The 18 Laws of Human Nature เขียนโดย Robert Greene

ถ้าเราย้อนกลับไปมองเงาของตัวเองในกระจกที่ไม่มีฝ้า เราจะเห็นสิ่งที่ Robert Greene พยายามชี้อยู่ตลอดเล่มนี้ คนเราเข้าใจทุกอย่างยกเว้น "ธรรมชาติของตัวเอง" เรามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าราชาในยุคโบราณ แต่ยังทะเลาะกันเพราะอีโก้เล็กๆเท่าหัวไม้ขีด
.
นี่คือ "คัมภีร์แห่งการส่องคนแบบไม่ให้เขารู้ตัว และไม่ให้คุณหลอกตัวเอง" — สารานุกรมแห่งความเป็นมนุษย์
.
ผ่านกฎแห่งธรรมชาติทั้ง 18 ข้อนี้
.
===================
.
Law 1: The Law of Irrationality — ➤ กฎแห่งความไร้เหตุผล
.
“Your emotions cloud your judgment. They make you react instead of reflect.” — Robert Greene
.
Greene บอกว่าเราไม่ต่างจากสัตว์อื่นในแง่ความรู้สึกดิบ เช่น กลัว โกรธ โลภ อิจฉา
สิ่งที่ต่างคือ เรารู้จักหาคำอธิบายให้ความรู้สึกเหล่านี้ฟังดูมีเหตุผล
(แม้มันจะไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงก็ตาม)
.
ตัวอย่าง: เราอาจ “ไม่ชอบ” ใครสักคนตั้งแต่แรกเห็น แล้วใช้เหตุผลสารพัดว่าทำไมเขาถึง “แย่”
.
นี่ไม่ใช่ความผิดปกติ... แต่มันคือ “ค่าเริ่มต้น” (default setting) ของสมองมนุษย์ทุกคน
.
ตัวอย่างที่ปรากฏในหนังสือ:
.
1. The Inflammer
.
คนบางคนรู้วิธี “กระตุ้นอารมณ์” คนอื่นได้อย่างแม่นยำ
พวกเขาจะใช้คำพูด คำวิจารณ์ หรือแม้แต่ความเงียบ เพื่อปลุก “ปีศาจแห่งอดีต” ขึ้นมาในตัวคุณ
Greene ย้ำว่า ถ้าคุณตอบสนองโดยไม่รู้ตัว “เขาไม่ได้ชนะเพราะฉลาดกว่า แต่เพราะคุณปล่อยให้ความรู้สึกชนะตัวเอง”
.
2. Group Emotions
.
อารมณ์หมู่คือยานล่องอวกาศแห่งความไร้เหตุผล
Greene เตือนว่าเวลาอยู่ในกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มี “อารมณ์ร่วมสูง” เช่น ม็อบ หรือแม้แต่ฟีดโซเชียล —
คนจะยอมเชื่อสิ่งที่ไร้เหตุผลที่สุด ถ้ามัน “ตรงกับความรู้สึกของฝูง”
.
3. The Childhood Trigger
.
หลายครั้งที่คุณโกรธเสียใจเกินเหตุ ไม่ได้มาจากเหตุการณ์ตรงหน้า
แต่มาจาก “แผลเก่า” ที่ยังไม่สมาน
เช่น คนที่ชอบโดนตำหนิตอนเด็ก จะโกรธเกินเหตุเวลามีใครตำหนิแม้เบา ๆ
อารมณ์ในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องวันนี้… แต่เป็นเสียงสะท้อนจากอดีต
.
เขาเสนอ 3 ขั้นตอนในการจัดการความไร้เหตุผล
.
1. สังเกตอคติ: เช่น confirmation bias (หาหลักฐานมายืนยันสิ่งที่เชื่ออยู่แล้ว), blame bias (โทษคนอื่นทันทีที่พลาด), และ superiority bias (คิดว่าเรามีเหตุผลมากกว่าคนอื่นเสมอ)
.
2. หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น: เช่น คนที่ชอบทำให้เราเดือด (Greene เรียกว่า inflammer), กลุ่มที่เร้าอารมณ์เราแบบไม่รู้ตัว, หรือสถานการณ์ที่กระตุ้นแผลวัยเด็ก
.
3. ฝึกช้าลงเพื่อคิดให้ทัน: ฝึกเว้นจังหวะก่อนตอบสนอง, มองย้อนว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน, และเรียนรู้ว่าการเข้าใจอารมณ์ไม่ใช่เพื่อปฏิเสธมัน แต่เพื่ออยู่เหนือมันอย่างสงบ
.
Greene ไม่ได้สอนให้เป็นหุ่นยนต์ไร้อารมณ์ แต่สอนให้เราไม่กลายเป็นตัวประกอบในชีวิตของตัวเองที่โดนจังหวะอารมณ์ลากไปมาทั้งเรื่อง
.
.
===================
.
Law 2: The Law of Narcissism — ➤ กฎแห่งความหลงตัวเอง
.
“We are all narcissists, some more than others. But only those who learn to turn the gaze outward—away from themselves—gain the power of true connection.”
— Robert Greene
.
Greene เริ่มกฎข้อนี้ด้วยการประกาศตรง ๆ ว่า:
.
“ไม่มีใครไม่ใช่นาร์ซิซซิสต์” มีแต่ “คนที่รู้ตัวกับคนที่ไม่รู้ตัว”
.
และที่น่ากลัวคือ — คนที่คิดว่าตัวเอง “ไม่หลงตัวเอง” มักจะมีอาการหนักกว่าคนที่ยอมรับมัน
.
มนุษย์เกิดมาพร้อม “ความต้องการเป็นที่มองเห็น”
.
ในวัยเด็ก เรารอดชีวิตจากการร้องขอความสนใจ
.
ในวัยผู้ใหญ่ พฤติกรรมนั้นเปลี่ยนรูปเป็น
-ความอยากให้คนยอมรับ
-ความอยากเหนือกว่า
-และความต้องการให้ “ใครบางคนยืนยันว่าเราไม่ธรรมดา”
.
Deep Narcissist: คนที่ไม่มีศูนย์กลางภายในตัวเอง จึงหิวการยอมรับจากภายนอกอย่างไม่รู้จบ
.
Functional Narcissist: คนที่มีความมั่นใจ ใช้ self-love เป็นพลังผลักดันชีวิต
.
Healthy Narcissist: คือคนที่รักตัวเองแบบรู้เท่าทัน ไม่หลง ไม่แกล้งต่ำต้อย และเปิดใจต่อผู้อื่น
.
ส่วนที่น่าสะพรึงที่สุดคือ Deep Narcissist
.
คนกลุ่มนี้ไม่ได้ “แค่หลงตัวเอง” — พวกเขา “ไม่มีตัวตนจริง” ให้ยึดเหนี่ยว
จึงต้องขโมยสายตา คำชม และการยอมรับจากคนรอบตัวตลอดเวลา
.
ลักษณะของ Deep Narcissist ตาม Greene:
.
- มองทุกการสนทนาเป็นเวทีอวดตัวเอง
.
- โกรธเกินเหตุเมื่อถูกวิจารณ์ แม้เพียงเล็กน้อย
.
- สร้างภาพของ “ตัวเองในอุดมคติ” แล้วหมกมุ่นกับการบำรุงภาพนั้น
.
- ถ้าไม่ได้เป็นศูนย์กลางของห้อง จะรู้สึกเหมือนตัวเอง “ไม่มีอยู่จริง”
.
สิ่งที่อันตรายคือ: พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณ
แต่เพราะเขาหลอกตัวเองจนเก่งมาก และเชื่อจริงว่าภาพนั้นคือตัวเอง
.
Greene ยกตัวอย่างบุคคลที่ดู “เปล่งประกาย” ในที่สาธารณะ
แต่ใช้ชีวิตเบื้องหลังอย่างโดดเดี่ยว วิตก และควบคุมไม่ได้ — เพราะความรักที่เขาได้รับคือ “รักในหน้ากาก” ไม่ใช่รักที่แท้จริง
.
วิธีแปลง "ความหลงตัวเอง" เป็นพลังแห่ง Empathy:
.
Empathic Attitude: หยุดตัดสินคนอื่นเร็วเกินไป ลองถามว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น
.
Visceral Empathy: ฟังเสียงที่ไม่ได้พูด ดูอารมณ์ผ่านร่างกาย
.
Analytic Empathy: เข้าใจพื้นเพ ความเชื่อ และบาดแผลของเขา
.
Empathic Skill: ฟังและสังเกตให้ลึก เพื่อเข้าใจเขามากขึ้นทุกครั้งที่พบ ไม่ใช่เดานิสัยจากโพสต์เดียวในเฟซบุ๊ก
.
.
===================
.
Law 3: The Law of Role-Playing — ➤ กฎแห่งหน้ากากและการแสดงบทบาท
.
