สามสิบหกกลศึก Thirty-Six Stratagems
“อำนาจสูงสุดไม่ได้สร้างจากดาบพันเล่ม แต่มาจากการหักหลังพันครั้ง”
.
สามสิบหกกลศึก คู่มือเล่ห์เหนือดาบ ที่สอนว่าอำนาจไม่ได้มาจากการฟาดฟันเพียงอย่างเดียว หากมาจากการหักหลังที่จัดจ้านเป็นพันหน
.
เสียงกลองศึกในแดนตะวันออกไกลไม่ใช่แค่เสียงเรียกพล มันเหมือนซาวด์แทร็กของอารยธรรมที่โตมากับการทะเลาะกันและการกินรวบ การมีคุณธรรมนั้นงดงามพอจะเป็นยามเฝ้าปราสาท แต่เมื่อลมประวัติศาสตร์พัดเย็น คุณธรรมมักโดนพัดกระเด็นออกจากหน้าต่าง ดังนั้นเรียนรู้ที่จะยิ้ม แล้วซ่อนมีดไว้ใต้แขนเสื้อด้วย
.
คำว่า “สามสิบหกกล” ไม่ได้เป็นคัมภีร์ของกลยุทธ์เป๊ะ ๆ ตัวเลข "36" ไม่ได้หมายถึงจำนวนที่แน่นอน แต่เป็นสำนวนที่หมายถึง "กลยุทธ์มากมาย" โดยอิงจากตำราอี้จิง ที่เลข 6 เป็นเลขแห่งพลังหยิน สื่อถึงความลึกลับและกลยุทธ์ที่ซ่อนเร้น ส่วน 36 คือ 6 ยกกำลังสอง จึงหมายถึงกลยุทธ์ที่มากมายนับไม่ถ้วน
.
สำเนาลายมือโบราณของกลเหล่านี้เจอในส่านซี หน้าตาไม่มีป้ายผู้แต่ง เหมือนงานศิลป์ลึกลับที่ถูกทิ้งไว้กลางทุ่ง แผ่นกระดาษฉบับพิมพ์โผล่มาใน ค.ศ. 1941 ก่อนจะโด่งดังเมื่อกวางหมิงเดลี่เขียนถึงมันเมื่อ 16 กันยายน ค.ศ. 1961 ตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็เริ่มชอบอ่านวิธีหลอกแบบมีคลาส
.
หนังสือแบ่งเป็นหกบท บทละหกอุบาย มีทั้งกลสำหรับคนที่ยืนบนยอดเขา และกลสำหรับคนที่กำลังจะโดนดินกลบอยู่ข้างล่าง แต่ไม่ว่าคุณจะอยู่ชั้นไหน ก็มีมุกให้เลือกใช้ให้อย่างแพรวพราว
.
และต่อไปนี้... ขอเชิญพบกับ Thirty-Six Stratagems ครับ อ่านเพื่อความบันเทิงหรือเก็บใส่ลิ้นชักคำเตือนก็ได้ แต่จำไว้ว่าทุกบทที่คุณอ่าน มีทั้งรอยยิ้มกับรอยเลือดปนกันอยู่เล็กน้อย
.
.
=================================
.
#กลยุทธ์เพื่อชัยชนะ (Winning Stratagems)
.
.
1. อำพรางฟ้าข้ามทะเล (Deceive the heavens to cross the sea)
.
"ศัตรูที่อันตรายที่สุดคือศัตรูที่คุณไม่รู้ว่าเขาเป็นศัตรู"
.
อำพรางไม่ใช่การโกหกหน้าตาย แต่เป็นศิลปะการถักทอเรื่องเท็จจนมันฝังลึกเป็นส่วนหนึ่งของความจริง ผู้เชี่ยวชาญการอำพรางจะทำให้กิจวัตรประจำวันกลายเป็นม่านควันที่หนาทึบ ขบวนพ่อค้าที่ดูไร้พิษภัยอาจแฝงกองทัพที่พร้อมสังหาร รถส่งของที่วิ่งผ่านหน้าบริษัททุกเช้าอาจขนระเบิดที่รอเวลาจุดชนวน ความสามารถในการทำให้คนมืดบอดแม้ดวงตามองเห็นคือหัวใจของกลยุทธ์นี้
.
เทคนิคที่แท้จริงคือการสร้าง "ความปกติเทียม" ทำซ้ำจนคนเคยชิน ฝังรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่สำคัญแต่กำลังกัดกร่อนระบบจากภายใน ควบคุมสิ่งที่คนเห็นและไม่เห็น ปล่อยสัญญาณหลอกเพื่อให้คนมั่นใจในสิ่งที่ผิด การอำพรางระดับสูงต้องมีการวางแผนที่ซับซ้อนราวกับการเขียนบทละครที่ผู้ชมไม่รู้ว่าตนกำลังดูการแสดง
.
แต่ระวัง เมื่อม่านถูกฉีกขาด การล่มสลายจะรวดเร็วและรุนแรง คนที่เคยไว้ใจจะกลายเป็นศัตรูที่เกลียดชังที่สุด เพราะไม่มีใครชอบถูกหลอกให้ดูโง่ การสูญเสียความน่าเชื่อถือจากการถูกจับได้จะทำลายทุกอย่างที่สร้างมา แม้แต่ความสำเร็จในอดีตก็จะถูกตั้งคำถาม
.
.
2. ล้อมเว่ยช่วยจ้าว (Besiege Wèi to rescue Zhào)
.
"ผู้ฉลาดไม่โจมตีกำแพง แต่โจมตีสิ่งที่กำแพงปกป้อง"
กลยุทธ์นี้อยู่บนหลักการแยกกำลังศัตรูเพื่อเอาชนะ โดยชื่อกลยุทธ์มาจากเหตุการณ์ครั้งหนึ่งสมัยก่อนที่กองทัพรัฐเว่ยปิดล้อมเมืองหลวงของแคว้นเจ้า ทำให้เจ้าต้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี่ ซึ่งแทนที่ฉี่จะยกทัพไปช่วยเจ้าที่ถูกปิดล้อม ฉี่กลับเดินทัพไปโจมตีเมืองหลวงของเว่ยแทน กองทัพเว่ยที่กำลังปิดล้อมจึงต้องถอนทัพกลับไปป้องกันเมืองหลวงของตน แต่กองทัพที่แยกมานั้นกลับถูกกองทัพฉี่ซุ่มโจมตีและพ่ายแพ้ระหว่างทาง เป็นฝีมือของนักยุทธ์หนุ่มซุนปิน ซึ่งเชื่อว่าเป็นทายาทของซุนจื่อ การปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้แคว้นเจ้ารอดพ้น และตั้งชื่อให้กลยุทธ์นี้
.
เมื่อศัตรูแข็งแกร่งจนไม่อาจโจมตีตรงหน้า จงมองหาสิ่งที่เขาหวงแหนที่สุด อาจเป็นครอบครัว ทรัพย์สมบัติ หรือแหล่งเสบียง การฟาดฟันจุดอ่อนเหล่านี้จะบีบคั้นให้ศัตรูต้องถอยร่นจากตำแหน่งที่ได้เปรียบ ละทิ้งการรุกเพื่อมาป้องกัน
.
นักหมากที่เก่งกาจ ไม่จำเป็นต้องกินตัวหมากของคู่ต่อสู้โดยตรง แต่ขู่ตัวสำคัญจนฝ่ายตรงข้ามต้องเสียจังหวะ เมื่อศัตรูวุ่นวายกับการปกป้อง นั่นคือช่วงเวลาทองที่จะสังหารด้วยความแม่นยำ
.
กลยุทธ์นี้อาศัยหลักการทางจิตวิทยาที่ว่า มนุษย์มักให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนรักและหวงแหนมากกว่าผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ การคุกคามสิ่งเหล่านี้จะสร้างแรงกดดันทางอารมณ์ที่รุนแรง บังคับให้ศัตรูต้องตอบสนองด้วยอารมณ์แทนที่จะใช้เหตุผล
.
การเลือกเป้าหมายต้องแม่นยำ ต้องเป็นสิ่งที่ศัตรูไม่อาจเพิกเฉยได้ แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่ยากเกินไปที่จะโจมตี ความสมดุลนี้สำคัญมาก หากเลือกเป้าที่ไม่สำคัญพอ ศัตรูอาจเพิกเฉย หากเลือกเป้าที่ยากเกินไป เราอาจสูญเสียกำลังโดยเปล่าประโยชน์
.
ทำให้ศัตรูต้องเลือกระหว่างสองสิ่งที่เขารัก บีบให้เขาต้องเสียสละสิ่งหนึ่งเพื่อรักษาอีกสิ่งหนึ่ง ความขัดแย้งภายในใจนี้จะทำลายการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ และสร้างรอยร้าวในขวัญกำลังใจที่ยากจะซ่อมแซม
.
.
3. ยืมมีดฆ่าคน (Kill with a borrowed knife)
.
"ทำไมต้องเปื้อนเลือด เมื่อมีคนยินดีเปื้อนแทนเรา"
.
เหตุใดต้องเปื้อนเลือดด้วยมือตนเอง เมื่อสามารถให้ผู้อื่นลงมือแทน? ใช้พลังผู้อื่นทำลายศัตรูเมื่อกำลังตนไม่พร้อม หลอกล่อให้พันธมิตรของศัตรูหันมาต่อต้าน หรือยั่วยุให้ศัตรูสองฝ่ายบาดหมางกัน
.
กลยุทธ์นี้ต้องการความแนบเนียนในการจัดฉาก วางเบี้ยให้ถูกที่ถูกเวลา ปล่อยข่าวลวงให้ถึงหูคนที่ต้องการ สร้างสถานการณ์ที่ผลประโยชน์ขัดกัน แล้วนั่งดูไฟลามทุ่งจากที่ไกลๆ
.
การดำเนินกลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์ของทุกฝ่าย จุดอ่อนของแต่ละคน ความหวาดระแวง ความโลภ ความเกลียดชังที่ฝังลึก ข้อมูลเหล่านี้คือวัตถุดิบในการสร้างความขัดแย้ง
.
ศิลปะที่แท้จริงอยู่ที่การทำให้ทุกฝ่ายเชื่อว่าตนกำลังทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต้องสร้างสถานการณ์ที่แต่ละฝ่ายมองเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำลายอีกฝ่าย โดยไม่รู้ว่ากำลังเต้นตามจังหวะที่เราออกแบบไว้
.
แต่จำไว้ มีดที่ยืมมาอาจหันมาแทงคุณได้ คนที่รู้ตัวว่าถูกใช้จะแค้นฝังหุ่น และการควบคุมตัวแปรมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งแผนอาจพังเพราะมีดมีความคิดเป็นของตัวเอง หรือมีคนอื่นเสนอราคาที่ดีกว่า
.
