สรุปหนังสือ The Art of the Deal จบในโพสต์เดียว
สรุปหนังสือ The Art of the Deal จบในโพสต์เดียว
.
“I like thinking big. I always have. To me it’s very simple: if you’re going to be thinking anyway, you might as well think big.”
— Donald J. Trump
.
ถ้าคุณยังคิดว่าความฝันต้องพอดีคำ และการเจรจาต้องนุ่มนวลสุภาพเหมือนนั่งดื่มชาในสวนอังกฤษ...
คุณอาจยังไม่เคยเห็นคนที่ “ต่อรองราคาโรงแรมพันล้านเหมือนซื้อขนมจีบหน้าปากซอย”
.
มันคือ ศิลปะของการเดินเกม บนกระดานที่เดิมพันไม่ใช่แค่เงิน — แต่คืออำนาจ, เวลา, สื่อ และชื่อเสียง
.
ในโลกที่คนดีดเครื่องคิดเลขก่อนกล้าพูด ทรัมป์เป็นคนที่…
.
"พูดก่อน แล้วค่อยหาทางทำให้มันจริงทีหลัง"
.
เขาไม่ได้มาเพื่อสอนการเจรจา
.
แต่เขาจะพาคุณเข้าไปในสมองของคนที่เจรจาเหมือนวาดภาพ และปิดดีลเหมือนกำกับหนังแอคชั่น
.
.
และนี่ก็คือสรุปหนังสือ The Art of the Deal — ฉบับดิบ เดือด และมันส์แบบหมัดต่อหมัด 🎯
.
ลองจินตนาการถึงชายหนุ่มวัย 27 จากควีนส์ ที่กล้าเดินเข้าไปในห้องประชุมของธนาคารยักษ์ใหญ่ในแมนฮัตตันแล้วพูดว่า "ผมจะสร้างตึกระฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในนิวยอร์ก คุณช่วยให้เงินกู้ผมหน่อยได้ไหม?" ขณะที่ตัวเองมีเงินติดกระเป๋าแค่ไม่กี่บาท แถมเมืองกำลังจะล้มละลาย เศรษฐกิจตกต่ำ และทุกคนกำลังหนีออกจากนิวยอร์ก
.
นี่คือโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงต้นอาชีพ — ชายผู้กลายเป็นเจ้าพ่ออสังหาฯ แมนฮัตตันด้วยพลังแห่งความอหังการและวาทศิลป์อันน่าทึ่ง
.
"ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน... ผมทำเพื่อทำมัน ดีลคือศิลปะของผม บางคนวาดภาพได้สวยงาม บางคนเขียนกวีได้วิจิตร ส่วนผม? ผมชอบทำดีล โดยเฉพาะดีลใหญ่ๆ นั่นแหละคือวิธีที่ผมได้ความสุข" (และประโยคหลังๆนี้อาจเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล)
.
.
---------------------------------
.
[ บทที่ 1: คิดใหญ่หรือไม่ต้องคิด ]
.
ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นที่วอร์ตันกำลังอ่านการ์ตูนและหน้ากีฬาในหนังสือพิมพ์ ทรัมป์กลับอ่านประกาศยึดทรัพย์จากสำนักงานเคหะแห่งรัฐบาลกลาง (FHA) อย่างเอาเป็นเอาตาย นั่นคือวิธีที่เขาพบ Swifton Village อพาร์ตเมนต์ขนาด 1,200 ยูนิตในซินซินนาติที่กำลังมีปัญหาหนัก - มีห้องว่าง 800 ห้อง ผู้พัฒนาล้มละลาย รัฐบาลยึดทรัพย์ และทุกอย่างกำลังเละเทะ
.
คนปกติเห็นภาพนี้คงคิด: "โอ้! สวรรค์! นี่มันหายนะชัดๆ!" แต่ทรัมป์ในวัย 21 กลับคิดว่า: "ว้าว! โอกาสทองชัดๆ!"
.
"ผมชอบคิดใหญ่ คนส่วนใหญ่คิดเล็กเพราะพวกเขากลัวความสำเร็จ กลัวการตัดสินใจ กลัวการชนะ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนอย่างผมได้เปรียบมหาศาล"
.
ทรัมป์ซื้อในราคาน้อยกว่า 6 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการที่สร้างในราคา 12 ล้านเพียงสองปีก่อนหน้า ที่น่าข้นคือเขาไม่ได้ลงทุนแม้แต่ดอลล่าร์เดียว! เขากู้เงินเท่ากับราคาซื้อบวกกับอีก 100,000 ดอลลาร์ สำหรับปรับปรุงอพาร์ตเมนต์ นี่เป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมของทรัมป์ที่ว่า: ทำไมต้องใช้เงินเราเมื่อเราสามารถใช้เงินคนอื่นได้?
.
ปัญหาที่ Swifton คือผู้เช่าที่ทำลายทรัพย์สินและไม่จ่ายค่าเช่า ทรัมป์พบว่าพวกเขามักจะขนของหนีกลางดึกด้วยรถบรรทุกเล็ก ดังนั้นเขาจึงตั้ง "ทีมเฝ้ารถบรรทุก" ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้เงินค่าเช่าก่อนที่พวกเขาจะหนี
.
เขาลงทุนเปลี่ยนบานเกล็ดหน้าต่าง ประตู และปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลาง ภายในหนึ่งปี อพาร์ตเมนต์เต็ม 100% ต่อมาเขาขายโครงการให้กับกองทรัสต์การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในราคา 12 ล้านดอลลาร์ — กำไร 6 ล้านจากการลงทุนระยะสั้น ที่เขาแทบไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองเลย
.
.
[ บทที่ 2: พลิกโรงแรมซากเป็นตึกสุดหรู ]
.
ในขณะที่นิวยอร์กเผชิญวิกฤตการเงินยุค 70s ทรัมป์กลับเห็นโอกาสในความหายนะ เขาพบว่าโรงแรมคอมมอดอร์อายุ 50 ปีใกล้สถานีแกรนด์เซ็นทรัลกำลังเจ๊งยับเยิน ในขณะที่นักพัฒนาอื่นๆ วิ่งหนีกันขาขาด
.
