สรุปหนังสือ Four Thousand Weeks ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ เขียนโดย Oliver Burkeman
ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งหากมีอายุยืนถึงแปดสิบปี ก็จะมีเวลาเพียงแค่สี่พันสัปดาห์เท่านั้น น้อยเกินกว่าที่จะได้อ่านหนังสือทุกเล่มที่อยากอ่าน เดินทางไปทุกแห่งที่ฝันไว้ เรียนรู้ทุกทักษะที่สนใจ หรือใช้เวลากับทุกคนที่เรารัก
.
แต่ Oliver Burkeman ผู้เขียน The Four Thousand Weeks กลับชวนให้เรามองความจำกัดนี้ในมุมที่ต่างออกไป เขาไม่ได้มองว่ามันคือเรื่องน่าเศร้า ตรงกันข้าม เขาเห็นว่านี่คือแก่นแท้ที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า
.
หากเรามีเวลาไม่จำกัด สามารถทำได้ทุกอย่าง ไปได้ทุกที่ รักได้ทุกคน การเลือกก็จะไม่มีความหมายใดเลย การตัดสินใจทุกครั้งจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะยังไงเราก็ทำอย่างอื่นได้อีกในภายหลัง ความผูกพันจะตื้นเขิน เพราะไม่มีอะไรที่ต้องเสียสละ ไม่มีอะไรที่ต้องยอมปล่อยวาง
.
แต่เพราะชีวิตมีขีดจำกัด การเลือกของเราจึงมีน้ำหนัก การที่เราเลือกใช้เวลากับใครสักคน เลือกทุ่มเทให้กับงานชิ้นหนึ่ง หรือเลือกเดินตามเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง มันจึงมีความหมายอย่างลึกซึ้ง เพราะเรากำลังมอบสิ่งที่มีค่าที่สุด เวลาอันจำกัดของชีวิตให้กับมัน
.
และนี่คือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้กำลังจะบอกเราครับ "You must let what matters most matter most"
.
คุณต้องยอมให้สิ่งที่สำคัญที่สุดได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ
.
.
===========================
.
“The average human lifespan is absurdly, terrifyingly, insultingly short.”
.
“สี่พันสัปดาห์” เมื่อคิดเป็นตัวเลข มันดูเหมือนมาก แต่เมื่อตระหนักว่าทุกสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงใด ตัวเลขนั้นกลับมีน้ำหนักของความเปราะบางและจำกัดที่น่าหวาดหวั่น
.
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ “การจัดการเวลา” ในความหมายทั่วไปเลย แต่เป็นการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเวลาผ่านมุมมองทางปรัชญา จิตวิทยา และประสบการณ์ชีวิตจริง
.
Burkeman เริ่มต้นจากจุดยืนที่ตรงข้ามกับหนังสือ Productivity ทั้งหลาย เขาไม่ได้สอนวิธีทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น หรือเคลียร์อีเมลให้หมด แต่เขาชี้ว่าการพยายามจัดการเวลาให้สมบูรณ์แบบคือความหลงผิดชนิดหนึ่ง ความพยายามหลีกหนีข้อเท็จจริงว่าเรามีชีวิตจำกัด
.
.
1. การรับรู้ถึงความสั้นของชีวิต
.
สิ่งแรกที่ Burkemanทำคือบังคับให้ผู้อ่านเผชิญกับขอบเขตของชีวิตอย่างซื่อตรง เขาไม่พูดอย่างปลอบใจ แต่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ชีวิตสั้นกว่าที่เราคิด และไม่มีใครสามารถใช้มันได้อย่างครบถ้วน”
.
มนุษย์โดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 80 ปี ซึ่งคิดเป็นสี่พันสัปดาห์เท่านั้น หากหักช่วงวัยเด็กออก เวลาที่เรามีในการกำหนดทิศทางชีวิตจริงๆ ก็ลดลงเหลือเพียงสามพันกว่าสัปดาห์
.
บางคนใช้เวลาหลายร้อยสัปดาห์แรกไปกับการวางแผนสิ่งที่ “จะทำ” ในอนาคต และอีกหลายร้อยสัปดาห์สุดท้ายกับการพยายามรักษาสุขภาพเพื่อให้มีเวลาเพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดจึงเหลือช่วงเวลาเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ใช้ “มีชีวิตอยู่จริง”
.
หากเปรียบกับอายุของโลก ชีวิตมนุษย์หนึ่งคนแทบไม่ต่างจากประกายไฟที่เกิดขึ้นแล้วดับไปในเสี้ยววินาที ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เพื่อสร้างความหดหู่ แต่เพื่อปลดเปลื้องมายาคติที่เราถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า “เราสามารถทำได้ทุกอย่าง ถ้ามีเวลาเพียงพอ”
.
Burkeman บอกว่า มันไม่จริงและไม่เคยจริงเลยตั้งแต่ต้น
.
.
2. การพยายามควบคุมเวลา คือแหล่งที่มาของความทุกข์
.
เขาอธิบายว่า เหตุผลที่มนุษย์รู้สึกกังวลเรื่องเวลาอย่างรุนแรง เพราะเราเชื่อผิดๆ ว่ามันคือสิ่งที่ควบคุมได้ เหมือนเป็นทรัพยากรที่เราสามารถจัดการให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดได้ หากเราจัดระเบียบชีวิตดีพอ เราจะมีเวลาทำทุกอย่าง แต่นั่นคือภาพลวงตาของการควบคุม
.
ในความเป็นจริง เวลาไม่เคยเป็นสิ่งที่เราครอบครอง มันเป็น “สภาพของการดำรงอยู่” ที่เราไม่อาจหลีกหนี
.
เราไม่ได้ “มี” เวลา
.
เรา “คือ” เวลา
.
เราดำรงอยู่ภายในมัน
.
ความคิดแบบ Productivity Modernism การพยายาม “ทำให้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง” กลับยิ่งสร้างกับดักให้เราจมลึกลงไปในความเครียด เพราะมันทำให้เราคิดว่า “ถ้าจัดการดีพอ วันหนึ่งเราจะควบคุมชีวิตได้ทั้งหมด” แต่วันนั้นไม่มีอยู่จริง
.
ไม่มีจุดใดที่คุณจะรู้สึกว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เพราะในวินาทีที่คุณทำบางสิ่งเสร็จ คุณจะเติมสิ่งใหม่เข้าไปในรายการเสมอ
.
.
3. ความเปลี่ยนแปลงของแนวคิดเรื่องเวลาในประวัติศาสตร์
.
