Think Again เขียนโดย Adam Grant

สรุป 25 ข้อคิดจากหนังสือ Think Again เขียนโดย Adam Grant

.

"The purpose of learning isn’t to affirm our beliefs; it’s to evolve our beliefs."

— Adam Grant

.

เราเปลี่ยนมือถือทุกปี เปลี่ยนร้านกาแฟทุกเดือน

แต่พอมีใครมาชวนเปลี่ยนความคิด... เรากลับรู้สึกเหมือนถูกดูถูกบรรพบุรุษ

.

คนส่วนใหญ่ไม่ได้กลัว “ความจริงใหม่”

แต่กลัวว่าถ้ายอมรับมัน = แปลว่า “ตัวฉันก่อนหน้านี้...โง่?”

.

ในหนังสือเล่มนี้ Adam Grant มาชวนเราทำในสิ่งที่ดูง่าย แต่ทำยากที่สุดในโลกมนุษย์

.

.

1. The Survival of a Rethinker

.

Grant เริ่มเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม: ด้วยไฟป่าที่ Mann Gulch ปี 1949

Smokejumpers 15 คนกระโดดร่มลงไปดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้กลางเขา

ไฟเริ่มขยายตัวเร็วเกินคาด จนพวกเขาต้อง “หนี” แทนที่จะ “สู้”

.

ในเวลาคับขัน หัวหน้าทีม Wagner Dodge ตัดสินใจจุดไฟเผาหญ้าล่วงหน้า สร้าง “escape fire”

ซึ่งเป็นอะไรที่ดู... บ้า

ลูกทีมเห็นก็คิดว่า Dodge เสียสติ “ไฟกำลังจะมาถึงอยู่แล้ว ยังจะจุดเพิ่มอีก?”

.

แต่จริง ๆ แล้ว Dodge รู้ว่า ถ้าพื้นที่ตรงหน้าถูกเผาไปแล้ว — ไฟจริงจะไม่มีเชื้อเพลิงเหลือ

เขานอนราบกับพื้นในพื้นที่ที่เผาไปแล้ว และรอด

12 คนที่เหลือวิ่งหนีขึ้นเขา... และตาย

.

"He didn’t survive because he was stronger or faster. He survived because he thought differently."

.

.

2. ทำไมเราถึงไม่กล้าคิดใหม่ แม้เมื่อมัน “อาจช่วยชีวิตเรา”?

.

คนส่วนใหญ่ยึดติดกับสิ่งที่ “เคยถูก” มากจนไม่กล้าคิดใหม่แม้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

Grant ชี้ว่าปัญหาไม่ใช่แค่ “ความโง่” แต่คือ ความกลัวที่จะเปลี่ยนตัวตน

.

❝Rethinking is not just a mental skill — it’s a moral choice.❞

.

ในสถานการณ์ที่ต้องคิดใหม่ เรามักเผชิญสิ่งเหล่านี้:

.

Cognitive laziness: ขี้เกียจคิดใหม่ เพราะอันเดิมใช้มาแล้ว

Identity threat: ถ้าความเชื่อผิด เราจะกลายเป็น "คนผิด" ทันที

Seizing and freezing: มนุษย์ชอบคว้าความเชื่อเร็วๆ แล้ว “แช่แข็ง” มันไว้

.

กบในหม้อน้ำ กับเรื่องโกหกที่เราเชื่อ

.

คุณคงเคยได้ยินนิทาน “กบในหม้อน้ำ” — ถ้าโยนกบลงน้ำร้อน มันจะกระโดดหนี

แต่ถ้าค่อย ๆ ต้มน้ำ กบจะไม่รู้ตัวและตาย

.

ข่าวร้ายคือ... เรื่องนี้ไม่จริง

ข่าวดีคือ... มันสะท้อนพฤติกรรมมนุษย์ได้ดีเยี่ยม

.

"It’s not the frog who fails to re-evaluate — it’s us."

.

เราเชื่อใน “first instinct” แบบผิด ๆ ว่า “อย่าเปลี่ยนคำตอบข้อสอบนะ เดี๋ยวพลาด”

แต่ Grant อ้างงานวิจัยที่พบว่า คนที่เปลี่ยนคำตอบจากผิด → ถูก มีเยอะกว่าผิด → ผิด

.

สาเหตุที่เปลี่ยนแล้วได้คะแนนเพิ่มไม่ใช่เพราะ “เปลี่ยนมั่ว” แต่เพราะ “กล้าคิดใหม่เมื่อมีข้อมูลเพิ่ม”

.

.

3. ความฉลาดแบบเก่า vs ความฉลาดแบบใหม่

.

Grant แยก “ความฉลาดแบบเดิม” ออกเป็น:

.