โรงแรมแห่งนี้เป็นภาพสะท้อนความเสื่อมโทรมของนิวยอร์ก: ผนังสกปรก ล็อบบี้มืดทึบเหมือนโรงแรมสลัม และร้านค้าปลีกที่ปิดตัวเรียงราย แต่ทรัมป์กลับมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น: ตำแหน่งที่ตั้งเยี่ยมยอด มีคนเดินผ่านนับหมื่นทุกวัน
.
"คนอื่นอาจจะคิดว่านี่เป็นภาพที่น่าหดหู่ แต่ขณะที่ผมเดินเข้าหาโรงแรม สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมคือคนทำงานเสื้อขาวนับพันที่หลั่งไหลออกมาจากสถานีแกรนด์เซ็นทรัล เมืองอาจล้มละลาย แต่สิ่งที่ผมเห็นคือทำเลชั้นเยี่ยม"
.
ทรัมป์ต้องการเปลี่ยนโรงแรมให้เป็น Grand Hyatt แต่เขาเผชิญอุปสรรคสามด้าน: ต้องหาผู้ประกอบการโรงแรมมาร่วมลงทุน ต้องโน้มน้าวเมืองให้ยกเว้นภาษีที่ไม่เคยมีมาก่อน และต้องเชิญชวนธนาคารให้ปล่อยกู้ในขณะที่ไม่มีใครกล้าลงทุนในนิวยอร์ก
.
ทรัมป์ใช้ตรรกะอันแยบยลในการเจรจากับเมือง: "คุณมีสองทางเลือก: โรงแรมร้างและไม่มีภาษี หรือโรงแรมหรูที่สร้างงานพร้อมภาษีในอนาคต" ทรัมป์ยังกดดันเมืองโดยการทำให้เจ้าของโรงแรมประกาศว่าจะปิดตัวลงถาวรหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ
.
ในที่สุด ทรัมป์ก็ได้รับการยกเว้นภาษีทรัพย์สินเป็นเวลา 40 ปี ซึ่งช่วยให้เขาโน้มน้าวธนาคารว่าโครงการจะทำกำไรได้ ที่น่าข้นคือ ทรัมป์ยังแอบใส่ข้อตกลงห้าม Hyatt เปิดโรงแรมอื่นในนิวยอร์กโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขา เป็นตัวอย่างของการมองการณ์ไกลที่น่าทึ่ง
.
"คนมักคิดว่าผมเป็นนักพนัน แต่ผมไม่เคยเล่นการพนันในชีวิต สำหรับผม นักพนันคือคนที่เล่นสล็อตแมชีน ผมชอบเป็นเจ้าของสล็อตแมชีนมากกว่า มันเป็นธุรกิจที่ดีมากที่ได้เป็นเจ้าบ่อน"
.
.
[ บทที่ 3: ทรัมป์ทาวเวอร์ – เมื่อความทะเยอทะยานพุ่งทะลุฟ้า ]
.
ดีลที่ทำให้ทรัมป์กลายเป็นตำนานคือการสร้างทรัมป์ทาวเวอร์ ตึกสูง 68 ชั้นที่ถนนฟิฟท์อเวนิวติดกับทิฟฟานี่ ทรัมป์เริ่มต้นด้วยการเล็งห้างบอนวิต เทลเลอร์ แต่เมื่อเขาเข้าพบประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แฟรงกลิน จาร์แมน เพื่อเสนอซื้อตึก คำตอบที่ได้รับคือ:
.
"คุณบ้าไปแล้ว ถ้าคิดว่าเราจะขายทำเลที่เยี่ยมที่สุดในนิวยอร์ก"
.
แต่ทรัมป์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาส่งจดหมายถึงจาร์แมนหลายสิบฉบับในช่วงสามปีต่อมา แม้จะไม่เคยได้รับการตอบกลับ ทรัมป์เล่าว่า: "ความพยายามอย่างไม่ลดละบ่อยครั้งคือความแตกต่างระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลว"
.
โชคเข้าข้างคนอดทน! ในปี 1978 เจเนสโก้ (เจ้าของบอนวิต) ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จอห์น ฮานิแกน CEO คนใหม่ถูกนำตัวมาเพื่อขายสินทรัพย์ชำระหนี้ธนาคาร ทรัมป์จึงโทรหาเขาทันที และนั่นคือจุดเริ่มต้นของดีลพลิกเกม
.
ทรัมป์ซื้อตึกบอนวิตในราคาที่เขาไม่สามารถเปิดเผยได้ (แต่มีข่าวว่าประมาณ 25 ล้านดอลลาร์) แล้วเริ่มวางแผนสร้างตึกระฟ้าที่จะเปลี่ยนเส้นขอบฟ้านิวยอร์กไปตลอดกาล ความท้าทายต่อไปคือ: การรวบรวมสิทธิในอากาศจากทิฟฟานี่ พื้นที่เพิ่มเติมจากเจ้าของที่ดินข้างเคียง และการต่อสู้เพื่อขอใบอนุญาตแบ่งเขตที่เป็นไปไม่ได้
.
เรื่องเล่าที่น่าสนใจที่สุดคือการเจรจากับวอลเตอร์ โฮวิ่ง เจ้าของทิฟฟานี่ ชายสูงวัยผู้สง่างามที่ไม่เคยขายทรัพย์สินของเขาให้ใคร ทรัมป์พูดด้วยความชาญฉลาด:
.
"ผมเสนอเงิน 5 ล้านเพื่อช่วยรักษาทิฟฟานี่ไว้ คุณขายสิ่งที่คุณไม่เคยใช้ - สิทธิในอากาศ - และเราจะสร้างอาคารสวยๆ ที่ไม่มีใครสามารถทำลายทิฟฟานี่ได้อีกต่อไป"
.