.
4. นิ่งสงบรอศัตรูหมดแรง (Wait at leisure while the enemy labors)
.
"เวลาคือพิษร้ายที่ค่อยๆ กัดกร่อนจากภายใน"
.
เวลาและพลังงานคือทรัพยากรที่มีค่า จงเลือกสนามรบที่เอื้อประโยชน์ต่อตน บังคับให้ศัตรูเดินทัพมาไกล ฝ่าภูมิประเทศที่ยากลำบาก ขณะที่เราพักผ่อนรอคอยด้วยกำลังพลที่สมบูรณ์
.
ปล่อยให้ศัตรูสูญเสียพลังในภารกิจที่ไร้ความหมาย ล่อให้ไล่ตามเงาลวง วิ่งวนในเขาวงกต เมื่อเขาหมดแรงและขวัญเสีย จึงโจมตีด้วยพลังเต็มเปี่ยม ชัยชนะจะมาถึงโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อมากนัก
.
กลยุทธ์นี้อาศัยความเข้าใจในเรื่องของทรัพยากรและความอดทน การรบไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสนามรบ แต่เริ่มตั้งแต่การเตรียมการ การเคลื่อนพล การจัดหาเสบียง ทุกขั้นตอนเหล่านี้กัดกร่อนพลังของศัตรู
.
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้กลยุทธ์นี้ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เลือกตำแหน่งที่มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ มีแหล่งน้ำและเสบียงเพียงพอ มีที่มั่นที่แข็งแรง ในขณะเดียวกันต้องทำให้เส้นทางของศัตรูยากลำบากที่สุด
.
ความอดทนคือกุญแจสำคัญ ต้องต้านทานแรงกดดันที่จะออกไปสู้ก่อนเวลาอันควร รอจนกว่าศัตรูจะอ่อนล้าอย่างแท้จริง สัญญาณที่ต้องสังเกตคือการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าลง ความผิดพลาดที่เพิ่มขึ้น และขวัญกำลังใจที่ตกต่ำ
.
.
5. ปล้นสะดมบ้านไฟไหม้ (Loot a burning house)
.
"ในความวุ่นวาย ผู้ไร้ยางอายจะเก็บเกี่ยว"
.
เมื่อศัตรูประสบความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นการแตกแยกภายใน ภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือวิกฤตเศรษฐกิจ นั่นคือโอกาสทองที่จะถลุงเข้าโจมตี อย่าให้ความเมตตามาบดบังวิจารณญาณ
.
ความอ่อนแอชั่วคราวของศัตรูคือของขวัญจากสวรรค์ จงฉกฉวยโอกาสนี้อย่างไร้ความปรานี กวาดล้างให้สิ้นซากเพื่อป้องกันการฟื้นคืนในอนาคต เพราะศัตรูที่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ตาย มักกลับมาแก้แค้นอย่างเหี้ยมโหด
.
กลยุทธ์นี้ต้องการความไวในการสังเกตและความเร็วในการตัดสินใจ โอกาสมักเปิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ผู้ที่ลังเลหรือรอนานเกินไปจะพลาดจังหวะทอง ต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อฉกฉวยโอกาสทันทีที่มันปรากฏ
.
การประเมินสถานการณ์ต้องแม่นยำ ต้องแยกแยะระหว่างความอ่อนแอที่แท้จริงกับการแสร้งอ่อนแอ ศัตรูที่ฉลาดอาจแกล้งแสดงจุดอ่อนเพื่อล่อให้เข้าโจมตี การตกหลุมพรางเช่นนี้อาจนำไปสู่ความพินาศ
.
ความโหดร้ายที่แท้จริงคือการไม่เพียงแค่ฉวยโอกาสจากความทุกข์ของผู้อื่น แต่การสร้างความทุกข์นั้นขึ้นมาเอง จุดไฟแล้วมาดับในฐานะผู้ช่วยเหลือ สร้างปัญหาแล้วมาเสนอทางแก้ ทำให้ผู้คนต้องพึ่งพาเราในยามวิกฤติที่เราเป็นผู้สร้าง
.
.
6. ส่งเสียงตะวันออก ฟาดฟันตะวันตก (Make a sound in the east, then strike in the west)
.
“ความประหลาดใจคือองค์ประกอบสำคัญแห่งชัยชนะ”
.
สร้างการเคลื่อนไหวหลอกที่ตะวันออก ดึงดูดความสนใจและกำลังป้องกันของศัตรูไปทางนั้น ขณะที่แผนการที่แท้จริงคือการบุกทะลวงทางตะวันตก
.
ศิลปะแห่งการหลอกล่อต้องการการแสดงที่น่าเชื่อถือ ใช้ทั้งเสียง ควัน และการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างภาพลวงตา เมื่อศัตรูมุ่งสายตาไปยังมือซ้าย มือขวาของเราจะแทงเข้าหัวใจอย่างแม่นยำ
.
การสร้างการเบี่ยงเบนความสนใจที่มีประสิทธิภาพต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างประกอบกัน ต้องมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจ แต่ไม่มากเกินไปจนดูน่าสงสัย ต้องมีความเข้มข้นพอที่จะบังคับให้ศัตรูตอบสนอง แต่ไม่มากจนเราสูญเสียทรัพยากรมากเกินไป
.
จังหวะเวลาคือหัวใจสำคัญ การเบี่ยงเบนต้องเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ไม่เร็วเกินไปจนศัตรูมีเวลาปรับตัว ไม่ช้าเกินไปจนเสียองค์ประกอบแห่งความประหลาดใจ ต้องประสานจังหวะระหว่างการหลอกและการโจมตีจริงอย่างแม่นยำ
.
สิ่งที่ต้องระวังคือถ้าใช้บ่อยเกินไป ศัตรูจะเริ่มจับทาง และการหลอกจะไม่ได้ผล นอกจากนี้การแสดงที่ใหญ่โตต้องใช้ทรัพยากรมาก หากคำนวณผิดอาจสูญเสียทั้งกำลังหลอกและกำลังจริงไปพร้อมกัน
.
.
#กลยุทธ์รับมือศัตรู (Enemy Dealing Stratagems)
.
.
7. สร้างของจากความว่างเปล่า (Create something from nothing)
.
"ความจริงคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง"
.
การสร้างสิ่งที่ไม่มีให้กลายเป็นจริงไม่ใช่แค่การปล่อยข่าวลืออย่างไร้จุดหมาย แต่มันคือศิลปะการปั้นจิตใจของสังคมให้เชื่อในกรอบเรื่องเล่าที่เราออกแบบไว้ตั้งแต่ต้น เรื่องเล่าที่ทำงานได้ดีมีองค์ประกอบสามอย่าง: ความเรียบง่ายพอให้คนจำได้, การซ้ำทำให้เชื่อง, และเครือข่ายคนที่ช่วยกระจาย — เมื่อสามสิ่งนี้มาบรรจบกัน ความเท็จจะสถาปนาตัวเป็นความจริงทางสังคม
.
ฟังดูเหมือนเล่ห์กลของนักโฆษณา แต่ในสนามรบและเวทีอำนาจ มันทำหน้าที่เป็นอาวุธ การปล่อย "ข่าว" ที่แม่นยำพอจะผลิตผลทางจิตใจ เช่น การทำให้ผู้คนเชื่อว่ากองทัพใดใหญ่กว่าที่เป็นจริง หรือว่าเมืองใดกำลังเกิดโรคระบาดที่ไม่มีกำลังรักษา ความกลัวและความคาดเดาไม่ได้ทำให้ผู้คนตัดสินใจผิดพลาด ความน่าเชื่อถือของข่าวเท็จจะขึ้นกับการควบคุมช่องทางการสื่อสาร: สื่อที่ยิ้มรับข่าวจะเป็นเครื่องขยายเสียงให้เรื่องเล่าของคุณ ดังนั้นผู้สร้างเรื่องต้องรู้จักเลือกพันธมิตรด้านการสื่อสารก่อนเลือกเป้าหมาย
.
กลไกทางจิตวิทยาที่เอื้อให้กลยุทธ์นี้ทำงานได้คือ "Bias toward narrative" สมองของเราชอบเรื่องราวที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ให้เป็นความหมายเดียว ข่าวลือที่ซับซ้อนจะสลายตัว แต่ข่าวลือที่ทำให้เหตุการณ์เชื่อมโยงกันเป็นเรื่องเดียวจะถูกยอมรับ และเมื่อผู้คนเริ่มปฏิบัติตามเรื่องเล่านั้น มันก็กลายเป็นความจริงของโลกปฏิบัติการ พอมีคนเปลี่ยนนิสัยหรือย้ายกำลังตามความเชื่อนั้น ผลลัพธ์ก็ถูกยืนยันด้วยการปฏิบัติ
.
แต่ความเสี่ยงมหาศาล: เมื่อการสร้างความจริงจากความว่างเปล่าถูกเปิดโปง ความเชื่อใจทั้งหมดก็ระเบิด และการฟื้นฟูความน่าเชื่อถือเป็นงานยากลำบาก นอกจากนี้ การเล่นกับความกลัวของผู้คนเป็นการขุดหลุมศีลธรรมที่ลึก — ผู้ใช้วิธีนี้ต้องพร้อมรับภาระกรรมทางจริยธรรม และยอมรับว่าในระยะยาว การใช้ความเท็จอาจผลักดันให้สังคมทั้งระบบเสื่อมโทรม
.
ป้องกันตัว: อ่านบริบท เป็นนักตั้งคำถาม และตรวจสอบแหล่งที่มาเสมอ อย่าให้ความสะดวกเชิงอารมณ์ครอบงำตรรกะ ถ้าคุณต้องป้องกันองค์กรจากกลยุทธ์นี้ ให้สร้างช่องทางสื่อสารที่โปร่งใสและทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เข้มแข็ง จะช่วยลดอำนาจของผู้ที่ถนัดการสร้างเรื่อง
.
.
8. ซ่อมทางเดินเขาอย่างเปิดเผย แอบลอดช่องเฉินชาง (Openly repair the gallery roads, but sneak through the passage of Chencang)
.
"การแสดงที่ดีที่สุดคือการแสดงที่ผู้ชมไม่รู้ว่ากำลังดูการแสดง"
.
แสดงการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนและใช้เวลานาน ให้ศัตรูมั่นใจว่ารู้แผนของเรา ขณะเดียวกันกลับซุ่มเตรียมการโจมตีลับผ่านเส้นทางที่ไม่มีใครคาดคิด ใช้การแสดงที่เปิดเผยเป็นม่านบังตา
.