“We all wear masks, and in social situations, we play roles to conform. But the more skillful among us can see beyond the mask to the actor underneath.” — Robert Greene
.
ในทุกสังคม ทุกวัฒนธรรม มนุษย์ต้อง “เล่นบท” บางอย่างเพื่อเอาตัวรอดและให้คนรอบข้างยอมรับ
.
ผู้ใหญ่เรียนรู้บท “พนักงานมืออาชีพ” เพื่อความก้าวหน้า และบางคนเรียนรู้บท “คนใจกว้าง” เพื่อซ่อนแรงจูงใจส่วนตัว
.
แต่ยิ่งแสดงเก่ง เราก็ยิ่งลืมไปว่า นี่ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ Greene เรียกสิ่งนี้ว่า “การหลอมรวมตัวตนกับบทบาท” (Role-identity fusion)
.
แต่ไม่มีใครแสดงได้เนียนจนไม่หลุดเลย — แค่เราต้องหัดสังเกต "รอยรั่ว" ให้เป็น
.
บางคนไม่ได้ใส่หน้ากากเพราะกลัว แต่ใส่เพราะมันให้พลัง หน้ากากกลายเป็นกลยุทธ์ในการครอบงำ โดยเฉพาะคนที่ “รู้ว่าคนทั่วไปมักเชื่อสิ่งที่เขาเห็น”
.
พวกนี้มักมีคุณสมบัติ 3 อย่าง:
.
1. พวกที่ดูอบอุ่นเกินจริง
ยิ้มง่าย รับฟังเก่ง ทำให้คุณวางใจไว
แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนที่ ต้องการควบคุมภาพลักษณ์ตัวเองแบบ 100%
และพร้อมถอนตัวทันทีถ้าคุณเริ่ม “เห็นทะลุ”
.
2. พวกที่เล่นบทเหยื่ออย่างแนบเนียน
พูดถ่อมตัว แต่ข้างในเต็มไปด้วยการหวังผล
ใช้อารมณ์ความเห็นใจของคุณเป็นช่องทางในการได้สิ่งที่ต้องการ
Greene เรียกคนกลุ่มนี้ว่า “Victim Manipulators”
.
3. พวกที่สร้างภาพ ‘คนดีสุดโต่ง’ เพื่อหลบมุมมืดของตัวเอง
เขาจะอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
แต่เมื่อคุณขัดแย้งกับเขา — เขาจะกลับด้านทันที และกลายเป็นคนละคน
นี่คือกลไกทางจิตของ “Shadow Repression” ที่อันตรายกว่าที่คิด
.
กลยุทธ์มองทะลุหน้ากากแบบ Greene โดยวิธีสังเกตความไม่ตรงกัน
.
1. Micro-expressions
ใบหน้าที่เปลี่ยนเล็กน้อยในเสี้ยววินาที — ริมฝีปากตึง, คิ้วขมวด, หรือรอยยิ้มที่ไม่ส่งถึงดวงตา
สิ่งเหล่านี้หลุดออกมาแม้ในขณะที่เขาควบคุมคำพูดได้ดี
.
2. Contradiction Between Words and Body
Greene บอกว่าให้เชื่อภาษากายก่อนคำพูดเสมอ
คนพูดว่า “ผมสบายดีครับ” ขณะกำมือแน่นหรือยืนเอียงหนีคุณ — ไม่สบายแน่
.
3. Contextual Incongruence
คนที่พูดว่าตัวเอง “รักความยุติธรรม” แต่หัวเราะเยาะคนอ่อนแอในสถานการณ์อื่น — บอกมากกว่าพันคำพูด
.
4. Overacting the Part
คนที่แสดงบท “เจ้านายใจดี” หรือ “คนดี” แบบ "เกินพอดี"
อาจซ่อนแรงจูงใจลึกกว่าเพียงการเอาใจคุณ — เขาอาจกำลังทำให้คุณ “วางอาวุธ” เพื่อบางอย่างในภายหลัง
.
.
===================
.
Law 4: The Law of Compulsive Behavior — ➤ กฎแห่งพฤติกรรมซ้ำซาก
.
“People don’t change as much as they think. They are driven by forces they do not understand and cannot control.” — Robert Greene
.
คนเราทำอะไรซ้ำ ๆ ไม่ใช่เพราะบังเอิญ แต่เพราะลึก ๆ แล้วเราไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูก "แพตเทิร์นที่ฝังมาแต่เด็ก" ควบคุมอยู่
.
Greene เรียกสิ่งนี้ว่า "แรงขับ compulsive" — นิสัยบางอย่างที่ฝังลึกจนแม้แต่เราก็ไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังทำซ้ำวนอยู่แบบเดิมไม่หยุด
.
คนที่หนีปัญหา มักหนีเหมือนเดิม คนที่ดราม่า มักดราม่าแบบเดิม คนที่ล้มเหลว มักล้มที่เดิม — แต่มองไม่เห็น เพราะทุกครั้งเรามี "ข้ออ้างใหม่"
.
จุดสังเกตพฤติกรรมซ้ำซาก (ทั้งของตัวเองและคนอื่น)
.
Greene แนะนำให้ไม่หลงกับ “เสน่ห์” หรือ “คำพูด” ให้ดูสิ่งเหล่านี้แทน:

1. เวลาถูกกดดัน เขาตอบสนองแบบไหน?
– ถ้าคุณเห็นคนยิ้มเก่ง แต่พอถูกกดดันแล้วหายตัวไป หรือลงไม้ลงมือกับคนอ่อนแอกว่า นั่นคือตัวจริง
.
2. เมื่อมีอำนาจ เขาใช้อำนาจอย่างไร?
– คนบางคนจะเปลี่ยนทันทีที่มีอำนาจ
เพราะแรงขับในใจเขารอเวลานี้มานานแล้ว — เพื่อชดเชยอดีตที่เขารู้สึกไร้ค่า
.
3. เขามีวินัยกับสิ่งที่ไม่ชอบแค่ไหน?
– ความมีวินัยในช่วงที่เบื่อ คือสิ่งที่แยก “คนที่โตจริง” ออกจาก “คนที่พูดเก่ง”
.
4. เขาพูดถึงอดีตซ้ำ ๆ แบบไหน?
– คนที่เล่าอดีตแบบ “ฉันโดนทำร้าย” เสมอ คือคนที่ยังไม่หลุดจากลูปนั้น
และอาจจะพาคุณเข้าสู่ลูปใหม่แบบเดิมโดยไม่รู้ตัว
.
"ตัวตนที่แท้จริงของคน ไม่ได้เปิดเผยเวลาเขาได้รางวัล แต่มันเปิดเผยตอนเขาเจอแรงต้าน"
.
“Compulsive Behavior” เกิดจากประสบการณ์ในวัยเด็ก ช่วงชีวิตที่คุณยัง “ไม่มีพลัง” จะทิ้งแผลไว้ และเมื่อโตขึ้น สมองจะสร้าง “กลไกเอาตัวรอด” เพื่อไม่ให้เจ็บซ้ำอีก
แต่… กลไกนั้นมักกลายเป็นกับดัก
.
เช่น
.
เด็กที่ต้องทำให้พ่อแม่พอใจเพื่อความรัก → โตขึ้นกลายเป็นคน Perfectionist ที่ Burnout
เด็กที่ถูกเพิกเฉย → โตขึ้นกลายเป็นคนเรียกร้องความสนใจแบบรุนแรง
เด็กที่เคยพลาดแล้วโดนลงโทษแรง → โตขึ้นกลายเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจเลย
.
นั่นคือ “พฤติกรรมซ้ำซากที่มีที่มา”
.
.
===================
.
Law 5: The Law of Covetousness — ➤ กฎแห่งความอยากได้สิ่งที่คนอื่นมี
.
“Desire often does not arise naturally. It is manufactured—through contrast, distance, and suggestion.” — Robert Greene
.
ไม่มีอะไรขายดีเท่าของที่ "มีคนอื่นอยากได้"
และไม่มีอะไรเร้าใจเท่าของที่ "ยังไม่ได้เป็นของเรา"
.
Greene บอกว่า มนุษย์ถูกโปรแกรมให้ไล่ล่า มากกว่าชื่นชมสิ่งที่มีอยู่แล้ว เราเลยตกหลุมพรางของแรงปรารถนาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
.
Greene เปรียบเทียบแรงอยากว่าเหมือน “โรคติดภาพอนาคต”
คุณไม่ได้เสพของจริง
คุณเสพ “ภาพในหัวว่าถ้าได้สิ่งนั้นมา ฉันจะรู้สึกยังไง”
และภาพนั้น… มันมักจะดีกว่าความจริงเสมอ
.
Greene เสนอวิธีใช้กฎนี้แบบคนที่ “รู้ทันเกม” (และรู้ทันคนอื่นที่ใช้เกมนี้)
.
