สรุปหนังสือ Trading Psychology 2.0: From Best Practices to Best Processes เขียนโดย Brett N. Steenbarger

ถ้าจะให้แอดบอกถึงหนังสือเล่มนี้สั้นๆ ก็คือมันแทบไม่ใช่หนังสือเทรดเลยครับ… มันคือหนังสือพัฒนาตนเองแบบเต็มรูปแบบ ที่แค่บังเอิญเอาเทรดเดอร์มาเป็นตัวอย่างเท่านั้นเอง
.
แก่นของมันคือ ความสำเร็จที่ยั่งยืนมันไม่ได้มาจากการ "ทำอะไรสักอย่างให้ได้ดีที่สุด" แต่มาจากการ "สร้างระบบที่ทำให้เราทำสิ่งดีๆ ได้เรื่อยๆ โดยอัตโนมัติ"
.
มีอยู่สองประเภทของเทรดเดอร์ในโลกนี้
.
ประเภทแรก คือคนที่คิดว่าตัวเองกำลัง “เข้าใจตลาด”
.
ประเภทที่สอง คือคนที่ตลาดกำลัง “เข้าใจเขา” แล้วกินเขาเรียบทุกเช้า
.
Brett Steenbarger เขียน Trading Psychology 2.0 ขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราหลุดพ้นจากชะตากรรมข้อสอง และพูดกันตรง ๆ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ช่วยให้คุณรวยเร็ว แต่มันช่วยให้คุณ “ไม่จนซ้ำในรูปแบบเดิม ๆ” ซึ่งก็ถือว่าเป็นกำไรทางจิตวิญญาณระดับหนึ่ง
.
ถ้าคุณคิดว่า “วินัย” คือคำตอบของทุกอย่าง Steenbarger จะเดินมาบอกคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณพูดถูกครึ่งเดียวครับ อีกครึ่งหนึ่งของคุณยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีวินัยกับอะไรอยู่”
.
และนั่นแหละ คือสิ่งที่เขาเรียกว่า Best Processes
.
ไม่ใช่การพยายามทำให้ดีที่สุดหนึ่งครั้ง แต่คือการออกแบบชีวิตให้ “สิ่งดี ๆ มันเกิดขึ้นได้เอง” โดยไม่ต้องรอแรงบันดาลใจมานวดหัว
.
ดังนั้นถ้าจะให้ตั้งชื่อใหม่ (และน่าจะทำให้ยอดขายดีขึ้น) มันไม่ควรชื่อว่า Trading Psychology 2.0 หรอกครับ
.
แต่น่าจะชื่อว่า “How Not to Mess Up Your Life Repeatedly While Convincing Yourself It’s Discipline”
.
.
=============================
.
ในบทนำและคำนำของหนังสือ Steenbarger บอกว่า เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ตีความคำว่า self-mastery แคบเกินไป พวกเขาคิดว่า “ความมีวินัย” (discipline) คือคำตอบของทุกสิ่ง การกดอารมณ์ การไม่โลภไม่กลัว และการทำตามแผนอย่างเคร่งครัด แต่เขาแย้งว่า วินัยเป็นเพียง “เงื่อนไขจำเป็น” ไม่ใช่ “เงื่อนไขเพียงพอ” ของความสำเร็จในตลาด
.
“Strict, disciplined adherence to mediocre plans can only lock in mediocre results.” - Steenbarger
.
กล่าวคือ วินัยอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นเทรดเดอร์ชั้นยอดได้ หากแผนที่เขายึดถือเป็นเพียงแผนธรรมดา ความมีวินัยย่อมทำให้ความธรรมดานั้นคงอยู่ตลอดไป
.
.
1. จุดเปลี่ยนจาก “การควบคุมอารมณ์” สู่ “การเพิ่มขีดความสามารถ”
.
Steenbarger ชี้ว่าการเทรดเป็นหนึ่งในสนามทดสอบทางจิตวิทยาที่เข้มข้นที่สุดในโลก เพราะมันบังคับให้มนุษย์ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง (continuous uncertainty) การทำกำไรจึงไม่ใช่แค่การคาดการณ์ที่ถูกต้อง แต่คือการรักษาความชัดเจนของจิตใจภายใต้แรงกดดันระดับสูงอย่างยาวนาน
.
ตลอดหลายทศวรรษที่เขาทำหน้าที่เป็น Performance Coach ให้กับเทรดเดอร์มืออาชีพทั้งในบริษัท Kingstree Trading, Tudor Investment Corporation และองค์กรการเงินขนาดใหญ่ เขาพบว่า “ความสำเร็จที่ยั่งยืน” ของเทรดเดอร์ไม่ได้มาจากการระงับอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการบ่มเพาะชุดคุณลักษณะทางจิตวิทยาที่กว้างกว่า ได้แก่
.
Adaptability – ความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
.
Creativity – ความคิดสร้างสรรค์เชิงกลยุทธ์
.
Productivity – ประสิทธิภาพเชิงระบบ
.
Psychological well-being – สุขภาวะทางจิตที่สมดุล

.
Steenbarger สรุปองค์ประกอบหลักของการพัฒนาจิตวิทยาการเทรดสมัยใหม่ไว้ในสิ่งที่เขาเรียกว่า ABCD Process Model ซึ่งเป็นหัวใจของหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด ชุดกรอบคิดที่ไม่ได้ตั้งอยู่บน “กฎเหล็ก” ของวินัย แต่บน “พลวัตของการเติบโต” ที่ต่อเนื่องในทุกมิติของเทรดเดอร์
.
A คือ Adapt to Change = การปรับตัวให้สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของตลาด เป็นความสามารถในการเปลี่ยนทั้งกลยุทธ์และกรอบความคิด (mindset) ให้ตอบสนองต่อสภาวะแวดล้อมที่แปรผันอยู่เสมอ เทรดเดอร์ที่ปรับตัวได้เร็วคือผู้ที่ยังคงอยู่รอดหลังทุกวัฏจักรของความผันผวน
.
B คือ Build on Strengths = การขยายศักยภาพจากสิ่งที่ตนทำได้ดีอยู่แล้ว แทนที่จะมุ่งแก้ไขจุดอ่อนเพียงอย่างเดียว Steenbarger เห็นว่าความเป็นเลิศเกิดจากการต่อยอดความสำเร็จในอดีตอย่างเป็นระบบ เพราะพลังของจุดแข็งจะสร้างแรงผลักทางจิตวิทยาที่มั่นคงกว่าการไล่ลบข้อบกพร่อง
.
C คือ Cultivate Creativity = การเพาะบ่มความคิดสร้างสรรค์ในสภาพแวดล้อมที่กดดันสูงของตลาด หมายถึงการเปิดพื้นที่ให้สมองคิดอย่างหลากหลาย (divergent thinking) และสร้างวิธีมองตลาดที่ไม่ซ้ำใคร Steenbarger มองว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นผลจากกระบวนการฝึกฝนอย่างมีโครงสร้าง
.
D คือ Develop Best Practices = การสร้างระบบและกิจวัตรที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับจิตใจ กลยุทธ์ และการจัดการเวลา เป็นขั้นตอนที่ทำให้เทรดเดอร์เปลี่ยนจาก “ผู้ที่มีช่วงเวลาที่ดี” ไปสู่ “ผู้ที่มีระบบที่ดีเสมอ”
.
ในมุมมองของเขา “Trading Psychology 2.0” คือการเปลี่ยนโฟกัสจาก Best Practices (พฤติกรรมหรือเทคนิคที่ดีในบางช่วงเวลา) ไปสู่ Best Processes (ระบบที่สร้างพฤติกรรมดีซ้ำได้ในทุกสภาวะ)
.
นั่นหมายความว่า เทรดเดอร์ชั้นยอดไม่ได้แค่มีแผนดี แต่มี “ระบบการพัฒนาแผนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
.
.
2. การเปลี่ยนผ่านของกรอบความคิด (Paradigm Shift)
.
ในช่วงต้นของคำนำ Steenbarger เปรียบเทียบงานเล่มนี้กับผลงานก่อนหน้าของเขา ซึ่งสะท้อนพัฒนาการทางความคิดจากระดับ “จิตวิทยาเชิงแก้ปัญหา” ไปสู่ “จิตวิทยาเชิงกระบวนการ” ดังนี้
.
