สรุปหนังสือ The Coming Wave เขียนโดย Mustafa Suleyman

มนุษย์เรามีโรคประจำตัวอยู่อย่างหนึ่งครับ ชื่อว่า “โรคไม่รู้จักพอ” พอมีไฟก็อยากได้ล้อ พอมีล้อก็อยากได้รถ พอมีรถก็อยากให้มันบิน พอมีเครื่องบินก็ยังไม่พอ ต้องมีจรวดไปดวงจันทร์อีก และพอไปถึงดวงจันทร์แล้ว…เราก็ยังอยากไปดาวอังคาร

นี่แหละครับ “Homo technologicus” ตามที่ Mustafa Suleyman เรียก… สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้พอใจแค่อยู่รอด แต่ติดนิสัย อยากลอง อยากเล่น อยากสร้าง ไปเรื่อย ๆ เหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ทุกเช้า เพียงแต่ของเล่นที่ว่านี้ไม่ใช่เลโก้ แต่เป็นของอย่างไฟฟ้า เครื่องจักรไอน้ำ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต

และล่าสุดคือ AI กับ ชีววิทยาสังเคราะห์ ที่ไม่ได้แค่เปลี่ยนวิถีชีวิต แต่กำลังจะไปแตะ “แก่น” ของสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ คือ “ปัญญา” และ “ชีวิต”

Suleyman เลยบอกเราว่า คลื่นเทคโนโลยีที่กำลังมา มันไม่ใช่แค่กระแสใหม่ในงาน CES ที่มีบูธสวย ๆ แจกถุงผ้า

แต่มันคือ “คลื่นสึนามิระดับอารยธรรม” ที่พร้อมจะกวาดทุกอย่างที่เรารู้จักทิ้งไป แล้วทิ้งคำถามว่า เราจะ “โต้คลื่น” นี้อย่างไรดี? จะสร้างเขื่อนกั้น (ซึ่งส่วนใหญ่แตกเร็วกว่าที่คิด) หรือจะหัดโต้คลื่นไปกับมันโดยใส่เสื้อชูชีพที่ชื่อว่า “ความรับผิดชอบ”?

และแน่นอนครับ คลื่นลูกนี้ไม่รอใคร มันกำลังวิ่งเข้ามาเหมือนนัดเพื่อนกินหมูกระทะแล้วเพื่อนตอบว่า “ถึงแล้ว” ทั้งที่คุณยังไม่ได้ออกจากบ้านด้วยซ้ำ

=================================

1. คลื่นในตำนานและคลื่นในความจริง

ก่อนจะพูดถึง AI หรือชีววิทยาสังเคราะห์ Suleyman พาเราย้อนกลับไปยังตำนานน้ำท่วมใหญ่ ตั้งแต่ “มหาภารตะ” ที่มนุษย์ชื่อ “มานู” รอดชีวิตเพราะมีเทพเตือน ไปจนถึง Gilgamesh ของชาวสุเมเรียน และเรื่องราว “โนอาห์” ในคัมภีร์เก่า ล้วนเล่าเรื่องคลื่นน้ำที่กวาดล้างโลกเก่าไปจนหมด ทิ้งไว้เพียงเศษซากให้มนุษย์รุ่นใหม่สร้างโลกขึ้นมาอีกครั้ง

เขาไม่ได้เล่าตำนานเพื่อความโรแมนติก แต่เพื่อชี้ว่า “คลื่น” ไม่ว่าจะเป็นน้ำจริง ๆ หรือเป็นพลังเชิงสัญลักษณ์ มันคือสิ่งที่มนุษย์จดจำในฐานะพลังที่หยุดไม่ได้และเปลี่ยนโลกอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับเทคโนโลยีแต่ละยุค เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็กวาดทุกสิ่งไปเหมือนสึนามิ

.

2. คลื่นแห่งเทคโนโลยี จากหินถึงซิลิคอน

เมื่อมองย้อนไปในประวัติศาสตร์มนุษย์ คลื่นแรก ๆ ที่ทำให้เราแยกตัวจากสัตว์อื่นคือ เครื่องมือหิน หลักฐานมีอายุถึง 3 ล้านปี ทำให้บรรพบุรุษของเราฆ่าสัตว์ได้ดีขึ้น ตัดแบ่งซากสัตว์ได้เร็วขึ้น และป้องกันตัวเองจากศัตรูได้มากขึ้น