1. หายตัวอย่างมีชั้นเชิง (Strategic Absence)
-ถ้าอยากให้คนอยากได้คุณ ต้องให้เขารู้สึกว่าคุณ “ไม่ได้อยู่ตลอด”
-คนที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา จะกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ในใจเขา
.
2. สร้างภาพว่า “คุณเป็นที่ต้องการ” (Desire by Proxy)
-Greene บอกว่า คนจะรู้สึกอยากได้ “สิ่งที่คนอื่นอยากได้”
-การสร้างบริบท เช่น มีคนพูดถึงคุณ, มีภาพที่บอกว่าคุณเป็น “ทรัพยากรหายาก” คือการตลาดชั้นสูง
.
3. ขายอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน (The Lure of Fantasy)
-คนไม่ได้ซื้อความจริง — เขาซื้อ “จินตนาการ”
-ถ้าคุณขายแค่ข้อเท็จจริง คุณจะได้ใจคนแบบใช้เหตุผล
-แต่ถ้าคุณขาย “ภาพความรู้สึกหลังจากได้มันไป” คุณจะได้หัวใจเขาทั้งดวง
.
คนที่เข้าใจกฎนี้ดีที่สุด… มักใช้มันควบคุมคนอื่น
.
Greene เตือนว่า คนบางคนไม่ได้อยาก “ได้คุณ” จริง ๆ
.
เขาแค่อยาก “รู้สึกว่าคุณยังอยากได้เขา”
และเขาจะปล่อยความสนใจแบบหยด ๆ ให้คุณรู้สึก “ใกล้จะได้” ตลอดเวลา
.
สิ่งที่ทำให้แรงอยากทรงพลังที่สุด ไม่ใช่การได้มา
แต่คือ “เกือบได้” แล้วหายไป
.
.
===================
.
Law 6: The Law of Shortsightedness — ➤ กฎแห่งการมองแค่ระยะสั้น
.
“The problem is not that people are shortsighted. The problem is they don’t know they are.”
— Robert Greene
.
มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ตัดสินใจผิดเพราะโง่
แต่เพราะ “คิดสั้นแล้วมั่นใจมาก” — โดยไม่รู้ว่ากำลังมองเห็นแค่สิ่งตรงหน้า
.
Greene เรียกสิ่งนี้ว่า “The Emotional Present Bias”
.
คืออคติที่เกิดจากการยึดติดกับอารมณ์ของ “ตอนนี้” โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน เมื่ออารมณ์ขึ้นสูง — สมองจะบีบระยะการมองให้แคบลง
.
เช่น:
.
โกรธ = เห็นแค่ความผิด ไม่เห็นภาพรวม
.
กลัว = เห็นแค่ทางหนี ไม่เห็นโอกาส
.
โลภ = เห็นแค่ผลตอบแทน ไม่เห็นความเสี่ยง
.
เขายังเตือนเรื่องกับดักของยุคนี้ เช่น:
.
-การเสพข่าวแบบนาทีต่อนาที ทำให้เรากลัวผิดจังหวะ
-การถกเถียงเพื่อชนะ ทำให้เราหลงลืมเป้าหมายระยะยาว
-การพยายามอัปเดตทุกอย่าง ทำให้เราลืมคิดว่าสิ่งไหนสำคัญ
.
Greene ชี้ว่า ภัยของการมองแค่ระยะสั้น ไม่ใช่หายนะทันที
แต่มันคือ การสะสมทางเลือกแย่ๆ ทีละนิด จนกลายเป็นทางตัน
.
“A series of expedient decisions today is the cause of collapse tomorrow.”
.
วิธี “ยืดระยะสายตา” แบบที่ Greene เสนอ
.
1. ฝึก “ถอยออกมา” ก่อนตัดสินใจสำคัญ
– อะไรก็ตามที่คุณอยากรีบทำ รีบพูด รีบสรุป — ถอยก่อน 1 จังหวะ
– เพราะอารมณ์จะบังคับให้คุณ “แสดง” แทนที่จะ “วางหมาก”
.
2. ถามคำถามข้ามเวลา
– อีก 3 เดือน เรื่องนี้ยังสำคัญอยู่ไหม?
– อีก 3 ปี ฉันยังอยากเป็นคนแบบที่กำลังจะทำไหม?
.
3. เช็กว่า “ใครกำลังเร้าอารมณ์เราอยู่”
– คนที่พูดแบบเร่งรีบ บีบตัดสินใจ หรือลากคุณเข้าสู่ดราม่า
– มักทำให้สายตาคุณสั้นลง…เพื่อให้คุณ “ไม่เห็นเกมของเขา”
.
4. สร้างระบบคิดแบบผลกระทบซ้อน (Second-order Thinking)
– ไม่ใช่แค่ “ถ้าทำ A จะเกิด B”
– แต่ต้องคิดถึง “แล้วหลังจาก B จะเกิดอะไรต่อ?”
– คนที่แพ้ระยะยาวคือคนที่คิดถึงแค่ผลกระทบรอบแรก
.
นักวางแผนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มองแค่ "สิ่งที่จะเกิด" แต่คิดเผื่อ "ผลที่ตามมาเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว"
.
.
===================
.
Law 7: The Law of Defensiveness — ➤ กฎแห่งความระแวงป้องกันตัว
.
“The moment people sense that you are trying to persuade them, their minds will tighten up. They become suspicious.” — Robert Greene
.
Greene ชี้ว่า เราทุกคนมี ระบบป้องกันตัวเองทางความคิด (Psychological Defenses)
ที่ถูกติดตั้งมาตั้งแต่ยุคที่ความคิด = ความอยู่รอด
.
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ การมีความคิดต่าง = ถูกขับออกจากกลุ่ม
ดังนั้นสมองจึงวิวัฒน์ให้ ต่อต้านทุกสิ่งที่อาจทำให้เรา “ดูโง่ ดูผิด หรือดูด้อยกว่า”
.
นั่นแปลว่า… ต่อให้คุณพูดถูก ถ้าท่าทีคุณดูเหมือน “คนเหนือกว่า” หรือ “คนเปลี่ยนเขา” — เขาจะ “ต้าน” โดยสัญชาตญาณทันที
.
มนุษย์มี “ระบบตอบสนองต่อความรู้สึกว่ากำลังโดนสั่งหรือชี้นำ” ดังนี้:
.
1. Reverse Stubbornness
– ยิ่งถูกโน้มน้าว ยิ่งอยากค้าน
– แม้เห็นด้วยบางส่วน แต่จะ “ขัด” ไว้ก่อน เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของการตัดสินใจเอง
.
2. Cognitive Tightening
– พอรู้สึกว่าคุณกำลัง “เล็งเป้าเปลี่ยนเขา” สมองจะหดลงเหมือนกล้ามเนื้อ
– ปิดรับข้อมูลใหม่ทุกทาง และใช้พลังงานกับการ “ป้องกันตัว” มากกว่าฟังจริง
.
3. Status Protection Reflex
– คนจะต้านสิ่งที่ดูเหมือน “ทำให้เขาด้อยกว่า”
– เช่น การพูดด้วยน้ำเสียงอธิบาย, การยกตัวอย่างว่าคุณทำได้ เขาน่าจะทำได้
.
Greene ย้ำว่า:
.
“Don’t challenge people’s intelligence, autonomy, or identity — or you will awaken their worst defenses.”
.
กับดักที่ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนที่ “โน้มน้าวใครไม่เคยสำเร็จ”
- คิดว่าการพูดเยอะ = โน้มน้าวได้มาก
- ชมผิดจังหวะ = ปลุกความระแวง
- ใช้เหตุผลล้วน โดยไม่ประเมินอารมณ์
.
และ Greene บอกว่า คนเราจะเปิดใจได้ ก็ต่อเมื่อเขารู้สึกว่า "เป็นผู้เลือกเอง" ไม่ใช่ถูกโน้มน้าว
นั่นทำให้การโน้มน้าวที่ดี ต้องไม่ดูเหมือนการโน้มน้าวเลย
.
สูตรลับของการโน้มน้าวแบบไร้ร่องรอย:
.
1. ฟังลึกกว่าที่เขาพูด
-อย่าเพิ่งแทรก อย่าเพิ่งสอน
-ฟังให้ลึกจนเห็นความกลัว ความฝัน หรือบาดแผล
.
2. ส่งพลังงานที่ตรงข้ามกับการโจมตี
-คนที่รู้สึกสบาย จะเลิกป้องกันตัวโดยไม่รู้ตัว
-พลังของความผ่อนคลาย อารมณ์ขัน และการยอมรับ มีอานุภาพมากกว่าการใช้เหตุผลล้วน
.
3. ยืนยันตัวตนของเขา
-อย่าไปท้าทายความฉลาด ศักดิ์ศรี หรือความดีในใจเขา
-สนับสนุนสิ่งที่เขาเชื่ออยู่แล้ว (แม้แค่บางส่วน) แล้วแทรกสิ่งใหม่เข้าไปแบบเนียน ๆ
.