Burkeman ย้อนกลับไปถึงจุดที่ “เวลา” กลายเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดว่าจัดการได้ เขาชี้ให้เห็นว่า ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ไม่ได้คิดถึงเวลาแบบนาฬิกาอย่างทุกวันนี้
.
ในยุคก่อนนาฬิกา ชาวนาใช้ชีวิตตามจังหวะธรรมชาติ ไม่มีแนวคิดเรื่อง “ชั่วโมงทำงาน” เพราะงานผูกพันกับฤดูกาล “เวลา” จึงไม่แยกออกจาก “ชีวิต” มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน พวกเขาไม่รู้สึกว่ากำลัง “ใช้เวลา” เพราะเวลาเป็นสิ่งเดียวกับการดำรงอยู่
.
จนกระทั่งยุคกลางตอนปลาย เครื่องกลวัดเวลาถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในอาราม เพื่อกำหนดเวลาสวดมนต์ให้แม่นยำขึ้น แต่มันกลับเปลี่ยนโลกโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อเราสามารถ “วัดเวลาได้” เราก็เริ่มคิดว่ามันคือสิ่งที่สามารถ “จัดการได้” เช่นกัน
.
Burkeman เขียนว่า “นาฬิกาไม่ได้เพียงบอกเวลา แต่มันสร้างเวลาขึ้นมาในเชิงจิตวิทยา” มนุษย์เริ่มตระหนักว่าเวลาคือหน่วยที่แบ่งได้ เป็นสิ่งที่สามารถสูญเสียหรือได้คืน และเมื่อนั้นเอง เวลาก็กลายเป็น “ทรัพย์สิน”
.
.
4. ความไม่พอเพียงอย่างถาวร
.
Burkeman ชี้ให้เห็นความย้อนแย้งที่ชัดเจนที่สุดของมนุษย์ยุคใหม่ ยิ่งเรามีเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดเวลา เรากลับรู้สึกว่ามีเวลาน้อยลง เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “The Paradox of Efficiency”
.
เขาเล่าจากประสบการณ์ของตนเองว่า แม้จะพยายามใช้เครื่องมือจัดการงานต่างๆ จนระบบเรียบร้อยที่สุด เขากลับพบว่า “รายการงานเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเวลาที่ได้คืนมา” เพราะทุกครั้งที่เราทำสิ่งใดได้เร็วขึ้น เราจะใช้เวลาที่เหลือไปสร้างภารกิจใหม่ๆ เสมอ
.
การพัฒนาเทคโนโลยีจึงไม่ได้ทำให้เรามีเวลามากขึ้น แต่มันเพียงทำให้เรามี “ความสามารถที่จะทำให้ตัวเองยุ่งได้มากกว่าเดิม”
.
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์มีความกลัวใน “ความว่างเปล่า” (horror vacui) เรารู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อไม่มีอะไรให้ทำ ความว่างทำให้เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่าชีวิตไม่อาจถูกเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเราจึงเติมมันด้วยงานไม่รู้จบ เพื่อหลีกหนีการรับรู้ถึงความเปราะบางของการดำรงอยู่
.
.
5. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ
.
Burkeman เขียนอย่างชัดเจนว่า แนวคิด “บริหารเวลาให้คุ้มค่า” นั้นตั้งอยู่บนสมมุติฐานผิดพลาดพื้นฐานสองข้อ
.
หนึ่ง: ว่าเราสามารถทำทุกอย่างที่อยากทำได้ หากวางแผนดีพอ
.
สอง: ว่าจุดหมายคือการ “ควบคุมชีวิตได้ทั้งหมด”
.
แต่ในความจริง เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ และเราจะไม่มีวันรู้สึก “พร้อม” สำหรับทุกสิ่ง
.
เพราะชีวิตคือกระบวนการของการเลือกอย่างถาวร ทุกการตัดสินใจหมายถึงการละทิ้งสิ่งอื่นนับไม่ถ้วน
.
“The reason time feels like it’s running away is that we’re trying to make it obey.”
.
.
6. การยอมรับข้อจำกัด
.
Burkeman เสนอทางออกแรกคือ อย่าพยายามชนะเวลา แต่อยู่ร่วมกับมัน
.
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “การใช้ชีวิตแบบยอมรับขอบเขต” (Limit-embracing life) หมายถึงการตระหนักอย่างจริงจังว่า เราไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง เราจะพลาดสิ่งสำคัญหลายอย่างในชีวิต และเราจะไม่มีวันรู้แน่ชัดว่าควรเลือกทางไหน แต่การยอมรับสิ่งนี้ทำให้เราเริ่มมีอิสระ
.
เขายกคำของ Heidegger ที่กล่าวว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ “มีอยู่โดยรู้ว่าต้องตาย” (being-towards-death) และเพราะเรามีขอบเขตนี้เอง ชีวิตจึงมีรูปทรง มีความหมาย ถ้าเราเป็นอมตะ เราจะไม่มีเหตุผลต้องเลือก ไม่มีแรงผลักดันใดให้ใช้ชีวิตเลย
.
ความจำกัดของเวลาไม่ใช่ศัตรู แต่มันคือเงื่อนไขที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า
.
.
7. ความเชื่อผิดที่ซ่อนอยู่ในแนวคิด Productivity
.
“The trouble with trying to make time for everything that feels important is that there isn’t enough time to do it all.”
.
มนุษย์ในยุคปัจจุบันพยายามไล่ตาม “ประสิทธิภาพ” ด้วยความเชื่อว่า ถ้าเราทำสิ่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น เราจะมีเวลาเหลือสำหรับสิ่งที่มีความหมายมากขึ้น นั่นคือคำโกหกที่สวยงามที่สุดของศตวรรษที่ยี่สิบ Burkeman เรียกมันว่า The Efficiency Trap, กับดักของการพยายามทำทุกอย่างให้ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่เคยหยุดถามว่า “ทำไปทำไม”
.
Burkeman วิเคราะห์ว่าแทบทุกระบบจัดการเวลาที่เรารู้จัก ตั้งแต่ตารางงานประจำวันจนถึงหลักการ Getting Things Done ของ David Allen ล้วนตั้งอยู่บนสมมุติฐานเดียวกันคือ “เราสามารถควบคุมชีวิตได้ด้วยการจัดระเบียบเวลา”
.
