สรุปกฎแห่งธุรกิจและชีวิต 33 ข้อ จากหนังสือ The Diary of a CEO เขียนโดย Steven Bartlett
ปกติหนังสือธุรกิจ มักจะเริ่มต้นด้วยประโยคเท่ๆ ประมาณว่า
.
“ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน เราจำเป็นต้อง…”
.
ซึ่งอ่านแล้วคุณก็มักจะวางลงแล้วไปหมุนก๊อกน้ำแทน
.
แต่ The Diary of a CEO ของ Steven Bartlett ไม่ได้เริ่มแบบนั้นเลยครับ
.
เพราะชีวิตจริงของเขามันไม่ได้หมุนเร็ว แต่มันเจ๊งเร็วมากกว่า จากเด็กดรอปเอาต์ที่ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน นอนโซฟาคนอื่น แล้วดันกลายเป็น CEO ร้อยล้าน …
.
ซึ่งถ้าฟังดูเหมือนเทพนิยาย ก็จริงครับ แค่เทพนิยายเรื่องนี้เปิดฉากด้วยการกินบะหมี่ซองละ 7 บาทวันละสามมื้อ
.
หนังสือเล่มนี้มี 33 กฎ แต่ไม่ใช่สูตรลับความสำเร็จที่คุณจะเอาไปอวดเพื่อนได้ว่า “ฮะๆ กูอ่านเสร็จแล้วชีวิตเปลี่ยน” …ไม่ครับ มันคือกฎกวน ๆ ที่อ่านแล้วเหมือนเพื่อนที่พูดตรงสุดๆ มานั่งข้างๆ คุณแล้วบอกว่า
.
“อย่าพยายามเลิกนิสัยเสียๆ ด้วยการฝืน แต่หานิสัยใหม่มาแทนซะ”
.
“สุขภาพไม่ใช่หนึ่งในเป้าหมาย แต่มันคือพื้นดินที่ทุกเป้าหมายต้องยืนอยู่”
.
และ… “ถ้าคุณทำทุกอย่างถูกต้องหมด แต่ยังทำให้บางคนไม่พอใจ…ยินดีด้วยครับ คุณกำลังมาถูกทางแล้ว”
.
แต่อย่าเพิ่งกลัวไป มันไม่ใช่กฎที่ต้องท่องเหมือนตำราสอบเนติบัณฑิต คุณไม่ต้องจดลงแฟลชการ์ด ไม่ต้องทำโพยใต้โต๊ะ
.
แต่ละกฎมันมาในรูปแบบ “หมัดเด็ดแบบเข้าใจง่าย” อ่านแล้วคุณอาจร้องอ๋อ…หรือร้องโอ๊ย…หรือบางทีทั้งสองพร้อมกัน
.
.
===========================
.
กฎที่ 1 : Fill Your Five Buckets in the Right Order
.
Steven Bartlett เปิดเล่มด้วยแนวคิดที่เขาเรียกว่า “Five Buckets” หรือถังห้าใบ ซึ่งเป็นเสมือนกฎแรงโน้มถ่วงของชีวิต ถ้าไม่เข้าใจ คุณก็เหมือนกำลังแบกน้ำในถังที่มีรูรั่ว ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่มีวันเต็ม
.
ถังทั้งห้าได้แก่:
.
I. ความรู้ (Knowledge) = สิ่งที่คุณเรียนรู้ ศึกษา และเข้าใจจริง ๆ
.
II. ทักษะ (Skills) = ความสามารถที่คุณลงมือทำได้ ไม่ใช่แค่รู้ทฤษฎี
.
III. เครือข่าย (Network) = คนที่คุณรู้จัก และเชื่อมั่นในตัวคุณ
.
IV. ทรัพยากร (Resources) = เงิน เครื่องมือ โครงสร้างพื้นฐานที่คุณใช้ได้
.
V. ชื่อเสียง (Reputation) = ภาพลักษณ์และความเชื่อถือที่โลกมีต่อคุณ
.
ทำไมต้องเรียงลำดับ?
.
ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือเริ่มจากถังผิดใบ หลายคนวิ่งหาชื่อเสียงก่อน ขยันสร้างภาพในโซเชียลโดยที่ยังไม่มีความรู้หรือทักษะจริง ๆ สุดท้ายกลายเป็น “ภาพสวยแต่เปลือก” ที่พังทลายลงทันทีเมื่อเจอสถานการณ์จริง
.
Steven ยกตัวอย่าง Elon Musk ที่ไม่ได้ประกาศจะไปดาวอังคารตั้งแต่แรก แต่เริ่มด้วยการสะสมความรู้ด้านฟิสิกส์และวิศวกรรม ฝึกทักษะทำธุรกิจจาก PayPal และ Zip2 ก่อนจะสร้าง Tesla หรือ SpaceX ถ้าเขาข้ามขั้นไปหาเงินทุนกับชื่อเสียงก่อนโดยไม่มีฐานความรู้ ทุกอย่างคงพังไปนานแล้ว
.
ตรงข้ามกับตัวอย่าง “Richard” ชายหนุ่มที่ได้รับข้อเสนอเป็นซีอีโอเงินเดือนสูง แต่ไม่มีทักษะหรือประสบการณ์จริง เขาจึงล้มเหลวอย่างรวดเร็ว นี่คือหลักฐานว่า “ถังแรกต้องมาก่อนถังสุดท้าย”
.
.
กฎที่ 2 : To Master It, You Must Create an Obligation to Teach It
.
วิธีเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ใช่การอ่านหนังสือเงียบ ๆ แล้วจดโน้ตสวย ๆ แต่คือการบังคับตัวเองให้ “ต้องสอนออกมา”
.
Steven ใช้ชีวิตเป็นหลักฐาน เขาเคยกลัวการพูดต่อหน้าคนมาก ตอนอายุ 14 เขาสั่นจนแทบพูดไม่ได้ แต่สิบปีต่อมากลายเป็นนักพูดระดับโลกที่ขึ้นเวทีกับ Barack Obama ได้ เพราะเขาใช้กฎนี้ “แชร์ความรู้ทุกวัน”
.
กระบวนการ
.