The Psychology of Trading (2002) = วางรากฐานแนวคิด solution-focused psychology ในบริบทการเทรด มองเทรดเดอร์เป็น “ระบบพฤติกรรม” ที่สามารถเรียนรู้จาก pattern ของความสำเร็จและล้มเหลวของตนเอง
.
Enhancing Trader Performance (2006) = ขยายแนวคิดสู่ deliberate practice theory ของ Anders Ericsson โดยเสนอว่า “ความชำนาญ” (expertise) เป็นผลของการฝึกที่มีเป้าหมายและการสะท้อนตนเอง (reflective feedback)
.
The Daily Trading Coach (2009) = รวมเทคนิคการโค้ชตัวเอง 101 แบบ เพื่อพัฒนา self-coaching competence ให้เทรดเดอร์สามารถเป็นนักจิตวิทยาของตนเอง
.
จากงานทั้งสามเล่ม เขาพบว่า “ปัญหาทางอารมณ์ของเทรดเดอร์จำนวนมาก” แท้จริงไม่ใช่ปัญหาทางอารมณ์โดยตรง แต่เป็นผลข้างเคียงของ “ระบบการเรียนรู้ที่ผิดพลาด” เช่น การใช้วิธีฝึกแบบทั่วไปกับตลาดเฉพาะทาง หรือการทำซ้ำพฤติกรรมโดยไม่มีการประเมินเชิงระบบ
.
ดังนั้น Trading Psychology 2.0 จึงเป็นการยกระดับแนวคิดจากการ “แก้ปัญหาทางจิตใจ” สู่การ “สร้างระบบพัฒนาการเรียนรู้และนวัตกรรมในตัวเทรดเดอร์”
.
“It takes a good trader to create success; a great one to recreate it.”
.
เทรดเดอร์ธรรมดาสร้างความสำเร็จได้ครั้งหนึ่ง แต่เทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องสามารถ “สร้างมันใหม่” ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
.
3. ตลาดในฐานะสนามของ “การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”
.
Steenbarger เสนอว่า ตลาดการเงินไม่ใช่ระบบนิ่ง (static system) แต่เป็นระบบวิวัฒน์ (evolutionary system) ที่มีลักษณะคล้ายสิ่งมีชีวิต กล่าวคือมัน “ตอบสนองและเปลี่ยนแปลง” ตามพฤติกรรมของผู้เล่นในระบบ การจะอยู่รอดในระบบเช่นนี้ จึงไม่อาจยึดติดกับ edge เดิมได้ เพราะทุกความได้เปรียบย่อมเสื่อมค่าเมื่อเวลาผ่านไป
.
เทรดเดอร์ที่พึ่งพา “สูตรลับ” หรือ “โมเดลที่ใช้ได้ผลในอดีต” ย่อมถูกตลาดกลืนในระยะยาว ดังที่เขากล่าวไว้ว่า competitive advantages are perishable commodities.
.
ดังนั้นสิ่งที่ต้องสร้างแทน “edge ที่ตายตัว” คือ “ระบบสร้าง edge ใหม่” อย่างต่อเนื่อง หรือสิ่งที่เขาเรียกว่า meta-processes: กระบวนการระดับเหนือระบบ ที่สามารถปรับปรุงระบบเดิมได้อีกชั้น
.
การเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือแก่นแท้ของความได้เปรียบเชิงจิตวิทยาในตลาดทุน
.
Steenbarger อ้างถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการจิตวิทยาช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดแนวคิด “2.0” ขึ้น งานวิจัยด้าน positive psychology, neuroscience of performance, และ organizational learning ได้เปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง “การพัฒนา” จากการแก้ไขข้อบกพร่อง (deficit model) ไปสู่การขยายศักยภาพ (growth model)
.
จิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) จากงานของ Martin Seligman และ Csikszentmihalyi ชี้ให้เห็นว่าประสิทธิภาพสูงสุด (peak performance) ไม่ได้มาจากการหลีกเลี่ยงอารมณ์ลบ แต่จากการเพิ่มพลังงานเชิงบวก เช่น engagement, flow, และ meaning
.
สมองและการเรียนรู้ (Neuroscience of Learning) การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมเกิดจากการสร้างเส้นทางประสาทใหม่ (neuroplasticity) ผ่านการฝึกซ้ำอย่างมีเป้าหมาย (deliberate feedback loop)
.
จิตวิทยาองค์การ (Organizational Learning Theory) จากแนวคิดของ Argyris & Schön ว่าด้วย double-loop learning ที่ระบบเรียนรู้ไม่เพียงปรับพฤติกรรม แต่ปรับ “สมมติฐาน” ที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมนั้น
.
.
4. ช่วงห่างระหว่าง “ตัวจริง” กับ “ตัวศักยภาพ”
.
ประโยคสำคัญในคำนำของเขาคือ “เราทำงานหนัก แต่ไม่ฉลาด” (We tend to work hard, but not smart.) ซึ่งเป็นจุดวิพากษ์สำคัญของ Steenbarger ต่อวัฒนธรรมของเทรดเดอร์มืออาชีพจำนวนมาก ที่มักทุ่มเวลาไปกับการติดตามข่าวสารหรือกราฟ แต่ไม่เคยสร้างระบบที่เพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ของตนเอง
.
เขาเรียกความแตกต่างระหว่าง “สิ่งที่เราเป็น” กับ “สิ่งที่เราสามารถเป็นได้” ว่า the gap between our real and ideal selves. และหนังสือเล่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือ “เชื่อมสะพานระหว่างสองตัวตนนั้น” ผ่านกระบวนการ ABCD
.
Steenbarger เปรียบเทียบการเทรดกับการฝึกศิลปะระดับสูง เช่น ดนตรี การเต้น หรือหมากรุก ว่ามันเป็น “กิจกรรมที่ไม่อาจเชี่ยวชาญได้อย่างสมบูรณ์” (a domain we can never fully master). ความงามของมันอยู่ตรงที่ “การพัฒนาไม่สิ้นสุด” ซึ่งทำให้การเทรดกลายเป็น psychological crucible — เตาหลอมทางจิตวิญญาณที่ผลักดันให้ผู้ปฏิบัติพัฒนาไปเรื่อยๆ
.
เขากล่าวว่า “what makes any performance domain worthy is that none of us will ever completely master it.” ตลาดที่เปลี่ยนตลอดเวลาจึงไม่ใช่ศัตรูของเทรดเดอร์ แต่คือครูผู้ทดสอบการปรับตัวในทุกวัน
.
แม้หนังสือจะเน้น “การพัฒนาตนเอง” แต่ Steenbarger ย้ำว่าไม่มีการเติบโตใดเกิดขึ้นได้ลำพัง เขาอ้างคำว่า “Life is a Team Sport” เพื่อชี้ว่าแม้เทรดเดอร์จะทำงานคนเดียว แต่ “ระบบสังคม” ที่อยู่รอบตัว เช่น เพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการพอร์ต หรือชุมชนออนไลน์ (เช่น TraderFeed, StockTwits) ล้วนเป็นแหล่งข้อมูลย้อนกลับ (feedback ecology) ที่หล่อหลอมพฤติกรรมและการเรียนรู้ของเทรดเดอร์อย่างลึกซึ้ง
.
.
5. Adapting to Change และการอยู่รอดของผู้ที่เปลี่ยนแปลงได้เร็วที่สุด
.
ในกระบวนการ ABCD ของ Steenbarger องค์ประกอบแรก “Adapt to Change” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจาก “การเทรดแบบตอบสนอง” ไปสู่ “การเทรดแบบวิวัฒน์” เพราะการอยู่รอดในตลาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์อนาคต แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวต่อสิ่งที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีระบบ
.
Steenbarger เปิดบทนี้ด้วยเรื่องราวของ Emil เจ้าของร้านอาหารในชิคาโกซึ่งเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจของตนเองจนกลายเป็นกรณีศึกษาของ “การปรับตัวที่ประสบความสำเร็จ” เขาไม่ได้รอให้ตลาดบอกว่าจะต้องทำอะไร แต่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าและทดลองแนวคิดใหม่อยู่เสมอ จากร้านอาหารแบบดั้งเดิม Emil เปลี่ยนรูปแบบบริการ สร้างเมนูใหม่ และออกแบบประสบการณ์ให้ตรงกับผู้บริโภครุ่นใหม่ จนร้านกลับมามีกำไรอีกครั้ง
.