แต่นั่นคือภาพลวงตา เพราะในความเป็นจริง “จำนวนสิ่งที่เราสามารถทำได้ในชีวิตหนึ่งมีจำกัดอย่างมาก” และการพยายามทำทุกอย่างให้สำเร็จไม่ได้ทำให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น แต่กลับทำให้เรามี “สิ่งต้องทำ” เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด
.
ทุกครั้งที่เราทำอะไรเสร็จเร็ว เราได้ความพึงพอใจระยะสั้น คล้ายกับสารโดปามีน แต่สิ่งที่ตามมาคือ “ความคาดหวังใหม่” จากผู้อื่นหรือจากตัวเราเอง ว่าเราต้องทำได้เร็วเท่านั้นเสมอ
.
ผลลัพธ์คือวงจรของความคาดหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุด เราทำมากขึ้นเพื่อให้รู้สึกว่าควบคุมได้ แต่ยิ่งทำมากเท่าไร เรายิ่งรู้สึกควบคุมได้น้อยลงเท่านั้น
.
Burkeman ยกตัวอย่างง่าย ๆ จากชีวิตคนทำงานยุคดิจิทัล เขาเคยใช้ระบบ “Inbox Zero” — หลักการตอบอีเมลให้หมดทุกวัน เพื่อไม่ให้ภาระคั่งค้างอยู่ในหัว ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงข้ามกับที่คาดไว้:
.
ยิ่งเขาตอบเร็วมากเท่าไร อีเมลใหม่ก็เข้ามาเร็วมากขึ้นเท่านั้น เพราะผู้คนเรียนรู้ว่าเขา “ตอบกลับเร็ว” และเริ่มส่งหาเขามากกว่าเดิม
.
สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของโลกยุคใหม่ เราสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาคือความต้องการใหม่ที่เติบโตตามอัตราเดียวกัน
.
.
8. การจัดการเวลา และอาการของการปฏิเสธความตาย
.
เราถูกสอนให้คิดว่า “ทำมากขึ้น” หมายถึง “ควบคุมมากขึ้น” แต่ Burkeman บอกว่าแท้จริงแล้ว มันคือการทำให้เวลายิ่งไม่พอ
.
เขายกตัวอย่างงานวิจัยด้านจิตวิทยาที่พบว่า เมื่อคนมีเวลาว่างมากขึ้น พวกเขามักจะใช้เวลานั้นไปกับกิจกรรมใหม่ ๆ ที่สร้างแรงกดดันให้ตนเองเพิ่มขึ้น เช่น การเรียนคอร์สออนไลน์เพิ่ม การทำงานเสริม หรือแม้แต่การพยายาม “พักผ่อนให้มีประสิทธิภาพ” ด้วยการอ่านหนังสือพัฒนาตนเอง
.
“Becoming more efficient only makes you feel busier, because you expand your ambitions to fill the space you’ve created.”
.
Burkeman มองลึกกว่านั้นว่าความหมกมุ่นเรื่องการจัดการเวลาไม่ใช่เพียงนิสัย แต่คือกลไกทางจิตใจในการหลีกหนี “ความตระหนักถึงความตาย”
.
มนุษย์รู้ดีว่าชีวิตมีขีดจำกัด แต่เราไม่อยากเผชิญความจริงนั้นตรง ๆ ดังนั้นเราจึงพยายาม “เติมเต็มเวลา” ด้วยงาน การวางแผน และโครงการนับไม่ถ้วน เพื่อไม่ต้องรู้สึกว่าชีวิตกำลังหมดไป
.
เขาอ้างถึงแนวคิดของ Ernest Becker ใน The Denial of Death ว่า มนุษย์ใช้ “กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์” เพื่อสร้างภาพลวงตาว่าตนเองจะคงอยู่ตลอดไป เช่น การสร้างผลงาน สร้างชื่อเสียง หรือแม้แต่จัดระเบียบทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนี้เป็นวิธีหนึ่งของการปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเวลาจำกัด
.
.
9. ความพยายามที่จะควบคุม คือการสูญเสียการควบคุม
.
Burkeman กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า สาเหตุที่แนวคิด Productivity ไม่อาจทำให้เราพ้นจากความวิตกได้ เพราะมันตั้งอยู่บนความกลัว กลัวว่าถ้าไม่ควบคุมเวลา เราจะสูญเสียมันไป
.
แต่ความขัดแย้งคือ ยิ่งเราพยายามควบคุมมากเท่าไร เรายิ่งสูญเสียมันมากเท่านั้น เพราะเวลาไม่เคยยอมถูกควบคุม มันไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถ “เก็บ” หรือ “บริหาร” ได้เหมือนทรัพย์สิน มันคือกระบวนการของการมีอยู่ (process of being)
.
เขาอธิบายว่า ความคิดเรื่อง “ทำให้ทัน” เป็นเพียงสัญญาลวงของวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่หลอกให้เราคิดว่าชีวิตคือสิ่งที่ต้องเอาชนะ เหมือนเกมที่เราต้องผ่านทุกด่านให้ได้ก่อนหมดเวลา แต่ในความจริง ไม่มีใคร “ชนะเวลา” ได้เลย เราแค่ใช้มันหมดไปในระหว่างที่พยายามจะจัดการมันเท่านั้น
.
Burkeman เสนอสิ่งที่ตรงข้ามกับคำแนะนำทั่วไปของโลกแห่ง Productivity ทั้งหมด:
หยุดพยายาม “ทำให้ทัน” และเริ่ม “อยู่กับสิ่งที่ไม่ทัน”
.
เขาแนะนำให้ผู้อ่านเริ่มต้นจากการยอมรับว่า
.
“ทุกสิ่งที่สำคัญจะไม่เสร็จสมบูรณ์ และนั่นไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือธรรมชาติของชีวิต”
.
เขาเขียนว่า
.
“You have to decide what to neglect.” คุณต้องเลือกว่าจะละเลยอะไร
.
“ปล่อยให้สิ่งที่ไม่สำคัญตายไป”
.
Burkeman กล่าวต่อว่า หนึ่งในเครื่องมือทางจิตที่จำเป็นที่สุดคือ “การปล่อยให้บางสิ่งตายโดยสมัครใจ” เพราะทุกการตัดสินใจทำสิ่งใด หมายถึงการปล่อยให้สิ่งอื่น “ไม่เกิดขึ้น” และนั่นคือธรรมชาติของเวลา
.
.
10. The Art of Choosing and the Courage to Miss Out ศิลปะแห่งการเลือก และความกล้าที่จะพลาด
.
“To make time for what matters, you have to give up the fantasy that you can make time for everything.”
.