เรียน (Learn): ศึกษาเรื่องนั้นให้ลึก
.
อธิบายเหมือนสอนเด็ก (Teach to a child): ทำให้เข้าใจง่าย
.
แชร์ต่อสาธารณะ (Share): ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ ทวิต หรือคลิป
.
รับ feedback และปรับปรุง (Review): พัฒนาไปเรื่อย ๆ
.
นี่คือ Feynman Technique เวอร์ชันที่เขาเรียกว่า “Revised” เพราะมันไม่ใช่แค่จินตนาการว่ากำลังสอน แต่ต้องสอนจริง ๆ ให้คนเห็น เพื่อสร้างแรงกดดันว่า “ฉันต้องเข้าใจจริง ไม่งั้นเสียหน้า”
.
.
กฎที่ 3 : You Must Never Disagree
.
Steven เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันตั้งแต่เด็ก และซึมซับว่าการเถียงคือวิธีแก้ปัญหา แต่พอโตขึ้นเขาค้นพบว่ามันไม่เคยเวิร์คจริง ๆ การ “ไม่เห็นด้วยแบบตรงๆ” มักทำให้คนปิดใจทันที
.
งานวิจัยที่สนับสนุน
.
นักจิตวิทยา Tali Sharot พบว่าเมื่อคนถูกโต้แย้งตรง ๆ สมองจะลดระดับการประมวลผล (cognitive engagement) แต่ถ้าเริ่มด้วยการหาจุดร่วม สมองจะยังคงเปิดรับฟัง
.
ตัวอย่างจริง
.
เขายกตัวอย่างแฟนเก่าที่ทะเลาะกันทุกครั้งเพราะเริ่มด้วย “ไม่จริง!” “ฉันไม่เห็นด้วย!” จนกลายเป็นกำแพง
.
ในธุรกิจ ถ้าคุณเริ่มว่า “ลูกค้าคิดผิด” คุณแพ้ทันที แต่ถ้าพูดว่า “คุณพูดถูกในประเด็นนี้…” แล้วค่อยต่อยอด คุณจะมีทางเปลี่ยนใจได้
.
คติสั้นๆคือ “Disagree less, understand more.” เป้าหมายไม่ใช่การชนะ แต่คือการทำให้อีกฝ่ายเปิดใจ
.
.
กฎที่ 4 : You Do Not Get to Choose What You Believe
.
เราไม่สามารถ “เลือก” ความเชื่อได้เหมือนเลือกเสื้อผ้า ความเชื่อเกิดจาก ประสบการณ์ + หลักฐาน + ความปรารถนา ที่สะสมมา
.
ข้อพิสูจน์
.
ถ้ามีคนบังคับให้คุณเชื่อว่าคนร้ายคือพระเยซู เพื่อช่วยชีวิตคนรักของคุณ คุณก็ทำไม่ได้จริง ๆ เพราะสมองไม่สามารถบังคับตัวเองให้เชื่อสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับหลักฐานที่สะสมมา
.
วิธีเปลี่ยนความเชื่อ
.
= ต้องมีหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือ
.
= ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เราอยากเชื่อ เช่น ให้ความหวังหรือผลลัพธ์ที่ดี
.
= ต้องเกิดจากประสบการณ์ตรง ไม่ใช่แค่ถูกบอก
.
ตัวอย่างทางสังคม
.
สังคมเปลี่ยนความเชื่อเรื่องบุหรี่จาก “เท่” เป็น “อันตราย” ไม่ใช่เพราะมีโฆษณาตรง ๆ แต่เพราะคนเห็นผลร้ายชัดเจนจากคนรอบตัว บวกกับข้อมูลใหม่ ๆ จากวิทยาศาสตร์
.
.
กฎที่ 5 : You Must Lean In to Bizarre Behaviour
.
คนที่พ่ายแพ้ในธุรกิจไม่ใช่คนที่ “ไม่เก่ง” แต่คือคนที่ปฏิเสธสิ่งใหม่เพราะมันดูบ้าเกินไป
.
ตัวอย่าง
.
อดีตซีอีโอร้านขายแผ่นเพลงที่มั่นใจว่าคนจะไม่เลิกซื้อซีดี เพราะ “ผู้คนรักการสะสม” ผลคือบริษัทล่มสลายเมื่อ Spotify เกิดขึ้น
.
อุตสาหกรรมรถม้าสมัยก่อนหัวเราะเยาะรถยนต์ว่าไร้ประโยชน์ แต่สุดท้ายกลายเป็นคนตกงาน
.
กลไกทางจิตวิทยา
.
Cognitive dissonance: เราเกลียดความคิดที่ขัดกับสิ่งที่เชื่อ เลยปฏิเสธข้อมูลใหม่
.
Self-justification: เราจะหาข้ออ้างมาปกป้องความเชื่อเดิม แม้มันผิดก็ตาม
.
วิธีเป็น “lean-in person”
.
= อย่ารีบตัดสินว่าแปลกคือไร้สาระ
= ยอมรับว่าความขัดแย้งในใจ (dissonance) คือสัญญาณของการเติบโต
= ฝึกตั้งคำถามแทนที่จะปิดประตูใส่สิ่งใหม่
.
.
กฎที่ 6 : Ask, Don’t Tell — The Question/Behaviour Effect
.
Reagan ชนะการเลือกตั้งปี 1980 ด้วยประโยคเดียว
.
“Are you better off now than you were four years ago?”
.
นี่คือตัวอย่างของพลังคำถาม ที่ Steven เรียกว่า Question/Behaviour Effect
.
หลักการคือ
.
คำถามบังคับให้ผู้ฟังคิดเอง ต่างจากการถูกยัดเยียด
.
คำถามแบบ “Will you…?” มีพลังมากกว่าคำถามเปิด เพราะมันสร้างพันธะทางใจ
.
ความไม่สอดคล้องระหว่าง “ตัวตนที่อยากเป็น” กับ “พฤติกรรมปัจจุบัน” จะบีบให้เราตัดสินใจปรับพฤติกรรม (cognitive dissonance)
.
ตัวอย่างการใช้
.