A. ความสามารถในการคิดและเรียนรู้ (Think & Learn)

.

แต่ในโลกที่ซับซ้อนปัจจุบัน เราต้องการอีกชุดทักษะคือ:

.

B. ความสามารถในการคิดใหม่และเลิกเรียนรู้บางอย่าง (Rethink & Unlearn)

.

ความสามารถในการ “เปลี่ยนใจตัวเอง” คือสิ่งที่ช่วยให้รอด — และเจริญขึ้นด้วย

.

.

4. ทำไม Firefighters ถึง “ตายพร้อมขวาน”?

.

Grant อ้างอิงจากงานของ Karl Weick นักจิตวิทยาองค์กร ที่ศึกษาเหตุการณ์ไฟไหม้และพบว่า

นักดับเพลิงหลายคน ไม่ยอมทิ้งขวาน แม้จะรู้ว่ามันทำให้วิ่งช้าลง และอาจตาย

.

เพราะขวานไม่ใช่แค่เครื่องมือ — มันคือ ตัวตน

.

พอทิ้งขวาน ก็เหมือนทิ้ง “ความหมายในชีวิต”

.

เขาเขียนไว้ชัดเลยว่า:

"Dropping one’s tools creates an existential crisis. Without my tools, who am I?"

.

.

5. จาก “ขวานของนักดับเพลิง” สู่ “ความเชื่อของคนทำงาน”

.

เราอาจไม่ได้แบกขวานวิ่งหนีไฟ

แต่เรากำลังแบก “ค่านิยมเดิม” “ระบบคิดที่หมดอายุ” “ความรู้เก่า” และ “ความฝันเก่า” อยู่ทุกวัน

.

เพียงเพราะเรากลัวว่า ถ้าเรายอมเปลี่ยน เราจะเป็นใคร?

.

"The greatest tragedy of Mann Gulch is that a dozen smokejumpers died fighting a fire that never needed to be fought."

.

ถ้าองค์กรยอมรับว่า “บางไฟควรปล่อยไหม้” (เช่นระบบป่าไม้ที่อาศัยไฟช่วยฟื้นฟู)

พวกเขาคงไม่ต้องตายเลยตั้งแต่แรก

.

.

6. แนะนำอาชีพใหม่: “นักคิดใหม่” (Rethinker)

.

Grant เชิญชวนให้เราไม่ใช่แค่ “เรียนรู้” แต่ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้ใหม่”

.

แนวคิดนี้นำไปสู่ Framework หลักของหนังสือ:

.

Preacher, Prosecutor, Politician, Scientist

.

Preacher – ยึดมั่นในความเชื่อของตัวเอง และพยายามสั่งสอนผู้อื่น

.

Prosecutor – จ้องจับผิดผู้อื่นเพื่อปกป้องความเชื่อตัวเอง

.

Politician – พูดตามสิ่งที่คนรอบข้างอยากฟัง เพื่อให้ตัวเองดูดี

.

Scientist – ตั้งสมมติฐาน, ทดสอบ, พร้อมเปลี่ยนใจตามหลักฐาน

.

"If knowledge is power, knowing what we don’t know is wisdom."

.

แล้วเรารู้ได้ไงว่า “เราเป็นแบบไหน”?

.

ลองถามตัวเองว่า:

.

เราเคยดีใจกับการ “ผิด” ไหม?

เราเคยเปลี่ยนใจเรื่องใหญ่ ๆ หรือไม่?

เรายอมให้คนแย้งเราโดยไม่รู้สึกถูกโจมตีได้ไหม?

.

หากคำตอบคือ “ไม่ค่อย” — คุณอาจยังไม่ได้อยู่ใน Scientist Mode

และถ้าคุณตอบว่า “โอ้ ฉันเปิดกว้างนะ!” โดยไม่เคยฟังใครจริงจัง — ก็อาจจะต้อง Think Again แล้วล่ะครับ

.

.

7. มั่นใจเกินเหตุ... อาการนี้มีชื่อและมีรางวัล (ตลกร้าย)

.

“ความผิดพลาดทางความคิด” ที่โด่งดังที่สุดในแวดวงจิตวิทยา

และได้รับรางวัล Ig Nobel ในปี 2000 (รางวัลล้อเลียนโนเบล):

.

The Dunning–Kruger Effect

.

เรื่องมันเริ่มจากผู้ชายคนหนึ่งใน Pittsburgh ที่ปล้นธนาคารโดยทาหน้าด้วยน้ำมะนาว

.

เขาเชื่อว่า “น้ำมะนาวจะทำให้กล้องวงจรปิดมองไม่เห็นหน้า”

เขาไม่ได้เมา เขาไม่ได้ป่วย

.