ทำให้ศัตรูรู้สึกฉลาดที่ "จับได้" ว่าเรากำลังทำอะไร ความมั่นใจเกินตัวคือยาพิษที่ร้ายแรง เมื่อพวกเขาคิดว่ารู้ทุกอย่าง พวกเขาจะละเลยสัญญาณเตือนภัยที่แท้จริง และเมื่อกองทัพลับโผล่มาในที่ที่ไม่คาดคิด ความตื่นตระหนกจะทำให้การป้องกันพังทลาย
.
กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากความโน้มเอียงทางปัญญาของมนุษย์ที่เรียกว่า "confirmation bias" เมื่อเราเชื่อว่ารู้แผนของศัตรู เราจะมองหาหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนั้น และมองข้ามหรือตีความหลักฐานที่ขัดแย้งให้สอดคล้องกับความเชื่อเดิม
.
การดำเนินการที่เปิดเผยต้องใหญ่โตพอที่จะดึงดูดความสนใจ แต่ไม่ใหญ่โตจนเสียทรัพยากรมากเกินไป ต้องดูสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับสิ่งที่ศัตรูคาดหวังจากเรา ในขณะเดียวกัน การดำเนินการลับต้องเงียบและรวดเร็ว ใช้ทรัพยากรน้อยแต่มีประสิทธิภาพสูง
.
.
9. นั่งดูไฟไหม้ฝั่งตรงข้าม (Watch the fires burning across the river)
.
ทำไมต้องเสียเหงื่อเมื่อศัตรูกำลังฆ่ากันเอง นั่งดูอย่างสบายใจ จิบชา และนับศพ เมื่อทั้งสองฝ่ายอ่อนล้าจากการต่อสู้ ค่อยเดินเข้าไปเก็บผลประโยชน์ การนิ่งเฉยในเวลาที่ถูกต้องคือการกระทำที่ฉลาดที่สุด
.
แต่อย่านั่งเฉยๆ ต้องคอยเติมเชื้อให้ไฟลุกแรงขึ้น ปล่อยข่าวลือให้ทั้งสองฝ่ายไม่ไว้ใจกัน ส่งอาวุธให้ฝ่ายที่กำลังแพ้เพื่อยืดเวลาสงคราม หรือแอบทำข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายเพื่อดูดผลประโยชน์ระหว่างทาง ศิลปะคือการทำให้พวกเขาคิดว่าคุณเป็นกลาง หรือดีกว่านั้น เป็นผู้ไกล่เกลี่ยที่หวังดี
.
จุดอ่อน: ถ้าทั้งสองฝ่ายรู้ตัวและหันมาร่วมมือกัน คุณจะกลายเป็นศัตรูร่วมทันที และการนั่งดูนานเกินไปอาจทำให้ฝ่ายที่ชนะแข็งแกร่งจนคุณรับมือไม่ไหว จังหวะเวลาคือกุญแจสำคัญ
.
.
10. ซ่อนมีดในรอยยิ้ม (Hide a knife behind a smile)
.
"รอยยิ้มที่หวานที่สุด มักซ่อนเขี้ยวที่คมที่สุด"
.
ความไว้ใจคือช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ยิ้มหวาน พูดจาไพเราะ แสดงความห่วงใย ค่อยๆ สร้างความผูกพันจนเหยื่อเปิดใจ เล่าความลับ แบ่งปันจุดอ่อน เมื่อได้ข้อมูลครบแล้ว ใช้มันทำลายพวกเขาจากภายใน
.
เทคนิคต้องแนบเนียนราวกับงูเลื้อย ต้องแสดงความจริงใจจนเหยื่อเชื่อสนิท ช่วยเหลือในยามลำบาก ให้คำปรึกษาที่ดูดี (แต่แฝงพิษ) ค่อยๆ ทำให้เขาพึ่งพาคุณจนขาดไม่ได้ แล้วเมื่อถึงเวลา ใช้ทุกอย่างที่รู้มาทำลายเขาในคราวเดียว
.
ข้อเสีย: เมื่อทรยศคนที่ไว้ใจ คุณจะไม่มีวันได้รับความไว้ใจจากใครอีก ชื่อเสียงของคนทรยศจะติดตามไปทุกที่ และในโลกที่ข้อมูลแพร่เร็ว การกระทำของคุณอาจถูกเปิดโปงได้ง่าย
.
.
11. บ๊วยตายแทนท้อ (Sacrifice the plum tree to preserve the peach tree)
.
"ในหมากรุก เบี้ยต้องตายเพื่อให้ราชาอยู่"
.
บางครั้งต้องยอมเสียของเล็กเพื่อรักษาของสำคัญ ตัดแขนเพื่อรักษาชีวิต เผาหมู่บ้านเพื่อป้องกันเมือง หรือในโลกธุรกิจ ปิดสาขาเล็กเพื่อรักษาสำนักงานใหญ่ การตัดสินใจต้องเย็นชาและรวดเร็ว ไม่มีที่ให้ความรู้สึก
.
แต่ความโหดร้ายที่แท้อยู่ที่การส่งคนอื่นไปตายแทนโดยไม่บอกความจริง ใช้ลูกน้องเป็นแพะรับบาป ปล่อยให้พันธมิตรถูกทำลายเพื่อประวิงเวลา หรือเสนอ "ข้อตกลง" ที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะเสียเปรียบ ศิลปะคือการทำให้ดูเหมือนเป็นความจำเป็น ไม่ใช่การทรยศ
.
ความเสี่ยง: คนที่ถูกเสียสละจะจดจำ และญาติพี่น้องของเขาอาจแสวงหาการแก้แค้น นอกจากนี้ ถ้าใช้วิธีนี้บ่อยเกินไป จะไม่มีใครอยากทำงานให้ เพราะรู้ว่าอาจถูกสละเมื่อไหร่ก็ได้
.
.
12. ฉวยแพะระหว่างทาง (Take the opportunity to pilfer a goat)
.
โลกเต็มไปด้วยโอกาสเล็กๆ ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ขณะที่ทุกคนมุ่งมั่นกับเป้าหมายใหญ่ จงเก็บผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง ข้อมูลที่หลุดจากปากคู่เจรจา สินทรัพย์ที่ไม่มีใครดูแล ความลับที่ถูกทิ้งไว้โดยประมาท ทุกอย่างคือทรัพย์สินที่รอคนมาเก็บ
.
ความสำเร็จอยู่ที่ความรวดเร็วและความเงียบเชียบ ฉวยแล้วหนี ไม่ทิ้งร่องรอย ไม่ให้ใครรู้ว่าอะไรหายไป เหมือนนักล้วงกระเป๋ามืออาชีพที่เหยื่อไม่รู้ตัวจนกว่าจะกลับถึงบ้าน สะสมของเล็กๆ ไว้ วันหนึ่งมันจะกลายเป็นขุมทรัพย์
.
แต่ระวัง: การฉวยบ่อยเกินไปจะทิ้งรูปแบบ ศัตรูจะเริ่มระวังและวางกับดัก และของที่ดูเหมือนฟรีอาจเป็นเหยื่อล่อที่ตั้งใจวางไว้ นอกจากนี้ การเป็น "ขโมยจิ๊บจ๊อย" อาจทำให้คุณพลาดโอกาสใหญ่เพราะมัวแต่เก็บเศษเล็กเศษน้อย
.
.
#กลยุทธ์เชิงรุก (Offensive Stratagems)
.
.
13. ตีหญ้าให้งูตื่น (Stomp the grass to scare the snake)
.
การยั่วยุที่ชาญฉลาดไม่ใช่การกระทำที่โง่เง่าหรือไร้เหตุผล มันคือการออกแบบการกระทำที่มีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อให้ฝ่ายที่ซ่อนตัวต้องเผยตัว ให้ผู้ที่ซ่อนกำลัง หรือนโยบายที่แท้จริง ตอบสนองออกมาเอง การตีหญ้าให้งูตื่นคือการทำให้คู่ต่อสู้แสดงเจตนา จนเราได้เห็นไพ่ที่แท้จริงโดยไม่ต้องเสี่ยงเสียของมากมาย
.
พิจารณาความเป็นจริงทางจิตวิทยา: มนุษย์มักตอบสนองต่อการคุกคามหรือการยั่วยุโดยการป้องกันหรือการโต้กลับ การยั่วยุจึงเป็นการบีบให้คู่ต่อสู้แสดงตัวตนที่แท้จริง
.
เขาเป็นผู้กล้าหรือเป็นคนขลาด เขาพึ่งพาพันธมิตรหรือยืนเดี่ยว เขามีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนหรือเพียงแค่กลยุทธ์เล็ก ๆ ที่ดูเหมือนใหญ่โต เมื่อเขาตอบสนอง เราจะได้ข้อมูลที่เป็นของจริง ใช้มันวางกับดัก เตรียมทรัพยากร หรือเปลี่ยนแผนเพื่อใช้ประโยชน์จากความเปราะบางที่ถูกเปิดเผย
.
การตีหญ้าต้องคำนวณความแรงและจังหวะให้แม่นยำ แรงมากเกินไปอาจเปิดเผยตำแหน่งของเราเองหรือจุดอ่อนที่ไม่ควรเปิดเผย แรงน้อยเกินไปอาจไม่เรียกให้งูโผล่หน้า
.
กลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมจึงเป็นการส่งสัญญาณยั่วยุในระดับที่เหมาะสม พร้อมกับกับดักหรือเงื่อนไขที่ทำให้การตอบสนองของศัตรูนำไปสู่ความพ่ายแพ้ การยั่วยุแบบมืออาชีพมักไม่ต้องใช้กำลัง มันคือการใช้จิตวิทยาให้เป็นอาวุธ
.
แต่มีความเสี่ยงเชิงศีลธรรมและยุทธศาสตร์: การยั่วยุอาจทำให้ความขัดแย้งบานปลายเกินคาด หรือสร้างเหตุให้กลายเป็นการสู้รบบานปลายที่ไม่จำเป็น บางครั้งการตีกระตุ้นอาจปลุกอารมณ์ความแค้นหรือความโกรธ ซึ่งนำไปสู่การตอบโต้รุนแรงกว่าที่เราคาดคิด ก่อนใช้เทคนิคนี้ต้องคำนวณงบประมาณความเสี่ยงและเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า
.
การป้องกันต่อการตีหญ้า คือการไม่แสดงอาการตอบสนองต่อการยั่วยุที่เจาะจง ฝึกวินัยและการอ่านสัญญาณ ถ้าคุณแน่ใจว่ามีการยั่วยุ ให้ถามตัวเองว่าใครได้ประโยชน์จากการที่คุณตอบสนอง และคุณจะเปิดเผยอะไรเมื่อคุณตอบกลับ การรักษาความสงบนิ่งบางครั้งเป็นการตอบโต้ที่ฉลาดที่สุด
.
.
14. ยืมศพคืนวิญญาณ (Borrow a corpse to resurrect the soul)
.