ถามตัวเอง: “ฉันจะไปฟิตเนสวันนี้หรือเปล่า?”
ถามทีมงาน: “คุณจะทำรายงานเสร็จพรุ่งนี้ไหม?”
ถามลูกค้า: “คุณอยากลองอันนี้เลยไหม?”
.
.
กฎที่ 7 : Never Compromise Your Self-Story
.
Steven Bartlett เชื่อว่า “เรื่องเล่าที่เรามีต่อตัวเอง” หรือ Self-Story เป็นสิ่งทรงพลังที่สุดที่กำหนดการตัดสินใจ ความกล้า และแม้กระทั่งความสำเร็จหรือความล้มเหลวของเรา
.
ทุกคนล้วนมีเรื่องเล่าที่บอกตัวเองอยู่เสมอ เช่น “ฉันไม่เก่งคณิต” “ฉันไม่ใช่คนมั่นใจ” หรือ “ฉันเป็นคนขี้แพ้” เรื่องเล่านี้อาจเริ่มจากคำพูดเล่น ๆ ของครูสมัยประถม หรือการสอบตกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเราย้ำมันซ้ำ ๆ มันจะฝังแน่นจนกลายเป็นอัตลักษณ์
.
Steven เล่าว่าตัวเองตอนเด็ก ๆ เติบโตในครอบครัวผู้อพยพ รู้สึกเหมือน “คนนอก” ตลอดเวลา และเรื่องเล่าที่เขาเกือบเลือกคือ “ฉันไม่เข้าพวก ฉันด้อยกว่า” แต่เขากลับเขียนเรื่องใหม่ว่า “ฉันคือคนนอกที่จะสร้างกฎใหม่” เรื่องเล่านี้เปลี่ยนพลังลบให้กลายเป็นพลังบวก และกลายเป็นเชื้อเพลิงที่พาเขาสร้างบริษัท Social Chain
.
การไม่ประนีประนอมกับ Self-Story จึงไม่ได้หมายถึงการโกหกตัวเอง แต่หมายถึงการเลือกเล่าเรื่องที่ทำให้คุณเติบโต มากกว่าจะกักขังคุณให้อยู่กับที่
.
.
กฎที่ 8 : Never Fight a Bad Habit
.
เราเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า “จงต่อสู้กับปีศาจในตัวเอง” แต่ Steven กลับบอกว่า “การต่อสู้นิสัยแย่ ๆ เป็นสูตรล้มเหลว” เพราะสมองมนุษย์ไม่ทำงานแบบนั้น
.
นักวิจัยด้านพฤติกรรมอย่าง Charles Duhigg อธิบายว่า นิสัยเกิดจาก Habit Loop:
.
I. Cue (สิ่งกระตุ้น)
.
II. Routine (พฤติกรรม)
.
III. Reward (ผลตอบแทนทางความรู้สึก)
.
ปัญหาคือเวลาคนพยายาม “หักดิบ” เลิกนิสัย เช่น เลิกบุหรี่หรือเลิกเล่นมือถือก่อนนอน พวกเขาแค่พยายามหยุด Routine แต่ไม่ได้แก้ Cue หรือ Reward เลย สุดท้ายวงจรก็กลับมา
.
Steven บอกว่าทางออกคือ “อย่าพยายามเลิก แต่ให้แทนที่ (replace)” เช่น ถ้าคุณติดการเลื่อนมือถือบนเตียงก่อนนอน ให้เปลี่ยน cue เดิม (นอนบนเตียง) ไปเชื่อมกับกิจกรรมใหม่ที่ยังให้ reward ใกล้เคียง เช่น อ่านหนังสือกระดาษหรือทำสมาธิสั้น ๆ สิ่งนี้จะสร้าง Habit Loop ใหม่แทนของเก่า
.
เขาเล่าว่าตัวเองเคยติดเกมออนไลน์ แต่เขาไม่ได้หักดิบเลิก เขาเปลี่ยน “ความอยากเอาชนะ” จากเกมมาใช้ในธุรกิจแทน เปลี่ยนเกมเสมือนจริงเป็น “เกมสร้างบริษัท”
.
.
กฎที่ 9 : Always Prioritise Your First Foundation (Health)
.
Steven เรียกสุขภาพว่า “Foundation One” หรือรากฐานแรก เพราะมันไม่ใช่แค่ถังหนึ่งในห้าถัง แต่คือพื้นดินที่รองรับถังทั้งหมด
.
ตอนสร้าง Social Chain เขาทำงานวันละ 18 ชั่วโมง ไม่กินข้าว ไม่ออกกำลังกาย จนร่างกายทรุดโทรม สุดท้ายเขาตระหนักว่า ต่อให้ธุรกิจโตเป็นพันล้าน แต่ถ้าร่างกายพัง ทุกอย่างก็ไร้ค่า
.
นักวิจัยด้านการนอน Matthew Walker ยืนยันว่า การนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืนต่อเนื่องแค่หนึ่งสัปดาห์ จะทำให้สมรรถภาพร่างกายและสมองเสื่อมถอยลงเทียบเท่าคนที่แก่ขึ้นสิบปี และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า
.
Steven สรุปว่าคนที่ประสบความสำเร็จจริงไม่ใช่คนที่ “ทำงานจนตาย” แต่คือคนที่ “ใช้สุขภาพเป็นฐาน” แล้วทำงานจากตรงนั้น คุณไม่สามารถแบกความฝันไว้ได้ถ้าพื้นดินพังทลาย
.
.
กฎที่ 10: Useless Absurdity Will Define You More than Useful Practicalities
.
โลกธุรกิจเต็มไปด้วยบริษัทที่พยายามทำทุกอย่างให้ “สมเหตุสมผล” แต่ paradox คือสิ่งที่ผู้คนจดจำกลับมักเป็น ความไร้สาระ มากกว่าความเป็นเหตุผล
.
Steven ยกตัวอย่าง
.
Red Bull ไม่ได้ขายแค่เครื่องดื่ม แต่ขายความบ้าบิ่น ผ่านการสนับสนุนกีฬาเอ็กซ์ตรีม
.