Steenbarger ใช้กรณีนี้เพื่ออธิบายว่า นักเทรดและผู้ประกอบการเป็นสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกันในระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ ทั้งคู่ต้องปรับตัวต่อแรงกดดันของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความสามารถในการปรับตัว (adaptability) จึงไม่ใช่คุณลักษณะรอง แต่เป็น “แกนกลางของความอยู่รอด”
.
Steenbarger เริ่มจากการชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดทางความคิดของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ที่มักมอง “การเปลี่ยนแปลง” เป็นเหตุการณ์เฉพาะ เช่น การเปลี่ยนกลยุทธ์จากเทคนิคหนึ่งไปสู่อีกเทคนิคหนึ่ง การย้ายตลาด หรือการใช้เครื่องมือใหม่ แต่แท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงคือ “กระบวนการทางจิต” ที่ต้องดำเนินอยู่ตลอดเวลา
.
เขาเสนอว่าความสามารถในการปรับตัวมี สองชั้นของการเปลี่ยนแปลง (Two Levels of Adaptation)
.
I. ระดับพื้นผิว (Surface Adaptation): การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ เช่น ปรับรูปแบบ entry-exit หรือเปลี่ยน time frame เพื่อให้เข้ากับสภาวะตลาด
.
II. ระดับโครงสร้าง (Deep Adaptation): การเปลี่ยนกรอบคิด ความเชื่อ และวิธีประมวลผลข้อมูลของตนเอง — เป็นการวิวัฒน์ของ “ระบบรับรู้” (cognitive system) ที่ใช้ในการตัดสินใจ
.
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทำได้เพียงการปรับตัวระดับแรก แต่การปรับตัวระดับที่สองต้องอาศัยความยืดหยุ่นทางจิต (psychological flexibility) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการฝึกฝนอย่างยาวนาน
.
.
6. Functional Fixedness กับดักทางความคิดที่ทำให้เทรดเดอร์ล้าสมัย
.
Steenbarger ยกแนวคิดจากจิตวิทยาการแก้ปัญหา (problem-solving psychology) โดยเฉพาะผลงานของ Karl Duncker (1945) ผู้เสนอทฤษฎี functional fixedness ภาวะที่บุคคลติดอยู่กับการมองวัตถุหรือแนวคิดในหน้าที่เดิมของมัน จนไม่สามารถมองเห็นการใช้ประโยชน์รูปแบบใหม่
.
ในโลกของการเทรด functional fixedness ปรากฏในหลายรูปแบบ เช่น
.
-การยึดติดกับเครื่องมือหรือ indicator เดิมแม้สภาวะตลาดเปลี่ยน
-การตีความรูปแบบราคา (pattern) โดยไม่พิจารณาบริบท
-การใช้ระบบที่เคยสำเร็จในอดีตเป็น “กฎตายตัว” โดยไม่ตรวจสอบว่ายังใช้ได้หรือไม่
.
Steenbarger เตือนว่า ความสำเร็จในอดีตมักเป็นแหล่งของ functional fixedness ที่ทรงพลังที่สุด เพราะมันทำให้เทรดเดอร์ “สับสนระหว่างสิ่งที่เคยใช้ได้ผล กับสิ่งที่ยังใช้ได้ผล”
.
.
7. การสร้างระบบการปรับตัว (Adaptive Frameworks)
.
Steenbarger เสนอว่า การปรับตัวไม่ควรเป็นการตอบสนองแบบเฉพาะกิจ แต่ควรอยู่ในรูป “กระบวนการ” ที่วางแผนไว้แล้ว เขาเรียกสิ่งนี้ว่า Adaptive Frameworks, ซึ่งมีสามองค์ประกอบหลักคือ
.
I. การเก็บข้อมูลย้อนกลับ (Feedback Capture):
.
การบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลตลาดควบคู่กับข้อมูลเชิงพฤติกรรมของตนเอง เช่น อารมณ์ ระดับพลังงาน และกระบวนการตัดสินใจ เพื่อสังเกตความสัมพันธ์ระหว่าง “สภาวะจิต” กับ “ผลลัพธ์การเทรด”
.
II. การตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของบริบท (Context Detection):
.
การใช้ข้อมูลทางสถิติและการสังเกตเชิงคุณภาพเพื่อระบุว่า “ตลาดกำลังเปลี่ยนกฎ” หรือไม่ เช่น จากภาวะ trend-following ไปสู่ mean-reversion การมีตัวชี้วัดเชิงบริบทจะช่วยให้เทรดเดอร์รู้ว่าเมื่อใดควรปรับกลยุทธ์
.
III. การทดลองเชิงระบบ (Systematic Experimentation):
.
การออกแบบการทดลองย่อย (micro-experiments) เพื่อทดสอบแนวคิดใหม่ในขนาดเล็ก ก่อนนำไปใช้จริงในพอร์ตใหญ่ เป็นกระบวนการแบบ scientific iteration ที่ช่วยให้เทรดเดอร์เรียนรู้โดยไม่เสี่ยงเกินไป
.
ในภาพรวม Steenbarger มองว่าการปรับตัวไม่ใช่ศิลปะของการคาดเดา แต่คือ “ศาสตร์ของการออกแบบการทดลองในชีวิตจริง”
.
.
8. ความยืดหยุ่นเชิงอารมณ์ (Emotional Flexibility)
.
แม้หัวข้อ “Adapting to Change” ดูเหมือนจะเน้นที่กลยุทธ์หรือระบบคิด แต่ Steenbarger ชี้ว่า แก่นแท้ของมันอยู่ใน “ระดับอารมณ์” เพราะความกลัว ความโกรธ หรือความลังเล เป็นสัญญาณของการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในจิตใต้สำนึก
.
เขาอธิบายว่าการสร้าง emotional flexibility ต้องอาศัยการพัฒนา “meta-awareness” ความสามารถในการสังเกตอารมณ์โดยไม่ถูกกลืนไปกับมัน ซึ่งเป็นแนวคิดใกล้เคียงกับ mindfulness-based cognitive therapy (MBCT) ที่ใช้ในจิตวิทยาสมัยใหม่
.
เมื่อเทรดเดอร์สามารถสังเกตความรู้สึกของตนได้อย่างเป็นกลาง เขาจะเริ่มแยกแยะระหว่าง “สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด” กับ “สิ่งที่เกิดขึ้นในตนเอง” ออกได้ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สามารถปรับตัวอย่างมีเหตุผลแทนอารมณ์
.
Steenbarger อธิบายว่าความยืดหยุ่นทางอารมณ์มีสี่ระดับพัฒนา
.
I. การสังเกต (Noticing): ตระหนักว่าอารมณ์กำลังเกิดขึ้น
.
II. การตั้งชื่อ (Labeling): ระบุประเภทของอารมณ์ เช่น กลัว โกรธ เบื่อ
.
III. การยอมรับ (Accepting): ไม่พยายามผลักไสอารมณ์นั้น
.
IV. การใช้ประโยชน์ (Utilizing): เปลี่ยนอารมณ์เป็นข้อมูล เช่น ใช้ความกังวลเป็นสัญญาณให้ลดขนาดพอร์ต
.
.
9. Flexible Commitment ความมุ่งมั่นที่ไม่ตายตัว
.
อีกแนวคิดสำคัญในบทนี้คือสิ่งที่ Steenbarger เรียกว่า Flexible Commitment การมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อเป้าหมาย แต่เปิดกว้างต่อวิธีการ
.
ในบริบทของการเทรด หมายถึงการคงไว้ซึ่งความชัดเจนในหลักการ (principled conviction) เช่น การบริหารความเสี่ยงหรือวินัยในการออกจากตลาด แต่ยืดหยุ่นในวิธีการปฏิบัติ เช่น การปรับ timeframe หรือกลยุทธ์ให้เข้ากับบริบท
.
เขาอ้างอิงแนวคิดของ adaptive expertise จากงานวิจัยของ Hatano และ Inagaki (1986) ที่อธิบายว่า ผู้เชี่ยวชาญมีสองแบบ
.
