ประวัติย่อของสงครามเย็นและการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ : มหากาพย์แห่งความโง่เขลาที่เกือบเผาโลกให้มอดไหม้

ประวัติย่อของสงครามเย็นและการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ : มหากาพย์แห่งความโง่เขลาที่เกือบเผาโลกให้มอดไหม้
.

.
หลังจากที่โลกเพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาหมาดๆ ใครจะไปคิดว่าเราจะได้เห็นการต่อสู้ระดับตำนานอีกครั้ง
.
คู่ชกนี้ไม่ได้ลงมือชกกันตรงๆ พวกเขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าถ้าต่อยกันจริงๆ อาจจะทำให้ทั้งคู่น็อคพร้อมกัน แถมยังอาจพาโลกทั้งใบไปนอนเล่นบนพื้นสังเวียนด้วย พวกเขาเลยเลือกที่จะใช้ประเทศเล็กๆ เป็นนักมวยตัวแทน ส่งไปชกแทนในสงครามตัวแทนต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี เวียดนาม หรือแม้แต่อัฟกานิสถาน (ซึ่งในบทความนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องสงครามเหล่านี้นะครับ เพราะมันจะยาวเกิน)
.
มันเหมือนกับการที่คุณกับเพื่อนทะเลาะกัน แต่แทนที่จะต่อยกันเอง กลับไปหาเด็กข้างบ้านมาต่อยแทน สวมนวมให้ แล้วยืนดูอยู่ข้างๆ พร้อมกับตะโกนเชียร์ นี่แหละคือสงครามเย็นในเวอร์ชั่นย่อยง่าย
.

.
------------------------
.
สหรัฐฯ vs โซเวียต
.

.
6 สิงหาคม 1945 โลกของเราเปลี่ยนไปตลอดกาล ไม่ใช่เพราะมีใครคิดค้นวิธีรักษามะเร็งได้ หรือพบวิธีกำจัดความหิวโหยทั่วโลก แต่เป็นเพราะสหรัฐอเมริกาตัดสินใจทิ้งระเบิดที่มีชื่อน่ารักว่า "ลิตเติ้ลบอย" ลงที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ตามด้วย "แฟตแมน" ที่นางาซากิในอีก 3 วันต่อมา
.
สงครามโลกครั้งที่สองอาจจะจบลง แต่การแข่งขันครั้งใหม่ที่น่ากลัวยิ่งกว่ากำลังจะเริ่มต้นขึ้น จากซากปรักหักพังของสงครามโลก สองมหาอำนาจใหม่ได้ผงาดขึ้นมา: สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา
.
พวกเขาเคยจับมือกันต่อสู้กับนาซีเยอรมนี แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคู่ปรับที่พร้อมจะเอาโลกทั้งใบมาเป็นสนามเด็กเล่น แทนที่จะแข่งกันว่าใครจะสร้างรถยนต์ที่ดีกว่า หรือใครจะส่งคนขึ้นไปเดินบนดวงจันทร์ได้ก่อน พวกเขากลับแข่งกันว่าใครจะสร้างอาวุธที่ทำลายล้างโลกได้เร็วกว่ากัน นี่มันบ้าชัดๆ!
.

.
------------------------
.
อาวุธนิวเคลียร์: ตัวแปรสำคัญที่ทำให้สงครามเย็นร้อนระอุ
.

.
แต่ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ เรามาย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของเรื่องบ้าๆ นี้กัน 2 สิงหาคม 1939 จดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งถึงโต๊ะทำงานของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ลงนามโดยใครล่ะ? ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
.
ไอน์สไตน์เขียนจดหมายนี้ร่วมกับ ลีโอ ซีลาร์ด นักฟิสิกส์ชาวฮังการี-ยิว เนื้อหาในจดหมายเตือนว่าเยอรมนีกำลังทำการวิจัยเกี่ยวกับปฏิกิริยาลูกโซ่ของยูเรเนียม ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างระเบิดที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล
.
ลองคิดดูสิครับ นี่มันเหมือนกับคุณได้รับจดหมายจากไอน์สไตน์บอกว่า "เฮ้ย! ระวังหน่อยนะ เพื่อนบ้านคุณกำลังสร้างระเบิดที่สามารถเผาทั้งเมืองให้เป็นจุลได้" คุณจะทำยังไง? แน่นอนว่ารูสเวลต์ไม่รอช้า เขาตัดสินใจสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ทันที นั่นคือจุดเริ่มต้นของโครงการแมนฮัตตัน โครงการลับที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามไปตลอดกาล
.