เขาแค่ “มั่นใจ” ว่าตัวเองรู้ดี — จากการอ่านข้อมูลมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ

.

"People who lack competence tend to be overconfident."

.

ความโง่คืออะไร? = คือการที่คุณไม่รู้ว่า “คุณไม่รู้”

.

David Dunning และ Justin Kruger ศึกษาพบว่า

.

ยิ่งคนรู้น้อย... ยิ่งประเมินตัวเองสูง

.

เพราะพวกเขาไม่มี “เครื่องมือทางความคิด” ที่จะประเมินตัวเองได้อย่างแม่นยำ

.

งานวิจัยพบว่า:

.

คนที่ได้คะแนน ต่ำสุด 25% ในการทดสอบ grammar, logic, และ humor

.

→ ประเมินตัวเองว่า อยู่ในกลุ่มสูงสุด 33%

.

"It’s not the ignorance that’s the problem. It’s the illusion of knowledge."

.

.

มนุษย์มีนิสัยปีนขึ้น “Mount Stupid” ก่อนตกลงมาแบบงง ๆ

.

กราฟชื่อดังของ Dunning-Kruger:

.

แกน X = ความรู้

แกน Y = ความมั่นใจ

.

คนมักมั่นใจพุ่งสูงทันทีหลังเรียนรู้บางอย่างนิดเดียว

→ จุดนี้เรียกว่า “Mount Stupid”

.

หลังจากเจอความซับซ้อนจริง ๆ แล้ว ความมั่นใจจะดิ่งลง

→ เข้าสู่ “Valley of Despair” (หุบเขาแห่งความหมดไฟ)

.

คนที่พัฒนาต่อไปได้ ต้องปีนขึ้นไปใหม่

→ ด้วยการรู้ว่า “เราไม่รู้อะไร” และ “เราต้องอัปเดตตลอดเวลา”

.

"The path to wisdom runs through the valley of humility."

.

.

8. Illusion of Explanatory Depth: เรารู้แค่ไหนกันแน่?

.

Grant ยกตัวอย่าง “คำถามที่ทำลายอีโก้ได้ทันที” เช่น:

.

คุณอธิบายได้ไหมว่า “ซิป” ทำงานยังไง?

คุณเข้าใจกลไกการทำงานของ “จักรยาน” จริง ๆ แค่ไหน?

.

คนส่วนใหญ่คิดว่ารู้

จนกระทั่งถูกถามให้ “อธิบายละเอียด” → แล้วก็ตอบไม่ได้

.

"We often confuse familiarity with understanding."

.

ความมั่นใจควรมา “หลังจาก” ตรวจสอบความเข้าใจ ไม่ใช่ก่อน

.

Adam Grant บอกว่า

.

ความมั่นใจไม่ควรเป็น default

แต่ควรเป็น output ที่ผ่านกระบวนการตั้งคำถามและทดสอบมาแล้ว

.

"Thinking again is a skillset, but it's also a mindset."

.

ซึ่ง mindset ที่ดีควรประกอบด้วย:

.

1. Intellectual Humility – ยอมรับว่าตัวเองอาจผิด

.

2. Curiosity – อยากรู้อยากเข้าใจ

.

3. Mental Flexibility – พร้อมจะเปลี่ยนแนวคิดเมื่อจำเป็น

.

.

9. ทักษะของนักพยากรณ์ที่แม่นยำที่สุดในโลกคืออะไร?

.

Philip Tetlock ศึกษานักพยากรณ์ทางการเมืองมากกว่า 20 ปี

พบว่าคนที่แม่นที่สุดไม่ใช่ “ผู้เชี่ยวชาญที่มั่นใจจัด” แต่คือ “คนที่ปรับการคาดการณ์บ่อย ๆ”

.

"They updated their beliefs incrementally as new information emerged."

.

สิ่งที่พวกเขาทำ:

.

ใช้ “probabilistic thinking” → ไม่ใช่แค่ “ถูก/ผิด” แต่ “มีความเป็นไปได้แค่ไหน?”

.

เปลี่ยนความเห็นเมื่อมีหลักฐานใหม่ → ไม่ยึดติดกับคำตอบเดิม

.

ไม่กลัวเสียหน้า → เพราะไม่เห็นว่า “การเปลี่ยนใจ” เป็น “ความล้มเหลว”

.

.

10. การมี Self-Doubt บ้าง ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ

.

คนที่สงสัยตัวเองบ้างเป็นระยะ ๆ

→ มีแนวโน้มจะเรียนรู้ต่อ และไม่หยุดพัฒนา

.

Adam Grant แยกชัดเจนระหว่าง:

.

Confident humility – ฉันมีศักยภาพเรียนรู้ แต่ยังไม่รู้อะไรบ้าง

.