โฮวิ่งตกลง เขาจับมือและให้คำมั่น แม้ว่าภายหลังจะมีบริษัทอื่นเสนอราคาสูงกว่า หรือแม้แต่ Avon ที่กำลังจะซื้อทิฟฟานี่และขอให้โฮวิ่งยกเลิกข้อตกลงกับทรัมป์ แต่โฮวิ่งปฏิเสธ ทรัมป์เล่าว่า: "ในโลกอสังหาริมทรัพย์นิวยอร์ก คุณจะเจอทั้งคนที่เป็นเหยื่อและคนที่เป็นนักล่า ใครจะรู้ว่าผมจะได้พบสุภาพบุรุษแท้ๆ อย่างวอลเตอร์ โฮวิ่ง"
.
เมื่อได้ที่ดินและสิทธิในอากาศที่ต้องการ ทรัมป์ต้องต่อสู้กับเขตผังเมืองที่พยายามขัดขวางตึกขนาดใหญ่ของเขา ทรัมป์ตัดสินใจเล่นไพ่ใบสุดท้าย: ชวนนักวิจารณ์สถาปัตยกรรมที่ทรงอิทธิพลของนิวยอร์กไทมส์ อะดา หลุยส์ ฮักซ์เทเบิล มาดูแบบจำลอง
.
ฮักซ์เทเบิลซึ่งโดยปกติจะเกลียดตึกระฟ้า กลับเขียนบทวิจารณ์ว่า: "นี่คืออาคารที่งดงามอย่างน่าทึ่ง" และนั่นทำให้เขตผังเมืองไม่กล้าปฏิเสธโครงการทรัมป์ทาวเวอร์อีกต่อไป
.
การก่อสร้างเป็นไปอย่างหรูหรา ทรัมป์เลือกหินอ่อน Breccia Perniche สีชมพูหายากสำหรับลานอเนกประสงค์ 6 ชั้น และยืนกรานว่าต้องใช้ทองเหลืองแทนอลูมิเนียมสำหรับราวบันได แม้จะแพงกว่ามาก:
.
"ถ้าคุณอยากขายรถในราคาสูงขึ้น 400 ดอลลาร์ คุณแค่จ่าย 5 ดอลลาร์ล้างและขัดมัน แล้วใช้แรงขัดนิดหน่อย นั่นคือเสน่ห์ของความสะอาดและคุณภาพ"
.
เมื่อเปิดขาย อพาร์ตเมนต์ขายในราคาสูงลิบลิ่ว ห้องสองห้องนอนราคา 1.5 ล้านดอลลาร์ และได้ดาราดังมาซื้อมากมาย ทรัมป์ไม่เคยลดราคาเพื่อดึงดูดคนดัง เพราะเขารู้ว่า:
.
"สิ่งที่คนรวยพวกนี้สนใจไม่ใช่ดีลที่ดี แต่เป็นการได้สิ่งที่ดีที่สุด เมื่อคุณซื้อบ้าน คุณอยากได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่ดีลที่ดีที่สุด"
.
ทรัมป์ทาวเวอร์สร้างกำไรราว 50 ล้านดอลลาร์ และกลายเป็นแลนด์มาร์กของนิวยอร์ก ซึ่งทรัมป์เล่าว่า: "บางคนเกลียดอาคารของผม บางคนรัก แต่ไม่มีใครเมินเฉย และนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ"
.
.
[ บทที่ 4: เมื่อทรัมป์ผันตัวเป็นเจ้าพ่อคาสิโน ]
.
ในปี 1980 ทรัมป์ได้ยินว่าคาสิโนลาสเวกัสของฮิลตันสร้างกำไร 40% ของบริษัททั้งหมด ทำให้เขาตระหนักว่า: "โรงแรมนิวยอร์กฮิลตันที่ใหญ่โตสร้างกำไรน้อยกว่า 1% ขณะที่คาสิโนเล็กๆ ในทะเลทรายสร้างได้ 40% มันชัดเจนว่าผมควรไปทางไหน"
.
ทรัมป์มุ่งหน้าสู่แอตแลนติกซิตี้และเห็นลู่ทางในสถานที่ที่ยังไม่มีใครพัฒนา: ที่ดิน 2.5 เอเคอร์ตรงกลาง Boardwalk บริเวณที่คนเดินเข้าออกจากเมือง ปัญหาคือที่ดินแปลงนี้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเจ้าของหลายราย และมีปัญหาทางกฎหมายซับซ้อน
.
แทนที่จะถอย ทรัมป์ลุยเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง เขาเจรจากับเจ้าของแต่ละรายโดยดีลของแต่ละคนขึ้นอยู่กับว่าเขาจะได้ทุกส่วนหรือไม่ เขาทำงานกว่า 28 ชั่วโมงติดต่อกันในวันปิดดีล จนได้ที่ดินที่ดีที่สุดในเมือง
.
"ในการเจรจาใดๆ คุณต้องมีจุดยืนและจุดจบที่ชัดเจน สิ่งที่แย่ที่สุดคือแสดงให้เห็นว่าคุณกระหายที่จะปิดดีล นั่นทำให้อีกฝ่ายได้กลิ่นเลือด และคุณก็แพ้ทันที"
.
เมื่อได้ที่ดินแล้ว ทรัมป์ทำในสิ่งที่ไม่มีใครในอุตสาหกรรมคาสิโนเคยทำ: เขารอให้ได้รับใบอนุญาตก่อนเริ่มก่อสร้าง ซึ่งเขาอธิบายว่า: "ผมไม่ต้องการเสี่ยงหลายร้อยล้านโดยอาจไม่ได้ใบอนุญาตในท้ายที่สุด" เขายังเข้าใจจิตวิทยาของการเมืองมากพอที่จะรู้ว่า หากลงทุนไปแล้ว เขาจะอยู่ในตำแหน่งต่อรองที่อ่อนแอกว่า
.
การขอใบอนุญาตไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากเพลย์บอยถูกปฏิเสธใบอนุญาตเพราะข้อกล่าวหาเรื่องสินบนเมื่อ 20 ปีก่อน ทรัมป์รู้ว่าต้องระมัดระวัง เขาและโรเบิร์ต น้องชาย ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ในที่สุดก็ผ่านด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์
.