4. ชมให้ถูกจุด
-ชมความพยายาม (ไม่ใช่พรสวรรค์)
-ชมเฉพาะสิ่งที่คุณรู้สึกจริง ไม่ต้องฝืน
.
5. ใช้แรงต้านเป็นเครื่องมือ
-คนบางประเภทจะดื้อด้านกับทุกอย่างที่เราพูด
-อย่าฝืนจูง แต่จงใช้แรงต้านของเขาเป็นแรงส่ง เช่น ปล่อยให้เขาต้านไปเรื่อย ๆ จนหมดแรง แล้วเสนอทางเลือกตอนเขาเริ่มเหนื่อย
.
คนฉลาดไม่ชนะใจด้วยคำพูดเยอะ ๆ แต่ชนะด้วย "คำที่ไม่พูด" แต่คนฟังได้ยินด้วยตัวเอง
.
.
===================
.
Law 8: The Law of Self-Sabotage — ➤ กฎแห่งการทำลายตัวเอง
.
“Your attitude determines your altitude. A hostile, anxious, avoidant, or depressive mindset becomes a self-fulfilling prophecy.” — Robert Greene
.
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ถูกใครกลั่นแกล้ง ไม่ได้เจอบอสโหด ไม่ได้ถูกโลกต่อต้าน — แต่ชีวิตกลับไม่ไปไหน เพราะเขา "เป็นศัตรูของตัวเอง"
.
สิ่งนี้คือ Self-Sabotage — คือพฤติกรรมที่ทำลายความก้าวหน้าของตัวเองแบบไม่รู้ตัว เช่น กลัวความสำเร็จ, ไม่กล้ารับคำชม, หรือเลือกเดินเข้าสถานการณ์ที่รู้ว่าจะล้มเหลว
.
Greene แยกประเภท Self-Sabotage ออกเป็น 5 “ทัศนคติบ่อนทำลายตัวเอง” ซึ่งแต่ละแบบมีแรงขับลึก:
.
1. Hostile Attitude
“โลกไม่เคยแฟร์ — งั้นฉันจะไม่แฟร์กลับ”
.
คนแบบนี้มองทุกอย่างเป็นเกม zero-sum
มองว่าทุกคนรอบตัวมี hidden agenda
สุดท้ายพฤติกรรมของเขาเองจะผลักคนดี ๆ ออกไป จนเหลือแค่ความโดดเดี่ยว… ซึ่งเขาจะใช้เป็นหลักฐานว่า “เห็นไหม โลกไม่เคยเมตตา”
.
2. Anxious Attitude
“ฉันต้องคิดให้ครบก่อนลงมือ”
แต่ความจริงคือ “กลัวผิดจนไม่ลงมือซะที”
.
Greene บอกว่าคนเหล่านี้ “พึ่งพาความกังวล” เพื่อหลีกเลี่ยงการลงมือจริง
เขาจะจมอยู่กับ worst-case scenario โดยไม่รู้ว่าตัวเองติด “ความสบายจากการคิดแทนลงมือ”
.
3. Avoidant Attitude
“อย่าขออะไรจากฉันมาก เดี๋ยวมันจะพัง”
.
คนแบบนี้ “รักษาภาพลักษณ์ว่าเก่ง” โดยไม่ลงมือทำอะไรที่เสี่ยงต่อการล้มเหลว
เพราะในใจลึก ๆ เขากลัวว่า “ถ้าล้ม… เขาจะไม่มีอะไรเหลือเลย”
.
Greene บอกว่าคนกลุ่มนี้มัก “ฉลาดแต่ไม่กล้าใช้”
เพราะติดกับภาพในหัวว่าความสมบูรณ์ต้องมาแบบไม่เจ็บ ไม่เปื้อน
.
4. Depressive Attitude
“ฉันไม่มีทางดีพอหรอก — แค่ขออยู่เงียบ ๆ”
.
นี่ไม่ใช่แค่ความเศร้า แต่คือ “การใช้ความเศร้าเป็นเกราะป้องกัน”
เพราะถ้าเราบอกว่าตัวเองไม่มีค่าเสียแต่ต้น — เราก็จะไม่ผิดหวังถ้าไม่มีใครเห็นค่าเรา
.
Greene เตือนว่า นี่คือกลไกที่ “เสพติดความล้มเหลวอย่างสงบ”
และเป็นกับดักอันตรายของคนที่เคยเจ็บแรงมาก่อน
.
5. Resentful Attitude
“ฉันไม่ลืมหรอกนะ… แต่ฉันจะยิ้มไว้ แล้วทำลายเงียบ ๆ”
.
คนกลุ่มนี้มีแผลจากอดีต แล้วเลือก “ระบาย” ด้วยวิธีประชด
เขาอาจจะดูนิ่งเฉย แต่ข้างในคือคนที่ “อยากให้โลกเห็นว่าเขาเจ็บ”
เลยทำลายตัวเองแบบเนียน ๆ เช่น ล้มโปรเจกต์ ล้มความสัมพันธ์ หรือ sabotage ทีมงานโดยไม่รู้ตัว
.
ทางออกที่ Greene เสนอ
.
1. ตั้งเป้าหมายเล็กที่สำเร็จได้เร็ว (Quick Wins)
– เพื่อหยุดวัฏจักร “ความรู้สึกว่าเราล้มเหลวตลอด”
– ความรู้สึกสำเร็จเล็ก ๆ จะสร้าง momentum เชิงจิตวิทยา
.
2. เปลี่ยนเสียงในหัวจากผู้พิพากษา → เป็นโค้ช
– อย่าใช้คำว่า “อีกแล้ว” เวลาทำผิด
– เปลี่ยนเป็น “เออ ยังดีที่รู้ทันตรงนี้ เดี๋ยวรอบหน้าเราทำแบบนี้”
.
3. แปรรูปความเจ็บ เป็นพลังสร้างสรรค์
– ความรู้สึกไร้ค่า ความโดดเดี่ยว หรือแผลฝังใจ สามารถ “รีไซเคิล”
– ศิลปิน นักเขียน หรือผู้นำที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก ไม่ได้กลบแผล… แต่ “ใช้แผลเป็นเชื้อเพลิง”
.
4. ทำสิ่งที่ตัวเองกลัวสุดแบบเล็กน้อยแต่ต่อเนื่อง
– ความกลัวไม่หายด้วยการคิด… มันหายด้วยการ “เดินผ่านมันไปวันละก้าว”
– และเมื่อคุณทำสำเร็จ — มันจะเปลี่ยน “ภาพตัวเอง” ในใจคุณตลอดไป
.
.
===================
.
Law 9: The Law of Repression — ➤ กฎแห่งด้านมืดที่ถูกกดทับ
.
“What you repress will surface—somehow, somewhere, and often destructively.”
— Robert Greene
.
จิตใต้สำนึกไม่ใช่ห้องใต้ดินของจิตใจ แต่มันคือโรงละครที่คุณแสดงโดยไม่รู้ตัว — และ "Shadow" ที่ Carl Jung พูดถึง ก็คือตัวละครที่คุณพยายามซ่อนจากสายตาคนอื่น (และจากตัวเอง)
.
Greene ไม่ได้บอกให้คุณกำจัดด้านมืด — เขาบอกให้คุณ "จับมันมาใช้"
.
ความก้าวร้าว ความริษยา ความอยากได้ อยากเอาชนะ ไม่ใช่สิ่งผิด แต่เป็นพลังดิบที่ถ้ารู้จักบงการ มันคือเชื้อเพลิงสร้างผลงานขั้นสุด
.
Greene บอกว่าพลังของด้านมืดไม่เคยหาย มันจะแปลงร่างเป็นสิ่งเหล่านี้:
.
1. การหลุดแบบไม่ตั้งใจ
– คนที่ดูใจเย็นที่สุด อาจกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายที่สุดในวันที่ไม่ไหว
– “ความดี” ที่ไม่ได้บาลานซ์ด้วยการเข้าใจด้านมืด = ความตึงเครียดระเบิดเวลา
.
2. ความขัดแย้งภายใน
– คนที่พูดเรื่องศีลธรรมตลอดเวลา อาจแอบดูถูกคนไม่เหมือนตน
– คนที่รณรงค์เรื่องความรัก อาจเกลียดตัวเองในใจลึก ๆ
.
3. พฤติกรรม “ไม่ได้ตั้งใจ” ซ้ำๆ
– โวยใส่พนักงานบ่อย
– สายทุกครั้งที่ต้องรับผิดชอบ
– โพสต์เหน็บแนมแบบไม่ตั้งใจ
สิ่งเหล่านี้คือ “ด้านมืดที่หาทางออกเอง” เพราะคุณไม่เคยยอมรับมันตรง ๆ
.