“Routine experts” เก่งในสิ่งที่ทำซ้ำได้ดีในบริบทเดิม
.
“Adaptive experts” สามารถสร้างกฎใหม่เมื่อบริบทเปลี่ยน
.
Steenbarger เห็นว่าเทรดเดอร์ชั้นยอดคือ “Adaptive Experts” พวกเขาไม่เพียงรู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่รู้ด้วยว่าควรคิดอย่างไรเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
.
.
10. การเรียนรู้แบบเปิดวงจร (Open-Loop Learning)
.
การปรับตัวที่แท้จริงต้องอาศัยวงจรการเรียนรู้แบบเปิด Open-Loop Learning ซึ่งต่างจากการเรียนรู้แบบปิดที่มักจบลงเมื่อได้คำตอบหนึ่งชุด
.
Steenbarger เปรียบเทียบว่าการเรียนรู้ของเทรดเดอร์จำนวนมากเหมือนการขับรถโดยดูแค่กระจกหลัง พวกเขาใช้ประสบการณ์ในอดีตมาตัดสินอนาคต แต่ตลาดเป็น “ระบบไม่เสถียร” (non-stationary system) ที่เปลี่ยนสมการทุกวัน
.
วงจรเรียนรู้แบบเปิดจึงหมายถึงการ
.
สังเกต → ทดลอง → ประเมิน → ปรับสมมติฐาน → ทดลองใหม่
.
Steenbarger เตือนว่า “การมีข้อมูลมากขึ้นไม่ได้หมายถึงการรู้มากขึ้น” เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ไม่ใช่ “สัญญาณ” แต่คือ “สัญญาณรบกวน” (noise)
.
เทรดเดอร์ที่ปรับตัวได้จริงคือผู้ที่สามารถพัฒนา cognitive filters กลไกคัดกรองข้อมูลในสมอง เพื่อแยกแยะสิ่งสำคัญออกจากสิ่งไม่จำเป็น
.
เขาเสนอเทคนิคการฝึก “การลดสัญญาณรบกวน” (Noise Filtering Training) โดยให้เทรดเดอร์เลือกตัวแปรเพียง 2–3 ตัวที่มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์จริงในอดีต แล้วใช้เวลาฝึกสังเกตเฉพาะตัวแปรนั้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สมองสร้างแบบจำลองเชิงสัญชาตญาณ (intuitive modeling)
.
ผลการฝึกเช่นนี้ช่วยสร้าง “สัญชาตญาณที่มีข้อมูลหนุนหลัง” (data-informed intuition) ซึ่งต่างจาก “ความรู้สึกเดา” ที่ปราศจากหลักฐาน
.
.
11. Building on Strengths การสร้างความได้เปรียบจากจุดแข็งของตนเอง
.
ในโมเดล ABCD ของ Trading Psychology 2.0 “B – Build on Strengths” คือองค์ประกอบที่อาจดูขัดแย้งกับสามัญสำนึกทั่วไปที่สุด เพราะในขณะที่จิตวิทยาและการพัฒนาตนแบบดั้งเดิมมักมุ่งเน้นไปที่ “การแก้ไขจุดอ่อน” (fixing weaknesses) Steenbarger กลับเสนอว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องเริ่มจากการต่อยอดสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว ไม่ใช่การพยายามซ่อมสิ่งที่เรายังไม่ถนัด
.
.
I. การระบุ “ลายเซ็นแห่งความสำเร็จ” (Signature Strengths)
.
Steenbarger เริ่มด้วยการอธิบายว่าจุดแข็งในบริบทของการเทรดไม่ได้หมายถึง “สไตล์การเทรดที่ถูกต้อง” แต่หมายถึง “เงื่อนไขทางจิตและพฤติกรรม” ที่ทำให้เทรดเดอร์คนนั้นทำผลงานได้ดีที่สุด ซึ่งแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะของตนเอง เช่น
.
บางคนมีสมาธิสูงในตลาดผันผวน แต่เฉื่อยในตลาดนิ่ง
.
บางคนเก่งในการจับสัญญาณ momentum ระยะสั้น ขณะที่บางคนโดดเด่นในการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างระยะยาว
.
บางคนทำผลงานได้ดีที่สุดเมื่อทำงานเดี่ยว ขณะที่อีกคนต้องการ “dialogue” กับทีมก่อนตัดสินใจ
.
Steenbarger เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “micro-environments of success” สภาพแวดล้อมย่อยที่ส่งเสริมให้ศักยภาพของเราทำงานอย่างเต็มที่
.
เขาแนะนำให้เทรดเดอร์ทำสิ่งที่เรียกว่า Strengths Review Journal คือบันทึกเหตุการณ์ของการเทรดที่ดีที่สุดในอดีต (ไม่จำเป็นต้องเป็นการเทรดที่กำไรมากที่สุด แต่เป็นการเทรดที่ “ถูกต้องที่สุด” ตามกระบวนการของตน) แล้ววิเคราะห์ว่าในตอนนั้นมีองค์ประกอบอะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่น
.
เวลาของวัน
อารมณ์และระดับพลังงาน
ลักษณะของตลาด
วิธีการเตรียมตัวก่อนเข้าเทรด
สภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคม
.
จากนั้นให้มองหาลักษณะร่วมของเหตุการณ์เหล่านั้น เพื่อสกัด “รูปแบบแห่งจุดแข็ง” ที่สามารถทำซ้ำได้ในอนาคต
.
.
II. การเรียนรู้จากความสำเร็จพอ ๆ กับความผิดพลาด
.
ในจิตวิทยาเชิงพัฒนา เรามักได้ยินคำว่า “เรียนรู้จากความผิดพลาด” แต่ Steenbarger ตั้งคำถามว่า เหตุใดเราจึงไม่ให้คุณค่าเท่ากันกับการเรียนรู้จากสิ่งที่ทำได้ดี?
.
เขาอ้างถึงงานของ David Cooperrider ผู้พัฒนาแนวคิด Appreciative Inquiry ซึ่งใช้ในองค์กรระดับโลกอย่าง IBM และ NASA โดยเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบควรเริ่มจาก “การสำรวจสิ่งที่ทำงานได้ดี” มากกว่าการมุ่งแก้ไขสิ่งที่ล้มเหลว เพราะพลังของการเสริมแรงเชิงบวกมีประสิทธิภาพในการสร้างแรงจูงใจระยะยาวมากกว่า
.
Steenbarger จึงประยุกต์หลักการนี้กับเทรดเดอร์ โดยเสนอให้เปลี่ยนวิธีการทำ “performance review” จากการถามว่า
.
“ฉันทำพลาดตรงไหน?” เป็นคำถามอีกว่า “อะไรทำให้การเทรดครั้งนี้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง?”
.
.
III. จุดแข็งในฐานะ “ทุนจิตวิทยา” (Psychological Capital)
.
แนวคิดของ Steenbarger เชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับทฤษฎี Psychological Capital (PsyCap) ของ Luthans และ Youssef ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสี่ประการ ได้แก่
.
“Hope” ความหวังในอนาคตและความเชื่อว่าสามารถหาวิธีการได้
.
“Efficacy” ความมั่นใจในความสามารถของตน
.
“Resilience” ความยืดหยุ่นต่อความล้มเหลว
.
“Optimism” การมองโลกในแง่บวกเชิงโครงสร้าง
.
Steenbarger มองว่า “จุดแข็ง” ไม่ได้เป็นเพียงทักษะที่ทำได้ดี แต่เป็น “ทุนทางจิต” ที่เพิ่มขีดความสามารถของเทรดเดอร์ให้สามารถฟื้นตัวจากความผิดพลาดและสร้างแรงผลักภายในตนเองได้
.
เขาเปรียบเทียบว่า “คนที่มีจุดแข็งชัดเจนย่อมมีระบบนิเวศภายในที่มั่นคงกว่า” เพราะทุกการเทรดรวมถึงการขาดทุน ไม่ใช่การตัดสินตัวตน แต่เป็นข้อมูลป้อนกลับที่ช่วยให้ระบบนั้นเรียนรู้
.
.
12. การพัฒนา Strength-Based Trading Plan
.