Apple ไม่ได้ขายโทรศัพท์ แต่ขาย “ความรู้สึก” ของการเป็นคนที่แตกต่างและล้ำสมัย
.
Supreme เอาเสื้อยืดธรรมดามาขายแพง เพราะมันมี “ความไร้สาระ” ของการวางจำหน่ายแบบจำกัด
.
เขาเองใช้หลักการนี้กับ Social Chain โดยทำสำนักงานสุดประหลาด จัดปาร์ตี้สุดโต่ง และสร้างกิจกรรมที่ไม่มีเหตุผลเชิงธุรกิจโดยตรง แต่กลับทำให้ผู้คนจดจำและพูดถึง
.
.
กฎที่ 11 : Avoid Wallpaper at All Costs
.
Steven ใช้คำว่า “Wallpaper” เพื่อหมายถึงสิ่งที่ปลอดภัย เรียบ ๆ และไร้เอกลักษณ์ — เหมือนวอลเปเปอร์ที่ติดอยู่บนผนังจนกลายเป็นฉากหลังที่ไม่มีใครสังเกต
.
เขาเตือนว่าการทำสิ่งกลาง ๆ คือเส้นทางที่แย่ที่สุด เพราะผลลัพธ์ไม่ใช่การถูกเกลียด แต่คือการถูกเพิกเฉย
.
ในธุรกิจการตลาด เขาเคยทำแคมเปญที่ทุกคนตอบรับว่า “โอเค” แต่ไม่มีใครแชร์ ไม่มีใครพูดถึง สุดท้ายแคมเปญล้มเหลว ตรงกันข้าม แคมเปญที่ทำให้บางคนรักและบางคนเกลียดกลับประสบความสำเร็จมหาศาล เพราะมันสร้างอารมณ์แรงกล้า
.
ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่คำวิจารณ์ แต่คือความเมินเฉย เพราะมันหมายถึงงานของคุณไม่มีผลต่อใครเลย
.
.
กฎที่ 12 : You Must Piss People Off
.
กฎนี้ฟังดูโหดร้าย: ถ้าคุณอยากสร้างอิมแพกต์จริง คุณต้องยอมรับว่าจะทำให้บางคนไม่พอใจ
.
Steven ย้ำว่า การสร้างแบรนด์หรือสร้างผลงานที่ทรงพลังคือการ “เลือกข้าง” และการเลือกข้างหมายถึงจะต้องมีคนอีกฝั่งที่ไม่ชอบคุณ
.
เขายกตัวอย่าง Steve Jobs ที่คนทั้งรักและเกลียด หรือ Elon Musk ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้าน แต่ก็ถูกเกลียดจากอีกหลายล้านคนเช่นกัน ความเกลียดไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับความสำเร็จ — มันคือผลข้างเคียงของการสร้างอิมแพกต์
.
เขาเล่าว่าตอนเริ่มทำพอดแคสต์ The Diary of a CEO หลายคนเยาะเย้ยว่า “เด็กคนนี้จะมาสอนอะไร?” แต่ถ้าเขากลัวการทำให้คนไม่พอใจแล้วหยุดเดินหน้า พอดแคสต์นี้คงไม่กลายเป็นหนึ่งในพอดแคสต์ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างทุกวันนี้
.
.
กฎที่ 13 : Shoot Your Psychological Moonshots First
.
Steven เปิดด้วยคำว่า “Moonshot” ซึ่งโดยปกติใช้หมายถึงเป้าหมายยักษ์ใหญ่ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เช่น การไปดวงจันทร์ แต่เขาใช้คำว่า Psychological Moonshots หมายถึง การเล็งให้สูงพอที่จะปลดล็อกกรอบจิตใจของเราเอง
.
หลายคนติดอยู่กับความคิดว่า “ฉันทำได้แค่สิ่งเล็ก ๆ” เพราะไม่เคยกล้าเล็งอะไรที่ใหญ่พอ แต่ paradox ก็คือ ถ้าคุณตั้งเป้าเล็กเกินไป คุณมักจะได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งเล็กกว่าเดิม ในขณะที่ถ้าคุณเล็งสูง มันบังคับให้คุณสร้างระบบคิด พฤติกรรม และทีมงานในระดับที่ใหญ่ขึ้นโดยอัตโนมัติ
.
ตัวอย่าง
.
เมื่อ Jeff Bezos ตั้งเป้าจะเป็น “ร้านขายทุกอย่างบนโลก” Amazon จึงไม่หยุดอยู่ที่การขายหนังสือออนไลน์
.
เมื่อ Muhammad Ali ประกาศตัวเองว่าเป็น “ที่สุด” ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็น เขาก็ถูกบังคับให้ฝึกและแสดงออกให้สอดคล้องกับคำพูดนั้น
.
Steven ยอมรับว่า ตอนก่อตั้ง Social Chain เขาเองก็ใช้ moonshot แบบนี้ เขาประกาศต่อทีมเล็ก ๆ ว่า “เราจะเป็นเอเจนซี่โซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป” ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ แต่เป้าหมายนี้บังคับให้เขาและทีมลงมือแบบบริษัทใหญ่ตั้งแต่วันแรก
.
.
กฎที่ 14: Friction Can Create Value
.
ในโลกธุรกิจ คำว่า “friction” หรือความฝืดมักถูกมองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ทุกคนอยากให้การใช้งานราบรื่นที่สุด แต่ Steven บอกว่า บางครั้งความฝืดคือสิ่งที่สร้างคุณค่า
.
ตัวอย่างคลาสสิก
.
แพลตฟอร์มอย่าง Tinder ถ้าเปิดแล้วจับคู่ได้ทันทีโดยไม่ต้องเลื่อนซ้ายขวาเลย มันอาจหมดสนุกไป ความฝืดของการ “swipe” กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์
.
การ์ดของ Starbucks ที่ต้องเติมเงินล่วงหน้า ดูเหมือนยุ่งยาก แต่ความจริงมันสร้าง commitment ของลูกค้า และทำให้ Starbucks ถือเงินหมุนฟรี
.
Steven กับ Social Chain
.