หลัง Burkeman ทำลายมายาคติของ “ประสิทธิภาพ” อย่างเป็นระบบ เขาชี้ว่าการพยายามทำทุกอย่างให้ทันคือการหลีกหนีข้อเท็จจริงว่าชีวิตมีขอบเขตที่ไม่อาจขยายได้
.
การจะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายไม่ใช่แค่หยุดพยายามทำทุกอย่าง แต่ต้อง ยอมรับอย่างกล้าหาญว่าเราจะพลาดเกือบทุกสิ่งในชีวิต และนั่นไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า หากแต่คือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อจะได้ “อยู่กับสิ่งที่เลือกจริง ๆ”
.
“ทุกการตัดสินใจ คือการตัดขาดจากโลกที่เป็นไปได้อื่นนับไม่ถ้วน”
.
“Each decision we make to do something represents the sacrifice of countless other things we might have done instead.”
.
ทุกครั้งที่คุณเลือกเส้นทางหนึ่ง คุณกำลังปิดประตูของอีกพันเส้นทางไปตลอดกาล และนั่นคือความจริงที่มนุษย์สมัยใหม่มักไม่อยากยอมรับ เพราะเราถูกสอนให้เชื่อว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้” ถ้าเราบริหารเวลาดีพอ
.
แต่ชีวิตไม่ใช่สนามทดลองที่ให้โอกาสซ้ำ มันคือการเดินทางทางเดียว ไม่มีปุ่มย้อนกลับ ไม่มีช่องทางที่สอง เมื่อคุณเลือกคู่ชีวิตหนึ่งคน คุณได้สละโอกาสที่จะรู้ว่าชีวิตกับอีกล้านคนจะเป็นอย่างไร เมื่อคุณเลือกอาชีพหนึ่ง คุณได้ทิ้งประสบการณ์ทั้งหมดของอีกอาชีพไว้เบื้องหลัง
.
สิ่งนี้คือ “The Unbearable Finitude of Choice” ความไม่อาจทนของความจำกัดในการเลือก
.
ในสังคมยุคเสรีนิยมสมัยใหม่ เราถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า “อิสรภาพ” หมายถึงการมีทางเลือกไม่จำกัด — แต่ Burkeman ชี้ว่าความจริงกลับตรงข้าม
.
เขาอ้างถึงคำพูดของนักปรัชญา Jean-Paul Sartre ที่ว่า “Man is condemned to be free.”
.
มนุษย์ถูกสาปให้เป็นอิสระ เพราะการมีอิสระหมายถึงต้องเผชิญกับความรับผิดชอบของการเลือกอยู่ตลอดเวลา
.
และยิ่งโลกสมัยใหม่เปิดทางเลือกมากขึ้น (จากอาชีพ ความสัมพันธ์ สื่อ สิ่งของ ไปจนถึงอัตลักษณ์) เราก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น เพราะทุกครั้งที่เราเลือก เรากำลังปฏิเสธสิ่งอื่นอย่างถาวร
.
เราอยากมีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในความพยายามจะ “ไม่พลาดอะไรเลย” เรากลับพลาดสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด คือการได้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
.
.
11. The Fear of Missing Out
.
Burkeman วิเคราะห์ FOMO (Fear of Missing Out) อย่างไม่โรแมนติก เขาไม่มองว่ามันเป็นอาการทางสังคมที่เกิดจากโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางจิตวิทยาของมนุษย์ยุคใหม่”
.
เขาอธิบายว่า FOMO คืออาการของการปฏิเสธข้อเท็จจริงว่าชีวิตมีขอบเขตจำกัด เรากลัวพลาดเพราะไม่อยากยอมรับว่าการพลาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
.
การเลื่อนฟีดอย่างไม่รู้จบในโลกออนไลน์จึงไม่ใช่เพียงพฤติกรรมเสียเวลา แต่มันคือ “พิธีกรรมแห่งความหวัง” ที่เราทำซ้ำ ๆ เพื่อยืนยันกับตัวเองว่าเรายังไม่พลาดอะไรไปจริง ๆ
.
แต่ยิ่งเราทำเช่นนั้น เรากลับรู้สึกว่างเปล่ามากขึ้น เพราะสิ่งที่เราไล่ตามคือความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด — และชีวิตที่มีขอบเขตจะไม่มีวันพอสำหรับมัน
.
Burkeman จึงเสนอคำตอบตรงข้ามกับ FOMO คือ JOMO The Joy of Missing Out
.
JOMO คือการมีความสุขกับการพลาด เพราะมันหมายความว่าคุณกำลังอยู่กับบางสิ่งที่มีความหมายจริง ๆ ในขณะนี้
.
.
12. ความคิดเรื่อง “ทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ” เป็นภาพลวงตา
.
Burkeman เล่าถึงช่วงชีวิตที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะลาออกจากงานประจำในฐานะคอลัมนิสต์ของ The Guardian เพื่อหันมาเขียนหนังสือเต็มตัว การตัดสินใจนั้นไม่ได้ง่ายเพราะมันหมายถึงการทิ้งความมั่นคง แต่เขาเข้าใจในที่สุดว่า “คุณไม่สามารถเดินสองเส้นทางในเวลาเดียวกันได้”
.
เขาเปรียบชีวิตกับเขาวงกต (Labyrinth) ทางออกไม่ได้อยู่ที่การพยายามสำรวจทุกทาง แต่คือการยอมรับว่ามีเพียงบางทางเท่านั้นที่เราจะเดินได้จริง ๆ
.
ความหมายของชีวิตไม่ได้อยู่ใน “ความครบถ้วน” แต่อยู่ใน “ความจำกัด”
.
Burkeman ชี้ว่า อีกหนึ่งแรงผลักดันของการกลัวพลาดคือความเชื่อว่ามี “ทางเลือกที่ถูกที่สุด” ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง เราแค่ต้องหามันให้เจอ
.
แต่นั่นคือจินตนาการของยุคบริโภคที่แปลชีวิตเป็นการเลือกสินค้า เราคิดว่าถ้าเปรียบเทียบพอ หรือวิเคราะห์มากพอ เราจะเลือกได้ถูกต้องและไม่เสียใจ
.
ในความจริง โลกไม่ได้ทำงานแบบนั้น เพราะทุกการเลือกเกิดขึ้นภายใต้ความไม่แน่นอน (uncertainty) และทุกผลลัพธ์ย่อมมีทั้งสิ่งดีและสิ่งเสียผสมกันเสมอ
.