Steenbarger นำแนวคิดของจิตวิทยาการตัดสินใจมาวิเคราะห์ว่า จุดแข็งของแต่ละคนสัมพันธ์โดยตรงกับ “โหมดการประมวลผลข้อมูล” (information processing mode) ซึ่งแบ่งได้เป็นสองแบบหลัก
.
I. Analytical Processing “การวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ” เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ใช้ข้อมูลปริมาณสูง (เช่น quant, macro, หรือ stat-arb) จุดแข็งของพวกเขาอยู่ที่ตรรกะ ความอดทน และการจัดการความซับซ้อน
.
II. Intuitive Processing “การตัดสินใจเชิงสัญชาตญาณ” เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ใช้ pattern recognition จากประสบการณ์ เช่น discretionary trader หรือ market feeler จุดแข็งอยู่ที่ความเร็วในการรับรู้สัญญาณและการปรับตัวแบบทันที
.
Steenbarger เตือนว่าความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของเทรดเดอร์คือการ “ฝืนโหมดจุดแข็งของตนเอง” เช่น นักวิเคราะห์เชิงตรรกะพยายามเล่นสัญชาตญาณ หรือเทรดเดอร์เชิง intuition พยายามบังคับใช้ระบบที่ซับซ้อนจนเกินไป
.
เขาอ้างถึงงานของ Gary Klein เกี่ยวกับ Recognition-Primed Decision Making (RPD) ว่าการตัดสินใจเชิงสัญชาตญาณไม่ได้หมายถึงการสุ่ม แต่เป็นการดึงรูปแบบที่ผ่านการฝึกมาแล้วจากความทรงจำระยะยาว (long-term memory pattern retrieval) ดังนั้น “intuition” จึงเป็นเพียงชื่ออื่นของ “expertise” เมื่อมันได้รับการฝึกอย่างถูกวิธี
.
เมื่อเทรดเดอร์ระบุจุดแข็งของตนได้แล้ว Steenbarger แนะนำให้สร้างสิ่งที่เรียกว่า Strength-Based Trading Plan ซึ่งต่างจากแผนเทรดทั่วไปตรงที่มันไม่ได้ระบุเพียง entry-exit rules หรือ risk parameters แต่เน้นที่ “กระบวนการเตรียมสภาวะจิตและบริบท” เพื่อให้จุดแข็งนั้นสามารถทำงานได้เต็มที่
.
ตัวอย่างเช่น
.
หากจุดแข็งคือการมองภาพใหญ่ → ควรจัดเวลาวิเคราะห์ macro data ช่วงเช้าในสภาพแวดล้อมเงียบสงบ
.
หากจุดแข็งคือการตอบสนองต่อ volatility → ควรใช้ position ขนาดเล็กแต่เพิ่มความถี่ เพื่อเปิดโอกาสให้การปรับตัวเร็วเป็นประโยชน์
.
หากจุดแข็งคือความแม่นยำในการจดจำ pattern → ควรสร้าง database ของกราฟที่ตนทำได้ดีและทบทวนทุกสัปดาห์
.
แผนลักษณะนี้ไม่เพียงปรับกระบวนการเทรดให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เทรด แต่ยังช่วยลด “แรงเสียดทานทางจิต” ที่เกิดจากการฝืนวิธีคิดของตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการหมดไฟ (burnout)
.
.
13. จุดแข็งและความเป็นทีม (Strengths as Synergy)
.
แม้การเทรดมักถูกมองว่าเป็นกิจกรรมเดี่ยว แต่ Steenbarger ชี้ว่าการใช้จุดแข็งจะทรงพลังยิ่งขึ้นในบริบทของทีม โดยเฉพาะใน proprietary trading firms หรือ hedge funds ที่มีโครงสร้างแบบ collaborative specialization
.
เขาอธิบายว่าทีมเทรดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมักไม่ใช่ทีมที่ทุกคนเหมือนกัน แต่คือทีมที่ “แตกต่างอย่างกลมกลืน” แต่ละคนมีจุดแข็งเฉพาะ และระบบถูกออกแบบให้ใช้จุดแข็งเหล่านั้นสนับสนุนกัน
.
แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎี Complementary Expertise ของ Michael Polanyi ซึ่งกล่าวว่า ความรู้ในองค์กรเป็นแบบ “กระจาย” (distributed knowledge) ไม่มีใครรู้ทุกอย่าง แต่ทุกคนรู้บางสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ การเชื่อมโยงความรู้เหล่านี้เข้าด้วยกันคือที่มาของนวัตกรรม
.
Steenbarger เสนอให้เทรดเดอร์เรียนรู้จากกันในรูปแบบที่เรียกว่า Strength Pairing การจับคู่เทรดเดอร์ที่มีจุดแข็งต่างกัน เช่น คนวิเคราะห์เชิงเทคนิคกับคนที่มองเชิงโครงสร้าง เพื่อสร้างมุมมองที่ครอบคลุมและลดอคติที่แต่ละฝ่ายมี
.
.
14. จุดแข็งในฐานะระบบการสร้างแรงจูงใจ
.
Steenbarger ยังเชื่อมโยงแนวคิดเรื่องจุดแข็งกับทฤษฎี Self-Determination Theory (SDT) ของ Deci และ Ryan ซึ่งระบุว่าแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) เกิดจากสามองค์ประกอบหลักคือ autonomy, competence, และ relatedness
.
การทำงานตามจุดแข็งจะทำให้ทั้งสามองค์ประกอบนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน:
.
เรารู้สึก “Autonomous” เพราะทำสิ่งที่เป็นธรรมชาติของเรา
.
เรารู้สึก “Competent” เพราะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ถนัด
.
และเรารู้สึก “Related” เพราะสามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นผ่านสิ่งที่เราทำได้ดี
.
ผลลัพธ์คือ “วงจรแรงจูงใจเชิงบวก” (positive feedback motivation loop) ที่ทำให้เทรดเดอร์รักษาพลังและความมุ่งมั่นในระยะยาวได้โดยไม่ต้องพึ่งแรงกดดันภายนอก
.
.
15. Cultivating Creativity ความคิดสร้างสรรค์ในฐานะกระบวนการ
.
หากการปรับตัว (Adapt) คือรากฐานของการอยู่รอดและการต่อยอดจุดแข็ง (Build) คือกลไกแห่งการเติบโต ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) คือ “พลังขับเคลื่อนวิวัฒนาการ” ของเทรดเดอร์ในระยะยาว
.
ในโลกของการเทรด ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้หมายถึงการเป็น “ศิลปิน” ที่วาดกราฟสวยกว่าคนอื่น แต่คือความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างสิ่งที่ดูไม่เกี่ยวข้องกัน และสร้างแนวคิดการเทรดที่ “ยังไม่มีใครเห็น” ภายใต้ข้อมูลเดียวกัน เขาเขียนไว้ว่า
.
Steenbarger ยืนยันว่า ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เป็นคุณสมบัติของคนไม่กี่คน แต่เป็น “กระบวนการทางจิตที่ฝึกได้” (trainable mental process)
.
เขาอ้างถึงงานคลาสสิกของ Graham Wallas (The Art of Thought, 1926) ที่แบ่งความคิดสร้างสรรค์ออกเป็น 4 ขั้นตอนสำคัญ
.
“Preparation” การเก็บข้อมูลและจมอยู่กับปัญหา
.
“Incubation” การปล่อยให้สมองทำงานเบื้องหลังอย่างไม่รู้ตัว
.
“Illumination” ช่วง “Aha Moment” ที่เกิดการเชื่อมโยงใหม่
.
“Verification” การตรวจสอบและปรับแต่งแนวคิดให้นำไปใช้ได้จริง
.
Steenbarger แปลความขั้นตอนเหล่านี้สู่โลกของเทรดเดอร์ว่า “ความคิดสร้างสรรค์” เกิดขึ้นเมื่อเราหยุดพยายาม “บังคับ” ให้ตลาดตอบตามสมมติฐานเดิม และเริ่มปล่อยให้ข้อมูลพูดกับเราเอง
.
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่พลาดขั้น Incubation เพราะความกลัวที่จะพลาด (FOMO) ทำให้พวกเขารีบหาคำตอบก่อนที่สมองจะเชื่อมโยงข้อมูลได้เต็มที่
.
.