4. การ Project ความรู้สึก onto คนอื่น
– เราเกลียด “คนหิวแสง” ทั้งที่ตัวเองโพสต์ทุกวัน
– เราเรียกคนอื่นว่า toxic ทั้งที่เราเป็นคนสร้างดราม่าเงียบ ๆ ทุกคืน
Greene เรียกสิ่งนี้ว่า “emotional projection” ซึ่งเป็นกลไกป้องกันตัวที่ย้อนกลับมาทำร้ายเราเอง
.
วิธีเปลี่ยน Shadow ให้เป็นพลังสร้างสรรค์:
.
1. กล้าสบตากับด้านมืด: เขียนความคิดที่ไม่กล้าพูดให้ใครฟังลงกระดาษ แล้วอ่านมันด้วยความจริงใจ
.
2. แปรรูปความโกรธให้เป็นผลงาน: นักเขียนหลายคนสร้างผลงานดีที่สุดตอนอกหัก
.
3. อย่าพยายามเป็นคนดีตลอดเวลา: ความดีที่กดดันเกินไป จะระเบิดวันใดวันหนึ่ง
.
“To master yourself, you must become familiar with your shadow—not deny it, but channel it.”
.
.
===================
.
Law 10: The Law of Envy — ➤ กฎแห่งความอิจฉา
.
“You may think people admire you for your success. But in truth, they may resent you for it—and hide it behind a smile.” — Robert Greene
.
Greene บอกว่า ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองอิจฉา — เพราะมันดูต่ำตม แต่ในความจริง มันคืออารมณ์พื้นฐานแบบเดียวกับหิวหรือง่วง
.
ความอิจฉาไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยคำพูดร้ายแรง — บางทีมันมาในรูปของคำชมที่ฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ
.
รูปแบบของ Envy ที่ Greene เจาะลึก
.
1. Microexpression
– แววตาวูบหนึ่งก่อนรอยยิ้ม
– น้ำเสียงที่ชื่นชมแต่ไม่มีความอบอุ่น
– การเว้นจังหวะก่อนปรบมือให้ความสำเร็จของคุณ
.
2. Poisonous Praise
– คำชมที่มีหนาม เช่น
“เก่งจังเลย… คงไม่มีชีวิตนอกงานเลยเนอะ”
“ประสบความสำเร็จเร็วแบบนี้ โชคดีมากเลยเนอะ”
.
3. Backhanded Gossip
– ชื่นชมต่อหน้า แต่บอกว่า “จริง ๆ ไม่ได้เก่งขนาดนั้น” หลังคุณลับตา
– ปล่อยข่าวบางอย่างแบบ “ไม่ได้ตั้งใจให้หลุด”
.
4. Push-Pull Strategy
– เข้ามาสนิทเพื่อรู้จุดอ่อน แล้วบีบให้คุณเปิดเผยบางอย่าง
– จากนั้น “ใช้อารมณ์คุณทำลายคุณเอง”
.
Greene แบ่งประเภทของ Envy-driven Characters ที่ควรระวัง
.
1. The Leveler
คนที่ทนไม่ได้ถ้ามีใครเหนือกว่า
เขาจะพยายามลากคุณลงมาระดับเดียวกับเขา ผ่านการแซะ เถียงในเรื่องเล็ก หรือบั่นทอนแบบไม่เปิดเผย
.
2. The Status Fiend
คนที่วัดคุณค่าจากวัตถุ ภาพลักษณ์ และแบรนด์
หากคุณอยู่ในระดับที่เขาคิดว่าเขาควรอยู่ — เขาจะ “ไม่ให้อภัยคุณที่แย่งจุดนั้นไปก่อน”
.
3. The Entitled Slacker
ไม่ลงมือทำจริง แต่เชื่อว่าโลกควรให้เขาได้ดี
เมื่อเห็นคุณประสบความสำเร็จจากความพยายาม — เขาจะรู้สึกว่าถูกตบหน้า
.
วิธีอยู่กับความอิจฉา (ของตัวเองและของคนอื่น):
.
1. ฝึก Mitfreude: ร่วมยินดีอย่างแท้จริงกับความสำเร็จของคนอื่น (ตรงข้ามกับ Schadenfreude)
.
2. เปลี่ยนอิจฉาเป็นแรงผลัก: อย่าแค่ดูเขา — ถามว่าเราจะทำบ้างได้ไหม แล้วลุยเลย
.
3. ขำกับตัวเอง: การใช้ self-deprecating humor ช่วยล้างพิษทางสถานะได้
.
4. ถ้าคุณประสบความสำเร็จแล้วไม่เจอคนอิจฉาเลย แปลว่าคุณยังไม่ดังพอ หรือคุณอยู่ผิดที่
.
.
===================
.
Law 11: The Law of Grandiosity — ➤ กฎแห่งการคิดว่าตัวเองพิเศษเหนือธรรมดา
.
“Success intoxicates the ego. And intoxicated minds overestimate, overreach, and ultimately… overstep.” — Robert Greene
.
Robert Greene ไม่ได้มอง Grandiosity (ภาวะหลงตัวเองแบบคิดว่าตัวเองพิเศษเหนือธรรมดา) ว่าเป็นอาการทางจิตที่มีเฉพาะคนบางกลุ่ม เขามองว่ามันคือ “ไวรัสเงียบ” ที่รอจังหวะคุณ “ประสบความสำเร็จ”
.
ทุกครั้งที่คุณได้รางวัล ได้ยอดวิว ได้การยอมรับ — สมองคุณจะหลั่งสารให้รางวัล
แล้วกระซิบว่า: “เห็นไหม… นายมันคนพิเศษ”

พอสะสมมากเข้า สิ่งที่เคยเป็นความมั่นใจ… จะแปรสภาพเป็น ความเมามายแบบไม่รู้ตัว
.
Greene เตือนว่า Grandiosity เป็น “กับดักที่ร้ายที่สุด เพราะมันพรางตัวเป็นพลังบวก”
มันทำให้คุณ:
.
เริ่มคิดว่า กฎธรรมดาใช้กับคนธรรมดา ไม่ใช่คุณ
เริ่ม ไม่ฟังใคร เพราะคุณเคยตัดสินใจเองแล้วชนะ
เริ่ม ตั้งเป้าที่ใหญ่ขึ้น…แบบไม่มีพื้นฐานรองรับ
.
และในที่สุด คุณจะพัง — ไม่ใช่เพราะมีศัตรู แต่เพราะ คุณเองคือศัตรูของความสมดุล
.
Greene ชี้ 3 สัญญาณของ Grandiosity ที่ซ่อนอยู่แบบแนบเนียน
.
1. ทนคำวิจารณ์ไม่ได้ แม้จะทำหน้าเข้าใจ
– ข้างในคุณคิดว่า “พวกเขาไม่เข้าใจระดับของฉัน”
– แม้จะพยายามพยักหน้า…แต่คุณ “ไม่เชื่อ” feedback นั้นเลย
.
2. เชื่อว่าตัวเองมีโชคชะตาพิเศษ
– เช่น “เรามีพรสวรรค์บางอย่าง คนอื่นไม่มี”
– จึงเริ่มลดการฝึกฝน และ “เล่นใหญ่” ขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ได้วางแผน
.
3. สร้างภาพว่า ‘ธรรมดา’ แต่ในใจลึกๆ หิวการยอมรับ
– พูดถ่อมตัว แต่หวังให้คนชมกลับ
– ทำตัวติดดิน แต่เจ็บทุกครั้งที่ไม่มีใครพูดถึงคุณ
.
Greene เรียกพฤติกรรมนี้ว่า False Modesty — ความถ่อมตัวปลอมที่หิวการยอมรับมากกว่าคนที่ยอมรับตรง ๆ เสียอีก
.
Greene แนะนำให้แปลง grandiosity เป็นพลังที่ใช้งานได้จริง:
.
1. ยอมรับว่าคุณอยากโดดเด่น (ไม่ผิด)
.
2. เอาพลังนั้นไปเทในโปรเจกต์ที่ท้าทาย แต่จับต้องได้จริง
.
3. ฟัง feedback อย่างตั้งใจ และขอความเห็นจากคนที่ไม่กลัวคุณ
.
4. กระโจนสู่สนามที่เก่งเกินคุณสักนิด จะได้ไม่หลงคิดว่าตัวเอง "เทพ"
.
Grandiosity ไม่ใช่ศัตรู — มันคือพลังขยายศักยภาพ (ถ้าคุณบงการมัน)
.
.
===================
.
Law 12: The Law of Gender Rigidity — ➤ กฎแห่งความไม่ยืดหยุ่นทางเพศภาวะ
.
“When you repress the feminine or masculine energy within you, it will manifest in strange, often destructive forms.” — Robert Greene
.