"อดีตที่ตายแล้ว เมื่อปลุกขึ้นมาใหม่จะทรงพลังกว่าเดิม"
.
การยืมศพคืนวิญญาณเป็นกลยุทธ์ที่แปลกและน่าขนลุก มันหมายถึงการนำสิ่งที่ถูกทอดทิ้ง ล้มเหลว หรือถูกลืม กลับมาปรับใช้เพื่อผลประโยชน์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเก่า, อุดมการณ์ที่ตายแล้ว, หรือสัญลักษณ์ที่คนเคยเชื่อถือ เมื่อนำกลับมาในบริบทที่เปลี่ยนไป สิ่งนั้นสามารถกลายเป็นเครื่องมือหลอกล่อหรือแรงกระตุ้นที่ทรงพลังได้อีกครั้ง
.
ตัวอย่างเชิงประวัติศาสตร์มีอยู่มาก ผู้นำบางคนใช้ธงของยุคเก่าเพื่อรวบรวมคนที่รู้สึกถูกทิ้ง คนที่คิดว่าอดีตเคยดีกว่าปัจจุบันจะตอบสนองอย่างแรง การนำตำนานหรือสัญลักษณ์เก่ากลับมาส่งผลต่อความเชื่อและความปรารถนาของผู้คน ดังนั้นการยืมศพคืนวิญญาณไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใช้ศพจริงๆ แต่เป็นการนำภาพจำและอารมณ์ที่ละลายอยู่ในสังคมกลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์
.
ความชำนาญในการใช้กลยุทธ์นี้อยู่ที่การทำให้สิ่งที่ถูกยืมมาดู "จริง" ไม่ใช่เพียงการแต่งเรื่อง ต้องคืนชีวิตด้วยการสร้างโครงเรื่องและสิ่งแวดล้อมที่ให้เหตุผลแก่การเกิดขึ้นใหม่ของมัน ต้องให้ผู้คนเห็นว่าการคืนชีวิตนั้นจำเป็นและมีประโยชน์ อีกทั้งต้องควบคุมสิ่งที่กลับมาไม่ให้กลายเป็นภัยต่อผู้ใช้เอง เช่น ไอเดียที่รื้อฟื้นอาจกลายเป็นคลื่นที่ควบคุมไม่ได้ หากสั่นคลอนและนำไปสู่การต่อต้านหรือการลุกฮือ
.
จริยธรรมของการยืมศพคืนวิญญาณมีหลายชั้น การใช้ความทรงจำและความเจ็บปวดของผู้คนเพื่อผลประโยชน์ตัวเองเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสวงหาผลประโยชน์ที่ขาดความเมตตา ผู้ที่เลือกใช้ต้องเตรียมรับการต้านทานของผู้ที่เห็นว่าอดีตถูกบิดเบือนหรือถูกขโมยไปจากความทรงจำของพวกเขา
.
.
15. หลอกเสือลงภูเขา (Lure the tiger down the mountain)
.
"เสือที่อยู่ในถิ่นคือราชา เสือที่ออกจากถิ่นคือเหยื่อ"
.
เสือที่อยู่บนภูเขามีข้อได้เปรียบจากที่มั่น แต่เสือที่ถูกล่อให้ลงมาสู่พื้นราบจะสูญเสียองค์ประกอบนั้นไป การหลอกเสือลงภูเขาคือการสร้างเหยื่อล่อที่ศัตรูไม่อาจปฏิเสธ สินทรัพย์ที่น่าสนใจ โอกาสในการแก้แค้น เกียรติยศ ล่อให้เขาออกจากฐานที่มั่น แล้วจัดการเมื่อเขาอยู่ในสภาพที่เราควบคุมได้
.
ยุทธศาสตร์นี้ต้องการความเข้าใจในลักษณะนิสัยของศัตรู รู้ว่าเขาจะตอบสนองต่อการล่ออย่างไร รู้จัก "สติ๊กเกอร์" ที่ดึงให้เขาตัดสินใจ เหยื่อล่อที่ดีมีคุณสมบัติชวนให้คล้อยตาม และการป้องกันศัตรูไม่ได้ขึ้นกับพลังทางกายเท่านั้น แต่รวมถึงความเข้าใจในจิตวิชาและแรงจูงใจของผู้นำ การสำเร็จของการหลอกเสือขึ้นกับการเตรียมกับดักที่แยบคาย เมื่อตัวเหยื่อล่อถูกเขาเก็บ การล้อมจับต้องเกิดขึ้นทันที มิฉะนั้นการหลอกจะกลับกลายเป็นการสูญเสียโอกาส
.
อย่างไรก็ตาม การทำลายที่มั่นของศัตรูหรือการเผาป่าต้นทางให้ไร้ที่อยู่เป็นทางเลือกที่โหดร้าย ซึ่งอาจนำไปสู่ความซ้ำเติมและการก่อให้เกิดวงจรความรุนแรง ในหลายกรณี การทำลายทรัพยากรของผู้อื่นเพื่อบังคับให้เขาออกมานอกตำแหน่งคือการละเมิดและปลุกเขาให้เป็นผู้เกลียดชังไปตลอดกาล ความสำเร็จในเชิงยุทธศาสตร์จึงต้องชั่งน้ำหนักกับผลสืบเนื่องทางสังคม
.
.
16. ปล่อยเพื่อจับกุม (In order to capture, one must let loose)
.
"สายบัวที่หย่อนดูอ่อนแอ แต่ยิ่งดิ้นยิ่งพันแน่น"
.
สัตว์ที่ถูกต้อนจนมุมจะสู้อย่างดุเดือด ให้ศัตรูคิดว่ายังมีทางหนี ความหวังจะทำให้เขาอ่อนแอ ไม่สู้จนตัวตาย
.
เปิดช่องให้หนี แต่เป็นช่องที่นำไปสู่กับดักที่ลึกกว่า ปล่อยให้เขาคิดว่ารอด สร้างความมั่นใจเท็จ แล้วรัดบ่วงให้แน่นขึ้นทีละน้อย เหมือนงูที่ค่อยๆ รัดเหยื่อจนขาดใจ
.
กลยุทธ์นี้เป็นเกมจิตวิทยาที่ซับซ้อน การควบคุมไม่ได้มาจากการกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่มาจากการสลับระหว่างการกดดันและการผ่อนคลาย สร้างจังหวะที่ทำให้ศัตรูสับสนและไม่สามารถปรับตัวได้
.
การ "ปล่อย" ต้องดูสมจริง ศัตรูต้องเชื่อว่าเป็นโอกาสจริง ไม่ใช่กับดัก อาจต้องยอมให้เขาชนะเล็กๆ น้อยๆ ให้เขารู้สึกว่ากำลังฟื้นตัว กำลังหาทางรอดได้ ความหวังเล็กๆ นี้จะทำให้เขาไม่สิ้นหวังจนต้องสู้อย่างบ้าคลั่ง
.
แต่ทุกการ "ปล่อย" ต้องมีการควบคุม เหมือนการตกปลาที่ปล่อยสายให้ปลาว่ายไปไกล แต่ไม่ปล่อยให้หลุดมือ ต้องรู้ว่าปล่อยแค่ไหน เมื่อไหร่ต้องดึงกลับ เมื่อไหร่ต้องปล่อยอีก จนกว่าปลาจะหมดแรงและยอมจำนน
.
.
17. โยนอิฐหวังหยก (Tossing out a brick to lure a jade gem)
.
"คนโลภมักคิดว่าตนฉลาด แต่ความโลภทำให้ตาบอด"
.
ให้ของเล็กน้อยเพื่อล่อของมีค่า แสดงความอ่อนแอเพื่อล่อให้ศัตรูเปิดเผยความแข็งแกร่ง ยอมเสียหน้าเพื่อให้ได้ชัยชนะ
.
เสนอข้อมูลปลอมที่ดูมีค่า เพื่อแลกกับความลับที่แท้จริง ส่งทหารอ่อนแอไปล่อให้ศัตรูโจมตี เพื่อดูกำลังและยุทธวิธีที่แท้จริง ยอมเสียเมืองเล็กเพื่อล่อให้ศัตรูแบ่งกำลังมายึด
.
การเลือก "อิฐ" ที่จะโยนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ต้องมีค่าพอที่จะดึงดูดความสนใจ แต่ไม่มากจนเจ็บตัวเมื่อเสียไป ต้องดูเป็นของจริง มีคุณค่าจริง แต่คุณค่าที่แท้จริงต้องน้อยกว่าสิ่งที่เราจะได้รับกลับมา
.
ศิลปะของการล่อต้องทำให้ศัตรูรู้สึกว่าเขาได้เปรียบ ว่าเขากำลังแลกของดีกับของที่ดีกว่า ความรู้สึกที่ได้เปรียบนี้จะทำให้เขาลดการระวังตัว เปิดเผยมากกว่าที่ควร หรือเสี่ยงมากกว่าที่ควร
.
แต่อิฐที่แท้จริงอาจเป็นระเบิดซุกซ่อน ของขวัญอาจเป็นยาพิษห่อทอง ทหารที่ส่งไปตายอาจติดเชื้อโรคระบาด เมืองที่ยอมเสียอาจถูกวางกับระเบิดไว้ใต้ดิน การให้ที่แท้จริงคือการทำลายจากภายใน
.
การใช้กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความอดทนและการควบคุมความโลภของตัวเอง ต้องยอมเสียผลประโยชน์ระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวที่ยิ่งใหญ่กว่า ต้องเห็นภาพใหญ่และไม่หวั่นไหวเมื่อต้องปล่อยอิฐไป
.
ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้วัดจากอัตราส่วนระหว่างสิ่งที่เสียไปกับสิ่งที่ได้มา หากได้หยกล้ำค่ามาแลกกับอิฐธรรมดา นั่นคือชัยชนะ แต่หากต้องโยนหยกเพื่อหวังเพชร และได้แค่แก้ว นั่นคือความล้มเหลว
.
.
18. จับหัวโจรดับกองโจร (Defeat the enemy by capturing their chief)
.
"ตัดหัวงู ร่างที่เหลือจะดิ้นได้แค่ครู่เดียว"
.
การทำลายผู้นำหรือการจับตัวหัวหน้าศัตรูเป็นวิธีสั้นที่สุดที่จะทำให้ระบบของเขาล้มลง หัวคือจิตวิญญาณของกองทัพและองค์กร เมื่อตัดหัว องค์กรมักแตกสลายเพราะไม่มีศูนย์รวมการตัดสินใจ การจับหัวโจรอาจมาจากการลอบสังหาร การจับเป็นตัวประกัน หรือการเปิดโปงความลับของผู้นำจนสูญเสียความชอบธรรม
.