เขาอ้างถึงคำของนักเขียน Cheryl Strayed ที่ว่า “There’s no way to know what will happen, but you know what will happen if you don’t choose — nothing.” “ไม่มีทางรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่รู้แน่ ๆ คือ ถ้าไม่เลือกทำอะไรเลย มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย”
.
Burkeman ย้ำว่าการยอมรับข้อจำกัดของเวลาไม่อาจแยกจากการยอมรับ “ความไม่แน่นอน” ได้ เพราะทุกการกระทำในชีวิตคือการเดิมพัน เราไม่รู้ผลลัพธ์ แต่เราต้องลงมือ
.
“You can’t know how your choices will turn out — and that’s what makes them choices.”
.
เขากล่าวว่า ไม่มีใครในโลกนี้จะได้ใช้ชีวิตครบทุกแบบ ไม่มีใครได้เห็นทุกที่ ทำทุกสิ่ง หรือรักทุกคนที่อยากรัก และนั่นไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า ตรงกันข้าม มันคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย เพราะมันบังคับให้เราต้อง “เลือก” และอยู่กับสิ่งที่เลือกนั้นอย่างลึกซึ้ง
.
“You must let what matters most matter most.”
.
.
13. The Loneliness of Control ความโดดเดี่ยวของการควบคุม
.
“Our obsession with control is the source of our deepest loneliness.”
.
ในศตวรรษแห่งการเชื่อมั่นในเหตุผล มนุษย์เชื่อว่าความเป็นอิสระและความมั่นคงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราสามารถควบคุมทุกสิ่งรอบตัวได้ เราจัดการเวลา ควบคุมอารมณ์ จัดการความสัมพันธ์ วางแผนชีวิตทีละขั้น
.
แต่ Burkeman เตือนว่านี่คือการเข้าใจผิด เพราะในความพยายามนั้น เรากำลังแยกตัวเองออกจากโลกที่เราเป็นส่วนหนึ่งของมัน
.
“The future is not under your control. It never was.”
.
เขาอธิบายว่า มนุษย์หมกมุ่นกับการ “คาดเดาอนาคต” และ “เตรียมพร้อม” เพราะเชื่อว่าการควบคุมคือหลักประกันความปลอดภัย แต่แท้จริงแล้ว นั่นเป็นเพียงการต่อสู้กับธรรมชาติของเวลา สิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้
.
เวลามีลักษณะพื้นฐานคือความไม่แน่นอน (uncertainty)
.
แต่เราใช้ชีวิตส่วนใหญ่พยายามทำให้มันแน่นอน: เขียนแผนชีวิต 5 ปี ลงทุนตามแผนเกษียณ จัดตารางทุกนาทีในวันพรุ่งนี้ ทั้งหมดนี้สร้างความรู้สึกปลอดภัยชั่วคราว แต่ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงเลยว่า อนาคตยังคงไม่แน่นอนเหมือนเดิม
.
“Our plans are beautiful lies — elaborate fictions that let us pretend we’re not adrift.” “แผนการของเราคือคำโกหกที่งดงาม นิทานแต่งขึ้นอย่างประณีตที่ช่วยให้เราหลอกตัวเองได้ว่า เราไม่ได้กำลังล่องลอยไร้ทิศทางอยู่กลางชีวิต”
.
เขาอ้างถึงนักปรัชญา Martin Heidegger อีกครั้งว่า มนุษย์มีแนวโน้ม “ลืมการดำรงอยู่” (forgetfulness of being) เมื่อเราหมกมุ่นกับการควบคุมสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เราเริ่มมองโลกเหมือนเครื่องจักรที่ตอบสนองคำสั่งของเราได้ หากเราคิดถูก วางแผนดีพอ
.
แต่การมองโลกเช่นนั้น ทำให้เราหลงลืมว่าเราคือส่วนหนึ่งของมัน ไม่ใช่ผู้ควบคุม
.
เขาอธิบายว่า ความสัมพันธ์ของเรากับโลกเริ่มเปลี่ยนจาก “การมีส่วนร่วม” (participation) เป็น “การจัดการ” (management)
.
เราไม่ได้ “อยู่กับ” เวลาอีกต่อไป แต่ “บริหารเวลา”
เราไม่ได้ “อยู่ใน” ความสัมพันธ์ แต่ “ควบคุม” ความสัมพันธ์
เราไม่ได้ “อยู่ใน” ธรรมชาติ แต่ “วางแผนเดินป่า” ในวันหยุดสุดสัปดาห์
.
เมื่อเราพยายามจัดการชีวิตมากเกินไป เรากำลังสร้างระยะห่างระหว่างตัวเรา กับสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายตั้งแต่ต้น
.
.
เรามีเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับใครก็ได้ทั่วโลก แต่กลับรู้สึกห่างเหินกว่าที่เคย เพราะการเชื่อมต่อเหล่านั้นเป็นเพียง “การควบคุม” ในรูปแบบใหม่
.
เราเลือกสิ่งที่อยากเห็น ตัดสิ่งที่ไม่อยากเจอ ปรับอัลกอริทึมเพื่อให้โลกตอบสนองความต้องการของเรา
.
แต่การเชื่อมโยงที่แท้จริง (Real Connection) ไม่เกิดจากการควบคุม มันเกิดจากการเปิดรับสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ ความไม่เข้าใจ ความขัดแย้ง ความประหลาดใจ
.
.
14. ความพยายามอยู่เหนือเวลา
.
Burkeman กล่าวถึง “Modern Autonomy Project” ความพยายามของมนุษย์ที่จะยืนอยู่นอกเวลา เพื่อควบคุมมันอย่างเป็นระบบ
.
เขาอธิบายว่า ทุกแอปจัดตาราง การวางแผนระยะยาว หรือการฝึก Productivity ล้วนตั้งอยู่บนสมมุติฐานเดียวกันว่าเราสามารถ “ยกตัวเองขึ้นจากปัจจุบัน” เพื่อมองชีวิตทั้งหมดจากมุมสูงได้ เหมือนพระเจ้าที่เห็นทุกอย่างชัดเจน
.
แต่ในความจริง มนุษย์ไม่อาจยืนอยู่นอกเวลาได้เลย เพราะเราคือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง (We are unfolding time itself)
.
Burkeman วิจารณ์แนวคิดสมัยใหม่ที่สอนให้เรา “เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง” เขาเรียกมันว่า The Cult of Readiness
.
ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมแผนสำรอง การเก็บเงินเพื่อความมั่นคง การวางระบบป้องกันความผิดพลาด ทุกอย่างล้วนขับเคลื่อนด้วยความกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุม
.