เขาตั้งใจสร้าง “ความฝืด” บางอย่าง เช่น เงื่อนไขการทำงานที่ท้าทาย หรือการรับสมัครที่คัดกรองเข้ม เพราะมันทำให้คนที่ผ่านเข้ามารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและภูมิใจกับสิ่งที่ได้มา
.
แก่นสำคัญ = ไม่ใช่ friction ทุกอย่างเลวร้าย ถ้าใช้ถูกจุด มันทำให้สิ่งนั้นมี “ความหมาย” มากขึ้น
.
.
กฎที่ 15 : The Frame Matters More than the Picture
.
Steven อธิบายว่าคนเราไม่ได้มองโลก “ตามความจริง” แต่เรามองผ่าน กรอบ (frame) ที่ถูกจัดวางให้เรา
.
งานวิจัยสนับสนุน = Daniel Kahneman และ Amos Tversky แสดงให้เห็นว่าการจัดกรอบข้อมูลทำให้คนตัดสินใจต่างกัน เช่น
.
ถ้าบอกว่า “การผ่าตัดนี้มีโอกาสรอด 90%” คนส่วนใหญ่จะยอมผ่า
.
แต่ถ้าบอกว่า “มีโอกาสตาย 10%” คนจำนวนมากจะปฏิเสธ ทั้งที่ข้อมูลเหมือนกัน
.
ตัวอย่างในธุรกิจ
.
Apple ไม่ได้บอกว่าขาย “คอมพิวเตอร์” แต่บอกว่า “Think Different”
.
Tesla ไม่ขายรถไฟฟ้า แต่ขาย “อนาคตพลังงานสะอาด”
.
Steven ใช้ในชีวิต = เขาเล่าว่าตอน Social Chain ยังเล็กมาก เขาไม่เคยบอกลูกค้าว่า “เราเป็นสตาร์ทอัพใหม่” แต่จัดกรอบว่า “เราเป็นทีมที่เข้าใจโลกโซเชียลดีกว่าบริษัทโฆษณารุ่นเก่า” กรอบนี้เปลี่ยน perception ของลูกค้าทั้งหมด
.
.
กฎที่ 16 : Use Goldilocks to Your Advantage
.
Goldilocks Effect คือแนวคิดที่ว่ามนุษย์ชอบสิ่งที่ “ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป” แต่พอดี ๆ — เหมือนนิทานโกลดิล็อกส์กับหมีสามตัว ที่ข้าวต้มถ้วยกลางคือสิ่งที่ดีที่สุด
.
ในโลกธุรกิจ
.
เมื่อเสนอสินค้าหลายราคา คนมักเลือก “อันกลาง” เพราะมันดูปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกินไป Steven เล่าว่าแผนการตลาดที่มีสามแพ็กเกจ มักทำให้แพ็กเกจกลางขายดีที่สุดเสมอ
.
ในการเจรจา ถ้าคุณเสนอสิ่งที่ “สุดโต่ง” กับสิ่งที่ “น้อยเกินไป” ควบคู่กัน ข้อเสนอที่คุณอยากได้จริง ๆ (อันกลาง) จะดูสมเหตุสมผลขึ้น
.
.
กฎที่ 17 : Let Them Try and They Will Buy
.
นี่คือกฎที่เชื่อมกับหลักจิตวิทยาเรียกว่า Endowment Effect เมื่อคนได้ครอบครองสิ่งใด แม้เพียงชั่วคราว ก็จะให้คุณค่ากับมันมากขึ้น
.
ตัวอย่าง
.
ร้านค้าปล่อยให้ลูกค้าลองใช้สินค้า 30 วัน “ไม่ชอบคืนได้” สุดท้ายคนคืนของจริง ๆ มีน้อยมาก เพราะแค่ได้ครอบครองชั่วคราวก็ตัดใจยากแล้ว
.
แอปพลิเคชันจำนวนมากใช้ Free Trial เพื่อสร้างความผูกพัน เพราะเมื่อผู้ใช้สร้าง account แล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่าเสียเวลาทิ้งไปถ้าเลิก
.
Steven กับการขายงาน = เวลาเสนอแคมเปญ เขามักให้ลูกค้า “ลองใช้” ไอเดียหรือดู mock-up ก่อน แทนที่จะอธิบายด้วยทฤษฎี เพราะเมื่อพวกเขาเห็นภาพตัวเองใช้สิ่งนั้นแล้ว ก็ยากจะปฏิเสธ
.
.
กฎที่ 18 : Fight for the First Five Seconds
.
Steven ย้ำว่า “ห้าวินาทีแรกคือทุกอย่าง” ไม่ว่าจะเป็นการ pitch งาน การโฆษณา หรือแม้กระทั่งการออกเดท
.
นักจิตวิทยาพบว่า คนตัดสินใจขั้นต้นในเวลาเพียง 100 มิลลิวินาทีหลังเจอหน้าใหม่ และใช้เวลาห้าวินาทีในการสร้างความประทับใจที่ยากจะลบล้าง
.
ตัวอย่างธุรกิจ
.
YouTube Analytics แสดงชัดว่า ถ้าวิดีโอไม่ดึงดูดใน 5 วินาทีแรก อัตราการกดออกจะพุ่งสูง
.
โฆษณาที่ดีที่สุดมักใส่พลังทั้งหมดในช่วงเปิด ไม่ใช่เก็บไว้ตอนท้าย
.
Steven ใช้กับชีวิตจริง = ตอนเขาเจอลูกค้ารายใหญ่ครั้งแรก เขาไม่ได้เริ่มด้วยสไลด์ แต่เล่าเรื่องสั้น ๆ ที่กระแทกใจทันที มันทำให้ทั้งห้อง “ตื่น” และเปิดใจฟังต่อ
.
.
กฎที่ 19 : You Must Sweat the Small Stuff
.
หลายคนเชื่อว่าอย่าใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ เพราะมันเสียเวลา แต่ Steven บอกว่าความจริงคือ เรื่องเล็กๆ คือสิ่งที่สะสมจนกลายเป็นความยิ่งใหญ่
.
ตัวอย่างที่เขาเล่า
.