การสำเร็จของกลยุทธ์นี้ต้องการความแม่นยำและการเตรียมการ ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับนิสัย ความสัมพันธ์ และระบบการตัดสินใจของผู้นำเป็นต้นทุนเบื้องต้น ยิ่งผู้นำมีอำนาจส่วนบุคคลมากเท่าไร การตัดหัวจะยิ่งมีผลกระทบมากขึ้น ในบางกรณีการจับหัวแล้วเก็บไว้ยังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองหรือบีบบังคับได้มากกว่าการทำให้เขาตาย
.
อย่างไรก็ตาม การไล่ล่าผู้นำอาจทำให้เกิดสุญญากาศของอำนาจ ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่ความโกลาหลและการกระจายตัวของความรุนแรงในรูปแบบใหม่ การคิดแค่การตัดหัวโดยไม่วางแผนต่อไปว่าจะจัดการสุญญากาศอย่างไร คือความผิดพลาด ผู้ที่เป็นนักยุทธศาสตร์ที่แท้จริงจะต้องมีแผนการเสริมเพื่อเติมช่องว่างของอำนาจหรือใช้โอกาสนั้นสร้างระเบียบใหม่ในแบบที่เอื้อต่อความมั่นคงของตน
.
.
#กลยุทธ์ผสมผสาน (Mixed Warfare Stratagems)
.
.
19. ชักฟืนใต้หม้อ (Remove the firewood from under the pot)
.
"ทำลายรากแล้วต้นไม้จะตายเอง ไม่ต้องเสียเวลาตัดกิ่ง"
.
ทำลายแหล่งพลังของศัตรูแทนการเผชิญหน้าโดยตรง ตัดเส้นทางเสบียง ทำลายคลังอาวุธ ซื้อใจผู้สนับสนุน โจมตีรากฐานแทนการสู้กับผลลัพธ์
.
น้ำเดือดเพราะไฟ ดับไฟแล้วน้ำจะเย็น กองทัพแข็งแกร่งเพราะเสบียง ตัดเสบียงแล้วทหารจะอ่อนแอ อำนาจยิ่งใหญ่เพราะความจงรักภักดี ทำลายความภักดีแล้วอำนาจจะพังทลาย
.
การระบุ "ฟืน" ที่แท้จริงต้องใช้การวิเคราะห์เชิงระบบ ต้องเข้าใจว่าอะไรคือแหล่งพลังที่แท้จริงของศัตรู อาจไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ชัด แหล่งเงินทุนอาจสำคัญกว่าอาวุธ ขวัญกำลังใจอาจสำคัญกว่าจำนวนทหาร ความชอบธรรมอาจสำคัญกว่าอำนาจ
.
การ "ชักฟืน" ต้องทำอย่างเงียบเชียบและต่อเนื่อง ไม่ควรให้ศัตรูรู้ตัวจนกว่าจะสายเกินไป เหมือนปลวกที่กัดกินรากฐานของบ้าน ค่อยๆ ทำลายจากภายในจนกว่าโครงสร้างจะพร้อมที่จะพังทลาย
.
บางครั้งฟืนที่ต้องชักอาจเป็นสิ่งที่ดูไม่สำคัญ ความเชื่อมั่นของประชาชน ความสามัคคีของกลุ่ม ประเพณีที่ยึดโยงสังคม การทำลายสิ่งเหล่านี้อาจใช้เวลานาน แต่ผลที่ได้จะถาวรกว่าการชนะในสนามรบ
.
วิธีที่เลวร้ายที่สุดคือการแทนที่ฟืนดีด้วยฟืนเปียก ไม่เพียงแค่ตัดแหล่งพลัง แต่แทนที่ด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะช่วย แต่จริงๆ แล้วทำลาย ให้คำแนะนำที่ผิด ให้ทรัพยากรที่เสื่อมคุณภาพ ให้พันธมิตรที่จะทรยศ
.
.
20. จับปลาน้ำขุ่น (Disturb the water and catch a fish)
.
"ในน้ำใส ปลาเห็นตาข่าย ในน้ำขุ่น ปลาว่ายชนอวนเอง"
.
เมื่อน้ำใส เราจะมองเห็นเครื่องมือและอันตรายทุกอย่างได้ชัด ในโลกการต่อสู้ที่มีผู้ตรวจสอบอยู่หนาแน่น ความโปร่งใสเป็นภัยต่อแผนการลับ คล้ำปลาน้ำขุ่นคือการตั้งเงื่อนไขที่ทำให้การมองเห็นและการตัดสินใจของฝ่ายตรงข้ามพร่าเลือน ข้อความเท็จ ข่าวปลอม การจลาจลเล็ก ๆ การเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเงินทั้งหมดทำให้ตลาดและคนสับสน เมื่อน้ำขุ่น ปลาที่คิดเร็วหรือโลภจะตรงเข้าไปในกับดักเอง
.
กลยุทธ์นี้สามารถเป็นได้ทั้งงานสกปรกและงานเก็บเกี่ยว ในเชิงเศรษฐกิจ คือการทำความวุ่นวายในตลาดแล้วซื้อสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง ในเชิงการเมือง คือการกระพือความขัดแย้งจนฝ่ายต่าง ๆ เกิดการทำร้ายกันเอง เราไม่เพียงแค่รอให้ความสับสนเกิดขึ้น แต่ยังตั้งค่าและชี้ทิศให้ความสับสนเบนไปทางที่เราได้ประโยชน์
.
อย่างไรก็ดี น้ำที่ขุ่นมากเกินไปย่อมทำให้ผู้ใช้เองก็สูญเสียการมองเห็นเช่นกัน การควบคุมจึงต้องละเอียดอ่อน: ก่อความสับสนพอให้ผู้อื่นเสียสมดุล แต่ยังคงรักษาช่องสังเกตของเราให้ชัด การคล้ำปลาน้ำขุ่นเป็นศิลปะของการทำให้คนอื่นทำผิดพลาด ขณะที่เราเก็บเกี่ยวผลในความมืด
.
.
21. จักจั่นทองลอกคราบ (Slough off the cicada's golden shell)
.
"คนฉลาดทิ้งเงา แต่เก็บตัวจริงไว้"
.
การสร้าง "เปลือก" เป็นการวางกับดักเชิงภาพ หุ่น ไฟสัญญาณ ข่าวปลอม หรือการตั้งสถานที่ให้ปรากฏว่าเป็นฐานทัพ ทั้งหมดนี้ทำให้ศัตรูเสียเวลาตรวจสอบสิ่งที่ไร้ความหมาย ในระหว่างนั้น ตัวจริงของคุณเคลื่อนย้ายหรือหลบหนีไปในความมืด คนที่เล่นกลนี้เป็นนักออกแบบภาพลวงตา เขาทิ้งสิ่งที่ไม่สำคัญไว้ให้ศัตรูจับ ในขณะเดียวกันขนของจริงออกไปอย่างเรียบง่าย
.
ความชาญฉลาดอยู่ที่การทำให้เปลือกเป็นเรื่องที่น่าเชื่อ ต้องมีรายละเอียดและ "การเสียสละ" เล็กน้อยที่ทำให้การแสดงดูจริง เช่น เสียง การเผาเล็ก ๆ หรือหุ่นที่ถูกทิ้งไว้ เมื่อศัตรูกระโจนเข้าหาเปลือก เขาจะถูกโน้มน้าวด้วยสิ่งที่จับต้องได้ และทิ้งการสืบตามตัวจริงของคุณให้ผ่านพ้นไป
.
ข้อด้อยของเทคนิคนี้คือ หากเปลือกถูกตรวจพบเป็นของปลอมก่อนเวลา แผนการทั้งหมดจะพังลง ผู้ที่ฝึกจักจั่นทองลอกคราบจึงต้องมีทักษะในการออกแบบภาพและคำนวณเวลาอย่างแม่นยำ และต้องพร้อมรับว่าบางครั้งเปลือกต้องถูกแลกมาด้วยของจริง ใครบางคนอาจต้องเสียสละเพื่อความน่าเชื่อถือของแผน
.
.
22. ปิดประตูจับโจร (Shut the door to catch the thief)
.
"กรงที่ดีที่สุดคือกรงที่นกคิดว่าเป็นรัง"
.
กรงที่ดีที่สุดคือกรงที่เหยื่อคิดว่าเป็นที่ปลอดภัย บริบทสำคัญในกลยุทธ์นี้: เชื้อเชิญด้วยความเอื้อเฟื้อ ทำให้เขาเข้ามาในพื้นที่ซึ่งค่าใช้จ่ายการต่อสู้สูง และเมื่อเขาอยู่ในนั้น ปิดทุกทางหนี — ปิดการสื่อสาร ตัดเส้นทางเสบียง หยุดการรับความช่วยเหลือจากภายนอก แล้วค่อย ๆ บีบรัดให้เขาตั้งตัวไม่ได้
.
ในเชิงปฏิบัติ การปิดประตูอาจหมายถึงการใช้กฎหมาย เทคโนโลยี หรือพันธมิตรในการปิดช่องทางระหว่างเขากับโลกภายนอก ตัวอย่างเล็ก ๆ ในองค์กรคือการล่อคนมาเข้ากระบวนการคัดเลือกที่ควบคุมได้ แล้วจับผิดข้อหาเพื่อกำจัด ซึ่งถึงแม้จะได้ผลเร็ว แต่บ่อยครั้งทิ้งบาดแผลของความอยุติธรรม
.
จุดอ่อนชัดเจนคือ ถ้าการปิดประตูไม่แน่นพอ หรือถ้ามีช่องทางคุกคามจากภายนอกที่คุณไม่ได้คาดคิด แผนอาจกลับกลายเป็นกับดักสำหรับตัวคุณเอง นอกจากนี้ การทำให้ใครอยู่ในกรงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือศีลธรรมย่อมสะสมความเกลียดชังที่อาจย้อนกลับในอนาคต
.
.
23. คบไกลตีใกล้ (Befriend a distant state and strike a neighbouring one)
.
ภูมิศาสตร์คือกุญแจสำคัญ ศัตรูใกล้คือภัยคุกคามโดยตรง ส่วนศัตรูไกลสามารถรอได้ ผูกมิตรกับผู้ที่อยู่ไกลเพื่อโอบล้อมผู้ที่อยู่ใกล้
.
การขนส่งกำลังพลและเสบียงข้ามระยะไกลมีต้นทุนสูง ดินแดนที่ยึดได้ใกล้ตัวจะควบคุมง่าย ปกครองสะดวก และใช้เป็นฐานขยายอำนาจต่อได้
.
การสร้างพันธมิตรกับผู้ที่อยู่ไกลต้องหาจุดร่วมที่แข็งแรง อาจเป็นศัตรูร่วม ผลประโยชน์ทางการค้า หรืออุดมการณ์ที่คล้ายกัน ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าการเป็นพันธมิตรให้ประโยชน์มากกว่าการเป็นกลางหรือเป็นศัตรู
.