Arrogant certainty – ฉันมั่นใจว่าฉันรู้แล้ว และไม่ต้องปรับอะไรอีก

.

"Humility is often misunderstood. It’s not a lack of self-confidence. It’s a lack of self-importance."

.

.

Impostor Syndrome อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

.

ใช่ครับ... Grant กลับมองว่า “Impostor Syndrome” (ความรู้สึกว่าเราไม่เก่งพอ)

อาจเป็น สิ่งที่ดี ในระดับหนึ่ง

.

ทำให้เราระวัง

เปิดรับ Feedback

มีแรงผลักดันให้เรียนรู้

ไม่หยุดอยู่กับความสำเร็จในอดีต

.

"Having a healthy dose of doubt can motivate us to work harder and smarter."

.

.

11. สร้างกำแพงกัน “Ego” ไม่ให้ล้อมสมองเรา

.

Grant เตือนว่า Ego เป็นศัตรูตัวฉกาจของการเรียนรู้

โดยเฉพาะในคนที่มี “ความสำเร็จ” เป็นหลักฐาน

เพราะเมื่อความคิดกลายเป็น “ตัวตน” การยอมผิดคือ “ยอมแพ้”

.

"When our ideas become part of our identity, we become hostile to rethinking."

.

เขาเสนอให้เรา “แยกตัวตนออกจากความคิด”

.

พูดง่าย ๆ คือ:

คุณไม่ใช่ความเห็นของคุณ

ถ้าความเห็นนั้นผิด ก็ไม่ได้แปลว่าคุณ “แย่”

มันแค่ “ข้อมูลชุดเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป”

.

.

12. คนส่วนใหญ่ “พูดเพราะอยากชนะ” ไม่ได้พูดเพราะอยากเข้าใจ

.

"When we try to change a person’s mind, we often focus on facts, logic, and arguments. But what we need to do first is listen."

— Adam Grant

.

ในยุคของการดีเบตออนไลน์แบบใส่อีโมจิโกรธพร้อมพิมพ์รัว Adam Grant บอกว่า…

คนส่วนใหญ่มองการพูดเป็น “สนามรบ” มากกว่า “พื้นที่สนทนา”

.

พอเป็นแบบนั้น สิ่งที่ตามมาคือ:

พูดมากกว่าฟัง

ฟังเพื่อ “หาเรื่องโต้กลับ” ไม่ใช่เข้าใจ

พูดเร็ว ใช้เหตุผลแรง เพื่อ “กด” อีกฝ่ายให้ยอมรับ

.

"The goal becomes winning the argument, not winning the person."

.

.

13. ความจริงไม่พอจะเปลี่ยนใจคน

.

ใช่ครับ... Grant บอกว่ามีคนจำนวนมาก “รู้ข้อเท็จจริง” แล้ว แต่ยังไม่เปลี่ยนใจ

.

เพราะ ข้อมูลอย่างเดียวไม่พอ ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกว่า:

“คุณกำลังบังคับฉัน”

“คุณตัดสินฉันว่าโง่”

“คุณแค่อยากเอาชนะ”

.

ผลคือเกิดสิ่งที่เรียกว่า “psychological reactance”

.

คืออาการ “ต่อต้านโดยสัญชาตญาณ” เมื่อรู้สึกว่าเสรีภาพถูกคุกคาม

.

"You can't bully someone into agreeing with you. The more forcefully you try, the more they resist."

.

.

Daryl Davis กับวิธีเปลี่ยนใจ KKK โดยไม่พูดคำว่า “คุณผิด”

.

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าทึ่งในหนังสือคือเรื่องของ Daryl Davis

นักดนตรีผิวดำที่เปลี่ยนใจสมาชิก KKK ให้ลาออกมากกว่า 200 คน

โดยไม่มีการโต้เถียง ไม่มีคำว่า “เหยียด” ไม่มีการประณาม

.

Davisแค่เริ่มด้วยคำถามง่ายๆ:

.

“Why do you hate me if you don’t even know me?”

.

เขานั่งฟังโดยไม่ตัดสิน และทำให้คนตรงข้าม ตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเอง

ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ — แต่เพราะเริ่ม “อยากรู้ความจริงด้วยตัวเอง”

.

"The best way to disarm someone is not with logic, but with listening."

.

.

14. Motivational Interviewing: ศิลปะของการ “ชวนให้คนเปลี่ยนใจด้วยตัวเอง”

.

เทคนิคนี้มาจากวงการจิตบำบัดและช่วยเลิกยาเสพติด

แต่ Grant บอกว่ามันทรงพลังสำหรับทุกการสนทนา

.

หลักการ:

.