Greene หยิบแนวคิดคลาสสิกของ Carl Jung มาขยาย โดยเฉพาะ Anima (พลังหญิงในผู้ชาย) และ Animus (พลังชายในผู้หญิง) พลังเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเพศทางกายภาพ — แต่คือ พลังงานในเชิงจิตวิญญาณ อารมณ์ และบุคลิก
.
พลังหญิง: ความอ่อนโยน ความลึกซึ้ง การเชื่อมโยง การฟัง
.
พลังชาย: ความเด็ดขาด การคาดการณ์ ความกล้า ความเผชิญหน้า
.
มนุษย์ที่ “สมดุล” ต้องรู้จักทั้งสองด้านของตัวเอง
.
แต่ในโลกแห่ง บทบาททางสังคมแบบตายตัว คนจำนวนมากถูกสอนให้ “เล่นแค่ครึ่งเดียวของพลังที่ตัวเองมี”
.
Greene ชี้ว่า พลังที่ถูกกดไว้…จะไม่หาย มันจะกลับมาในรูปของ:
.
1. ความโกรธไร้เหตุผล
– ผู้ชายที่ไม่เคยร้องไห้ มักปะทุด้วยความโกรธ
– เพราะความเศร้าถูกแปลงร่างเป็น “พลังทำลาย” แทนที่จะเป็นพลังแสดงออก
.
2. ความสัมพันธ์แบบต้องเติมเต็มด้านที่ขาด
– ผู้หญิงที่แสร้งอ่อนแอ อาจตกหลุมรักคนแข็งกร้าวแบบไม่มีเหตุผล
– ผู้ชายที่ปฏิเสธความอ่อนโยน อาจติดพันคนอ่อนไหวอย่างสุดขั้ว เพื่อชดเชย
.
3. ความไม่มั่นใจที่ปลอมเป็น “บทบาทดี”
– คนที่พูดว่า “ฉันเป็นคนเรียบร้อยเลยไม่กล้าขอในที่ประชุม” อาจไม่ใช่เรียบร้อย…แต่อาจกลัวอำนาจของตัวเอง
– คนที่บอกว่า “ไม่ชอบเถียง” อาจกลัวว่าพลังแห่งความกล้าในตัวเองจะทำให้สูญเสียภาพคนดี
.
วิธีปลดล็อกพลังอีกครึ่งที่คุณกดไว้
.
1. กล้าสำรวจว่า “คุณกลัวอะไรจากด้านตรงข้ามของคุณ?”
– ผู้ชาย: กลัวดูอ่อนแอ? กลัวคนไม่เคารพ? กลัวเสียฟอร์ม?
– ผู้หญิง: กลัวถูกมองว่าหยิ่ง? กลัวไม่มีใครรัก? กลัวเป็น “ผู้หญิงไม่น่าคบ”?
.
2. แปลงพลังนั้นเป็นพลังสร้างสรรค์
– ความอ่อนโยน = ทำให้คุณเป็นนักฟังที่ดี
– ความกล้า = ทำให้คุณตัดสินใจได้เด็ดขาดขึ้น
– พลังหญิงในชาย = ทำให้คุณเข้าใจลูก เข้าใจคู่รัก
– พลังชายในหญิง = ทำให้คุณสร้างองค์กร สร้างระบบ นำทีม
.
3. ตั้งเป้าหมายให้ไม่ขึ้นกับเพศ แต่อยู่ที่ “พลังในตัวตน”
– อย่าถามว่า “ในฐานะผู้ชาย/ผู้หญิง ควรทำอะไร”
– ให้ถามว่า “ในฐานะมนุษย์ที่ต้องการเติบโตเต็มศักยภาพ ฉันควรทำอย่างไร”
.
.
===================
.
Law 13: The Law of Aimlessness — ➤ กฎแห่งการไร้เป้าหมาย
.
“Without a sense of direction, you become a pawn in other people’s plans.”
— Robert Greene
.
คุณอาจทำงานเก่ง ตอบแชทเร็ว คิดได้ไว — แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายที่แท้จริง ทุกพลังนั้นก็จะกลายเป็นเครื่องจักรผลิตความเหนื่อยเปล่า
.
Greene บอกว่ามนุษย์สมัยก่อนมีข้อจำกัดในการเลือกเยอะมาก จึงมักอยู่กับสิ่งที่ทำได้และทำไปยาว ๆ
.
แต่ยุคนี้ ทุกอย่างเปิดกว้างเสียจนเรางงว่าจะเริ่มจากตรงไหน และเลยทำไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้ว่าเพื่ออะไร
.
สัญญาณว่าคุณอาจยังไม่มี Sense of Purpose:
.
1. เปลี่ยนทางบ่อยเพราะ “ยังไม่เจอของจริง” (แต่ไม่เคยฝังตัวกับอะไรนานพอ)
.
2. เบื่อง่าย แต่อยากสำเร็จไว
.
3. ใช้ความยุ่งเป็นข้ออ้างแทนการเผชิญความว่างเปล่าในใจ
.
วิธีออกจากภาวะ Aimlessness แบบที่ Greene แนะนำ
.
1. ฟังเสียงของคุณตอนยังเป็นเด็ก
– ไม่ใช่แค่ “คุณชอบอะไร” แต่ “คุณสนใจอะไรแบบไม่ต้องมีใครบอกให้สนใจ”
– นั่นคือพลังที่ยังไม่ถูกสังคมปรับแต่ง

2. ฝึกอยู่กับความเบื่อในระยะแรกของเส้นทางที่ใช่
– ทุกเส้นทางที่ดี มีช่วงน่าเบื่อ
– คนไร้เป้าหมายมักหนีจาก discomfort นี้ทันที
– แต่ความเบื่อ คือ “จุดประตูที่แยกมือสมัครเล่นออกจากผู้สร้างของจริง”

3. กำหนดเป้าหมายแบบ 2 ชั้น
– Long-term: ใหญ่แต่ยังไม่ชัด — เช่น อยากเปลี่ยนชีวิตคน อยากมี impact
– Short-term: ต้องชัด จับต้องได้ — เช่น เดือนนี้จะปล่อยคอนเทนต์กี่ชิ้น ขายกี่โปรเจกต์ เขียนบทความอะไรให้จบ

4. หา Reality Check ที่เดินนำหน้าเราเสมอ
– คนที่อยู่ในสนามจริง
– ไม่ใช่แค่คนให้กำลังใจ แต่คือคนที่ทำให้เรา อายตัวเองเบา ๆ เวลาผัดวัน
– Greene เชื่อว่า “แรงกดดันจากคนที่มีไฟ” ดีกว่าคำชมจากคนที่ไม่เข้าใจเป้าหมายเราเลย
.
“A person without a direction will be pulled in all directions.”
.
อย่าเข้าใจผิดว่า การได้เลือกเยอะ = ความอิสระ
อิสระที่แท้จริง คือ การเลือกทางหนึ่ง แล้วเดินมันจนไกลพอจะกลายเป็นตัวคุณ
.
.
===================
.
Law 14: The Law of Conformity — ➤ กฎแห่งการถูกฝูงชนดูดกลืน
.
“To think like everyone else is to become no one at all.” — Robert Greene
.
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมก็จริง แต่ Greene เตือนว่า สังคมคือสนามพลังที่สามารถ “เขียนโปรแกรมเราใหม่แบบแนบเนียน” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
.
Greene เริ่มกฎข้อนี้ด้วยข้อสังเกตเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง: มนุษย์ไม่ได้กลัวความผิดพลาดเท่ากับ “กลัวโดดเดี่ยวจากฝูง”
.
กับดักเงียบที่ฝูงชนวางไว้ให้คุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว
.
1. บทบาททางสังคมที่กลืนตัวตน
– ในกลุ่ม คุณอาจเล่นบท “ตลกประจำกลุ่ม” ทั้งที่คุณจริงจัง
– หรือเป็น “สายลุย” ทั้งที่ลึก ๆ อยากคิดให้รอบคอบ
– Greene เตือนว่า: ยิ่งคุณเล่นบทซ้ำ ๆ จนได้รับการยอมรับ...คุณจะยิ่ง “ติดกับดักบทนั้น”
.
2. อารมณ์ที่ไม่ใช่ของคุณ แต่คุณรู้สึกมันเหมือนของจริง
– ฝูงชนที่โกรธ จะทำให้คุณ “รู้สึกโกรธตาม” ทั้งที่คุณเพิ่งอารมณ์ดีมา
– ฝูงชนที่กลัว จะทำให้คุณ panic โดยไม่มีข้อมูล
– Greene เรียกสิ่งนี้ว่า “Emotional Contagion” — การระบาดของอารมณ์โดยไม่ผ่านเหตุผล
.
3. สัญญาณที่คุณไม่กล้าพูดความจริงกับตัวเอง
– “ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยหรอก แต่ไม่อยากมีปัญหา”
– “จริง ๆ ก็คิดต่างนะ แต่พูดไปก็เท่านั้นแหละ”
– ความคิดแบบนี้ = จุดเริ่มต้นของ “การละทิ้งอัตลักษณ์โดยสมัครใจ”
.