การโจมตีเพื่อนบ้านต้องมีเหตุผลที่ชอบธรรม ต้องทำให้ดูเหมือนเป็นการป้องกันตัว การรักษาสันติภาพ หรือการปลดปล่อย ความชอบธรรมจะทำให้พันธมิตรไกลยังคงสนับสนุน และป้องกันไม่ให้เพื่อนบ้านอื่นตื่นตระหนก
.
แต่ความเหี้ยมเกรียมที่แท้จริงคือการทำให้เพื่อนบ้านฆ่ากันเอง ยุยงให้พวกเขาขัดแย้ง แบ่งฝ่าย อ่อนแอลง แล้วเข้ากวาดต้อนซากศพ ผูกมิตรกับศัตรูไกลชั่วคราว พอใช้หมดประโยชน์แล้วก็หันมาทำลายเช่นกัน เพราะไม่มีมิตรภาพถาวรในสงคราม มีแต่ผลประโยชน์ถาวร
.
การรักษาสมดุลระหว่างการขยายอำนาจและการไม่กระตุ้นให้เกิดพันธมิตรต่อต้านคือศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน ต้องขยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ละก้าวต้องดูสมเหตุสมผล ไม่โลภจนกินไม่เลี้ยง
.
.
24. ขอทางผ่านเพื่อทำลายกั๋ว (Obtain safe passage to conquer the State of Guo)
.
ขอยืมทางผ่านดินแดนพันธมิตรเพื่อไปโจมตีศัตรูร่วม พอภารกิจสำเร็จ กองทัพของเราก็อยู่ในดินแดนพันธมิตรแล้ว พร้อมที่จะยึดครองจากภายใน
.
ความไว้เนื้อเชื่อใจคือความอ่อนแอที่น่าสมเพช ผู้ที่อนุญาตให้กองทัพต่างชาติเข้ามาในบ้าน ก็เหมือนเชิญหมาป่าเข้ามากินลูกแกะ พวกเขาคิดว่ากำลังช่วยเหลือเพื่อน แต่จริงๆ กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง
.
การขอทางผ่านต้องมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ ต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน อาจเสนอแบ่งปันของที่ยึดได้ ช่วยป้องกันภัยอื่น หรือให้ค่าตอบแทนที่ดูคุ้มค่า
.
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ต้องแสดงความเคารพและมีมารยาทในตอนแรก ทำให้เจ้าบ้านผ่อนคลาย คิดว่าตัดสินใจถูก แต่ในขณะเดียวกันต้องสำรวจจุดอ่อน จัดวางกำลัง สร้างเครือข่ายภายใน
การพลิกพันธมิตรเป็นศัตรูต้องทำอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ยึดจุดยุทธศาสตร์พร้อมกัน ตัดการสื่อสาร ควบคุมผู้นำ ก่อนที่จะมีการต่อต้านที่จริงจัง ความรวดเร็วและความเด็ดขาดจะลดความเสียหายและความวุ่นวาย
.
การสร้างความชอบธรรมหลังยึดครองคือสิ่งสำคัญ อาจอ้างว่าพบแผนการทรยศ ว่าช่วยปลดปล่องจากผู้นำที่กดขี่ หรือว่าทำเพื่อความมั่นคงของภูมิภาค ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ และผู้ชนะสามารถสร้างความจริงใหม่ได้เสมอ
.
.
#กลยุทธ์ประสาน (Combined Stratagems)
.
.
25. ขโมยคานสับเสา (Replace the beams with rotten timbers)
.
"การทำลายที่แท้จริงเกิดจากภายใน ไม่ใช่ภายนอก"
.
หลักการ: บ้านที่แข็งแรงทนทานเพราะเสาและคาน หากเปลี่ยนคานเป็นท่อนที่ผุพังช้า ๆ วันหนึ่งบ้านจะพังลงภายใต้แรงกดที่ไม่หนักนัก กลยุทธ์นี้คือการแทรกซึมเพื่อเปลี่ยนองค์ประกอบภายในของระบบ — แทนที่จะทำลายจากภายนอก จงเปลี่ยนจากภายในจนเมื่อถึงเวลาทุกอย่างพังทลายเอง
.
ผู้ที่เลือกใช้จะเข้าไปสู่ตำแหน่งเชิงอิทธิพล วางคนที่ไว้วางใจในตำแหน่งสำคัญ เปลี่ยนนโยบายทีละน้อยจนระบบขัดข้องเมื่อโดนทดสอบ ความพิเศษอยู่ที่ "ความไม่เร่งรีบ" การเปลี่ยนแต่ละครั้งต้องน้อยพอที่ผู้คนจะไม่สังเกต และมากพอที่เมื่อรวบรวมกันจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ
.
จิตวิทยาที่สนับสนุน: มนุษย์มักไม่สังเกตการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย (change blindness) และยอมรับสภาวะเมื่อมันค่อย ๆ เปลี่ยนไป ความเชื่อใจต่อระบบและความเคยชินจึงเป็นเสาหลักที่นักแทรกซึมใช้ หากมีคนคอยยืนยันความปกติอยู่เสมอ ผู้คนจะละเลยข้อผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ และการเปลี่ยนภายในจึงดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ
.
ตัวอย่างที่พอให้คิด: ในประวัติศาสตร์ขององค์กรหรือรัฐ มักมีเรื่องเล่าของผู้แทรกซึมที่เริ่มจากตำแหน่งเล็ก ๆ แต่ค่อย ๆ ขยับไปถึงตำแหน่งตัดสินใจ เปลี่ยนนโยบายการสรรหา เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน วางค่านิยมใหม่ให้เข้าทางผู้แทรกซึม ผลลัพธ์คือเมื่อเกิดวิกฤต ระบบไม่สามารถรับมือได้เพราะ "เสาที่คิดว่าคงทน" แท้จริงแล้วผุพังจากภายใน
.
ความเสี่ยงและข้อจำกัดเชิงจริยธรรม: การเปลี่ยนแปลงภายในที่มุ่งทำลายผู้อื่นเป็นการล้างโลกและทำลายความเชื่อถือในระดับรากหญ้า มันอาจนำมาซึ่งความเสียหายยาวนานต่อผู้บริสุทธิ์และโครงสร้างสังคม การทำเช่นนี้ต้องมีการชั่งน้ำหนักทางศีลธรรมอย่างถี่ถ้วน — ถ้าเป้าหมายคือการป้องกันวิกฤตใหญ่บางชนิด อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่หากเป็นเพียงการแสวงหาอำนาจส่วนบุคคล นี่คือเส้นทางแห่งความขมขื่น
.
การป้องกัน: ระบบที่โปร่งใส มีกระบวนการตรวจสอบภายนอก และการหมุนเวียนตำแหน่งผู้บริหารจะลดความเสี่ยงของการถูก "ขโมยคาน" องค์กรที่มีวัฒนธรรมการตั้งคำถามและการทบทวนเชิงอิสระย่อมทนทานกว่า
.
.
26. ชี้ต้นหม่อนด่าต้นตั๊กแตน (Point at the mulberry tree while cursing the locust tree)
.
"คำพูดที่ฉลาดที่สุดคือคำที่ทุกคนได้ยิน แต่แต่ละคนเข้าใจต่างกัน"
.
หลักการ: คำพูดสามารถเป็นโล่หรือเป็นดาบ การตำหนิแบบอ้อม กล่าวถึงเรื่องหนึ่งเพื่อส่งสาส์นไปถึงอีกเรื่อง เป็นเทคนิคที่ทำให้อำนาจนิ่งเงียบนิ่ง: คุณลงโทษคนเล็กเพื่อตักเตือนคนใหญ่โดยไม่ต้องเผชิญหน้า การสื่อสารอย่างไม่ตรงไปตรงมานี้มีพลังเพราะมันให้บุคคลที่เป็นเป้าหมายเลือกการตีความเอง และบ่อยครั้งการเลือกตีความนั้นนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่ต้องมีคำสั่งตรง
.
องค์ประกอบของกลยุทธ์นี้รวมถึงทักษะภาษา การอ่านบรรยากาศ การรู้ว่าข้อความใดจะไปถึงใคร และการวางสัญลักษณ์ที่ถูกจุด เสียงเล็ก ๆ ในงานเลี้ยง การลงโทษตัวอย่างเล็ก ๆ การประชุมที่มีคำพูดเสียดแทงลึก แต่ไม่ชี้ตรง ทั้งหมดนี้ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาปรับตัว
.
ประโยชน์: เมื่อคุณไม่ต้องการศัตรูเปิดหน้า กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณควบคุมวัณโรคของระบบได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงทางตรง มันยังช่วยรักษาความชอบธรรมของผู้นำ เพราะการลงโทษหรือคำตักเตือนนั้นถูกอธิบายว่าเป็นเรื่องของจริยธรรมหรือกฎเกณฑ์ ไม่ใช่การโจมตีบุคคล
.
ข้อควรระวังทางจริยธรรม: การตำหนิทางอ้อมอาจกลายเป็นการบิดเบือนสื่อสาร หากใช้เพื่อทำให้คนอื่นกลัวหรือเพื่อกดขี่ การใช้วิธีนี้ในองค์กรควรมาพร้อมการรับผิดชอบทางสังคม ถ้าคุณใช้การตำหนิเพื่อข่มขู่หรือขจัดความหลากหลายทางความคิด คุณจะทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานเป็นพิษ
.
การป้องกัน: สร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างต่อการตั้งคำถามและการตอบโต้เชิงตรง ความชัดเจนในการสื่อสารและช่องทางฟีดแบ็กที่ปลอดภัยจะช่วยลดพลังของการตำหนิทางอ้อม
.
.
27. แกล้งบ้าแต่ไม่เสียสติ (Feign madness but keep your balance)
.
"คนฉลาดแกล้งโง่ คนโง่แกล้งฉลาด แต่คนฉลาดจริงรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเป็นอะไร"
.
หลักการ: คนที่ถูกมองว่าไม่เป็นภัยจะถูกละเลย ดังนั้นการแสร้งโง่หรือไร้พิษสงเป็นเครื่องมือที่ให้ความเป็นไปได้ในการสืบและเคลื่อนไหวโดยไม่ถูกจับตา ผู้ที่เก่งแกล้งบ้าจะประพฤติตัวแบบไร้พิษภัยในที่สาธารณะ แต่ในที่ลับยังคงคิด คำนวณ และวางแผน
.
การใช้เทคนิคนี้ต้องการการควบคุมอารมณ์สูง เรียนรู้ที่จะลดจุดสนใจของตนเองโดยแสดงพฤติกรรมที่คนมองข้าม แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงทักษะจริง ต้องสามารถเปลี่ยนบทบาทได้ทันที กลยุทธ์นี้มีความได้เปรียบเพราะมันลดการถูกคาดเดาและทำให้คู่แข่งวางความสำคัญผิดที่
.