.
-----------------------------
.
จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ: โศกนาฏกรรมที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ
.

.
โครงการแมนฮัตตัน: การแข่งขันสร้างอาวุธที่นำมาซึ่งความสูญเสียอันใหญ่หลวง
.
ในย่านแมนฮัตตันตอนล่างของนิวยอร์ก ในอาคารสำนักงานรัฐบาลกลางบนถนนบรอดเวย์และเชมเบอร์ส กองวิศวกรรมกองทัพสหรัฐฯ เริ่มประสานงานโครงการระเบิดปรมาณู ฟังดูเหมือนฉากในหนังสายลับใช่ไหม? แต่นี่มันเกิดขึ้นจริงๆ
.
พลโท เลสลี โกรฟส์ ผู้อำนวยการโครงการ ตัดสินใจแต่งตั้งนักฟิสิกส์หนุ่ม จูเลียส โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ ให้เป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติการอาวุธลับของโครงการ นี่มันเหมือนการจับคู่แปลกประหลาด ระหว่างนายพลผู้เคร่งขรึมที่สร้างเพนตากอน กับนักฟิสิกส์ฝ่ายซ้ายที่ชอบอ่านบทกวี แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขากลับทำงานร่วมกันได้ดีเยี่ยม
.
เพื่อความปลอดภัยและความลับสุดยอด โครงการแมนฮัตตันย้ายห้องปฏิบัติการไปที่ลอสอลามอส รัฐนิวเม็กซิโก ห่างไกลจากสายตาสาธารณชนและสายลับ ที่นี่ พวกเขารวบรวมนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกมาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อสร้างอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
.
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ทำงานกันแทบไม่ได้หลับได้นอน บางทีก็ทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมง สลับกันเป็นกะ พวกเขามีงบประมาณไม่จำกัดและมีนักวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลกมารวมตัวกันในที่เดียว ลองนึกภาพดูสิครับ มันเหมือนกับการเอาไอน์สไตน์ บวกกับนักเคมีที่เก่งที่สุดในโลก บวกกับวิศวกรอัจฉริยะ มารวมกันในห้องเดียว แล้วบอกพวกเขาว่า "ไหนๆ พวกคุณก็ฉลาดแล้ว ลองสร้างอาวุธที่สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองได้ในพริบตาสิ"
.
นี่แหละครับ เวลาคนฉลาดคิดอะไรโง่ๆ มันอันตรายแค่ไหน มันเหมือนกับการที่คุณเอานักเคมีที่เก่งที่สุดในโลกมาทำอาหาร แต่แทนที่จะได้อาหารอร่อยๆ คุณกลับได้ยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลกแทน
.

.
-----------------------
.
ผลกระทบที่น่าสะเทือนใจ: บทเรียนราคาแพงของมนุษยชาติ
.

.
16 กรกฎาคม 1945 วันที่โลกเปลี่ยนไปตลอดกาล ระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกถูกทดสอบในทะเลทรายนิวเม็กซิโก การทดสอบที่มีชื่อรหัสว่า "Trinity" นี้สร้างการระเบิดที่มีพลังเทียบเท่ากับระเบิด TNT 20,000 ตัน สร้างเห็ดควันสูงถึง 12 กิโลเมตร
.
ออปเพนไฮเมอร์ ผู้นำโครงการ ถึงกับอ้างคำพูดจากภควัทคีตาว่า "บัดนี้ ข้าคือความตาย ผู้ทำลายล้างโลก" หลังจากเห็นการระเบิด นี่ไม่ใช่คำพูดที่คุณอยากได้ยินจากคนที่เพิ่งสร้างอาวุธทำลายล้างสูงหรอกนะ
.
แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา "ลิตเติ้ลบอย" และ "แฟตแมน" ถูกทิ้งลงที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ผลลัพธ์คือความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ในฮิโรชิมา อาคาร 70,000 หลังจาก 76,000 หลังถูกทำลายหรือเสียหาย มีผู้เสียชีวิตนับหมื่นในทันที และยังมีผู้เสียชีวิตอีกมากมายในเดือนต่อๆ มาจากผลกระทบของรังสี
.
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังใช้ชีวิตปกติในเมืองของคุณ แล้วจู่ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้น ตามด้วยคลื่นความร้อนและแรงระเบิดที่ทำลายทุกอย่างในพริบตา บ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และชีวิตผู้คนนับแสนถูกทำลายลงในเวลาเพียงไม่กี่วินาที นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในฮิโรชิมาและนางาซากิ
.
เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนอันแสนเจ็บปวดที่เตือนใจเราว่า ชัยชนะในสงครามไม่ได้หมายความว่าเราเป็นฝ่ายถูกเสมอไป บางครั้งมันแค่พิสูจน์ว่าเรามีอาวุธที่ร้ายกาจกว่าเท่านั้นเอง และราคาที่ต้องจ่ายสำหรับชัยชนะแบบนี้ มันแพงเกินกว่าที่มนุษยชาติจะรับไหว
.