เมื่อเริ่มการก่อสร้าง มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ไมเคิล โรส ประธานฮอลิเดย์อินน์ติดต่อทรัมป์เพื่อขอพบ ทรัมป์คิดว่าโรสต้องการซื้ออาคารอื่นของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าโรสต้องการเป็นพาร์ทเนอร์ในคาสิโนแอตแลนติกซิตี้! ฮอลิเดย์อินน์มีประสบการณ์ด้านคาสิโนแต่มีปัญหาการก่อสร้างเกินงบในโครงการก่อนหน้า พวกเขาต้องการทักษะการก่อสร้างของทรัมป์
.
ข้อเสนอของโรสทำให้ทรัมป์อึ้ง: ฮอลิเดย์อินน์จะลงทุน 50 ล้านดอลลาร์ คืนเงินที่ทรัมป์ลงทุนไปแล้ว 22 ล้าน รับประกันเงินกู้ 170 ล้าน แบ่งกำไร 50-50 และรับประกันว่าทรัมป์จะไม่ขาดทุนเป็นเวลา 5 ปี ทรัมป์ไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย!
.
ก่อนที่คณะกรรมการบริหารฮอลิเดย์อินน์จะมาเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้าง ทรัมป์รู้ว่าต้องทำให้พวกเขาประทับใจ เขาโทรหาผู้จัดการก่อสร้างและสั่งว่า:
.
"ผมต้องการให้คุณหารถบรรทุกและรถขุดทุกคันที่คุณหาได้ และเอามาไว้ที่ไซต์ทันที ใน 1 สัปดาห์ ผมต้องการให้ที่ดิน 2 เอเคอร์ของเรากลายเป็นไซต์ก่อสร้างที่คึกคักที่สุดในประวัติศาสตร์โลก พวกเขาจะขุดดินฝั่งหนึ่งแล้วไปกองอีกฝั่งก็ได้ ขอแค่ให้มันดูเหมือนกำลังเกิดอะไรขึ้น"
.
กรรมการฮอลิเดย์อินน์มาถึงและตะลึงกับกิจกรรมมากมาย หนึ่งในกรรมการถึงกับพูดว่า: "มันวิเศษจริงๆ เมื่อคุณเป็นบริษัทเอกชนและสามารถทุ่มสุดตัวได้แบบนี้" แต่อีกคนสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ: "ทำไมคนงานคนนั้นถมดินลงในหลุมที่เพิ่งขุดไปเมื่อกี้?"
.
ทรัมป์แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แต่โชคดีที่กรรมการคนนั้นสงสัยมากกว่าจะสงสัย ฮอลิเดย์อินน์ตกลงร่วมทุน และโดนัลด์กลายเป็นเจ้าของคาสิโนอย่างเป็นทางการ
.
"บางครั้งการบรรลุข้อตกลงเป็นเรื่องของจังหวะเวลามากกว่าอื่นใด ถ้าคุณอยู่ในสถานที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม โชคอาจเข้าข้างคุณก็ได้"
.
ทรัมป์พลาซ่าเปิดในปี 1984 ตรงเวลาและไม่เกินงบประมาณ ทำลายสถิติของเกือบทุกคาสิโนในแอตแลนติกซิตี้ แต่ไม่นานทรัมป์ก็เริ่มมีปัญหากับการจัดการของฮอลิเดย์อินน์ เขาไม่พอใจกับรายได้ที่ต่ำกว่าศักยภาพ และสุดท้ายในปี 1986 เขาซื้อหุ้นของฮอลิเดย์อินน์ด้วยเงิน 73 ล้านดอลลาร์ และได้เป็นเจ้าของคาสิโนเต็มตัว
.
ทรัมป์ยังซื้อหุ้นบริษัทฮอลิเดย์อินน์เอง ทำให้บริษัทต้องใช้ "ยาพิษ" (poison pill) เพื่อป้องกันการเข้าซื้อกิจการ เขาขายหุ้นออกหลังจากราคาพุ่งสูงขึ้น ทำกำไรหลายสิบล้าน เป็นการตอบแทนที่หวานชื่นหลังจากฮอลิเดย์อินน์พยายามเอาเปรียบเขา
.
.
[ บทที่ 5: ทรัมป์'ส คาสเซิล – ชนะเมื่อทุกคนคิดว่าแพ้ ]
.
ในปี 1985 ทรัมป์นั่งในออฟฟิศของเขาเมื่อได้รับโทรศัพท์จากอัล กลาสโกว์ ผู้จัดทำจดหมายข่าวธุรกิจคาสิโน: "คุณได้ยินเรื่องฮิลตันหรือยัง? พวกเขาถูกปฏิเสธใบอนุญาตคาสิโน!"
.
นี่เป็นข่าวที่น่าตกใจ บารอน ฮิลตัน กำลังสร้างคาสิโนมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ในแอตแลนติกซิตี้ และเกือบเสร็จแล้ว แต่คณะกรรมการควบคุมคาสิโนกลับลงมติ 3-2 ปฏิเสธการออกใบอนุญาต เนื่องจากความเชื่อมโยงกับนักกฎหมายที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ทรัมป์เห็นโอกาสและโทรหาบารอน ฮิลตัน
.
"มันเป็นโทรศัพท์ปลอบใจ แต่ก่อนวางสาย ผมบอกฮิลตันว่า: 'ฟังนะ ถ้าคุณคิดจะขายสถานที่ ผมสนใจซื้อในราคาที่เหมาะสม'"
.
สองเดือนต่อมา ทรัมป์เข้าประชุมกับฮิลตันและเสนอราคา 250 ล้านดอลลาร์ ฮิลตันปฏิเสธ ทรัมป์เพิ่มเป็น 320 ล้าน และฮิลตันยอมรับ ทรัมป์เล่าว่า:
.
"ผมได้มาโดยแทบไม่ได้เดินไปดูอาคารเลย! พ่อของผมคงคิดว่าผมบ้าไปแล้ว ผมจำได้ว่าตอนเด็ก พ่อพาผมไปตรวจอาคารที่กำลังจะซื้อในบรูคลิน แม้จะมีราคาเพียง 100,000-200,000 ดอลลาร์ เราก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงเช็คทุกตู้เย็น ทุกอ่างล้างจาน ดูห้องหม้อน้ำและหลังคา แต่ผมกลับซื้อคาสิโน 320 ล้านโดยแทบไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน"
.