ธุรกิจร้านอาหาร: ไม่ใช่รสชาติอาหารเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ลูกค้ากลับมา แต่เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น บริการยิ้มแย้ม แสงไฟที่อบอุ่น เพลงที่เปิดเบา ๆ เหมาะกับบรรยากาศ
.
Social Chain เองก็สร้างชื่อเสียงเพราะใส่ใจรายละเอียดของคอนเทนต์ เช่น การเลือกฟอนต์ สี หรือแม้แต่จังหวะโพสต์ที่ทำให้คนรู้สึกเชื่อมโยง
.
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะ “ตัดสินภาพรวมจากรายละเอียดเล็ก ๆ” (halo effect) หากรายละเอียดเล็กน้อยดีเยี่ยม สมองจะเหมารวมว่าทุกอย่างของบริษัทหรือบุคคลนี้ดี
.
.
กฎที่ 20 : A Small Miss Now Creates a Big Miss Later
.
Steven เตือนว่า ความผิดพลาดเล็กๆ ถ้าเพิกเฉยจะลุกลามกลายเป็นหายนะ
.
เขาเคยเห็นสตาร์ทอัพที่ไม่สนใจการจัดการบัญชีเล็ก ๆ น้อย ๆ จนวันหนึ่งเมื่อบริษัทโตขึ้น ความผิดพลาดที่สะสมกลายเป็นช่องโหว่ทางการเงินใหญ่จนบริษัทพัง
.
ในความสัมพันธ์ ถ้าปล่อยให้การละเลยเล็ก ๆ เช่น ไม่ฟัง ไม่ใส่ใจ ค่อย ๆ สะสม วันหนึ่งจะระเบิดจนความสัมพันธ์จบลง
.
เหมือนจรวดที่เบี่ยงเพียง 1 องศาตอนเริ่มปล่อยตัว ถ้าไม่แก้ตั้งแต่แรก ปลายทางมันจะพลาดไปหลายร้อยกิโลเมตร
.
.
กฎที่ 21: You Must Out-Fail the Competition
.
Steven บอกว่าหนึ่งในวิธีที่แน่ที่สุดในการชนะคู่แข่งคือ ล้มเหลวให้มากกว่าพวกเขา
.
เหตุผล
.
ความล้มเหลวคือ ข้อมูล
.
ใครที่ล้มเหลวมากกว่า = มีข้อมูลมากกว่า
.
ใครมีข้อมูลมากกว่าย่อมมีโอกาสหาทางที่ถูกต้องได้เร็วกว่าคนที่พยายามเล่นอย่างปลอดภัย
.
Thomas Edison ทดลองกว่า 1,000 ครั้งก่อนจะสร้างหลอดไฟที่ใช้ได้
.
SpaceX ยิงจรวดล้มเหลวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งคือการเรียนรู้ที่ทำให้พวกเขาไปไกลกว่าคู่แข่ง
.
เรื่องของ Steven = ตอนเริ่มทำ Social Chain เขาลองใช้กลยุทธ์โซเชียลหลายแบบที่ล้มเหลวหมด แต่เพราะลองเร็วและไม่กลัวพัง เขาจึงเจอสูตรที่ได้ผลในที่สุด
.
.
กฎที่ 22: You Must Become a Plan-A Thinker
.
หลายคนถูกสอนให้มี Plan B ไว้เสมอเพื่อความปลอดภัย แต่ Steven บอกว่าความจริงคือ Plan B มักทำให้ Plan A ล้มเหลว
.
เหตุผล
.
เมื่อมีทางหนีทีไล่ สมองจะไม่ทุ่มสุดตัวกับแผนหลัก
.
ความกลัวพังจะถูกบรรเทาด้วยการมี Plan B แต่ผลคือคุณไม่เคยได้สัมผัสพลังเต็มที่ของการ All-In
.
ตัวอย่าง
.
นักกีฬาที่เล่นโดยคิดว่า “ถ้าแพ้ก็ไม่เป็นไร” มักไม่ใส่เต็มร้อยเท่ากับคนที่คิดว่า “ฉันต้องชนะเท่านั้น”
.
Steve Jobs ไม่มีแผนสำรองสำหรับ Apple เขาทุ่มหมดหน้าตักเพื่อให้มันสำเร็จ ไม่ใช่เผื่อใจไว้กับอย่างอื่น
.
Steven เอง = เขาออกจากมหาวิทยาลัยโดยไม่มีแผนสำรองใด ๆ เพื่อทำ Social Chain เขายอมรับว่ามันเสี่ยง แต่การไม่มีทางเลือกทำให้เขาต้องทำให้มันเวิร์กเท่านั้น
.
.
กฎที่ 23 : Don’t Be an Ostrich
.
คำว่า “Ostrich Effect” หมายถึงการเอาหัวมุดทราย ไม่อยากเผชิญปัญหา Steven บอกว่ามันคือหนึ่งในนิสัยที่อันตรายที่สุด
.
ตัวอย่าง
.
หลายคนไม่กล้าเปิดจดหมายจากธนาคาร เพราะกลัวเห็นตัวเลขหนี้ ทั้งที่การเพิกเฉยยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้าย
.
บริษัทบางแห่งไม่กล้าวิเคราะห์ฟีดแบ็กเชิงลบจากลูกค้า จนสุดท้ายเสียตลาดให้คู่แข่ง
.
วิธีแก้
.
= เผชิญหน้ากับ “ข้อมูลจริง” ให้เร็วที่สุด แม้มันจะเจ็บปวด
.
= มองปัญหาเป็นโอกาสในการแก้ ไม่ใช่เป็นศัตรู
.
= สร้างวัฒนธรรมในทีมที่ให้รางวัลกับการ “เปิดโปงปัญหา” ไม่ใช่การปิดบัง
.
.
บทที่ 24 : You Must Make Pressure Your Privilege
.
Steven เชื่อว่าแรงกดดันคือสิทธิพิเศษ ไม่ใช่คำสาป
.
ทำไม?
.
เพราะแรงกดดันหมายความว่าคุณอยู่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญพอที่จะสร้างผลลัพธ์
.
คนที่ไม่มีแรงกดดันในชีวิต คือคนที่ไม่มีใครคาดหวัง ไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะสร้างอะไรได้
.