.
---------------------------
.
การแข่งขันสะสมอาวุธ
.

.
โซเวียตสร้างระเบิดปรมาณูสำเร็จ: เมื่อคู่ชกมีอาวุธทำลายล้างเท่ากัน แต่มันสมองยังเท่าเดิม
.
คุณคิดว่าโซเวียตจะยอมนั่งดูสหรัฐฯ อวดอาวุธนิวเคลียร์อยู่ฝ่ายเดียวเหรอ? ไม่มีทาง! ภายใต้การนำของนักฟิสิกส์ อิกอร์ คูร์ชาตอฟ โครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูของโซเวียตดำเนินการอย่างลับๆ ที่ห้องปฏิบัติการหมายเลข 2 ชานเมืองมอสโก
.
ความลับมันก็คือความลับ จนกระทั่งมันไม่เป็นความลับอีกต่อไป โครงการนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากพนักงาน 650 คนในปี 1946 เป็น 1,500 คนในปี 1947 เหมือนกับว่าพวกเขากำลังจัดงานปาร์ตี้ลับสุดยอด แต่แทนที่จะเป็นปาร์ตี้สนุกๆ มันกลับเป็นปาร์ตี้แห่งความหายนะ
.
29 สิงหาคม 1949 วันที่โลกต้องสะเทือน โซเวียททดสอบระเบิดปรมาณูพลูโตเนียมแบบอัดระเบิด RDS-1 หรือที่รู้จักในชื่อ "First Lightning" ที่สนามทดสอบในคาซัคสถาน ด้วยแรงระเบิด 22 กิโลตัน มันทำให้สหรัฐฯ ต้องตกใจ เหมือนเด็กที่โดนแย่งของเล่นชิ้นโปรด
.
3 กันยายน 1949 เครื่องบิน B-29 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ติดตั้งเครื่องกรองพิเศษสำหรับตรวจจับเศษซากกัมมันตรังสี บินจากญี่ปุ่นไปอลาสกา และตรวจพบระดับกัมมันตรังสีที่สูงผิดปกติ นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าโซเวียตได้ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์สำเร็จแล้ว
.
แทนที่จะนั่งลงคุยกันดีๆ ว่า "เฮ้ย พวกเรามีอาวุธที่สามารถทำลายโลกได้แล้วนะ เราน่าจะหยุดตรงนี้ได้แล้ว" พวกเขากลับเลือกที่จะแข่งกันสะสมอาวุธเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเด็กๆ ที่แข่งกันสะสมการ์ดโปเกมอน แต่แทนที่จะเป็นพิคาชู กลับเป็นหัวรบนิวเคลียร์แทน
.
14 เมษายน 1950 ประธานาธิบดีทรูแมนได้รับเอกสาร National Security Council paper number 68 (NSC-68) ซึ่งเป็นเอกสารที่จะกำหนดนโยบายสงครามเย็นของสหรัฐฯ ในทศวรรษต่อๆ มา เอกสารนี้เขียนโดย พอล นิตซ์ ที่เสนอว่าโซเวียตอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีสหรัฐฯ ทันทีที่มีโอกาส ดังนั้นสหรัฐฯ จึงต้องเร่งพัฒนาอาวุธทุกชนิดเพื่อป้องกันตัวเอง
.
นี่มันเหมือนกับคุณกับเพื่อนบ้านต่างก็มีปืนคนละกระบอก แล้วคุณคิดว่า "เดี๋ยวเพื่อนบ้านต้องยิงเราแน่ๆ งั้นเราต้องสร้างปืนให้เยอะกว่าเขา!" แทนที่จะคุยกันดีๆ ว่าเรามาเลิกเล่นกับปืนกันดีไหม
.