ทุกคนคิดว่าทรัมป์บ้า แต่เขามั่นใจในสัญชาตญาณของตัวเอง เขาขอสินเชื่อ 425 ล้านดอลลาร์จากแมนูแฟคเจอเรอร์ ฮาโนเวอร์ ซึ่งให้เขาใน 48 ชั่วโมง โดยมีเงื่อนไขว่าทรัมป์ต้องค้ำประกันเงินกู้ส่วนตัว
.
ที่น่าทึ่งคือเขาจัดทีมเปิดคาสิโนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ภายในเวลาแค่ 6 สัปดาห์ ทรัมป์เปลี่ยนชื่อเป็น "ทรัมป์'ส คาสเซิล" และมอบหมายให้ภรรยาของเขา อีวานา เป็นผู้บริหาร หลายคนสงสัยในการตัดสินใจนี้ แต่อีวานาพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนคิดผิด:
.
"อีวานาเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม เธอจ้างแต่คนที่ดีที่สุดในแอตแลนติกซิตี้ ตั้งแต่พนักงานจนถึงผู้บริหารระดับสูง ไม่มีรายละเอียดไหนหลุดสายตาเธอ เธอดูแลการตกแต่งพื้นที่สาธารณะ ซึ่งตอนนี้ดูสวยงามอย่างน่าทึ่ง สถานที่สะอาดเสมอเพราะเธอพิถีพิถันแม้กระทั่งเรื่องนั้น"
.
ภายในปีแรก ทรัมป์'ส คาสเซิลมีรายได้ 226 ล้านดอลลาร์ และกำไรมากกว่า 40 ล้าน นั่นคือผลตอบแทนมหาศาลสำหรับการลงทุนที่คนอื่นมองว่าบ้าบิ่น
.
"ผมไม่คิดว่าการแพ้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และผมจะทำทุกอย่างเพื่อชนะ ทำไมคุณต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง? ถ้าพวกเขาฉลาดจริง เขาจะเห็นด้วยกับคุณ ถ้าไม่ พวกเขาก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว"
.
.
[ บทที่ 6: สงครามที่ Central Park South - ผู้เช่าเล็กชนะนักพัฒนายักษ์... หรือเปล่า? ]
.
ทรัมป์ซื้ออาคาร 100 Central Park South และโรงแรมบาร์บิซอน-พลาซ่าข้างๆ ในปี 1981 ด้วยแผนที่จะรื้อทั้งสองและสร้างคอนโดหรู แต่มีปัญหาหนึ่ง: ผู้เช่าประมาณ 80 รายในอาคารอพาร์ตเมนต์ไม่ยอมย้ายออก
.
"สิ่งที่ผมไม่ได้คาดการณ์คือว่าผู้เช่าเหล่านี้จะสูญเสียอะไรบ้าง ค่าเช่าต่ำเท่าไร อพาร์ตเมนต์ใหญ่แค่ไหน และทำเลดีขนาดไหน พวกเขายิ่งจะสู้หนักเพื่อรักษามันไว้"
.
ทำไมพวกเขาถึงสู้หนัก? เพราะพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมค่าเช่า จ่ายค่าเช่าเพียงเศษเสี้ยวของราคาตลาด! ทรัมป์เล่าถึงอพาร์ตเมนต์หกห้องหน้าพาร์คที่นักออกแบบเสื้อผ้า อาร์โนลด์ สคาซี่ จ่ายเพียง 985 ดอลลาร์ต่อเดือน — ประมาณราคาห้องสตูดิโอขนาดเล็กในตลาดเสรี
.
ทรัมป์พยายามใช้ทั้งแครอทและไม้แข็ง เสนอเงินช่วยย้าย หรือข่มขู่ว่าจะเปลี่ยนอาคารเป็นที่พักสำหรับคนไร้บ้าน ผู้เช่าตอบโต้โดยการฟ้องร้องว่าถูกคุกคาม สร้างคณะกรรมการผู้เช่า และจ้างทนายความที่แข็งแกร่ง
.
การต่อสู้กลายเป็นสงครามในสื่อ ซึ่งทรัมป์เผชิญหน้ากับผู้เช่ารวย โดยมีจอห์น มัวร์ เป็นผู้นำ ทรัมป์อธิบายมัวร์ว่า:
.
"ชายวัย 40 กว่าที่มาจากครอบครัวร่ำรวยและมีฐานะทางสังคม แต่ตัวเองไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ผมเชื่อเสมอว่าการนำผู้เช่าทำให้เขารู้สึกมีประโยชน์และสำคัญ แน่นอนว่าเขามีสิ่งมีค่ามากที่ต้องปกป้อง: อพาร์ตเมนต์สองห้องนอนวิวสวนสวยที่เขาจ่ายค่าเช่าน้อยมาก"
.
การต่อสู้ทางกฎหมายดำเนินไปหลายปี ในระหว่างนั้น ตลาดอสังหาฯนิวยอร์กปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งในที่สุดทำให้ทรัมป์เปลี่ยนแผน เขาตัดสินใจบูรณะบาร์บิซอน-พลาซ่าแทน โดยเปลี่ยนเป็นอาคารคอนโดหรูชื่อ "ทรัมป์พาร์ค" และปล่อยให้ผู้เช่าใน 100 Central Park South อยู่ต่อไป
.
"บางครั้งการแพ้ในสงครามกลับทำให้คุณพบวิธีใหม่ในการชนะสงคราม สิ่งที่คุณต้องการคือเวลาและโชคเล็กน้อย ผมมีทั้งสองอย่างที่ 100 Central Park South"
.