ตัวอย่าง
.
นักกีฬาที่ได้ลงแข่งรอบชิง ต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาล แต่นั่นคือสัญญาณว่าเขาอยู่ในระดับสูงสุด
.
Steven เองตอนเริ่มทำพอดแคสต์ รู้สึกกดดันจากสายตาผู้ฟังนับล้าน แต่เขาเลือกมองว่ามันคือเกียรติ ที่ได้มีโอกาสพูดอะไรแล้วมีคนฟัง
.
.
กฎที่ 25 : Happiness Is Now, Not Then
.
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือ “ฉันจะมีความสุขเมื่อ…” — เมื่อได้เงินมากขึ้น เมื่อซื้อบ้านได้ เมื่อผอมลง เมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ แต่ Steven บอกว่า ความสุขไม่ใช่รางวัลในอนาคต มันคือ ทักษะที่ต้องฝึกในปัจจุบัน
.
ตัวอย่างชีวิตเขา
.
ตอน Social Chain ประสบความสำเร็จ เขาคิดว่าความสุขจะมาเอง แต่สิ่งที่มาคือความเครียด ความกังวล และความรู้สึกว่างเปล่า เขาต้องเผชิญกับความจริงว่า ความสุขไม่ตามมาอัตโนมัติ ต่อให้คุณชนะทุกเกมที่เล่น
.
Shawn Achor ผู้เขียน The Happiness Advantage พบว่า ความสุขไม่ได้เป็นผลจากความสำเร็จ แต่กลับกัน “ความสุขเป็นสาเหตุที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมากขึ้น” เพราะมันทำให้สมองมีพลังสร้างสรรค์และโฟกัสดีขึ้น
.
.
กฎที่ 26 : Be Divinely Discontented
.
Steven ใช้คำว่า “Divine Discontent” เพื่อบอกถึงภาวะที่เราควรรู้สึก “ไม่เคยพอ” แต่เป็นในทางสร้างสรรค์ ไม่ใช่การบ่นจุกจิก
.
ตัวอย่าง
.
Jeff Bezos เคยใช้คำนี้กับ Amazon ว่าต้อง “Divinely Discontent” กับประสบการณ์ลูกค้า หมายถึงพอใจได้แค่ชั่วคราว แต่ต้องหาทางทำให้ดีขึ้นเสมอ
.
ศิลปินที่ยิ่งใหญ่หลายคนไม่เคยรู้สึกว่าผลงานตัวเอง “สมบูรณ์แบบ” แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาก้าวต่อไป
.
Steven เอง = เขายอมรับว่าแม้จะสร้าง Social Chain จนมีมูลค่ามหาศาล เขาก็ยังรู้สึก “ยังไม่พอ” แต่ไม่ใช่เพราะความโลภ หากเพราะความกระหายในการเติบโต นั่นต่างหากที่ทำให้เขาไม่หยุดพัฒนา
.
.
กฎที่ 27 : Don’t Be an Angry Cyclist
.
Steven หยิบภาพง่าย ๆ จากชีวิตประจำวันมาสอนบทเรียนลึกซึ้ง — เวลาปั่นจักรยาน ถ้ามีรถแซงตัดหน้าแล้วคุณโกรธ ปั่นตามไปด่า ผลคือคุณเสียพลัง เสียสมาธิ และอาจเกิดอุบัติเหตุ แต่สุดท้ายรถคันนั้นก็หายไปอยู่ดี
.
ความหมายเชิงเปรียบเทียบ
.
“Angry Cyclist” คือคนที่เสียพลังไปกับการตอบสนองทางลบกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
.
ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่ง เพื่อนร่วมงาน หรือคำวิจารณ์ ถ้าคุณมัวแต่ “ปั่นตาม” คุณก็เสียโฟกัสจากเส้นทางของตัวเอง
.
หลักการที่ได้คือ
.
โฟกัสเส้นทางของตัวเอง อย่าให้พลังงานหมดไปกับศัตรูสมมติ
.
เลือกสงครามที่จะสู้ บางเรื่องปล่อยไปง่ายกว่าและคุ้มค่ากว่า
.
ควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ แทนที่จะพยายามควบคุมทุกอย่าง
.
.
กฎที่ 28 : The Right Thing and the Hard Thing Are the Same Thing
.
Steven บอกว่าชีวิตมักมีทางเลือกสองทาง
.
ทางง่ายที่ผิด กับทางยากที่ถูก และเกือบทุกครั้ง “สิ่งที่ถูกต้องคือสิ่งที่ยากที่สุด”
.
ตัวอย่าง
.
การซื่อสัตย์ในธุรกิจอาจทำให้คุณเสียดีลระยะสั้น แต่มันสร้างชื่อเสียงระยะยาว
.
การออกกำลังกายยากกว่าการนอนดู Netflix แต่ผลลัพธ์คือสุขภาพที่ยั่งยืน
.
การเลิกความสัมพันธ์ที่ไม่ดีอาจเจ็บปวด แต่คือการเปิดโอกาสให้เจอสิ่งที่ดีกว่า
.
Steven เอง = เขายอมรับว่าการลาออกจาก Social Chain เป็นการตัดสินใจที่โคตรยาก เพราะมันคือบริษัทที่เขาสร้างมากับมือ แต่เขารู้ว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องเพื่อสุขภาพจิตและเส้นทางชีวิตระยะยาว
.
.
กฎที่ 29 : The Audience of Life Is Watching, and It Is You
.
บทนี้ Steven เสนอหนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังที่สุด “คุณคือผู้ชมหลักของชีวิตตัวเอง”
.
อธิบายคือ
.
เรามักทำอะไรเพื่อ impress คนอื่น แต่สุดท้ายคนที่ต้องอยู่กับผลลัพธ์จริง ๆ คือ ตัวเราเอง
.
เวลาคุณโกง ขี้เกียจ หรือไม่ซื่อสัตย์ คุณอาจหลอกคนอื่นได้ แต่คุณหลอกตัวเองไม่ได้
.
ความภูมิใจหรือความละอายใจคือสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนคุณอยู่ลำพังกับตัวเอง
.