16. การฝึกสมองแบบ Divergent Thinking
.
Steenbarger อ้างอิงงานวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพาะจาก Kounios & Beeman (2015) ว่า ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้มาจาก “ส่วนใดส่วนหนึ่งของสมอง” แต่เกิดจากการประสานกันระหว่าง 3 เครือข่ายหลัก
.
“Default Mode Network (DMN)” ใช้เมื่อสมอง “ล่องลอย” — เป็นแหล่งกำเนิดของจินตนาการ
.
“Executive Control Network (ECN)” ใช้เมื่อเรามีสมาธิและกำลังประเมินไอเดีย
.
“Salience Network” เป็นตัวประสานที่เปิด-ปิดการเชื่อมต่อระหว่างสองเครือข่ายแรก
.
เทรดเดอร์ที่สร้างสรรค์ไม่ได้ทำงานในโหมดวิเคราะห์ตลอดเวลา แต่สลับไปมาระหว่าง “โหมดจินตนาการ” กับ “โหมดตรรกะ” อย่างเป็นระบบ เช่น การใช้เวลา “ออกห่างจากจอ” เพื่อให้สมอง Default Mode ทำงาน
.
Steenbarger นำหลักจาก Divergent Thinking ของ J. P. Guilford มาประยุกต์ใช้กับเทรดเดอร์ โดยเสนอให้ฝึก “การคิดแบบแตกแขนง” ผ่านกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาดโดยตรง เช่น
.
การจดบันทึกไอเดียการเทรดใหม่ 10 แบบทุกเช้า โดยไม่ต้องตรวจสอบความถูกต้อง
.
การวิเคราะห์สินทรัพย์ที่ตนไม่เคยเทรดมาก่อน แล้วหาความเชื่อมโยงกับสินทรัพย์ที่ตนคุ้นเคย
.
การตั้งคำถาม “What if?” ทุกครั้งก่อนวางแผน เช่น “ถ้าผลประกอบการดีแต่ราคาลง แปลว่าอะไร?”
.
เป้าหมายไม่ใช่การหา “คำตอบที่ถูกต้อง” แต่เพื่อฝึกให้สมองสร้างเส้นทางเชื่อมโยงใหม่ (Neural Connections) ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นความสามารถในการมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม
.
.
17. “Idea Factories” และการออกแบบระบบผลิตไอเดีย
.
Steenbarger ใช้คำว่า Idea Factory เพื่ออธิบายเทรดเดอร์ที่สามารถผลิตแนวคิดใหม่ได้ต่อเนื่อง เขาพบว่าความคิดสร้างสรรค์ของเทรดเดอร์ชั้นยอดไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เกิดจาก “ระบบ” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อผลิตไอเดียอย่างมีวินัย
.
ระบบนี้ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
.
I. Input Diversity: การเปิดรับข้อมูลจากหลายแหล่ง ไม่จำกัดอยู่แค่ technical หรือ macro แต่รวมถึงข้อมูลเชิงสังคม วัฒนธรรม และจิตวิทยา
.
II. Cross-Pollination: การเชื่อมโยงสิ่งที่ดูไม่เกี่ยวกัน เช่น นำแนวคิดจากชีววิทยาหรือดนตรีมาวิเคราะห์พฤติกรรมตลาด
.
III. Rapid Prototyping: การทดลองแนวคิดเล็กๆ แบบไม่เสี่ยงสูง เพื่อดูว่าสมมติฐานใดมีศักยภาพต่อยอดได้
.
Steenbarger ชี้ว่าความคิดสร้างสรรค์ในตลาดมีธรรมชาติแบบ Darwinian ไอเดียจำนวนมากจะ “ตาย” ไป แต่ไอเดียที่รอดจะกลายเป็น edge ใหม่ของเรา
.
Steenbarger นำทฤษฎีของ Donald Schön ว่าด้วย “Reflective Practice” มาใช้ในบริบทของเทรดเดอร์ โดยเสนอว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดจากการคิดมากขึ้น แต่จาก “การสะท้อนมากขึ้น” (Reflective Depth)
.
เขาแนะนำให้เทรดเดอร์ทำ “Idea Journal” สมุดบันทึกที่จดทุกไอเดียการเทรด ทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว พร้อมบันทึกว่าแนวคิดนั้นเกิดจากอะไร สถานการณ์แบบใด และอะไรคือบทเรียนจากผลลัพธ์นั้น
.
Steenbarger ปฏิเสธภาพลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์แบบไร้ระเบียบ เขาเสนอแนวคิด Structured Creativity กระบวนการที่สร้างเสรีภาพภายในกรอบ
.
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์อาจกำหนดช่วงเวลา “Idea Generation Hour” ทุกวันช่วงตลาดปิด โดยมีข้อจำกัดว่า
.
ห้ามใช้ข้อมูลราคาหรือกราฟที่เห็นในวันนั้น
ต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น (เช่น macro, sentiment, หรือ correlation data)
ต้องเขียนแนวคิดให้ได้อย่างน้อย 3 แบบ แม้ไม่มีแนวคิดใดน่าเชื่อถือ
.
ข้อจำกัดเหล่านี้กลายเป็น “แรงกดทางโครงสร้าง” ที่ผลักดันให้สมองสร้างความเชื่อมโยงใหม่
.
.
18. Mindset ของนักเทรดเชิงสร้างสรรค์
.
ในเชิงจิตวิทยา Steenbarger พบว่าเทรดเดอร์ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมักมีคุณสมบัติร่วมบางอย่างที่แตกต่างจากเทรดเดอร์ทั่วไป ได้แก่
.
Tolerance for Ambiguity: ยอมรับความไม่แน่นอนได้โดยไม่วิตก
.
Intrinsic Motivation: แรงขับจากความอยากรู้ มากกว่าความกลัวพลาด
.
Curiosity as Discipline: มีนิสัยตั้งคำถามกับทุกสิ่งอย่างมีระบบ
.
Playfulness: มองการทดลองเป็น “การเล่นที่จริงจัง”
.
“ความคิดสร้างสรรค์คือผลลัพธ์ของความสงสัยอย่างต่อเนื่อง” (persistent curiosity) เมื่อเทรดเดอร์เรียนรู้ที่จะตั้งคำถามมากกว่าตัดสิน พวกเขาจะเริ่มเห็นความจริงใหม่ในข้อมูลเดิม
.
การปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยลำพัง แต่ต้องมี “ระบบนิเวศของความคิดใหม่” (ecosystem of innovation) ภายในองค์กร ซึ่งประกอบด้วย
.
พื้นที่ปลอดภัยสำหรับการลองผิดลองถูก (Psychological Safety)
.
การแลกเปลี่ยนแนวคิดแบบเปิด (Open Idea Flow)
.
การให้รางวัลต่อกระบวนการ ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์
.
.
19. Developing and Integrating Best Practices: การพัฒนาและบูรณาการระบบที่ดีที่สุดในตนเอง
.
กระบวนการสุดท้ายคือ D - Develop and Integrate Best Practices ซึ่ง Steenbarger มองว่าเป็น “จุดหลอมรวม” ของทุกสิ่งก่อนหน้าให้กลายเป็น ระบบการทำงานที่ยั่งยืน
.
“It is not enough to know what works. You must know how to make what works work for you—every day.”
.
Steenbarger อธิบายว่า “Best Practices” คือชุดของพฤติกรรมหรือแนวทางที่พิสูจน์แล้วว่าให้ผลลัพธ์ดีในอดีต เช่น วิธีการจดบันทึกการเทรด การบริหารความเสี่ยง หรือการเตรียมจิตใจก่อนเข้าตลาด
.
แต่สิ่งที่แยก “เทรดเดอร์ที่ดี” ออกจาก “เทรดเดอร์ที่ยั่งยืน” คือ
.
“คนหลังไม่ได้แค่ทำสิ่งที่ดีที่สุดเป็นครั้งคราว แต่สร้างระบบที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ซ้ำทุกวัน” นั่นคือความหมายของ “Best Processes”
.
Steenbarger ดึงแรงบันดาลใจจากแนวคิด Continuous Improvement (Kaizen) ของญี่ปุ่น และ Six Sigma ของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเน้นการลดความแปรปรวนและการสร้างมาตรฐานซ้ำได้
.