ในการบูรณะบาร์บิซอน-พลาซ่า ทรัมป์พบว่าการรื้ออาคารและสร้างใหม่จะทำให้ได้อาคารเล็กกว่าเดิมเนื่องจากกฎการแบ่งเขตใหม่ แทนที่จะเสียเงิน 250 ล้านเพื่อสร้างอาคารเล็กลง เขาจึงเลือกบูรณะใช้เงินเพียง 100 ล้าน แต่ยังคงความสูงและรายละเอียดดั้งเดิมไว้
.
"ผมตัวดีเรื่องเจอโอกาสในความท้าทาย ผมอาจจะเสียผู้เช่า แต่ที่ดินได้เพิ่มมูลค่าขึ้นห้าเท่าในเวลาเดียวกัน ผมจะสร้างคอนโดทรัมป์พาร์คที่ขายในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ และยังคงมี 100 Central Park South เป็นแหล่งรายได้ค่าเช่า นั่นเรียกว่าการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส"
.
.
[ บทที่ 7: ลานสเก็ตวูลแมน – เมื่อเอกชนอายเมือง ]
.
ตลอดหกปี เมืองนิวยอร์กพยายามซ่อมลานสเก็ตน้ำแข็งวูลแมนในเซ็นทรัลพาร์ค ใช้เงินไปกว่า 13 ล้านดอลลาร์ แต่กลับล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในปี 1986 เมืองประกาศว่าจะเริ่มต้นใหม่หมด และอาจเปิดได้ในอีกสองปี
.
ทรัมป์มองเห็นจากอพาร์ตเมนท์ของเขาและรู้สึกหงุดหงิด เขาเขียนจดหมายถึงนายกเทศมนตรีเอ็ด คอช:
.
"เรียน เอ็ด... การสร้างลานสเก็ต ซึ่งโดยพื้นฐานเกี่ยวข้องกับการเทพื้นคอนกรีตเหนือท่อทำความเย็น ไม่ควรใช้เวลาเกินสี่เดือน การได้ยินว่าหลังจากหกปี จะใช้เวลาอีกสองปี เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้... ผมเสนอที่จะสร้างและจ่ายเงินสำหรับลานสเก็ตน้ำแข็งวูลแมนใหม่ทั้งหมด และเปิดให้สาธารณชนภายในเดือนพฤศจิกายนปีนี้"
.
นายกฯ คอชตอบกลับด้วยจดหมายเย้ยหยัน อ้างว่าทรัมป์ต้องการแค่ผลกำไร แล้วเผยแพร่จดหมายสู่สาธารณะ เขานึกว่าทรัมป์จะถอย แต่กลับทำให้สื่อโกรธแทน! นักข่าวทุกสำนักโจมตีคอชที่ปฏิเสธข้อเสนอช่วยเหลือฟรี
.
"ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการติดต่อกับนักการเมืองตลอดหลายปี คือสิ่งเดียวที่รับประกันว่าจะทำให้พวกเขาลงมือทำคือสื่อ - หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกลัวสื่อ คุณอาจกดดันได้ทุกทาง ขอร้อง ขู่ บริจาคเงินก้อนใหญ่ให้แคมเปญ และโดยทั่วไปก็ไม่ได้อะไร แต่แค่ยกประเด็นความเป็นไปได้ที่จะได้รับข่าวร้าย แม้ในสิ่งพิมพ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก นักการเมืองส่วนใหญ่ก็จะกระโดดทันที"
.
ภายใต้แรงกดดันจากสื่อ คอชยอมจำนน และทรัมป์เข้ามารับงาน เขาเสนอให้เงิน 3 ล้านดอลลาร์สำหรับการก่อสร้าง และจะได้รับการชดใช้คืนเมื่องานเสร็จและลานสเก็ตใช้งานได้ ถ้าเกินงบประมาณ ทรัมป์จะจ่ายส่วนเกินเอง ถ้าต่ำกว่างบประมาณ เมืองจะจ่ายแค่ที่ใช้จริง
.
ทรัมป์เล่าถึงการค้นพบความไร้ประสิทธิภาพที่น่าตกใจ:
.
"เมืองเลือกระบบทำความเย็นแบบฟรีออนที่ล้ำสมัยแต่ละเอียดอ่อนและยากต่อการบำรุงรักษา แทนที่จะใช้ระบบน้ำเกลือที่พิสูจน์แล้วซึ่งใช้กันมานานหลายทศวรรษ พวกเขาออกแบบลานสเก็ตให้ลาดเอียงเพื่อให้เป็นสระสะท้อนในฤดูร้อน โดยไม่คำนึงว่าน้ำที่ลึกไม่เท่ากันจะแข็งตัวไม่สม่ำเสมอ พวกเขาปล่อยให้ท่อทองแดงราคาแพงโดนสภาพอากาศรุนแรงเป็นเวลาเก้าเดือนโดยไม่มีการป้องกัน และเมื่อเกิดปัญหารั่ว พวกเขาใช้เครื่องเจาะคอนกรีตสร้างหลุมใหญ่ ซึ่งทำให้ท่อเสียหายมากขึ้น"
.
แทนที่จะใช้ตำราเดิม ทรัมป์ย้อนกลับไปใช้ระบบน้ำเกลือที่พิสูจน์แล้ว จ้างบริษัทแคนาดาที่ดีที่สุดในการสร้างลานสเก็ต และชักชวนห้างสรรพสินค้า Chase Manhattan ให้ปล่อยกู้โดยไม่คิดกำไร เขาสร้างพื้นใหม่เหนือของเดิม วางท่อใหม่ 22 ไมล์ และเทคอนกรีตภายในสิบชั่วโมง
.
ลานสเก็ตเปิดในเดือนพฤศจิกายน 1986 เร็วกว่ากำหนดหนึ่งเดือนและต่ำกว่างบประมาณ 750,000 ดอลลาร์! หลังจากที่เมืองทำนายว่าลานสเก็ตจะขาดทุน ปีแรกกลับทำกำไรเกือบ 500,000 ดอลลาร์ ที่บริจาคให้การกุศลทั้งหมด
.
ทรัมป์สรุปบทเรียน:
.