ถามปลายเปิด – แทนที่จะบอกว่า “คุณคิดผิด” ให้ถามว่า “อะไรทำให้คุณเชื่อแบบนั้น?”

.

สะท้อนกลับอย่างไม่ตัดสิน – เช่น “ฟังดูเหมือนคุณรู้สึกไม่มั่นใจในระบบนี้”

.

เน้นอิสระในการตัดสินใจ – เช่น “คุณคิดว่าอยากลองเปลี่ยนอะไรไหม?”

.

กระตุ้นให้เขาเป็นคนพูดเหตุผลใหม่ด้วยตัวเอง

.

"People are more likely to support a decision if they had a voice in making it."

.

.

15. ดีเบตที่ดี ไม่ได้ทำให้เถียงเก่งขึ้น — แต่ทำให้เข้าใจคนตรงข้ามมากขึ้น

.

Grant ยกตัวอย่างนักดีเบตระดับโลก

ผู้ชนะมักไม่ใช่คนที่พูดดังสุด หรือมีคำคมมากที่สุด

.

แต่คือคนที่:

.

ยอมรับจุดแข็งของฝั่งตรงข้าม ก่อนนำเสนอจุดอ่อน

ใช้คำถามมากกว่าข้อกล่าวหา

พูดช้า ชัด และใจเย็น เพื่อให้ผู้ฟังตามทัน

เสนอทางเลือก มากกว่าคำตอบเด็ดขาด

.

"The most persuasive people are not those who talk the most — but those who ask the right questions."

.

.

16. เทคนิค “การฟังแบบนักวิทยาศาสตร์” (Active Constructive Listening)

.

ไม่ใช่แค่ “พยักหน้า”

ไม่ใช่แค่ “เงียบ”

แต่คือการ “สะท้อนความเข้าใจด้วยความสนใจจริง ๆ”

.

Adam แนะนำให้:

ฟังแล้วถามต่อแบบ “ต่อยอด” ไม่ใช่ “ขัดจังหวะ”

ถามเพื่อเข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลัง เช่น “คุณเคยมีประสบการณ์อะไรกับเรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า?”

เว้นระยะให้เงียบแบบไม่อึดอัด → บางครั้งความเงียบคือแรงผลักให้คนพูดต่อ

.

"Listening is a way of offering others our scarcest, most precious gift: our attention."

.

.

อย่าลืมว่า “ความเชื่อ” บางอย่างคือ “กำแพงป้องกันตัวเอง” ของอีกฝ่าย

.

คุณอาจคิดว่าอีกฝ่ายเชื่อผิด

แต่สำหรับเขา ความเชื่อนั้นคือ:

.

กลไกการอยู่รอด

เครื่องยึดเหนี่ยวทางอารมณ์

ส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ตัวเอง

.

ดังนั้น หากคุณเข้าไป “โจมตี” โดยไม่เข้าใจบริบท

อีกฝ่ายจะตีความว่า “คุณกำลังรื้อเขาทั้งตัว”

.

"Attacking someone’s belief is like pulling on a thread that holds their identity together."

.

ลองใช้คำถามเชิงเปิดแบบ Rethink-Friendly เช่น:

.

“คุณคิดว่ามีอะไรที่คุณยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?”

“ถ้ามีคนมองมุมตรงข้าม เขาน่าจะให้เหตุผลว่าอย่างไร?”

“เคยมีอะไรที่ทำให้คุณเปลี่ยนความเห็นในเรื่องอื่นไหม?”

.

เป้าหมายไม่ใช่ให้เขา “เปลี่ยนใจทันที” แต่ “เริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยมั่นใจเกินไป”

.

.

17. NASA: จากความรุ่งโรจน์ สู่โศกนาฏกรรมแห่งการ “ไม่กล้าคิดต่าง”

.

"When everyone agrees, there’s a danger of groupthink—and the absence of rethinking."

— Adam Grant

.

Adam Grant เล่าเรื่องที่สะเทือนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งในหนังสือ:

.

โศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ Columbia ในปี 2003

.

ก่อนที่ยานจะกลับโลก วิศวกรบางคนเห็นวัตถุบางอย่างชนกับกระสวยขณะปล่อย

มีคน “สงสัย” ว่าอาจเป็นชิ้นโฟมที่หลุดจากถังเชื้อเพลิง และอาจทำให้ยานเสียหาย

.

แต่เสียงนั้นถูก “กลบ” ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดหลัก “เราทำมาแบบนี้ตลอด และมันก็โอเค”

.

"Their culture rewarded consensus, not dissent."

.

สุดท้าย Columbia ระเบิดกลางอากาศ

ลูกเรือทั้ง 7 เสียชีวิต

.