อย่างไรก็ดี มันยังมีความสุ่มเสี่ยงทางศีลธรรม การเล่นบทเป็นคนโง่อาจนำไปสู่การดูถูกตัวเองในสายตาคนอื่น และถ้ามันถูกใช้เพื่อหลอกลวงหรือทำร้ายผู้อื่น ก็คือการใช้คนเป็นของเล่นทางอารมณ์
.
การป้องกัน: อย่าให้คนแสดงบทบาทได้เปรียบโดยไม่มีการตรวจสอบ ตั้งกลไกการประเมินและทดสอบทักษะจริงในระบบ เพื่อให้คนไม่สามารถแอบใช้อิมเมจเพื่อเข้าถึงตำแหน่งสำคัญโดยไม่ผ่านการทดสอบความสามารถจริง
.
.
28. รื้อบันไดตอนศัตรูขึ้นหลังคา (Remove the ladder when the enemy has ascended to the roof)
.
หลักการ: จุดแข็งของกลยุทธ์นี้คือการสร้างสภาวะที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาลึกในพื้นที่ที่คุณควบคุม แล้วค่อยตัดทางหนี ปล่อยให้ความตระหนกและความสิ้นหวังเป็นปัจจัยทำลายความเข้มแข็งของเขา ความยากคือการออกแบบเส้นทางที่เขาจะเข้ามาโดยไม่รู้ตัว และการตัดกลับเมื่อเขาอยู่ในจุดอ่อนที่สุด
.
การใช้งานในเชิงนามธรรมอาจเป็นการให้สัญญาชั่วคราวเพื่อดึงคู่ค้าเข้ามาในข้อตกลงที่ผูกมัด หรือการเชิญผู้นำฝ่ายตรงข้ามมาร่วมกิจกรรมโดยใช้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ จากนั้นค่อยปิดช่องทางการช่วยเหลือ การชนะในเทคนิคนี้ไม่ได้มาจากความแข็งแกร่ง แต่จากการทำให้คู่ต่อสู้ไม่มีทางถอย
.
ความเสี่ยงชัดเจน หากคุณตัดทางกลับเร็วเกินไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตหรือความเป็นมนุษย์ คุณจะสะสมศัตรูที่เต็มไปด้วยความแค้น และในระยะยาว ความชอบธรรมทางการเมืองหรือสังคมของคุณจะถูกท้าทาย
.
การป้องกัน: ให้การเดินทางหรือการมีส่วนร่วมที่อันตรายมีการประเมินความเสี่ยง ภายใต้กฎหมายหรือมาตรฐานจริยธรรม ไม่เช่นนั้น อํานาจของผู้ล่อและผู้ตัดกลับจะก้าวล่วงขอบเขตความยุติธรรม
.
.
29. ประดับดอกไม้เทียมบนต้นไม้ (Decorate the tree with false blossoms)
.
"ภาพลวงตาที่ดีที่สุดคือภาพที่คนเชื่อว่าจริง"
.
ทำให้สิ่งที่อ่อนแอดูแข็งแกร่ง สิ่งที่น้อยดูมาก สิ่งที่ไร้ค่าดูมีค่า ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นอย่างชาญฉลาดจะกลายเป็นความจริงในสายตาผู้คน
.
กองทัพน้อยสามารถดูเป็นกองทัพมหึมาได้ด้วยธงและกลอง ค่ายว่างเปล่าดูเต็มไปด้วยทหารได้ด้วยไฟและควัน ผู้นำที่อ่อนแอดูน่าเกรงขามได้ด้วยการแต่งตัวและการแสดง
.
การสร้างภาพลวงที่น่าเชื่อต้องใส่ใจในรายละเอียด ต้องเข้าใจว่าคนรับรู้อะไรและอย่างไร แสง เสียง การเคลื่อนไหว กลิ่น ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันเพื่อสร้างภาพรวมที่น่าเชื่อถือ
.
ภาพลวงที่ดีที่สุดคือภาพลวงที่มีความจริงแฝงอยู่ กองทัพน้อยที่ดูเป็นกองทัพใหญ่ต้องมีทหารจริงๆ แต่ใช้เทคนิคทำให้ดูมากขึ้น อาจให้ทหารคนเดียวถือธงหลายผืน เดินวนเพื่อสร้างภาพว่ามีคนมาก
.
แต่ที่สำคัญกว่าคือการ "ปลูกดอกไม้" ในใจศัตรู ทำให้เขาเห็นภัยที่ไม่มี กลัวสิ่งที่ไม่จริง สงสัยในสิ่งที่แน่นอน ความคิดที่วุ่นวายคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของนักรบ
.
การรักษาภาพลวงให้ยั่งยืนต้องใช้ความพยายามต่อเนื่อง ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพิ่มรายละเอียดใหม่เพื่อความน่าเชื่อถือ และต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรยุติก่อนที่จะถูกจับได้
.
.
30. แขกกลายเป็นเจ้าบ้าน (Make the host and the guest exchange roles)
.
"การยึดครองที่สมบูรณ์แบบคือเมื่อเจ้าของเดิมลืมไปแล้วว่าเขาเคยเป็นเจ้าของ"
.
หลักการ: การยึดอำนาจที่เนียนที่สุดคือการที่คนเดิมไม่รู้ว่าตนถูกยึดชนิดที่ค่อยเป็นค่อยไป เข้าไปในฐานะที่ปรึกษา พันธมิตร หรือผู้สนับสนุน ค่อย ๆ ขยายอิทธิพลจนบทบาทกลับตา แขกกลายเป็นเจ้าบ้านโดยที่เจ้าบ้านยังคิดว่าตนยังเป็นผู้ครอบครอง
.
กระบวนการต้องอาศัยทั้งเวลาและการสร้างความไว้ใจจากภายใน เริ่มจากการให้คุณค่าและแก้ปัญหาเล็ก ๆ ค่อย ๆ แทรกนโยบายของคุณเข้าระบบ เมื่อคนเริ่มพึ่งพาและไม่สามารถแยกแยะได้ คนที่เคยเป็นเจ้าบ้านก็จะค่อย ๆ สูญเสียบทบาทและถูกแทนที่ด้วยผู้ที่เคยเป็นแขกโดยที่ไม่มีการประกาศ
.
นี่คือกลยุทธ์แห่งการยึดครองแบบไร้ความรุนแรง ไม่จำเป็นต้องลอบสังหารหรือรัฐประหาร แต่อาศัยการแทรกซึมทางวัฒนธรรมและการจัดการความเชื่อใจ ระวังอย่างหนึ่ง หากผู้คนรับรู้การแทรกซึมเมื่อยังไม่ครบกระบวนการ การต่อต้านจะรุนแรงเพราะมันถูกมองเป็นการทรยศภายใน
.
.
#กลยุทธ์ความพ่ายแพ้ (Defeat Stratagems)
.
.
31. กับดักโฉมงาม (The beauty trap)
.
"ความงามคืออาวุธที่ไม่มีเกราะใดต้านทานได้"
.
ความงามไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ มันเป็นภาษาที่สื่อสารความปรารถนา ความยอมจำนน และการสั่นคลอนของตรรกะ เมื่อนำความงามมาเป็นอาวุธ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการวางกับดักทางเพศเสมอไป อาจเป็นอิทธิพลที่อ่อนโยน มิตรที่อบอุ่น หรือความใกล้ชิดที่ปลอบประโลม แต่เป้าหมายเดียวคือทำให้เหยื่อเห็นโลกผ่านความรัก ความหลง หรือความปรารถนา จนยอมสละเหตุผล
.
กลวิธีของกับดักโฉมงามคือการฝึกฝนศิลปะแห่งความดึงดูด: การสร้างความใกล้ชิดที่ค่อยเป็นค่อยไป, การสะท้อนความต้องการของเหยื่อ, การใช้คำแห่งการยืนยันและการฟังที่ทำให้เหยื่อเปิดเผยความลับหรือตัดสินใจผิดพลาด ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ไม่ได้อยู่ที่การล่อแล้วจากไป แต่อยู่ที่การเปลี่ยนพฤติกรรมระยะยาว — ทำให้ผู้นำคล้อยตามคำแนะนำ ยอมปลดคันธนู หรือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ออกแบบกับดัก
.
ทางจิตวิทยา ข้อได้เปรียบคือการใช้ความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่เป็นจุดอ่อน คนที่หลงใหลจะปกป้องคนที่รักและมองข้ามสัญญาณเตือน ผู้ควบคุมกับดักจึงต้องชำนาญทั้งด้านการสื่อสารและการอ่านอารมณ์ หากสำเร็จ ความได้เปรียบอาจเทียบเท่าการชนะสงครามโดยไม่ต้องสู้
.
การป้องกัน: ฝึกสติและการตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ที่เกิดเร็วหรือเข้มข้นเกินไป สร้างวัฒนธรรมการเปิดเผยข้อมูลสำคัญในระบบหลายคนแทนให้คนคนเดียวถือครอง ป้องกันการตัดสินใจด้วยอารมณ์ล้วน ๆ
.
.
32. เมืองว่างเปล่า (The empty fort strategy)
.
"ความสงบที่ผิดปกติ มักซ่อนอันตรายที่ร้ายแรง"
.
ความกล้าที่แสดงออกด้วยความสงบสามารถกลายเป็นกับดักได้ เมืองว่างเปล่าสอนว่าเมื่อกำลังไม่พอ ให้แสดงความแน่นิ่งอย่างเต็มที่ เปิดประตู ยิ้มเล่นพิณบนกำแพง แสดงความมั่นใจจนศัตรูคิดว่าเบื้องหลังความสงบนั้นต้องซ่อนกับดักยิ่งใหญ่กว่า การทำเช่นนี้ทำให้ฝ่ายคิดบุกลังเล เพราะความไม่สมเหตุสมผลกระตุ้นให้คนฉลาดระแวง
.
การใช้เทคนิคนี้สำเร็จต้องอาศัยความกล้าระดับหนึ่ง คุณต้องทำตัวเหมือนไม่กลัว ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความจริงคือความเปราะบาง มันเป็นจิตวิทยาของการทำให้ศัตรูตีความผิด: ใครจะกล้าบุกเข้ามาหากสงสัยว่าจะเดินเข้าสู่กับดัก? ในหลายกรณี ความสงบที่แปลกประหลาดสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามถอย หรืออย่างน้อยทำให้เขาชะงักพอให้คุณได้เวลาเก็บแผน
.