เขาเสนอว่าเทรดเดอร์ควรคิดเหมือน “องค์กรคุณภาพสูง” ที่มีวงจร PDCA (Plan – Do – Check – Act) อยู่ตลอดเวลา
.
Plan: วางแผนและนิยาม Best Practices ที่เหมาะกับตนเอง
.
Do: ปฏิบัติตามแผนในสภาวะตลาดจริง
.
Check: ประเมินผลลัพธ์โดยใช้ข้อมูลจริง
.
Act: ปรับปรุงกระบวนการและเริ่มรอบใหม่
.
.
20. การสร้าง “ระบบของระบบ” (Meta-Process Thinking)
.
Steenbarger นำเสนอแนวคิดใหม่ในพาร์ทนี้ที่เขาเรียกว่า Meta-Process Thinking การคิดในระดับที่สูงกว่าการปฏิบัติ คือไม่เพียงวิเคราะห์ว่า “ฉันเทรดได้ดีไหม” แต่ถามว่า “ระบบการเรียนรู้ของฉันทำงานได้ดีหรือไม่”
.
ในระดับนี้ เทรดเดอร์ไม่ได้แก้ปัญหาที่การเทรดเพียงอย่างเดียว แต่ปรับโครงสร้างของวิธีที่เขาปรับตัว เรียนรู้ และสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
.
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ที่รู้ว่าตนมีช่วงเวลาที่ฟอร์มดีในตอนเช้าแต่ตกในตอนบ่าย จะไม่พยายาม “ฝืน” เทรดให้ดีตอนบ่าย แต่ปรับระบบให้ช่วงบ่ายกลายเป็นช่วงทบทวนและเรียนรู้แทน นี่คือตัวอย่างของการใช้ “meta-level control” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่เพิ่มความเครียด
.
.
21. การวัดและพัฒนา Best Practices
.
Steenbarger เสนอว่า Best Practices ไม่ควรถูกนิยามโดย “ความรู้สึก” แต่ต้องสามารถวัดได้เชิงพฤติกรรม (behaviorally measurable)
.
Steenbarger เสนอกรอบการประเมินผลแบบสามมิติ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการโค้ชชิ่งมืออาชีพ เพื่อเปลี่ยน “แนวทางที่ดี” ให้กลายเป็น “กระบวนการที่วัดได้”
.
มิติแรกคือ “Consistency” ความสม่ำเสมอในการทำสิ่งที่ดีที่สุดของตนเอง เทรดเดอร์ต้องถามตัวเองว่า “ฉันสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้บ่อยเพียงใด?” และตรวจสอบความถี่ของพฤติกรรมเชิงบวก เช่น การจดบันทึก (journaling) หรือการทบทวนความเสี่ยง (risk review) ในแต่ละวัน
.
มิติที่สองคือ “Quality” ความลึกซึ้งและความละเอียดของการปฏิบัติ คำถามคือ “ฉันทำสิ่งนั้นได้ดีเพียงใด?” ซึ่งวัดได้จากคุณภาพของการวิเคราะห์ การเตรียมแผน และการประเมินสมมติฐานอย่างเป็นระบบ
.
มิติสุดท้ายคือ “Impact” ผลกระทบของแนวปฏิบัติต่อผลลัพธ์จริง คำถามสำคัญคือ “สิ่งที่ฉันทำส่งผลต่อผลลัพธ์จริงหรือไม่?” ซึ่งสามารถวัดผ่านตัวชี้วัดทางสถิติ เช่น อัตราชนะ (win rate), ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (expectancy) หรืออัตราการลดลงของพอร์ต (drawdown ratio)
.
เมื่อเทรดเดอร์ตอบคำถามทั้งสามนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา พวกเขาจะเริ่มมองเห็นพฤติกรรมที่ดีในฐานะ “ตัวแปรที่พัฒนาได้” มากกว่า “คุณสมบัติส่วนตัว.”
.
และเมื่อพฤติกรรมกลายเป็นตัวแปร การพัฒนาก็กลายเป็นระบบ เปิดทางให้การเทรดเปลี่ยนจากศิลปะแห่งสัญชาตญาณ ไปสู่ศาสตร์แห่งการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
.
.
22. การสร้างระบบป้อนกลับเชิงข้อมูล (Data-Driven Self-Improvement)
.
“ใช้ข้อมูลเทรดไม่เพียงเพื่อหากำไร แต่เพื่อหาความจริงของตนเอง” Steenbarger เรียกแนวทางนี้ว่า Quantified Self of Trading การเก็บข้อมูลพฤติกรรมเชิงจิตและกระบวนการตัดสินใจแบบเดียวกับที่เราบันทึกข้อมูลตลาด
.
เทรดเดอร์อาจบันทึก เช่น
.
ชั่วโมงการนอน / ระดับความตึงเครียด / ปริมาณคาเฟอีน
การให้คะแนนสมาธิในแต่ละวัน (1–10)
ความสอดคล้องของการปฏิบัติตามแผน (%)
.
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ควบคู่กับผลลัพธ์การเทรด จะพบรูปแบบเชิงจิตที่มักซ่อนอยู่ เช่น “ผลลัพธ์ดีเมื่อพักผ่อนเต็มที่” หรือ “ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังการชนะต่อเนื่อง”
.
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นข้อมูล Feedback สำหรับการพัฒนา Best Processes ในเชิงลึก
.
Steenbarger เตือนว่าปัญหาหลักของเทรดเดอร์คือ “ความไม่เชื่อมโยงระหว่างจิตใจกับระบบ” กล่าวคือ ระบบเทรดอาจดี แต่จิตใจไม่พร้อมใช้งานระบบนั้นอย่างสม่ำเสมอ
.
เขาเสนอให้พัฒนา Integrated Routines ชุดกิจวัตรที่เชื่อมโยงการจัดการพลังงาน อารมณ์ และกระบวนการคิดเข้าด้วยกัน เช่น
.
เริ่มวันด้วย “mental warm-up” (การตั้งจุดโฟกัสของวัน)
.
ปิดวันด้วย “mental cool-down” (การทบทวนสิ่งที่เรียนรู้โดยไม่ตัดสิน)
.
ใช้ “mindful micro-breaks” ทุก 90 นาที เพื่อ reset ระบบประสาท
.
สิ่งเหล่านี้คือ “Best Practices ภายใน” ที่ไม่เกี่ยวกับกลยุทธ์โดยตรง แต่เป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลยุทธ์สามารถทำงานได้ดีที่สุดในระยะยาว
.
.
23. Integrating the Four Processes การบูรณาการจิตวิทยาทั้งระบบสู่ความเป็นเลิศ
.
Steenbarger ปิดท้ายหนังสือ Trading Psychology 2.0 ด้วยแนวคิดที่สำคัญที่สุด การบูรณาการทั้งสี่องค์ประกอบของโมเดล ABCD ให้กลายเป็น “ระบบแห่งการเรียนรู้แบบองค์รวม” (integrated system of performance development)
.
เขาอธิบายว่า เทรดเดอร์จำนวนมากมักเน้นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น การควบคุมอารมณ์ (Adapt) หรือการสร้างวินัย (Develop) แต่ขาด “สภาวะบูรณาการ” ซึ่งเชื่อมโยงการปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ จุดแข็ง และระบบปฏิบัติให้ทำงานสอดคล้องกันภายใต้บริบทเดียว ชีวิตของเทรดเดอร์ในแต่ละวัน
.
Steenbarger ใช้คำว่า Whole-Trader Development เพื่ออธิบายสภาวะนี้ เขาเปรียบกระบวนการเทรดเหมือนระบบชีวภาพ ซึ่งการปรับตัว (Adapt) ทำหน้าที่เหมือนระบบประสาท การต่อยอดจุดแข็ง (Build) เหมือนระบบกล้ามเนื้อ การสร้างสรรค์ (Cultivate) เหมือนสมองส่วน prefrontal ที่สร้างการเชื่อมโยงใหม่ และการพัฒนาแนวปฏิบัติ (Develop) คือระบบไหลเวียนที่รักษาสมดุลโดยรวม
.