ทำไมองค์กรที่เต็มไปด้วยคนฉลาด… ถึงตัดสินใจผิดพลาด?

.

Grant ชี้ว่า “คนฉลาด” มักมีจุดอ่อนที่อันตรายมาก:

.

Overconfidence bias → คิดว่าความรู้ในอดีต = คำตอบในอนาคต

Confirmation bias → ฟังเฉพาะเสียงที่สนับสนุนความเห็นตัวเอง

Groupthink → ถ้าคนอื่นไม่เถียง แปลว่าเราคิดถูกแล้ว

.

"The smarter you are, the more likely you are to fall for these traps."

.

.

18. องค์กรที่คิดใหม่ได้เร็ว ต้องกล้าท้าทาย “เสียงส่วนใหญ่”

.

หลังเหตุ Columbia NASA ปรับวัฒนธรรมใหม่ภายใต้ผู้นำชื่อ Ellen Ochoa

.

เธอเปลี่ยนจากระบบ “สั่งการ” → สู่ระบบ “รับฟังและสะท้อน”

.

ตัวอย่างนโยบาย:

เปิดให้ส่งข้อกังวลแบบไม่ระบุตัวตน

สร้าง “room for dissent” ในทุกการประชุม

เชิญ “Devil’s Advocate” ให้เป็นทางการ ไม่ใช่ศัตรู

.

"Good leaders don’t just welcome disagreement—they encourage it."

.

.

19. ความมั่นคงในองค์กร ไม่ได้มาจากคนที่เห็นตรงกัน... แต่มาจาก “ความปลอดภัยในการเห็นต่าง”

.

นี่คือแนวคิดของ psychological safety

ซึ่ง Grant ยกจากงานของ Amy Edmondson แห่ง Harvard

.

องค์กรที่มี psychological safety:

คนกล้าพูด แม้จะขัดหัวหน้า

คนกล้ายอมรับว่า “ฉันไม่รู้”

ความผิดกลายเป็น “บทเรียนร่วม” ไม่ใช่ “บาป”

.

"In a psychologically safe environment, learning accelerates."

.

ตัวอย่างองค์กรที่ล้ม เพราะไม่มีคนกล้าคิดใหม่

.

Kodak รู้เรื่องกล้องดิจิทัลก่อนใคร แต่ไม่กล้าทิ้งฟิล์ม

Blockbuster หัวเราะใส่ Netflix

BlackBerry บอกว่า “คนไม่อยากเล่นเน็ตผ่านมือถือหรอก”

.

สิ่งที่ฆ่าพวกเขาไม่ใช่คู่แข่ง

แต่คือ “ความมั่นใจแบบไม่เปิดใจ”

.

"The biggest threat to innovation is an old success."

.

.

20. Bridgewater: สูตรองค์กรที่กล้าคิดใหม่ตั้งแต่ดีเอ็นเอ

.

Bridgewater Associates (ของ Ray Dalio) เป็นกองทุนที่เน้น “radical transparency”

ทุกคนสามารถ “วิจารณ์” กันได้แบบไม่มีลำดับชั้น

.

สิ่งที่พวกเขาทำ:

.

ประชุมถูกอัดเสียงทุกครั้ง

ทุกคำแนะนำถูกให้คะแนน (real-time feedback)

มี algorithm ติดตาม “ความแม่นของคำทำนาย” ของแต่ละคน

.

"We rate the believability of the idea, not the seniority of the person."

.

.

Grant เสนอให้ทุกองค์กรใช้ “hypothesis mindset” คือ:

.

ทุกความเห็นคือสมมติฐาน → ต้องทดสอบ

ทุกนโยบายคือ prototype → ต้องกล้าปรับ

ทุกความสำเร็จ = “ชั่วคราว” → ต้องพร้อมคิดใหม่

.

"Being wrong is only bad if you’re unwilling to admit it."

.

วิธีสร้างวัฒนธรรม Rethink ในองค์กร (ที่ไม่ใช่แค่ในทฤษฎี)

.

1. ตั้งกติกาว่า “ความเห็นต่าง = ทรัพย์สิน” ไม่ใช่ภัยคุกคาม

.

2. มีตำแหน่ง “Challenger-in-Chief” ที่มีหน้าที่ตั้งคำถามกับทุกไอเดีย

.

3. ใช้ pre-mortem analysis → สมมติว่าโปรเจกต์ล้มเหลว แล้วสืบย้อนว่าเพราะอะไร

.

4. ให้รางวัลคนที่ “เปลี่ยนความเห็นตัวเอง” เมื่อมีข้อมูลใหม่

.

"Rethinking must be systematized — not just romanticized."

.

.

21. ทำไมการทบทวน “เป้าหมาย” ถึงยากกว่าการตั้งเป้าหมาย?