แต่เมืองว่างเปล่าก็อันตรายถ้าถูกใช้ผิดเวลา หากศัตรูชาญและกล้าพอ หรือมีข้อมูลว่าคุณจริง ๆ ไม่มีอะไร มันจะกลายเป็นการละเลยที่ส่งผลร้ายแรง ความมั่นใจปลอมต้องมีมิติของการแสดงที่สมจริง และยังควรมีแผนหนีหรือการเสริมกำลังสำรองไว้
.
การป้องกัน: เมื่อเห็นใครทำท่ามั่นใจผิดปกติ ให้ตั้งคำถามและตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ บ่อยครั้งความเงียบที่ผิดปกติคือสัญญาณของความผิดปกติ อย่าปล่อยให้ความสะดวกสบายของชัยชนะมาบดบังการตรวจสอบ
.
.
33. สายลับซ้อนสายลับ (Let the enemy's own spy sow discord in the enemy camp)
.
สายลับซ้อนสายลับคือการพลิกเงื่อนไข แทนที่จะกำจัดสายลับผู้คุกคาม ให้ใช้เขาเป็นท่อส่งข้อมูลปลอม กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความเข้าใจลึกในโครงสร้างความไว้วางใจของศัตรู รู้ว่าใครเป็นผู้รับข่าวสาร ใครเป็นผู้เชื่อ และใครกล้ากระทำ สิ่งที่คุณป้อนเข้าไปจะถูกส่งกลับในรูปแบบที่จะทำลายแคมป์ของเขาเอง
.
ระดับสูงสุดคือการพลิกสายลับให้กลายเป็นผู้ส่งข่าวลวงโดยที่เขาไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวแต่เลือกเพราะผลประโยชน์ การทำให้ศัตรูเชื่อในข้อมูลเท็จจนทำลายความน่าเชื่อถือภายในค่ายตัวเอง เป็นการชนะที่ไม่ต้องไหลเลือดของคุณเอง มันทำงานเพราะคนมักเชื่อข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งที่ตนไว้ใจ
.
ข้อมูลที่ป้อนต้องมีส่วนผสมของความจริงและความเท็จอย่างลงตัว ความจริงทำให้น่าเชื่อ ความเท็จทำให้เกิดความเสียหาย อัตราส่วนที่ดีคือ 70% ความจริง 30% ความเท็จที่ร้ายแรง
.
.
34. เฉือนเนื้อหลอกศัตรู (Inflict injury on oneself to win the enemy's trust)
.
บางครั้งต้องเจ็บตัวเพื่อให้ได้ความเชื่อใจ แสร้งถูกลงโทษ ถูกทอดทิ้ง ถูกทรมาน เพื่อให้ศัตรูเชื่อว่าเราเป็นพวกเดียวกัน
.
บาดแผลที่มองเห็นสร้างความเชื่อถือได้ดีที่สุด ให้ศัตรูเห็นเลือด เห็นน้ำตา เห็นความเจ็บปวด แต่อย่าให้เห็นแววตาที่เย็นชาข้างใน อย่าให้เขารู้ว่าทุกอย่างคือการแสดง
.
การสร้างบาดแผลที่น่าเชื่อต้องมีความกล้าหาญและความอดทนสูง ต้องเจ็บจริง เลือดจริง น้ำตาจริง แต่ใจต้องเย็นและมุ่งมั่นกับเป้าหมาย ความเจ็บปวดทางกายคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อชัยชนะทางยุทธศาสตร์
.
การเล่าเรื่องราวประกอบบาดแผลต้องสอดคล้องและน่าเสียดาย อาจเป็นเรื่องของการถูกลงโทษเพราะขัดคำสั่ง การถูกทรมานเพราะปกป้องคนบริสุทธิ์ หรือการถูกทอดทิ้งเพราะความซื่อสัตย์ เรื่องราวที่ดีจะเพิ่มพลังให้กับบาดแผล
.
.
35. กลโซ่ต่อเนื่อง (Chain stratagems)
.
ศึกสำคัญต้องใช้หลายกลยุทธ์ประสานกัน ถักทอแผนการให้ซับซ้อนดุจใยแมงมุม หากกลหนึ่งล้มเหลว ยังมีกลอื่นรองรับ
.
เริ่มด้วยการหว่านความแตกแยก ตามด้วยการส่งสายลับ เสริมด้วยกับดักโฉมงาม ปิดท้ายด้วยการโจมตีจากภายใน แต่ละกลเสริมกำลังซึ่งกันและกัน สร้างความเสียหายทบต้น
.
การออกแบบกลยุทธ์ลูกโซ่ต้องคิดแบบระบบ ต้องเข้าใจว่าแต่ละกลจะส่งผลกระทบอย่างไร จะเสริมกันอย่างไร และจะมีแผนสำรองอย่างไรหากกลใดกลหนึ่งล้มเหลว ต้องวางแผนหลายชั้น หลายมิติ ทั้งในเชิงเวลาและพื้นที่
.
จังหวะเวลาในการใช้แต่ละกลมีความสำคัญอย่างยิ่ง บางกลต้องทำพร้อมกัน บางกลต้องรอให้กลก่อนหน้าเริ่มออกฤทธิ์ บางกลต้องเก็บไว้เป็นไม้ตาย การประสานจังหวะที่แม่นยำคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
.
การปกปิดความเชื่อมโยงระหว่างกลแต่ละอย่างคือสิ่งสำคัญ ศัตรูไม่ควรเห็นภาพรวมของแผน ควรคิดว่าแต่ละเหตุการณ์เป็นเรื่องแยกกัน เป็นเหตุบังเอิญ หรือเป็นผลจากการกระทำของผู้อื่น
.
กุญแจคือการวางแผนล่วงหน้า คิดทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ เตรียมแผนสำรองไว้หลายชั้น ศัตรูอาจหลบกลแรก แต่จะติดกับดักกลที่สอง สาม สี่ จนไม่มีทางหนี
.
ความยืดหยุ่นในการปรับแผนเป็นสิ่งจำเป็น แผนที่ดีที่สุดก็อาจต้องเปลี่ยนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ต้องสามารถตัดกลบางอย่างออก เพิ่มกลใหม่ หรือเปลี่ยนลำดับได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ทำให้โครงสร้างรวมพังทลาย
.
กลยุทธ์ลูกโซ่ที่สมบูรณ์แบบคือเมื่อแต่ละกลไม่เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพของกลอื่นๆ ความล้มเหลวของศัตรูในการรับมือกลหนึ่งจะทำให้เขาอ่อนแอต่อกลถัดไป สร้างวงจรแห่งความพ่ายแพ้ที่ไม่สามารถหลุดพ้นได้
.
.
36. เมื่อทุกสิ่งพัง หนีคือยอดกล (If all else fails, retreat)
.
"ความอัปยศของการหนีเป็นเพียงชั่วคราว แต่ความตายเป็นนิรันดร์ ผู้ที่รู้จักหนีในเวลาที่เหมาะสม คือผู้ที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย"
.
กลยุทธ์สุดท้ายเป็นบทเรียนสุดโต่งของปัญญา การหนีไม่ใช่ความล้มเหลวแต่เป็นการเก็บตัวเพื่อกลับมา การถอนตัวอย่างมีศิลป์คือการรักษาแหล่งทรัพยากรที่เหลือ ชีวิตทหารและนักปฏิบัติการมีค่ากว่าดินแดนหรือตำแหน่งชั่วคราว หากทุกอย่างพัง การหนีอย่างมีแบบแผน ปล่อยร่องรอยหลอก และรักษาข้อมูลสำคัญเพื่อการฟื้นคืนคือกลยุทธ์แห่งการอยู่รอด
.
การหนีที่ชาญฉลาดต้องวางแผนล่วงหน้า: เส้นทางถอยที่ปลอดภัย, จุดพักพิง, กลยุทธ์การหลอกลวงเพื่อชะลอการไล่ตาม และแผนการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่เหลือ หากทำถูก การหนีจะทำให้คุณกลับมาพร้อมกับบทเรียน ข้อมูล และความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
.
แต่มันไม่ง่าย การหนีต้องแลกด้วยการยอมรับการสูญเสีย และต้องมีความกล้าที่จะทิ้งสิ่งที่คิดว่าเป็นตัวตนไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ การหนีบ่อยครั้งโดยไม่มีเป้าหมายเพื่อกลับ อาจกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอและทำให้คุณสูญเสียความน่าเชื่อถือ
.
ขณะหนี จงจดจำทุกอย่าง ใครทรยศ ใครซื่อสัตย์ จุดอ่อนของศัตรู ความผิดพลาดของตัวเอง วันหนึ่งเราจะกลับมา และครั้งหน้าเราจะไม่แพ้ เพราะในบรรดาสามสิบหกกล หนีคือกลเยี่ยมยุทธ์ มีชีวิตอยู่วันนี้เพื่อสู้ใหม่วันพรุ่ง
.
.
===========================
.
อำนาจสูงสุดไม่ได้สร้างจากดาบพันเล่ม แต่มาจากการหักหลังพันครั้ง ทุกบาดแผลคือบทเรียนของความไว้เนื้อเชื่อใจ และเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับของความอ่อนแอ
.
ในที่นี้ไม่มีคำสอนเรื่องเกียรติยศ ไม่มีบทกวีเรื่องความกล้าหาญ ไม่มีตำนานของวีรบุรุษผู้บริสุทธิ์ มีแต่ความจริงดิบเถื่อนของผู้ที่รอดชีวิตมาได้ และผู้ที่กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะคิด
.
คำสัญญาถูกทำลายได้ง่ายกว่าขนมปัง คำสาบานมีค่าน้อยกว่าเหรียญทองแดง ความภักดีเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ และทุกคนมีราคา แม้แต่คนที่อ้างว่าไม่มี
.
เลือดของผู้สูงศักดิ์ เลือดของสามัญชน เลือดของวีรบุรุษ ล้วนแดงเหมือนกัน ล้วนไหลเมื่อถูกแทง ล้วนเย็นเมื่อแห้งเหือด ไม่มีสายเลือดใดพิเศษพอจะปกป้องใครจากมีดในเงามืด
.
และทั้งหมดคือสามสิบหกบทเรียนของผู้ที่ปีนขึ้นมาจากกองศพ แต่ละข้อคือขั้นบันไดที่ชุบด้วยเลือด แต่ละกลยุทธ์คือบทเรียนจากความพินาศของผู้ที่มาก่อน
.
จงใช้กลยุทธ์เหล่านี้อย่างมีสติครับ เพราะเมื่อเราจ้องมองหลุมดำนานเกินไป หลุมดำก็จะจ้องมองกลับมาที่เรา และอย่าลืมว่าเมื่อเราใช้ความชั่วร้ายต่อสู้กับความชั่วร้าย สุดท้ายแล้วความชั่วร้ายเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ
.
.
.
.
#SuccessStrategies