แต่สำหรับชีวิตนั้น ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
.
“You can’t be ready for the present, because the present isn’t something that’s about to happen — it’s what’s happening.”
.
“คุณไม่มีทาง ‘เตรียมพร้อม’ สำหรับปัจจุบันได้หรอก เพราะปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้น มันคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
.
.
15. The Joy of Missing Out ความสุขของการพลาด
.
ในโลกที่ทุกสิ่งชวนให้เรา “ไม่อยากพลาด” ข่าวสารที่อัปเดตทุกวินาที โทรศัพท์ที่สั่นเตือนทุกเรื่อง และวัฒนธรรมที่เชิดชูผู้ที่ “ทันทุกอย่าง” Burkeman เสนอสิ่งที่ดูสวนกระแสที่สุดแต่กลับจริงที่สุด
.
“Happiness lies in missing out.”
.
เขาอธิบายว่า FOMO (Fear of Missing Out) เกิดจากการเข้าใจผิดว่า “ชีวิตที่ดี” คือชีวิตที่ได้สัมผัสทุกสิ่ง แต่ในความจริง มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อพลาดเกือบทุกอย่างอยู่แล้ว เรามีเวลาเพียงสี่พันสัปดาห์ (ประมาณ 80 ปี) และนั่นหมายความว่า สิ่งส่วนใหญ่ในโลกนี้ เราจะไม่มีวันได้ทำเลยตลอดชีวิต
.
ความสุขแท้จริงคือการยอมรับว่าเราต้องพลาดบางสิ่ง
.
Burkeman ยกตัวอย่างการเป็นนักเขียนของเขา เมื่อเขาเลือกใช้เวลาหลายเดือนเขียนหนังสือ เขาต้องยอมรับว่าเขาจะพลาดโอกาสมากมาย งานสังคม, รายการโทรทัศน์, โอกาสทำเงินระยะสั้น แต่ทุก “สิ่งที่พลาด” กลับทำให้ “สิ่งที่เหลืออยู่” มีค่ามากขึ้น
.
การพลาดคือสิ่งที่ให้ความหมายกับสิ่งที่เหลืออยู่
.
เพราะเวลามีจำกัด การเลือกสิ่งหนึ่งจึงต้องแลกด้วยการไม่ได้อีกสิ่งหนึ่งเสมอ และถ้าเรามีเวลามากพอจะทำทุกสิ่ง ทุกสิ่งก็จะไร้ค่าในทันที เพราะคุณจะไม่มีวันต้องเลือก
.
มันเหมือนกับศิลปะของการแต่งกลอน ความไพเราะเกิดขึ้นได้เพราะมีข้อจำกัดของฉันทลักษณ์ เช่นเดียวกับชีวิตที่งดงามเพราะมีขอบเขตของเวลา
.
เขายกคำของนักเขียน Mary Oliver ที่ว่า “Tell me, what is it you plan to do with your one wild and precious life?” "บอกฉันหน่อย เธอวางแผนจะทำอะไรกับชีวิตหนึ่งเดียว ที่ทั้งอิสระและล้ำค่านี้"
.
(ปล. แอดคิดว่า “Wild” ในที่นี้ตีความได้หลายชั้น มันอาจหมายถึง “ชีวิตที่ดิบ เป็นธรรมชาติ ดุดัน” หรือ “ชีวิตที่ไม่ถูกควบคุมและยังเต็มไปด้วยอิสรภาพ” ในบริบทของกวีครับ)
.
Burkeman ยกอีกประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่อง “ความเบื่อ (Boredom)” ซึ่งเรามักมองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย แท้จริงคือทางเข้าของ “ความสงบ”
.
เขาอธิบายว่ามนุษย์ยุคใหม่กลัวความเบื่อ เพราะมันทำให้เรารู้สึกถึง “ช่องว่างของชีวิต” ที่ยังไม่ได้เติมเต็ม เราจึงใช้สมาร์ทโฟน โซเชียล หรือสิ่งบันเทิงมาถมมันไว้ตลอดเวลา
.
แต่การหนีความเบื่อเท่ากับหนีความเป็นมนุษย์ เพราะความเบื่อคือช่วงเวลาที่จิตใจเริ่มทำงานอย่างลึกโดยไม่ถูกรบกวน มันคือช่วงที่ความคิด ความฝัน และความเข้าใจใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้
.
.
16. ความสงบในโลกที่ไม่เสร็จสมบูรณ์
.
Burkeman กล่าวต่อว่า การพลาดอย่างตั้งใจไม่ใช่แค่ผลจากการปล่อยวาง แต่ต้องมาพร้อม “ความมุ่งหมาย” (purposeful neglect)
.
เขาแนะนำให้ผู้อ่าน “เลือกสิ่งที่จะพลาด” อย่างมีระบบ เช่น การระบุสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำให้ดี, งานที่ไม่ต้องตอบทุกอีเมล, หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องพยายามรักษาทุกคนไว้
.
เขาอ้างถึงแนวคิดของนักออกแบบ Dieter Rams ที่ว่า “Less, but better.” น้อยลง แต่ดีขึ้น
.
ชีวิตก็เช่นกัน คุณต้องพลาดสิ่งมากมาย เพื่อเหลือพลังไว้สำหรับสิ่งที่คู่ควร
.
“To choose one thing is to let go of a thousand others. This is not failure. This is life.”
.
Burkeman ขยายแนวคิดนี้ไปสู่มิติของ “ความสัมพันธ์” เขาอธิบายว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเรายอมรับข้อจำกัดของกันและกัน
.
เราไม่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ลูกที่สมบูรณ์แบบ หรือคู่รักที่ตอบสนองทุกอย่างได้ และการพยายามทำเช่นนั้นจะทำให้เราห่างไกลจากความใกล้ชิดจริง ๆ “Love deepens when we stop trying to make it perfect.” มันคือ Unfinishedness of Life (ชีวิตเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์)
.
.
17. The Cosmic Insignificance Therapy การบำบัดด้วยความไม่สำคัญในระดับจักรวาล
.
“The world’s supply of meaning isn’t running out. You just have to stop insisting that your life be at the center of it.”
.
Burkeman เริ่มต้นด้วยการพูดถึง ความกังวลเชิงอัตถิภาวนิยม (existential anxiety) ของคนยุคใหม่ ความรู้สึกว่าชีวิตจะต้อง “มีความหมาย” บางอย่างที่ยิ่งใหญ่ และถ้าไม่มี เราคือผู้แพ้ในเกมจักรวาล
.