วิธีป้องกันไม่ให้คุณถูกดูดกลืน — หรือกลายเป็นฝูงชนเสียเอง
.
1. สังเกตพฤติกรรมตัวเองในกลุ่ม
ถามง่าย ๆ:
– ฉันเป็นตัวเองหรือเป็นภาพที่กลุ่มต้องการให้เป็น?
– พูดแบบนี้เพราะคิด หรือเพราะอยากให้เขาชอบ?
.
2. ฝึก Reality Testing เป็นนิสัย
ก่อนจะแชร์ข่าว, ดราม่า, หรือความเห็น — หยุด 5 วินาทีแล้วถามว่า:
– “ฉันเชื่อเรื่องนี้เพราะมันจริง หรือเพราะคนส่วนใหญ่เชื่อ?”
– “ถ้าฉันอยู่คนเดียว ฉันจะยังคิดแบบนี้ไหม?”
.
3. เข้ากลุ่มที่ไม่กลัวความต่าง
Greene แนะนำว่า “อย่าเข้ากลุ่มที่คุณรู้สึกปลอดภัยเกินไป”
ให้เข้ากลุ่มที่ทำให้คุณต้องคิดใหม่ โต้แย้งใหม่ แต่ด้วยบรรยากาศของการเติบโต
.
คนส่วนใหญ่ที่ “คิดแบบฝูงชน” มักเชื่อว่า ตัวเองยังคิดอยู่
แต่ความจริงคือ พวกเขาแค่ คิดซ้ำในสิ่งที่ได้ยินมาบ่อยที่สุด เท่านั้น
.
“They think they’re thinking… but really, they’re just repeating.” — Greene
.
.
===================
.
Law 15: The Law of Fickleness — ➤ กฎแห่งความไม่แน่นอนของใจคน
.
“The crowd may love you today and hate you tomorrow—not because you’ve changed, but because they’ve remembered they don’t like being led.” — Robert Greene
.
คนต้องการผู้นำ...แต่ลึกๆ แล้ว พวกเขาไม่อยาก ถูกนำ Greene เริ่มกฎข้อนี้ด้วยปรากฏการณ์สุดย้อนแย้ง:
.
"ฝูงชนยกย่องคุณได้เร็ว...แต่ก็ถอนการยกย่องได้เร็วยิ่งกว่า"
.
กลไกของ “ความลังเลในฝูงชน” ที่ Greene วิเคราะห์ไว้
.
1. Phase แรก — การยกย่องแบบเกินจริง
– ฝูงชนต้องการ “ใครสักคน” มาเป็นตัวแทนความหวัง
– พวกเขาใส่คุณสมบัติที่ไม่มีอยู่จริงให้กับคุณ (The Projected Ideal)
– ผู้นำที่ไม่รู้ทัน จะหลงคิดว่านั่นคือตัวตนของตนจริง ๆ
.
2. Phase ถัดมา — ความคาดหวังสูงเกินจะรับไหว
– คนเริ่มตั้งคำถาม: “ทำไมเขาไม่เหมือนที่ฉันจินตนาการ?”
– เริ่มรู้สึกว่า “เขาก็แค่คนธรรมดา”
.
3. Phase อันตราย — ความผิดหวังกลายเป็นความรู้สึกทรยศ
– สิ่งที่เคยชม กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ
– สิ่งที่เคยให้อภัย กลายเป็น “หลักฐาน” ว่า “คุณเปลี่ยนไป”
.
Greene เตือนว่า อันตรายของฝูงชน ไม่ใช่เสียงโห่ฮา แต่คือ “ความเงียบแบบไร้อารมณ์หลังจากหมดความตื่นเต้น”
.
วิธีสร้างความสัมพันธ์กับฝูงชนโดยไม่ตกเป็นเหยื่อของ “อารมณ์แบบฝูง”
.
1. ผู้นำต้องรู้จัก “ตั้งจังหวะ” ไม่ใช่ “ตามจังหวะ”
– คุณไม่ต้องปรากฏตัวตลอดเวลา
– แต่ทุกครั้งที่คุณปรากฏตัว…ควร “มีอะไรใหม่ที่เปลี่ยนมุมมองของคนฟัง”
– Greene เรียกสิ่งนี้ว่า “Strategic Presence” — อยู่ให้น้อยแต่หนักแน่น
.
2. อย่าขายแค่ความหวัง — จงขายภาพเป้าหมายที่จับต้องได้
– ฝูงชนเบื่อง่ายกับคำพูดสวย
– แต่คนจะอยู่กับคุณนาน…ถ้าคุณให้เขา “รู้สึกว่าเขากำลังเดินไปที่ไหนบางอย่างจริง ๆ”
.
3. ฟังความเงียบของคนใกล้ตัว
– ความลังเลของฝูงชนเริ่มจาก “คนรอบตัวที่ไม่พูดอะไรแล้ว”
– Greene เตือนว่า ผู้นำที่พัง = คนที่ฟังเสียงดังเกินไป แล้วไม่สังเกต “น้ำเสียงที่เงียบผิดปกติ”
.
“Once you stand on a pedestal, the crowd only needs time… to find a stone.” — Greene
.
จงเตรียมรับมือกับวันที่คนจะไม่คล้องมาลัย แต่จะโยนหิน
.
.
===================
.
Law 16: The Law of Aggression — ➤ กฎแห่งความก้าวร้าว
.
“Don’t be fooled by politeness—aggression comes in many guises, and often from those who appear calm.” — Robert Greene
.
Greene ไม่ได้พูดว่าความก้าวร้าว = ความชั่ว
เขาชี้ว่า มนุษย์คือสัตว์ที่อยู่ในลำดับชั้นทางสังคมเสมอ
และเมื่อรู้สึกว่า “ตำแหน่งในฝูง” ถูกคุกคาม — สมองจะปลุกระบบก้าวร้าวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
.
Greene แยก รูปแบบของ Aggression ออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
.
1. Passive Aggression — ความก้าวร้าวแบบนิ่งเงียบ
คนกลุ่มนี้จะไม่ตะโกน ไม่โมโห
แต่จะใช้ “พฤติกรรมจิกกัด” แบบแนบเนียน
Greene เตือนว่า นี่คือรูปแบบที่อันตรายกว่า เพราะมันพรางตัวเป็นความสุภาพ
.
2. Chronic Aggression — ความก้าวร้าวแบบเปิดเผย
นี่คือตัวอย่างที่เห็นชัด เช่น:
พูดเสียงดังเพื่อข่ม
ใช้อำนาจในที่ประชุมบังคับทุกคนเชื่อ
สบถ ดูถูก เสียดสีแบบตรงๆ
.
Greene ชี้ว่า คนกลุ่มนี้มัก “ถูกโปรแกรมให้ใช้ความก้าวร้าวเป็นเครื่องมือเอาตัวรอด” ตั้งแต่ยังเด็ก และถ้าไม่มีใครตั้งขอบเขตให้เขา...พวกเขาจะ “ทดสอบเส้น” ไปเรื่อย ๆ จนพังความสัมพันธ์ทุกอย่าง
.
กลไกด้านมืดที่ทำให้ “ความก้าวร้าว” ทำงานเงียบๆ ในนิสัยคน
.
Aggression by Control
– คนที่ควบคุมทุกอย่าง โดยอ้างว่า “เป็นห่วง” หรือ “อยากช่วย”
– แท้จริงแล้วคือการใช้ความก้าวร้าวทางจิตวิทยาเพื่อยึดอำนาจ
.
Aggression by Status Games
– ใช้คำพูด ประสบการณ์ หรือการโอ้อวดแบบแฝง
– เพื่อ “ลดทอนคุณค่าของอีกฝ่ายแบบไม่ให้ใครจับได้”
– เช่น การพูดว่า “ตอนฉันอายุเท่านี้นะ...” หรือ “เรื่องนี้มันพื้นฐานมากเลยนะ เธอไม่เคยเรียนเหรอ?”
.
Aggression by Victimhood
– คนที่เล่นบท “คนดี ผู้ถูกทำร้าย” ตลอด
– ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาใช้ความรู้สึกผิดของคนอื่นเป็นเครื่องมือกดดัน
– Greene เตือนว่า: ความอ่อนแอปลอม ๆ ก็เป็นรูปแบบของการข่ม
.
วิธีจัดการกับคนเหล่านี้:
.
กับ passive-aggressive: อย่าตอบโต้ทันที แต่สะท้อนให้เขาเห็นพฤติกรรมตัวเองอย่างนิ่มนวล เช่น "เอ๊ะ ฉันรู้สึกว่าคำชมนั้นฟังดูแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้"
.
กับ aggressor ตรง ๆ: อย่าเผชิญหน้าแบบใช้อารมณ์ ให้ตั้งสติและปกป้องขอบเขตของคุณอย่างชัดเจน
.