.
------------------------------
.
ระเบิดไฮโดรเจน: เพราะการทำลายโลกแค่ครั้งเดียวมันไม่มันส์พอ
.

.
แต่การมีระเบิดปรมาณูธรรมดามันไม่จุใจพอสำหรับมหาอำนาจทั้งสอง ประธานาธิบดีทรูแมนสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ที่ลอสอลามอสมุ่งความสนใจไปที่อาวุธที่จะทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตในฮิโรชิมาและนางาซากิดูเล็กน้อยไปเลย นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระเบิดไฮโดรเจน
.
1 พฤศจิกายน 1952 ระเบิดไฮโดรเจนลูกแรกถูกทดสอบใกล้กับเกาะในหมู่เกาะมาร์แชลล์ในแปซิฟิกใต้ เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ Ivy การระเบิดครั้งนี้มีพลังมากกว่าระเบิดที่ทำลายฮิโรชิมาถึง 1,000 เท่า
.
คิดดูสิครับ มันเหมือนกับคุณกำลังแข่งกับเพื่อนว่าใครจะสร้างปืนฉีดน้ำที่แรงที่สุด แต่แทนที่จะได้ปืนฉีดน้ำ คุณกลับสร้างเครื่องพ่นไฟขนาดยักษ์ขึ้นมาแทน แล้วคุณจะเอามันไปใช้ยังไงล่ะ? สาดใส่กันในวันสงกรานต์?
.
------------------------
.
ขีปนาวุธในคิวบา: ครุชชอฟคิดว่าการเอาระเบิดไปวางหน้าบ้านคนอื่นเป็นไอเดียเจ๋งๆ
.

.
ปี 1962 นิกิตา ครุชชอฟ ผู้นำโซเวียต คงนั่งอยู่ในห้องทำงานแล้วคิดว่า "เฮ้ย! ไอเดียเจ๋งๆ มาแล้ว เรามาเอาขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปติดตั้งในคิวบากันเถอะ มันอยู่ใกล้สหรัฐฯดี
.
นี่มันเหมือนกับคุณเอาปืนไปจ่อหัวเพื่อนบ้าน แล้วบอกว่า "ไม่ต้องกลัวนะ ฉันแค่เอามาเล่นๆ เฉยๆ" แล้วคุณคิดว่าเพื่อนบ้านคุณจะรู้สึกยังไงล่ะ?
.
แน่นอนว่าสหรัฐฯ ไม่ใช่เพื่อนบ้านที่จะให้ยืมไดร์เป่าผมได้ง่ายๆ เมื่อเครื่องบินสอดแนม U-2 ของสหรัฐฯ ถ่ายภาพการก่อสร้างฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยไกลปานกลางในคิวบาได้ พวกเขาโกรธมาก และเกือบจะตัดสินใจโจมตีคิวบาเพื่อทำลายฐานขีปนาวุธ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง มันอาจจะนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
.
-----------------------
.
เคนเนดี้ vs ครุชชอฟ: การประลองไหวพริบที่ทำให้ทั้งโลกต้องกลั้นหายใจ และอยากตบหัวทั้งคู่
.

.
ในช่วง 13 วันของวิกฤตการณ์คิวบา โลกทั้งใบแทบจะหยุดหายใจ เพราะทุกคนรู้ว่าถ้าใครพลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียว มันอาจจะนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ที่ไม่มีใครรอดตาย
.
จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และนิกิตา ครุชชอฟ ต่างฝ่ายต่างขู่กันไปมา เหมือนเด็กประถมที่กำลังเถียงกันว่าใครเก่งกว่ากัน แต่แทนที่จะใช้เกมเป่ายิ้งฉุบตัดสิน พวกเขากลับใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นเดิมพัน
.
ชาวโลกทั้งหมดต้องนั่งลุ้นว่าผู้นำทั้งสองคนนี้จะมีสติมากพอที่จะไม่กดปุ่มแดงหรือเปล่า ทำเอาทุกคนอยากจะตบหัวทั้งคู่ให้หายบ้าไปเลย
.
ในที่สุด ด้วยการเจรจาอย่างเข้มข้นและการประนีประนอมจากทั้งสองฝ่าย วิกฤตการณ์ก็คลี่คลายลงได้
..
โซเวียตยอมถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา แลกกับคำมั่นสัญญาจากสหรัฐฯ ว่าจะไม่รุกรานคิวบา และจะถอนขีปนาวุธออกจากตุรกี
.
บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ก็คือ การเจรจาและการประนีประนอมสำคัญกว่าการขู่กันด้วยอาวุธ แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้นำโลกมักจะลืมบทเรียนนี้ไปบ่อยๆ
.