เขาเขียนว่า “We crave significance the way we crave air — yet our significance anxiety suffocates us.”
.
มนุษย์ยุคก่อนอาจรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ เช่น ศาสนา ชุมชน หรือธรรมชาติ แต่ในยุคสมัยแห่ง “ปัจเจกนิยมสุดขั้ว” เรากลับถูกบังคับให้สร้างความหมายขึ้นเองทั้งหมด และนั่นคือภาระทางจิตที่หนักเกินไป
.
เราพยายามเติมชีวิตให้ “ยิ่งใหญ่” ผ่านการทำงานที่โดดเด่น การสร้างชื่อเสียง หรือแม้แต่การวางแผนชีวิตอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่า แต่ทั้งหมดนี้กลับสะท้อนความกลัวลึก ๆ ว่า “ชีวิตของเราจะไม่มีความหมายเลย”
.
Burkeman บอกว่า ความกลัวนี้ไม่ใช่ความผิดของเรา มันคือผลข้างเคียงของการมีสติรู้ตัว (self-consciousness):
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้ว่าตัวเองมีเวลา จำกัด และนั่นเองที่ทำให้เราตื่นกลัวต่อความไม่สำคัญของมัน
.
Burkeman เสนอวิธีบำบัดที่ตรงข้ามกับสำนักจิตบำบัดทั่วไป แทนที่จะย้ำว่าคุณ “มีคุณค่า” เขาเสนอให้คุณ “ยอมรับว่าไม่มีอะไรสำคัญขนาดนั้นเลย”
.
“Cosmic insignificance isn’t a cause for despair. It’s a cure for it.”
.
เขาอธิบายว่า ความทุกข์ของเราส่วนใหญ่เกิดจากความเชื่อว่าทุกการตัดสินใจของเราต้อง “ถูก” ต้อง “คุ้มค่า” ต้อง “ส่งผลต่ออนาคต” ในระดับที่ใหญ่โต แต่เมื่อมองในสเกลของจักรวาล ความกังวลทั้งหมดนั้นเล็กยิ่งกว่าฝุ่น
.
โลกมีอายุราว 4.5 พันล้านปี และจักรวาลอาจดำรงอยู่นานกว่านั้นอีกหลายล้านล้านปี ในบริบทเช่นนั้น ชีวิตของเราซึ่งยาวเพียงสี่พันสัปดาห์ คือจุดเล็ก ๆ ที่แทบไม่เหลือร่องรอยใดเลยแม้แต่ในแผ่นหิน
.
.
18. การหลุดพ้นจาก “ความหลงตัวเองทางเวลา”
.
เขาใช้คำว่า Temporal Narcissism ความหลงตัวเองในมิติของเวลา คือความเชื่อว่าเวลาของเราสำคัญกว่าของคนอื่น หรือว่ายุคของเราคือศูนย์กลางของประวัติศาสตร์
.
นี่คือรูปแบบใหม่ของอัตตา เราคิดว่าความหมายของจักรวาลต้องบรรจุเราไว้ตรงกลาง
.
Burkeman เตือนว่า ความคิดนี้ทำให้เราหมกมุ่นกับ “มรดกชีวิต” มากกว่าชีวิตจริง เราทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อ “ให้มันมีค่าในภายหลัง” แทนที่จะอยู่กับมันในตอนนี้
.
ในที่สุด เรากลายเป็นนักบัญชีของเวลา คอยคำนวณผลตอบแทนของทุกนาที จนลืมว่าความหมายของชีวิตไม่ได้มาจากผลตอบแทน แต่จากการได้มีชีวิตอยู่จริง
.
Burkeman ไม่ได้เสนอให้เราหมดศรัทธาในคุณค่าของชีวิต เขากลับชี้ว่า “การรู้ว่าคุณเล็กน้อย” ทำให้ชีวิตเบาขึ้น และกลับมามีค่ามากกว่าเดิม
.
เมื่อเราไม่ต้องแบกความคาดหวังว่าจะต้อง “ยิ่งใหญ่” ทุกสิ่งเล็ก ๆ กลับมีความหมายมากขึ้น การคุยกับเพื่อน การดูพระอาทิตย์ตก การนั่งดื่มกาแฟอย่างเงียบ ๆ กลายเป็นสิ่งมีค่าด้วยตัวมันเอง ไม่ใช่เพราะมันนำไปสู่บางสิ่งที่ “สำคัญกว่า”
.
มนุษย์เหมือนจุดแสงเล็ก ๆ ในผืนฟ้ากว้าง และความงามของท้องฟ้าไม่ได้มาจากดวงดาวที่สว่างที่สุด แต่มาจากการรวมตัวของจุดแสงนับไม่ถ้วนที่ต่างเปล่งประกายเล็ก ๆ ของตน
.
.
19. การปลดปล่อยจาก “ตำนานของความยิ่งใหญ่ส่วนบุคคล”
.
Burkeman วิจารณ์ความคิดแบบ “Leave A Legacy” หรือ “Make Your Mark on the World” ว่าเป็นอุดมการณ์ที่ทำให้มนุษย์ไม่เคยพอ เพราะมันบังคับให้เราวัดคุณค่าชีวิตด้วยสายตาคนอื่นที่ยังไม่เกิด
.
“We measure our worth by how the future will judge us — yet the future doesn’t care.”
.
เขาเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยรู้สึกเครียดว่าหนังสือของเขาอาจไม่มีใครจำได้ในอีกสิบปี แต่ต่อมาเขาตระหนักว่านั่นไม่ใช่ปัญหาเลย การเขียนคือสิ่งที่ทำให้เขามีชีวิตในขณะนั้น การที่คนจะจำได้หรือไม่ ไม่เกี่ยวกับคุณค่าของการกระทำในปัจจุบัน
.
เขายกมุมมองของนักปรัชญาและนักบวช Thomas Merton ที่ว่า ความรักแท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อเราเลิกพยายามทำให้ทุกอย่างมีความหมายสูงสุด เพราะ “การรักใครบางคนเพราะอยากให้ชีวิตมีค่า” ยังเป็นรูปแบบหนึ่งของการเห็นแก่ตัว
.
“You can only love someone properly when you’re not using them to feel significant.”
.
“คุณจะรักใครสักคนได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้ใช้เขาเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีความสำคัญ”
.
.
20. ขณะปัจจุบัน คือจุดที่เวลาเอื้อมสัมผัสนิรันดร์กาล (The present moment is the point at which time touches eternity.)
.