"ผมไม่ปฏิเสธว่ากฎหมายจัดซื้อจัดจ้างและกฎหมายวิคส์ทำให้เมืองเสียเปรียบ แต่ผมเชื่อว่าปัญหาใหญ่กว่าคือความเป็นผู้นำ ผมรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่าวิธีเดียวที่จะทำให้แม้แต่ผู้รับเหมาที่ดีที่สุดเสร็จงานตรงเวลาและตรงงบประมาณคือการกดดันพวกเขาอย่างหนัก คุณสามารถทำงานใดก็ได้สำเร็จด้วยพลังของความตั้งใจ — และด้วยการรู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร"
.
.
[ บทที่ 8: เทเลวิชั่นซิตี้ – ฝันใหญ่ริมแม่น้ำฮัดสัน ]
.
ในปี 1974 ทรัมป์ได้สิทธิ์ซื้อที่ดิน 78 เอเคอร์ริมแม่น้ำฮัดสัน — ใหญ่สุดในแมนฮัตตัน!
แต่เจอวิกฤตเมืองนิวยอร์ก + ไม่มีงบสนับสนุน = โปรเจกต์ล่ม
.
ทรัมป์ปล่อยดีลหลุดมือ และที่ดินนี้ก็ไปตกกับ “พ่อพระแห่งการยอมทุกอย่าง” ฟรานโก มากรี
ที่ยอมจ่ายให้เมืองจนแทบจะขอร้องให้เรียกเก็บเพิ่ม
.
“มากรีจ่ายให้ทุกอย่างที่เมืองขอ — เหมือนแจกคูปองฟรีกับทุกคนที่เดินผ่าน”
.
สุดท้ายปี 1985 มากรีเจ๊ง ทรัมป์ซื้อที่ดินคืนในราคา 100 ล้านดอลลาร์ และบอกกับตัวเองว่า
“ไหนๆ ก็ซื้อแล้ว…งั้นขอสร้างตึกสูงที่สุดในโลกไปเลยละกัน”
.
ชื่อโครงการ: Television City
เป้าหมาย: ดึง NBC มาย้ายสำนักงานใหญ่จาก Rockefeller Center
กลยุทธ์: ให้พื้นที่ฟรีบางส่วน + ทำให้เมืองกดไลก์ + เจรจาเลี่ยงภาษีแบบมีกึ๋น
.
แต่...เมืองไม่ยอมเล่นด้วย เพราะคอช (นายกฯ NYC) ยังเคืองที่โดนทรัมป์แย่งซีนเรื่องลานสเก็ต
.
“เขาไม่อยากทำดีลกับผม ไม่ว่าดีลนั้นจะดีแค่ไหนก็ตาม” – ทรัมป์กัดกลับ
.
NBC ไม่มา...แต่ทรัมป์ยังไม่ถอย
เขาปรับโครงการเป็น Trump City แล้วเดินเกมใหม่เพื่อเปลี่ยนผังเมือง
แม้จะโดนชุมชนต่อต้านจนกลายเป็น “ละครหลังข่าว” เขาก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า:
.
“แม้ไม่ได้สร้างตึกสูงที่สุดในโลก ผมก็ยังได้ดีล ได้ดิน และได้ความสนใจ”
.
.
[ บทที่ 9: USFL – เกมที่ไม่มีกรรมการยุติธรรม ]
.
ปี 1983 ทรัมป์ซื้อทีม New Jersey Generals ในลีกฟุตบอลนอกสายตา USFL
ในขณะที่ทีมอื่นพยายามประหยัด ทรัมป์เลือกเดินเกมแบบ กู้โลกผ่านกีฬา
.
- เซ็น Brian Sipe, Doug Flutie, และ Lawrence Taylor แบบยื่นเช็คตัวเอง
- กดดันให้ย้ายฤดูกาลมาแข่งชน NFL โดยตรง (เพราะ...จะสู้ทั้งที ก็ต้องเจอของจริง)
.
“NFL หยิ่งยโสและพอใจตัวเอง ผมแค่อยากสอนบทเรียนให้พวกเขา”
.
เขาพา USFL ฟ้อง NFL ข้อหาผูกขาด เรียกค่าเสียหาย 1.3 พันล้าน
คณะลูกขุนตัดสินว่า NFL ผิดจริง...แล้วให้ค่าเสียหาย 1 ดอลลาร์ (ใช่ครับ หนึ่ง)
.
“มันเป็นชัยชนะที่ไร้ผล– ผิดจริง แต่ไม่โดนอะไรเลย”
.
ทรัมป์หัวเราะไม่ออก แต่ก็ไม่ร้องไห้
.
“คุณทำดีที่สุดแล้ว ถ้าไม่ได้ผล…ก็เดินหน้าต่อไปยังสิ่งถัดไป”
.
สุดท้าย USFL ปิดฉาก
นักเตะย้ายเข้ารัง NFL กันเรียบ แต่ทรัมป์ก็ยังได้บทเรียนราคาไม่แพงว่า
.
อย่าท้ารบกับจักรวรรดิ ถ้าคุณยังไม่มีทีวีในมือ
.
.
---------------------------------------------
.
[ หลักในการทำดีล – ตัวชี้วัดความสำเร็จของทรัมป์ ]
.
ทรัมป์สรุปปรัชญาการทำดีลของเขาเป็น 11 หลักการสำคัญ ซึ่งเป็นสูตรที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์:
.
1. คิดใหญ่ "ถ้าคุณจะคิดอยู่แล้ว คุณควรคิดใหญ่ คนส่วนใหญ่คิดเล็ก เพราะพวกเขากลัวความสำเร็จ กลัวการตัดสินใจ กลัวการชนะ นั่นทำให้คนอย่างผมได้เปรียบมาก"
.
2. ปกป้องด้านลบ แล้วด้านบวกจะดูแลตัวเอง "ผมเชื่อในพลังของการคิดเชิงลบ ผมอนุรักษ์นิยมมากในธุรกิจ ผมมักเข้าดีลด้วยการคาดการณ์สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ถ้าคุณวางแผนรับมือกับสิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ดีจะจัดการตัวมันเอง"
.