.
-------------------------
.
การแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์
.

.
ทุกประเทศอยากมีของเล่นอันตราย : เมื่อผู้นำทุกคนคิดว่าตัวเองควรมีปุ่มแดงบนโต๊ะทำงาน
.
หลังจากที่สหรัฐฯ และโซเวียตแสดงให้โลกเห็นว่าอาวุธนิวเคลียร์ "เจ๋ง" แค่ไหน ประเทศอื่นๆ ก็เริ่มอยากมีบ้าง เหมือนกับเด็กๆ ที่เห็นเพื่อนมีของเล่นใหม่แล้วอยากได้บ้าง
.
อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน อินเดีย ปากีสถาน และอีกหลายประเทศต่างพากันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง ทุกคนอยากมีปุ่มแดงบนโต๊ะทำงาน แต่ลืมคิดไปว่าควรมีสมองพอที่จะใช้มันด้วยหรือเปล่า
.
จีน เริ่มต้นด้วยการขอความช่วยเหลือจากโซเวียต แต่หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเริ่มแย่ลงในช่วงปี 1960 จีนก็ต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ในปี 1964 จีนทดสอบอาวุธนิวเคลียร์สำเร็จเป็นครั้งแรก ด้วยระเบิดยูเรเนียม-235 ที่มีชื่อรหัสว่า "596"
.
ฝรั่งเศส ไม่ยอมน้อยหน้า เริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ตั้งแต่ปี 1960 ในอาณานิคมของตัวเองนอกยุโรป เช่น ทะเลทรายซาฮาราในแอลจีเรีย และเฟรนช์โปลินีเซียในแปซิฟิกใต้ (เพราะใครจะอยากระเบิดบ้านตัวเองกันล่ะ?)
.
คิดดูสิครับ มันเหมือนกับว่าทุกคนในห้องเรียนมีระเบิดมือคนละลูก แล้วครูก็บอกว่า "เอาล่ะ ทุกคน อย่าลืมนะว่าห้ามใช้เด็ดขาด" ฟังดูบ้าไหมล่ะ? นั่นแหละครับ โลกของเราตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น
.

.
-------------------------
.
การควบคุมอาวุธ: ความพยายามที่เหมือนการสอนแมวให้ว่ายน้ำ... มันอาจทำได้ แต่ทั้งแมวและคุณจะไม่มีความสุขเลย
.

.
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะเลยเถิด ประชาคมโลกก็พยายามที่จะควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ แต่มันก็เหมือนกับการพยายามสอนแมวให้ว่ายน้ำ - มันอาจทำได้ แต่ทั้งคนสอนและแมวจะทรมานมาก และสุดท้ายแมวก็อาจจะข่วนหน้าคุณแล้วหนีไปอยู่ดี
.
สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ถูกลงนามในปี 1968 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็เหมือนกับการที่ครูบอกนักเรียนว่า "ใครที่มีระเบิดมืออยู่แล้วก็เก็บไว้ได้ แต่ห้ามแจกให้คนอื่นนะ ส่วนคนที่ยังไม่มี ก็อย่าพยายามทำเองล่ะ"
.
แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล 100% มีหลายประเทศที่ยังคงพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างลับๆ เหมือนเด็กนักเรียนที่แอบซ่อนไพ่ยูกิไว้ใต้โต๊ะ
.

.
---------------------------
.
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์: แหล่งพลังงานที่อาจให้ทั้งแสงสว่างและความมืดมิด
.