คำของนักเขียน C.S. Lewis ที่ว่า “The present moment is the point at which time touches eternity.” ขณะปัจจุบัน คือจุดที่เวลาเอื้อมสัมผัสนิรันดร์กาล ประโยคนี้ปรากฏในจดหมายฉบับที่ 15 (Letter XV)
.
ในตอนนั้น “Screwtape” (ปีศาจอาวุโส) กำลังให้คำแนะนำกับ “Wormwood” (ปีศาจฝึกหัด) ว่าควรใช้กลยุทธ์ใดเพื่อดึงมนุษย์ให้หลงออกจากการเชื่อมต่อกับพระเจ้า
.
Screwtape บอกว่า มนุษย์มักจะถูกดึงออกจาก “ปัจจุบัน” ด้วยสองวิธีคือ
.
ให้เขาติดอยู่กับ “อดีต” (ความเสียใจ ความโกรธ ความผิด)
.
หรือให้เขาหมกมุ่นกับ “อนาคต” (ความหวัง ความกลัว การคาดคะเนผลลัพธ์)
.
เพราะ “ปัจจุบัน” คือช่วงเวลาเดียวที่มนุษย์สามารถสัมผัส “นิรันดร์กาลของพระเจ้า” ได้จริง ๆ
.
“The humans live in time but our Enemy (หมายถึงพระเจ้า) destines them for eternity. He therefore wants them to attend chiefly to two things, to eternity itself, and to that point of time which they call the Present. For the Present is the point at which time touches eternity.”
.
(มนุษย์อาศัยอยู่ในเวลา แต่พระเจ้าทรงเตรียมพวกเขาไว้เพื่อความนิรันดร์ พระองค์จึงต้องการให้พวกเขามุ่งจิตไปยังสองสิ่งเท่านั้น คือนิรันดร์กาล และช่วงเวลาที่พวกเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ เพราะปัจจุบันคือจุดที่เวลาแตะต้องนิรันดร์กาลนั่นเอง)
.
C.S. Lewis มองว่า “เวลา” (Time) และ “นิรันดร์กาล” (Eternity) ไม่ได้เป็นสองสิ่งที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง หากแต่เกี่ยวพันกันเหมือนเส้นที่ลากผ่านจุด
.
“เวลา” คือการเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ การเกิดขึ้นและดับไปของสิ่งต่าง ๆ
.
แต่ “นิรันดร์กาล” คือสิ่งที่อยู่นอกการเปลี่ยนแปลงนั้น ความจริงที่ดำรงอยู่เสมอโดยไม่ขึ้นกับอดีตหรืออนาคต
.
ทุกขณะในชีวิตมนุษย์คือประตูเล็ก ๆ ที่โลกชั่วคราวเชื่อมกับโลกนิรันดร์ได้ “เราสัมผัสสิ่งไม่เปลี่ยนแปลงได้ ผ่านสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่”
.
Burkeman อธิบายแนวคิดนี้ว่า ปัจจุบันคือสิ่งที่มนุษย์เข้าใจผิดมากที่สุด
.
เราคิดว่ามันคือช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่าง “อดีต” กับ “อนาคต” และคนส่วนใหญ่คิดว่า “นิรันดร์กาล” คือสิ่งที่อยู่ไกลออกไป เช่น “ชีวิตหลังความตาย” หรือ “สวรรค์ในอนาคต”
.
.
แต่ทั้ง Burkeman และ Lewis ต่างบอกตรงกันว่า ความเป็นนิรันดร์อยู่ใน “ปัจจุบัน” นั่นเองครับ
.
.
หนังสือเล่มนี้จบลงโดยไม่มีข้อสรุปแบบ “10 วิธีบริหารเวลา” หรือ “สูตรชีวิต 4,000 สัปดาห์” สิ่งที่ Burkeman ฝากไว้ไม่ใช่คำตอบ แต่คือพื้นที่ว่างให้ผู้อ่านกลับไปเติมด้วยชีวิตด้วยตัวเองครับ
.
.
================================
.
แอดขอจบด้วยบทกวี The Summer Day ของ Mary Oliver (1935-2019) Pulitzer Prize winning poet
.
.
Who made the world?
Who made the swan, and the black bear?
Who made the grasshopper?
This grasshopper, I mean
the one who has flung herself out of the grass,
the one who is eating sugar out of my hand,
who is moving her jaws back and forth instead of up and down
who is gazing around with her enormous and complicated eyes.
Now she lifts her pale forearms and thoroughly washes her face.
Now she snaps her wings open, and floats away.
.
.
I don't know exactly what a prayer is.
I do know how to pay attention, how to fall down
into the grass, how to kneel down in the grass,
how to be idle and blessed, how to stroll through the fields,
which is what I have been doing all day.
Tell me, what else should I have done?
Doesn't everything die at last, and too soon?
Tell me, what is it you plan to do
with your one wild and precious life?
.
.
“ใครสร้างโลกใบนี้
ใครสร้างหงส์ขาว และหมีดำ
ใครสร้างตั๊กแตน
ตั๊กแตนตัวนี้ ที่ฉันหมายถึง
ตัวที่กระโดดพรวดออกมาจากพงหญ้า
ตัวที่กำลังกินน้ำตาลจากมือฉัน
ที่ขยับขากรรไกรไปมาแทนที่จะเป็นขึ้นลง
ที่มองไปรอบๆ ด้วยดวงตาอันใหญ่โตและซับซ้อน
ตอนนี้เธอยกขาหน้าสีซีดขึ้นทำความสะอาดหน้าอย่างบรรจง
แล้วเธอก็กางปีกออก และล่องลอยจากไป
.
.
ฉันไม่รู้หรอกว่าการสวดภาวนาคืออะไรกันแน่
แต่ฉันรู้วิธีใส่ใจ รู้วิธีทิ้งตัวลง นอนราบกับพื้นหญ้า
รู้วิธีคุกเข่าบนผืนหญ้า
รู้วิธีอยู่เฉยๆ และเป็นสุข
รู้วิธีเดินเตร่ผ่านทุ่งนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันทำมาทั้งวัน
บอกฉันสิ ฉันควรจะทำอะไรอื่นอีกไหม
ทุกสิ่งไม่ใช่หรือ ที่ต้องตายในที่สุด และเร็วเกินไปเสมอ
บอกฉันที เธอวางแผนจะทำอะไร กับชีวิตหนึ่งเดียวที่อิสระและล้ำค่าของเธอ”
.
.
แมรี โอลิเวอร์
.
.
.
.
#SuccessStrategies