ้ามันทำลายโอกาสของคนจำนวนมากไปด้วย”
.
.
24. กลไกกำไร คือเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู
.
Hazlitt ยังพูดถึง “กำไร” ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย
.
แต่กำไรคือสิ่งที่:
.
ชี้ว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีคุณค่า
เป็นรางวัลจากการบริหารที่ดี
เป็นแหล่งทุนสำหรับจ้างงาน ขยายกิจการ และนวัตกรรม
.
“หากคุณห้ามกำไร… คุณกำลังห้ามความก้าวหน้า”
.
Hazlitt ย้ำว่า การเข้าใจกลไกกำไร จะช่วยให้เราไม่ตกหลุมพรางนโยบาย “แจกแต่ไม่สร้าง”
.
.
25. The Lesson Restated — เห็นทั้งภาพสั้น ภาพยาว และคนที่ไม่มีใครพูดถึง
.
“บทเรียนเดียวของเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่แค่เครื่องมือวิเคราะห์ แต่คือเกราะป้องกันคุณจากการโดนหลอกอย่างถูกกฎหมาย”
.
25.1 มองให้ครบ: ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และทุกคนในระบบ
.
Hazlitt ย้ำอีกครั้งว่า:
.
“นักเศรษฐศาสตร์ที่ดี ไม่ได้มองแค่ว่าผลลัพธ์คืออะไร แต่ต้องมองว่าใครได้ประโยชน์ ใครเสีย และผลระยะยาวจะเป็นอย่างไร”
.
ความผิดพลาดส่วนใหญ่ในนโยบายเศรษฐกิจมาจากการ:
.
มองแค่ “ตัวเลขทันที” เช่น GDP, การจ้างงาน, เงินเฟ้อในไตรมาสเดียว
.
มองแค่ “กลุ่มที่ได้รับประโยชน์” โดยไม่สนว่ามาจากการเบียดบังใคร
.
มองแค่ “ระยะสั้น” แบบเลือกหยิบช่วงที่ดูดี มาขายภาพลวงตา
.
เศรษฐศาสตร์จึงไม่ใช่ศาสตร์ของการ “ทำให้ทุกอย่างดูดีบนกระดาษ” แต่คือศาสตร์ของการ “กล้าเปิดดูความจริงที่ไม่สวย”
.
.
25.2 มองสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น
.
Hazlitt ให้เราคิดถึง “สิ่งที่ไม่ได้เกิด” เสมอ เพราะนั่นคือสิ่งที่ไม่มีใครหยิบยกมาโต้วาที
.
“คุณจะไม่มีวันเห็นโรงเรียนที่ไม่ได้ถูกสร้าง เพราะเงินไปลงกับสนามกีฬา 3 พันล้าน”
.
“คุณจะไม่มีวันเห็นธุรกิจที่ไม่เคยเกิด เพราะดอกเบี้ยถูกบิดเบือนจนเงินทุนไหลไปผิดทิศ”
.
การฝึกคิดในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น (counterfactual) คือการฝึกความคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง ซึ่งแตกต่างจากนักบัญชีหรือนักประชาสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง
.
.
25.3 ความตั้งใจดี ไม่เพียงพอ
.
Hazlitt เตือนว่า:
“เศรษฐกิจไม่สนใจว่าใครตั้งใจดีหรือไม่ มันตอบสนองต่อแรงจูงใจ ความคุ้มทุน และความจริง”
.
นโยบายหลายอย่างมีฉลากดี เช่น “ช่วยคนจน”, “กระตุ้นเศรษฐกิจ”, “สร้างอนาคตให้ลูกหลาน”
.
แต่ถ้าโครงสร้างผิด มันจะสร้างหายนะระยะยาวแม้จะมีแพ็กเกจที่ดูเป็นมนุษยธรรม
.
การสร้างระบบที่ดี คือการวางแรงจูงใจให้ถูก ไม่ใช่แค่เพิ่มเงินและหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
.
.
================================
.
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะ Hazlitt ขวางโลก... แต่เพราะเขาขวาง “ความมั่วที่เหมือนมีเจตนาดี” ที่ทำให้คนธรรมดาจ่ายในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้ว่าเคยมี
.
เศรษฐศาสตร์ที่ดีไม่ใช่เรื่องของตัวเลขเยอะๆ แต่คือการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม
.
1. Opportunity Cost (ต้นทุนค่าเสียโอกาส)
ทุกการใช้ทรัพยากรอย่างหนึ่ง = การสละทางเลือกอื่นเสมอ
Hazlitt เตือนว่า: อย่าคิดแค่ว่า “เราได้อะไร” แต่ให้ถามด้วยว่า “เราเสียอะไรที่ไม่เห็น?”
.
2. Seen vs. Unseen Effects (สิ่งที่เห็น กับสิ่งที่ไม่เคยเห็น)
เศรษฐศาสตร์ที่ดีไม่ใช่แค่มอง “ผลตรงหน้า” แต่ต้องมอง “ผลที่หายไปจากระบบโดยไม่มีใครพูดถึง”
ตัวอย่าง: เราเห็นงานก่อสร้าง แต่ไม่เห็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่ไม่เคยเกิดเพราะเงินทุนถูกเบนไป
.
3. Incentives Matter (แรงจูงใจสำคัญกว่าคำพูด)
ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจ ไม่ใช่เจตนาดี
Hazlitt ชี้ว่า: ถ้าแรงจูงใจถูกบิดเบือน เช่น ให้รางวัลกับความสูญเสีย ระบบจะเดินผิดทิศเสมอ
.
4. Fallacy of Composition (ภาพลวงตาจากส่วนย่อย)
สิ่งที่ดีต่อบางคน ≠ ดีต่อทั้งระบบเศรษฐกิจ
เช่น: การจ้างงานเฉพาะจุดอาจทำลายงานในอีกภาคส่วนที่ไม่มีใครเห็น
.
และถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้... ยินดีด้วยครับ คุณกำลังดูโลกด้วยเลนส์ใหม่ — ที่ช่วยกันไม่ให้คุณเผลอพยักหน้าให้แผนที่ดูดี แต่แอบควักตังจากกระเป๋าคุณโดยที่คุณยังยิ้มอยู่
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Next
Next

The Anxious Generation เขียนโดย Jonathan Haidt