.

"We laugh at people who still use Windows 95. But we still cling to opinions that we formed in 1995."

— Adam Grant

.

เพราะการทบทวนเป้าหมาย ไม่ได้กระทบแค่ “แผนการ” แต่มันกระทบถึง:

.

ความภาคภูมิใจ

ความมั่นใจ

และ... อัตลักษณ์ทั้งหมดที่เราสร้างขึ้น

.

"It's easier to stay loyal to a plan than to admit it no longer serves us."

.

Grant เรียกสิ่งนี้ว่า “identity foreclosure” คือภาวะที่เราตัดสินใจว่าจะเป็นใคร ตั้งแต่อายุยังน้อย — แล้วไม่เคยเปิดไฟฉายสำรวจอีกเลย

.

เป้าหมายที่ดี “ควรเติบโตตามเรา” — ไม่ใช่เราต้องย่อขนาดลงให้พอดีกับมัน

.

คนจำนวนมากเดินตามแผนเดิมเพราะ:

.

“มันเคยใช้ได้”

“ฉันทุ่มไปเยอะแล้ว”

“ทุกคนคาดหวังให้ฉันเดินเส้นทางนี้”

.

แต่นั่นอาจทำให้เราย่อตัวลงเรื่อย ๆ

กลายเป็นคนที่ “ได้สิ่งที่ตั้งใจ” แต่ไม่รู้สึกว่า “มันยังใช่”

.

"It’s not weakness to let go of a goal — it’s wisdom."

.

Escalation of commitment: ยิ่งผิด ยิ่งทุ่มต่อ

.

นี่คือหนึ่งใน bias ที่อันตรายมาก = ยิ่งเราลงทุนกับอะไรบางอย่างไปมาก… เราจะยิ่งรู้สึกว่าต้องเดินหน้าต่อ

.

Grant บอกว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ความภักดี

แต่มันคือ การกลัวยอมรับว่าตัวเองเคยคิดผิด

.

"Sometimes the best way to finish a marathon is to stop running in the wrong direction."

.

.

22. ชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้อง “บรรลุเป้าหมายเดิม” — แต่มันต้อง “สอดคล้องกับตัวเราตอนนี้”

.

นี่คือเครื่องมือที่ Grant แนะนำ:

.

“The Reconsideration Lens” หรือเลนส์แห่งการคิดใหม่

.

ถามตัวเอง:

1. ถ้ายังไม่เริ่มวันนี้… ฉันจะเลือกทำสิ่งนี้ไหม?

2. ถ้าเพื่อนมาขอคำแนะนำเรื่องนี้… ฉันจะแนะนำให้เขาเดินเส้นทางนี้หรือเปล่า?

3. ถ้าฉันเจอเส้นทางใหม่ที่ดูดีกว่า… ฉันจะยังดื้อกับทางเก่าไหม?

.

"Don’t stay just because you started. Stay because it still makes sense."

.

.

Passion กับ Prison มีเส้นบาง ๆ คั่นไว้

.

เราถูกสอนให้ “ตามหาความหลงใหล” (Find your passion)

แต่ Grant เตือนว่า บางครั้ง Passion ก็กลายเป็น Prison ถ้าเราเอา “ความฝันเก่า” มาขัง “ตัวตนใหม่”

.

Passion อาจเคยเป็นแรงผลัก

แต่เมื่อโลกเปลี่ยน — Passion ต้อง “ปรับตัว” ด้วย ไม่ใช่ “ดื้อ”

.

"Passion can become a prison if we let it overtake our identity."

.

Adam Grant เล่าว่าหลายคนที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิต

ไม่ได้ทำเพราะล้มเหลว

แต่เพราะ “พวกเขาเติบโตจนไม่เหมาะกับเป้าหมายเก่าอีกต่อไปแล้ว”

.

ตัวอย่าง:

นักกีฬาอาชีพที่กลายเป็นนักจิตวิทยา

นักบัญชีที่กลายเป็นนักแต่งเพลง

ผู้บริหารที่กลายเป็นนักเขียน

.

"It’s not giving up — it’s leveling up."

.

.

23. เขียนแผนชีวิตด้วยดินสอ ไม่ใช่ปากกา

.

เราเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต:

โทรศัพท์

แอป

รหัสผ่าน

คนที่เราติดตามใน IG

.

แต่แผนชีวิต... เรามักถือมันแน่นราวกับเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

.

Grant เสนอให้ “เขียนแผนชีวิตด้วยดินสอ”

.

→ พร้อมลบ พร้อมเขียนใหม่

.

"Flexibility in our goals allows us to stay true to our values while updating our path."

.

.