อย่าตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว: เพราะนั่นจะทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าควบคุมคุณได้
.
ความก้าวร้าวที่ควบคุมได้ คือดาบสองคมที่ถ้าจับมาถูกด้าน จะกลายเป็นแรงทะลุขีดจำกัด
.
Greene แนะนำให้แปรพลังดิบนี้เป็นคุณสมบัติเชิงบวก:
.
Ambition: ฝันใหญ่แต่ลงมือจริง
.
Persistence: โดนปฏิเสธสิบครั้ง ก็ยังลุกมาใหม่
.
Fearlessness: เผชิญความจริงตรงหน้า แม้มันจะไม่น่าฟัง
.
Constructive Anger: ใช้ความโกรธเป็นเชื้อเพลิงสร้าง ไม่ใช่ทำลาย
.
.
===================
.
Law 17: The Law of Generational Myopia — ➤ กฎแห่งอคติของคนยุคตนเอง
.
“We are all captives of our generation’s assumptions. The only way to be free is to first recognize the bars of the cage.” — Robert Greene
.
มนุษย์แต่ละรุ่นเกิดมาในบริบทที่ไม่เหมือนกัน — และเรามักเข้าใจโลกจาก "รสนิยมและกรอบความคิดของรุ่นตัวเอง" โดยไม่รู้ตัว
.
กับดักเงียบของ “อคติแห่งกาลเวลา” (Temporal Bias)
Greene เตือนว่าอคตินี้น่ากลัว เพราะมัน:
.
1. พรางตัวเป็น “ความจริงสากล”
– เช่น “เมื่อก่อนคนอดทนกว่านี้” หรือ “เด็กรุ่นใหม่ไม่เคารพใคร”
– ทั้งที่ความจริงคือ…พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนไปเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และค่านิยมร่วม ไม่ใช่เพราะ “ใครนิสัยเสียลง”
.
2. บั่นทอนนวัตกรรม
– คนที่ยึดติดกับยุคตนเอง = คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยสัญชาตญาณ
– “เมื่อก่อนก็ใช้แบบนี้ ยังได้ผลเลย” = จุดตายของความคิดสร้างสรรค์
.
3. ทำลายบทสนทนาระหว่างรุ่น
– เมื่อคุณเชื่อว่าคนรุ่นอื่น “ด้อยกว่า”
– คุณจะไม่ฟังเขาด้วยใจจริง และเขาก็จะไม่เปิดใจให้คุณฟังเช่นกัน
.
Greene ย้ำว่า ถ้าเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังมองโลกผ่านกรอบไหน เราจะกลายเป็นเหยื่อของกรอบนั้นเอง
.
วิธีเป็นอิสระจาก “คุกแห่งกาลเวลา” ที่ Greene เสนอ
.
1. กลับไปสำรวจว่าเรา “ถูกสอนอะไร” ตอนเด็ก และมันยังจำเป็นไหม
– เช่น คุณอาจถูกสอนว่า “การอดทนคือคุณธรรม”
– แต่ถามว่า…อดทนแบบไหน? อดทนกับอะไร? และมันยังใช้ได้ในโลกที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า?
.
Greene เรียกสิ่งนี้ว่า “Generational Inventory” — การเช็กสต็อกความคิดทางวัฒนธรรม
.
2. ฟังเสียงของคนรุ่นอื่นโดยไม่รีบด่วนตัดสิน
– ไม่ใช่แค่ฟัง แต่ “ฟังแบบอยากเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อหาข้อโต้แย้ง”
– Greene บอกว่า: คนที่อ่อนเยาว์อาจมีปัญญาที่โลกยังไม่ชิน
– ส่วนคนที่แก่กว่าอาจมีภูมิปัญญาที่เราไม่เคยถาม
.
3. สร้างตัวตนข้ามยุค
– อย่าคิดว่า “ฉันเป็น Gen อะไร”
– ให้ถามว่า “ฉันกำลังใช้พลังของยุคไหนอยู่?”
– ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มักคิดได้ใน 3 มิติ: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต พร้อมกัน
.
"To be a master of your generation, you must stand outside of it."
.
.
===================
.
Law 18: The Law of Death Denial — ➤ กฎแห่งการปฏิเสธความตาย
.
“Death is the most real thing there is. Yet we live as if it doesn’t exist.”
— Robert Greene
.
Greene ชี้ว่า:
“มนุษย์คือสัตว์ชนิดเดียวที่รู้ว่าตัวเองต้องตาย — และใช้พลังทั้งชีวิตเพื่อหลีกหนีความจริงนั้น”
.
Greene เจาะลึกว่า Death Denial แฝงตัวในรูปแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันคือ “การหลอกตัวเอง” เช่น:
.
1. ชีวิตที่ยุ่งเกินไปแบบไร้ทิศทาง
– ตั้งเป้าหมายยิบย่อยไม่รู้จบ
– วางแผนระยะยาวแบบไม่มีวันลงมือจริง
– เพราะเชื่อว่า “ยังมีเวลา”
– Greene เรียกพฤติกรรมนี้ว่า “chronological illusion” — ภาพลวงตาว่าเรายังมี “อนาคตไว้ใช้ทีหลัง”
.
2. ความกลัวลึก ๆ ที่ไม่กล้ายอมรับ
– กลัวเริ่ม
– กลัวผิด
– กลัวคนไม่ชอบ
– กลัวเสียหน้า
ทั้งที่ความตายจะพรากทุกอย่างนี้ไปอยู่ดี
.
3. การเสพติด “ชีวิตจำลอง”
– Scroll ฟีดทั้งคืน
– เติมความบันเทิงแบบอัตโนมัติ
– กดรีเฟรชเพื่อหนีความว่างเปล่า
Greene บอกว่า: การกลัวเงียบ = กลัวความตายที่มาในรูปของ “ช่วงเวลาว่าง”
.
ผลลัพธ์ของ Death Denial ที่ Greene มองว่า "ร้ายที่สุด"
.
“You live as a fraction of who you could be.”
.
คนที่ปฏิเสธความตาย:
- จะไม่กล้าใช้เสียงของตัวเอง
- จะพยายาม “ประคองชีวิตให้นาน” แทนที่จะ “ใช้ชีวิตให้คุ้ม”
- จะหลีกเลี่ยงทุกความเสี่ยง จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือให้น่าจดจำ
.
Greene เรียกสิ่งนี้ว่า “The Quiet Death” — การตายตั้งแต่ยังไม่ตายจริง
.
==============================
.
กฎทั้ง 18 ข้อ ไม่ได้พูดถึง “คนอื่น”
แต่สะท้อนว่า เราทุกคน ต่างก็ตกเป็นเหยื่อของธรรมชาติมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น
.
เราต่างเคย:
.
ตัดสินจากอารมณ์ (Law 1)
.
หลงภาพตัวเอง (Law 2)
.
แสดงบทที่ไม่ใช่ตัวตน (Law 3)
.
เดินซ้ำรอยเดิมโดยไม่รู้ตัว (Law 4)
.
อยากได้สิ่งที่คนอื่นมี (Law 5)
.
ลืมเป้าหมายเพราะมองแค่ระยะสั้น (Law 6)
.
ป้องกันตัวจนไม่มีใครเข้าถึง (Law 7)
.
ขวางทางตัวเองเพราะกลัวความสำเร็จ (Law
.
กดด้านมืดไว้จนกลายเป็นเงามืด (Law 9)
.
อิจฉาแบบแฝงๆ (Law 10)
.
หลงภาพความยิ่งใหญ่จนลืมความจริง (Law 11)
.
ยึดติดบทบาททางเพศจนทิ้งพลังอีกครึ่งของตัวเอง (Law 12)
.
ใช้ชีวิตแบบไม่มีทิศ (Law 13)
.
ละลายตัวตนเพื่อฝูงชน (Law 14)
.
หวังให้คนรักเราโดยลืมว่าใจคนเปลี่ยนได้ (Law 15)
.
ปิดกั้นพลังชีวิตด้วยความกลัวการเผชิญหน้า (Law 16)
.
เชื่อว่าความคิดของเราเป็นกลาง ทั้งที่มันคือผลผลิตของยุคที่เราเกิด (Law 17)
.
ใช้ทุกวันหลอกตัวเองว่า “ยังไม่ถึงเวลา” (Law 18)
.
Greene ไม่เคยสอนให้เรากลัวธรรมชาติมนุษย์
ตรงกันข้าม — เขาสอนให้เรา “กล้าเผชิญหน้ากับมันอย่างมีสติ”

“Human nature is a force. If you work with it, you gain power. If you fight it blindly, it will defeat you.”
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Previous
Previous

Think Again เขียนโดย Adam Grant

Next
Next

30 ข้อคิดจากหนังสือ Discipline Is Destiny : วินัยคือโชคชะตา