หากส่วนใดส่วนหนึ่งอ่อนแรง ระบบทั้งระบบย่อมเสียสมดุล การบูรณาการที่แท้จริงจึงไม่ใช่การเพิ่มสิ่งใหม่ แต่คือการจัดจังหวะและการทำงานร่วมกันของทุกส่วนให้สอดคล้อง เหมือนวงออร์เคสตราที่แต่ละเครื่องดนตรีต้องฟังกันมากกว่าพยายามดังที่สุด
.
“Peak performance is not the triumph of one strength, but the harmony of many.”
.
Steenbarger พัฒนาแนวคิดของ feedback loop จากบทก่อนให้กลายเป็น feedback spiral วงจรการเรียนรู้ที่ไม่ได้วนกลับมาที่จุดเดิม แต่ยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ
.
เขาอธิบายลำดับดังนี้:
.
Adaptation ทำให้เทรดเดอร์เรียนรู้จากการเปลี่ยนแปลง
.
Building ทำให้พวกเขารวมบทเรียนนั้นเข้ากับจุดแข็ง
.
Creativity เปิดทางให้ใช้บทเรียนและจุดแข็งสร้างกลยุทธ์ใหม่
.
Development สร้างระบบซ้ำเพื่อให้สิ่งเหล่านี้คงอยู่ในพฤติกรรม
.
จากนั้นกระบวนการทั้งหมดกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้งในระดับที่สูงกว่า เหมือนเกลียวที่หมุนขึ้นสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่อง
.
.
24. การสร้างสภาวะ “Meta-Competence”
.
Steenbarger ใช้แนวคิดจากจิตวิทยาการเรียนรู้ของ Chris Argyris และ Donald Schön เพื่ออธิบายสิ่งที่เขาเรียกว่า Meta-Competence ความสามารถระดับสูงสุดที่ไม่ได้อยู่ที่ “การทำสิ่งใดเก่ง” แต่ที่ “การเรียนรู้ให้เก่งขึ้นเรื่อย ๆ”
.
Meta-Competence เกิดขึ้นเมื่อเทรดเดอร์สามารถสังเกตและปรับกระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้ เช่น การตระหนักว่า “ฉันพัฒนาได้ดีขึ้นเมื่อมีข้อมูลป้อนกลับในรูปภาพมากกว่าตัวเลข” หรือ “ฉันคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้นเมื่อเทรดในสภาพแวดล้อมที่เงียบ”
.
นี่คือขั้นตอนที่เทรดเดอร์เริ่มเปลี่ยนจากผู้ปฏิบัติ (Practitioner) ไปสู่ผู้สร้างระบบ (Designer) ของตนเอง
.
Steenbarger อธิบายว่า การบูรณาการที่แท้จริงไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้ายังมอง “การเทรด” แยกจาก “ตัวตน”
.
เขาเสนอแนวคิด Identity-Linked Performance การเทรดที่สอดคล้องกับค่านิยมและเป้าหมายชีวิตของบุคคล
.
เทรดเดอร์บางคนอาจนิยามความสำเร็จว่า “ทำกำไรสม่ำเสมอ,” บางคนคือ “เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง,” หรือ “ใช้ตลาดเป็นสนามพัฒนาตน”
.
สิ่งสำคัญคือการทำให้ระบบจิตวิทยาการเทรดสอดคล้องกับความหมายเหล่านั้น เพราะหากระบบจิตไม่สอดคล้องกับค่านิยม ระบบพฤติกรรมจะไม่เสถียร
.
“Sustainability in markets requires alignment of purpose and process.”
.
ในระดับทีม Steenbarger เสนอว่าองค์กรมืออาชีพควรมองการพัฒนานักเทรดเหมือนระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ (learning ecosystem).
.
ทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดไม่ใช่ทีมที่มีเทรดเดอร์เก่งที่สุด แต่คือทีมที่ทุกคนเรียนรู้จากทุกคนได้เร็วที่สุด
.
เขายกตัวอย่าง Hedge Fund ระดับโลกที่ใช้ “Performance Review Roundtable” ทุกสิ้นเดือนแต่ละเทรดเดอร์ต้องนำกรณีศึกษาการเทรดที่ดีและไม่ดีมาวิเคราะห์ร่วมกัน
.
สิ่งนี้สร้างการบูรณาการข้ามประสบการณ์ (cross-learning integration) ที่เร่งความก้าวหน้าของทั้งระบบเกินกว่าผลรวมของแต่ละคน
.
Steenbarger นำแนวคิดของ mindfulness-based cognitive training มาประยุกต์ใช้ โดยชี้ว่า การบูรณาการไม่อาจเกิดขึ้นได้หากจิตใจไม่สามารถ “อยู่กับปัจจุบัน” เพื่อเห็นการทำงานของระบบตนเองแบบไม่ตัดสิน
.
Mindfulness เชื่อมส่วนรับรู้ (Awareness) เข้ากับส่วนลงมือทำ (Execution)
.
เมื่อเทรดเดอร์อยู่ในสภาวะจิตที่เปิดรับและไม่ถูกครอบงำด้วยผลลัพธ์ระยะสั้น เขาจะเริ่มสังเกตเห็นรูปแบบของตนเองในเชิงลึก ว่าเมื่อใดระบบของเขาทำงานอย่างกลมกลืน และเมื่อใดเกิดการขัดจังหวะ
.
Steenbarger ปิดท้ายด้วยการย้ำว่า การเทรดไม่ใช่กิจกรรมที่แยกจากชีวิตประจำวัน แต่คือ “เวทีที่สะท้อนคุณภาพของชีวิตภายใน.”
.
เทรดเดอร์ที่บูรณาการระบบจิตวิทยาการเทรดเข้ากับวิถีชีวิต เช่น การฝึกสมาธิ การออกกำลังกาย การพัฒนาความสัมพันธ์ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะสร้าง “จิตแห่งการเทรดที่ยั่งยืน” (Sustainable Mind)
.
“It takes a good trader to create success, a great one to recreate it.”
.
นี่คือแก่นของการบูรณาการทั้งสี่กระบวนการ การเรียนรู้ที่จะ “สร้างตัวเองขึ้นใหม่” ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่สูญเสียแก่นของจิตที่มั่นคง
.
การบูรณาการจึงไม่ใช่จุดจบของการเรียนรู้ แต่คือวงจรนิรันดร์ของการกลับมาสู่ตนเองในระดับที่ลึกกว่าเดิม
.
.
“คนเก่งคือคนที่สร้างความสำเร็จได้ครั้งหนึ่ง แต่คนที่ยิ่งใหญ่คือคนที่สร้างมันซ้ำได้เรื่อย ๆ”
.
.
=================================
.
นี่คือความแตกต่างระหว่าง Best Practices กับ Best Processes
.
Best Practices = คุณรู้ว่าอะไรดี
.
Best Processes = คุณสร้างระบบที่ทำให้สิ่งดีเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
.
มันคือความแตกต่างระหว่าง "คนที่ตั้งใจไดเอท" กับ "คนที่บ้านไม่มีขนม"
.
คนแรกต้องใช้แรงใจสู้กับความอยากกินทุกวัน
.
คนที่สองไม่ต้องสู้เลย เพราะไม่มีอะไรให้กินตั้งแต่แรก
.
ระบบชนะแรงใจทุกที
.
หนังสือเล่มนี้สอนให้เราเข้าใจว่า ตลาดไม่ได้กินเราเพราะเราโง่ แต่เพราะเรายังไม่รู้ว่าตัวเองโง่ตรงไหน
.
มันสอนให้เราหยุด "พยายาม" และเริ่ม "ออกแบบ" หยุดพึ่งพา "แรงบันดาลใจ" และเริ่มสร้าง "ระบบที่ไม่ต้องใช้แรงบันดาลใจ"
.
หยุดตำหนิตัวเองว่า "ทำไมฉันทำไม่ได้" และเริ่มถามว่า "ทำไมระบบของฉันถึงทำให้การทำผิดมันง่ายกว่าการทำถูก?"
.
และนั่นคือจิตวิทยาแห่งความเป็นเลิศในหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่แค่ในฐานะศาสตร์ของการเทรด แต่ในฐานะศาสตร์และศิลป์แห่งการเป็นมนุษย์ที่กำลังเติบโตอยู่เสมอ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ “Trading in the Zone” เหนือกว่าตลาดด้วยทัศนคติแห่งผู้ชนะ เขียนโดย Mark Douglas