24. แผนชีวิตไม่สำคัญเท่ากับ “เข็มทิศชีวิต”

.

แผน = รายละเอียด

เข็มทิศ = แก่นที่เรายึด

.

Grant แนะนำว่า:

.

ยึด “ค่านิยมหลัก” ไว้ (เช่น ความซื่อสัตย์ การเติบโต การมีความหมาย)

แต่ให้ “เป้าหมายเฉพาะ” ยืดหยุ่นได้ตามบริบท

.

"A goal is not a destination. It’s a direction."

.

.

25. Ability to Think and Learn vs Ability to Rethink and Unlearn

.

ในยุคที่ความรู้ใหม่เกิดทุกวัน

ความสามารถในการ "เลิกเชื่อสิ่งที่เคยถูก" สำคัญยิ่งกว่าการ “จำเก่ง”

.

"Intelligence is traditionally viewed as the ability to think and learn. Yet in a rapidly changing world, there's another set of cognitive skills that might matter more: the ability to rethink and unlearn."

— Adam Grant

.

หรือสั้นๆก็คือ

.

"We need to spend as much time rethinking as we do thinking."

.

Grant เสนอว่าทักษะ “Rethinking” ควรถูกฝึกเหมือนกล้ามเนื้อ

→ ไม่ใช่เฉพาะเวลามีปัญหา

→ แต่ต้องฝึกในชีวิตประจำวัน

.

เทคนิคฝึกสมองให้ “คิดใหม่เป็นนิสัย”

.

1. สร้าง “Challenge Network”

"We need more than cheerleaders. We need critics."

.

2. ทำให้ “การเปลี่ยนใจ” กลายเป็นคุณสมบัติที่น่าชื่นชม

"Changing your mind doesn’t mean you’ve abandoned your principles. It means you’ve evolved."

.

3. เก็บบันทึก “ฉันเคยคิดผิดเรื่องอะไร?”

เพราะคนส่วนใหญ่จำแต่ตอน “ถูก”

แต่จริง ๆ แล้ว… บันทึก “ความผิดพลาด” นี่แหละที่สอนเราได้มากกว่า

.

.

เปลี่ยนจาก “ความมั่นใจ” เป็น “ความอยากรู้”

.

"Being wrong is less costly than being blind to our wrongness."

.

Grant แนะนำให้เราเปลี่ยนโมเดลการเรียนรู้แบบเดิม (ที่เน้นความถูกต้อง)

→ มาเป็นโมเดลใหม่ที่เน้น “ความแม่นยำที่ปรับปรุงได้” (Calibrated Accuracy)

.

พูดง่าย ๆ คือ:

อย่าแค่มั่นใจว่า “ฉันคิดถูก”

ให้ถามว่า “โอกาสที่ฉันคิดถูกคือกี่เปอร์เซ็นต์?”

แล้วกล้าปรับเปอร์เซ็นต์นั้นเมื่อมีข้อมูลใหม่

.

คิดใหม่กับ “วิธีเรียนรู้”

.

Grant แนะนำให้เรารื้อกระบวนการเรียนรู้แบบ “อ่าน → ท่อง → สอบ”

.

"The best learners are the best rethinkers."

.

กลยุทธ์ที่เขาเสนอ

.

Think like a scientist – ตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียน ไม่ใช่รีบจำ

.

Argue like you're wrong – เวลาถกเถียง ให้พยายามหาช่องโหว่ของความคิดตัวเอง

.

Teach back – สอนคนอื่นในสิ่งที่เพิ่งเรียน (วิธีเช็กว่ารู้จริง)

.

.

=================================

.

ตัวตนที่แท้ = ตัวตนที่ “ปรับได้โดยไม่เปลี่ยนแก่น”

.

"Don't let your ideas become your identity."

.

Grant ย้ำว่า:

.

เราไม่ใช่ความคิดของเรา

ถ้าไอเดียผิด → เราแค่เปลี่ยนมัน

ไม่ใช่ “ล้มเหลว” แต่คือ “เติบโต”

.

ตัวตนที่ยืดหยุ่นคือ: มีหลักยึด (ค่านิยม) ที่ชัด

แต่ไม่กลัวจะเปลี่ยนวิธีเดินทางไปสู่หลักนั้น

.

ถ้าคุณอยากเป็นนักคิดแบบใหม่… จงคิดแบบนักวิทยาศาสตร์

.

สรุปแก่นของหนังสือทั้งเล่ม:

.

"Think like a scientist. Be curious, not convinced. Doubt your ideas, not your values. Be a lifelong learner."

.

.

.

.

#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

The Anxious Generation เขียนโดย Jonathan Haidt

Next
Next

The 18 Laws of Human Nature เขียนโดย Robert Greene