.
ในขณะที่โลกกำลังหวาดกลัวอาวุธนิวเคลียร์ นักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่า "เฮ้! ถ้าเราเอาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในทางสร้างสรรค์ล่ะ?" และนั่นคือจุดกำเนิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
.
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เหมือนกับการเลี้ยงมังกรไว้ในบ้าน มันอาจจะให้ความอบอุ่นที่ยอดเยี่ยม ให้พลังงานสะอาดที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ มันก็อาจจะเผาบ้านคุณทั้งหลังได้เหมือนกัน
.
คิดดูสิครับ มันเหมือนกับคุณมีเตาไฟขนาดยักษ์อยู่ในครัว มันทำอาหารได้เร็วมาก แต่ถ้าคุณเผลอนิดเดียว มันอาจจะเผาทั้งบ้านคุณให้เป็นจุลได้เลย
.
---------------------------
.
อุบัติเหตุนิวเคลียร์: บทเรียนราคาแพงที่เตือนให้เราระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยีอันทรงพลัง
.
วันที่ 28 มีนาคม 1979 เกิดอุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island ใกล้เมืองแฮร์ริสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็เป็นสัญญาณเตือนว่าอะไรที่เลวร้ายกว่านี้อาจเกิดขึ้นได้
.
และแล้วสิ่งที่เลวร้ายกว่าก็เกิดขึ้นจริงๆ 26 เมษายน 1986 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในยูเครน (ซึ่งตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) ระเบิด ปล่อยกัมมันตรังสีออกมามหาศาล ทำให้พื้นที่รอบๆ กลายเป็นเมืองร้างที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปี
.
เชอร์โนบิลเป็นบทพิสูจน์ว่าแม้แต่วิศวกรนิวเคลียร์ก็ยังทำพลาดได้ แต่ผลลัพธ์มันร้ายแรงกว่าการลืมปิดน้ำหน่อย มันเหมือนกับคุณลืมปิดเตาแก๊ส แต่แทนที่บ้านคุณจะไหม้อย่างเดียว ทั้งเมืองกลับกลายเป็นเมืองผีไปเลย
.
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้เราจะก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแค่ไหน เราก็ยังต้องระมัดระวังและเคารพพลังของธรรมชาติเสมอ เพราะเมื่อเกิดผิดพลาด ผลลัพธ์มันร้ายแรงกว่าการทำแก้วตกแตกหลายล้านเท่า
.

.
------------------------
.
การลดอาวุธนิวเคลียร์
.

.
หลังจากที่โลกเกือบแตกหลายต่อหลายครั้ง มหาอำนาจก็เริ่มตระหนักว่า "ขุ่นพระ! เรามีระเบิดเยอะเกินไปแล้วมั้ง?" และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความพยายามในการลดอาวุธนิวเคลียร์
.
การลดอาวุธนิวเคลียร์เหมือนกับการพยายามลดน้ำหนัก มันยากและใช้เวลา คุณอาจจะลดได้นิดหน่อยวันนี้ แต่พรุ่งนี้ก็อดใจไม่ไหวไปกินชีสเค้กอีกชิ้น (หรือในกรณีนี้คือสร้างหัวรบนิวเคลียร์เพิ่มอีกลูก) แต่ถ้าไม่พยายามเลย สุดท้ายเราอาจจะอ้วนจนระเบิด หรือในกรณีนี้คือระเบิดจริงๆ
.
แม้จะดูเหมือนเป็นงานที่ไร้ความหวัง แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อไป เพราะทางเลือกอีกทางคือการปล่อยให้โลกเต็มไปด้วยอาวุธที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ในพริบตา ซึ่งฟังดูไม่ค่อยเป็นไอเดียที่ดี
.
สนธิสัญญา START (Strategic Arms Reduction Treaty) ที่ลงนามระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียในปี 1991 เป็นตัวอย่างของความพยายามลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่มันก็เหมือนกับการที่คุณกับเพื่อนตกลงกันว่าจะลดจำนวนปืนที่มีในบ้าน แต่ยังคงเก็บปืนใหญ่ที่สุดไว้ "เผื่อฉุกเฉิน" น่ะนะ
.
ในปัจจุบัน จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ทั่วโลกลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 5 ของจำนวนสูงสุดในช่วงสงครามเย็น นั่นเป็นข่าวดี แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำลายล้างโลกได้หลายรอบ (ซึ่งก็คงเป็นข่าวดีไม่มากเท่าไหร่ ?)
.
.
.
.
#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

ประวัติศาสตร์ย่อ 5000 ปี ของระบบเศรษฐกิจและเศรษฐศาสตร์

Next
Next

History of AI : ประวัติศาสตร์ AI (มหากาพย์การกำเนิดปัญญาประดิษฐ์)