3. เพิ่มทางเลือกให้มากที่สุด "ผมปกป้องตัวเองด้วยความยืดหยุ่น ผมไม่เคยผูกติดกับดีลเดียวหรือแนวทางเดียว ผมจัดการหลายๆ ลูกบอลในอากาศ เพราะดีลส่วนใหญ่ล้มเหลว ไม่ว่าจะดูมีแนวโน้มดีแค่ไหนในตอนแรก เมื่อผมทำดีล ผมมักคิดแนวทางอย่างน้อยครึ่งโหลเพื่อให้มันสำเร็จ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้"
.
4. รู้จักตลาดของคุณ "บางคนมีสัมผัสรับรู้ตลาด บางคนไม่มี ผมไม่จ้างนักวิเคราะห์ตัวเลขมากนัก และผมไม่เชื่อการสำรวจตลาดหรูหรา ผมทำการสำรวจเอง และสรุปด้วยตัวเอง มันเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่การศึกษาตลาด"
.
5. ใช้อำนาจต่อรองของคุณ "สิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณทำได้ในดีลคือแสดงให้เห็นว่าคุณสิ้นหวังที่จะทำมัน นั่นทำให้อีกฝ่ายได้กลิ่นเลือด และคุณก็แพ้ทันที สิ่งที่ดีที่สุดคือเจรจาจากจุดแข็ง และอำนาจต่อรองคือจุดแข็งที่ใหญ่ที่สุดที่คุณมีได้"
.
6. พัฒนาทำเลที่ตั้งของคุณ "แนวคิดที่เข้าใจผิดมากที่สุดในวงการอสังหาริมทรัพย์คือกุญแจสู่ความสำเร็จคือทำเล ทำเล ทำเล คุณไม่จำเป็นต้องมีทำเลที่ดีที่สุด สิ่งที่คุณต้องการคือดีลที่ดีที่สุด คุณสามารถสร้างทำเลให้ดีขึ้นได้ด้วยการโปรโมทและจิตวิทยา"
.
7. กระจายข่าว "คุณอาจมีผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุดในโลก แต่ถ้าไม่มีใครรู้จักมัน มันก็ไม่มีค่า คุณต้องสร้างความสนใจ และสร้างความตื่นเต้น ผมเรียกมันว่า 'การโอ้อวดที่จริงใจ' มันเป็นรูปแบบของการเกินจริงที่ไร้เดียงสา—และเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากของการโปรโมท"
.
8. สู้กลับ "แม้ว่าการเน้นด้านบวกจะคุ้มค่า แต่บางครั้งทางเลือกเดียวคือการเผชิญหน้า ในกรณีส่วนใหญ่ผมเข้ากับคนง่ายมาก ผมดีกับคนที่ดีกับผม แต่เมื่อคนปฏิบัติกับผมอย่างแย่หรือไม่ยุติธรรม หรือพยายามเอาเปรียบผม ทัศนคติทั่วไปของผมตลอดชีวิตคือการสู้กลับอย่างรุนแรง"
.
9. ส่งมอบสินค้า "คุณไม่สามารถหลอกลวงผู้คนได้ อย่างน้อยก็ไม่นาน คุณสามารถสร้างความตื่นเต้น คุณสามารถทำการโปรโมทที่ยอดเยี่ยมและได้รับการประชาสัมพันธ์ทุกประเภท และคุณสามารถใส่การโอ้อวดเล็กน้อย แต่ถ้าคุณไม่ส่งมอบสินค้า ผู้คนจะจับได้ในที่สุด"
.
10. ควบคุมต้นทุน "ผมเชื่อในการใช้จ่ายตามที่คุณต้องมี แต่ผมก็เชื่อในการไม่ใช้จ่ายมากเกินไป เมื่อผมกำลังสร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ประหยัด และเพียงพอ เพื่อให้คุณสามารถปล่อยเช่าและทำเงินได้"
.
11. สนุกกับมัน "ผมไม่หลอกตัวเอง ชีวิตเปราะบางมาก และความสำเร็จไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น ถ้ามีอะไร ความสำเร็จทำให้มันเปราะบางมากขึ้น อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีเตือน และนั่นคือเหตุผลที่ผมพยายามไม่เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินไป เงินไม่เคยเป็นแรงจูงใจใหญ่สำหรับผม ยกเว้นเป็นวิธีติดตามคะแนน ความตื่นเต้นที่แท้จริงคือการเล่นเกม"
.
.
-------------------------------------
.
และนี่คือศิลปะแห่งดีล...
.
ที่ไม่ได้เขียนด้วยลายมือในห้องประชุม แต่ถูกตะโกนผ่านโทรศัพท์เสียงดังตอนเที่ยงคืน
.
ถูกต่อรองกลางกองดิน ถูกจรดปากกาหน้าสื่อ และบางทีก็ถูกแอบขุดใหม่ฝั่งตรงข้าม (แค่ให้ดูว่างานกำลังไปได้สวย)
.
ในโลกที่คนส่วนใหญ่ยังลังเลจะสั่ง Grab หรือ Lineman
.
ทรัมป์ต่อรองซื้อโรงแรมพันล้านโดยใช้เงินคนอื่น แล้วบอกว่า “ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน...ผมทำเพื่อมันส์กับเกมนี้ต่างหาก”
.
เพราะสำหรับเขา...
.
“การเจรจาไม่ใช่เรื่องของตัวเลขเท่านั้น แต่มันคือการแสดง, มายากล, และบางทีก็ศิลปะการสะกดใจแบบกลอกตาเล็กน้อย”
.
และถ้าคุณได้อะไรจากทรัมป์และบทความนี้...
.
ไม่ใช่แค่สูตรลับในการปิดดีล หรือการเสียเงินค่ากาแฟ 3 แก้ว เพื่ออ่านให้จบ
.
แต่คือแนวคิดว่า — อย่าคิดเล็ก ถ้าคุณต้องคิดอยู่แล้ว
.
เพราะเขาคือคนที่เชื่อว่า “บางทีความเว่อร์ก็คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด”
.
.
.
.
#SuccessStrategies