ตัวอย่างที่เขาเล่า = เขาเคยปิดการประชุมใหญ่ด้วยการโกหกเรื่องตัวเลขเพื่อให้ดูดี ต่อหน้าลูกค้าเหมือนสำเร็จ แต่คืนนั้นเขากลับรู้สึก “แพ้” เพราะผู้ชมที่แท้จริง = ตัวเขาเอง = รู้ว่าไม่ซื่อสัตย์
.
.
กฎที่ 30 : The Three Bars for Building Great Teams
.
Steven เริ่มต้นด้วยการชี้ว่า บริษัทหรือองค์กรใด ๆ ก็ตามคือ “ทีม” ไม่ใช่ “คนเก่งคนเดียว” และการสร้างทีมที่ดีคือความแตกต่างระหว่างธุรกิจที่พุ่งทะยานกับธุรกิจที่ตายไปเงียบ ๆ
.
เขาบอกว่ามี “สามบาร์” ที่ใช้วัดว่าทีมดีจริงหรือไม่:
.
Bar ของทักษะ (Skill Bar): สมาชิกต้องเก่งจริง ไม่ใช่พอได้ ต้องอยู่ในระดับที่ผลักดันกันเองให้ดีขึ้น
.
Bar ของค่านิยม (Values Bar): ทีมต้องมีคุณค่าหลักร่วมกัน เช่น ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ การกล้าเสี่ยง
.
Bar ของพลังงาน (Energy Bar): คนที่อยู่ด้วยทำให้คุณอยากทำงานต่อ ไม่ใช่ดูดพลังงานออกไป
.
ตัวอย่าง
.
บริษัทที่เก่งแต่ละคน แต่ค่านิยมไม่ตรงกัน มักแตกแยก
.
บริษัทที่คนเก่งปานกลางแต่พลังงานบวกมหาศาล กลับสร้างผลงานยิ่งใหญ่
.
Steven บอกว่าตอนสร้าง Social Chain เขาคัดเลือกทีมอย่างเข้มงวด ไม่ใช่แค่ดู resume แต่ดูว่าคนนั้น “มีไฟ” หรือไม่ เพราะไฟนั้นแพร่เชื้อได้ดีกว่าทักษะเสียอีก
.
.
กฎที่ 31 : Leverage the Power of Progress
.
มนุษย์ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “เป้าหมายใหญ่” อย่างเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วย “การเห็นความคืบหน้าเล็กๆทุกวัน”
.
งานวิจัย: Teresa Amabile แห่ง Harvard พบว่า “ตัวทำนายความสุขที่ดีที่สุดในที่ทำงานคือการเห็นความก้าวหน้าในงานที่มีความหมาย” ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน
.
ตัวอย่างที่ Steven ยก
.
แอปอย่าง Duolingo สร้างระบบ streak และ level-up เพื่อให้ผู้ใช้เห็นความก้าวหน้าทีละเล็ก จึงทำให้คนติดเรียนภาษา
.
ฟิตเนสที่วัดน้ำหนักหรือความแข็งแรงเป็นรายสัปดาห์ทำให้ลูกค้ากลับมา เพราะพวกเขาเห็น “ผลทีละก้าว”
.
ประสบการณ์ของเขา = ตอนสร้าง Social Chain เขาไม่เคยบอกทีมว่า “เราจะสร้างบริษัทพันล้าน” แต่เขาแบ่ง milestone เล็ก ๆ เช่น “ปิดดีลลูกค้ารายแรก” “ได้ทีมสิบคนแรก” สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเห็นการก้าวหน้าและมีพลังขับเคลื่อนต่อ
.
.
กฎที่ 32 : You Must Be an Inconsistent Leader
.
ปกติเราถูกสอนว่าผู้นำต้องสม่ำเสมอ แต่ Steven บอกว่า ผู้นำที่ดีต้องรู้จัก “ไม่สม่ำเสมอ” ในความหมายว่า ต้องปรับสไตล์การนำให้เหมาะกับสถานการณ์และคน
.
อธิบายคือ
.
ผู้นำที่เข้มงวดทุกครั้งจะทำให้ทีมหมดไฟ
.
ผู้นำที่อ่อนโยนทุกครั้งจะทำให้ทีมขาดแรงผลักดัน
.
ผู้นำที่ดีต้องรู้ว่าเมื่อไรควร “ผลักดัน” และเมื่อไรควร “ประคอง”
.
ตัวอย่าง
.
โค้ชกีฬา: บางครั้งต้องดุสุด ๆ ในห้องล็อกเกอร์ แต่บางครั้งก็ต้องกอดนักกีฬาที่กำลังพัง
.
Steve Jobs เองเป็นตัวอย่างของ “ความไม่สม่ำเสมอ” ที่ทีมรู้ว่าเขาจะคาดเดายาก แต่ผลคือเขาสามารถดึงศักยภาพสูงสุดออกมาจากทีมได้
.
ประสบการณ์ของ Steven = เขาเล่าว่าตอนแรกเขาพยายามเป็นผู้นำที่ “เหมือนเดิมเสมอ” เพราะคิดว่าจะทำให้ทีมมั่นใจ แต่ผลคือทีมรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์จริง จนกระทั่งเขายอมรับว่าผู้นำที่แท้จริงคือต้อง “ปรับ” อยู่เสมอ
.
.
กฎที่ 33 : Learning Never Ends
.
กฎสุดท้าย Steven ทิ้งข้อความง่าย ๆ แต่ทรงพลัง: “การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด”
.
เหตุผลคือ
.
โลกเปลี่ยนเร็วเกินกว่าจะพึ่งความรู้เดิม ๆ ได้
.
บริษัทที่หยุดเรียนรู้ = บริษัทที่เริ่มตาย
.
บุคคลที่หยุดเรียนรู้ = คนที่ถูกโลกแซงไปอย่างเงียบ ๆ
.
Steven เล่าว่าแม้วันนี้เขาจะประสบความสำเร็จ แต่เขายังอ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ และนั่งสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป เพราะทุกครั้งที่เรียนรู้ เขาเหมือนถูกเปิดประตูบานใหม่ และบานใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
.
.
.
.