จากนั้นคือ ไฟ ของขวัญที่เปลี่ยนร่างกายมนุษย์ไปตลอดกาล การหุงต้มทำให้ระบบย่อยอาหารของเราเล็กลง ขณะที่สมองใหญ่ขึ้นเพราะได้พลังงานที่ดูดซึมเร็วกว่าเดิม Campfire ยังเป็นจุดนัดพบทางสังคม เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวและวัฒนธรรม

ไฟและหินจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ General-Purpose Technologies รุ่นแรก เครื่องมือที่สร้างเครื่องมืออื่น ๆ ต่อได้ และทำให้เกิดการแพร่กระจาย (Proliferation) เหมือนคลื่นลูกใหญ่

ต่อมาคือ เกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ เมื่อ 9,000 ปีก่อน ซึ่งทำให้มนุษย์หยุดเร่ร่อน สร้างหมู่บ้าน เมือง และรัฐ สังคมที่มีข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ หมู แพะ แกะ และเครื่องมือไถพรวน กลายเป็นเวทีให้เทคโนโลยีอื่น ๆ งอกเงยตามมา เช่น การเขียน การเมือง และศาสนา

แล้วก็มาถึง การปฏิวัติอุตสาหกรรม ศตวรรษที่ 18–19: จากเครื่องจักรไอน้ำ รถไฟ เหล็ก เครื่องจักรกล จนถึงยุคที่สองของอุตสาหกรรมที่มีเครื่องยนต์สันดาป เคมีวิศวกรรม ไฟฟ้า และการบิน Powered Flight ทุกอย่างเปลี่ยนเร็วขึ้นในระดับ ทศวรรษ แทนที่จะใช้เวลาหลายศตวรรษเหมือนก่อนหน้านั้น

และคลื่นล่าสุดคือ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เริ่มจากเครื่อง ENIAC ที่ใหญ่เท่าห้องทั้งห้อง ไปจนถึงทรานซิสเตอร์และวงจรรวม จากคอมพิวเตอร์หลักพันเครื่องในยุค 1940 สู่สมาร์ทโฟนหลายพันล้านเครื่องในมือทุกคนวันนี้ นี่คือการแพร่กระจายที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

ทุกครั้งที่มีคลื่นเกิดขึ้น โลกเก่าจะถูกกลืนหายไป เหมือนบ้านริมทะเลที่ไม่อาจต่อกรต่อสึนามิ

.

.

3. กฎเหล็กแห่งการแพร่กระจาย

Suleyman ย้ำว่าเทคโนโลยีแทบทุกชนิดทำตาม “กฎธรรมชาติ” เดียวกัน

"ราคาถูกลง" – จากของหรูหรากลายเป็นของใช้ประจำบ้าน

"ง่ายขึ้น" – จากต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ กลายเป็นสิ่งที่เด็กมัธยมก็ทำได้

"แพร่หลายออกไป" – จากศูนย์กลางหนึ่ง ๆ ไปสู่ทั่วโลก

เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “Proliferation is the default” การแพร่กระจายคือสภาพปกติของเทคโนโลยี ไม่ใช่ข้อยกเว้น หนังสือพิมพ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ ไปจนถึงอินเทอร์เน็ต ต่างก็ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จนเปลี่ยนวิถีชีวิตทุกคน

.

4. Homo Technologicus มนุษย์ผู้สร้างและถูกสร้างโดยเครื่องมือ

สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีไม่ได้แค่เป็นของที่เราสร้างขึ้น แต่มันย้อนกลับมาปั้นเราเช่นกัน ทั้งกายภาพ สมอง สังคม และการเมือง เราเป็นสายพันธุ์ที่วิวัฒนาการร่วมกับเครื่องมือจนแทบจะแยกกันไม่ออก

ลองคิดดูว่า ถ้าไม่มีไฟ เราคงยังมีกรามใหญ่ ๆ เคี้ยวรากไม้ทั้งวัน ถ้าไม่มีเกษตร เราคงไม่สร้างเมือง ถ้าไม่มีการเขียน เราคงไม่สร้างรัฐชาติ และถ้าไม่มีเครื่องจักรไอน้ำ เราคงไม่ข้ามมหาสมุทรไปสร้างจักรวรรดิ

มนุษย์คือ “สัตว์ที่ถูกเทคโนโลยีเขียนขึ้นใหม่” ทุกครั้งที่คลื่นลูกใหม่มากระแทกฝั่ง เราก็กลายพันธุ์ในเชิงวัฒนธรรมและสังคม

.

5. คลื่นลูกถัดไป ปัญญาและชีวิต

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ Suleyman ก็โยงเข้าปัจจุบัน เขาบอกว่าคลื่นครั้งใหม่ไม่ใช่เรื่องของไฟฟ้าหรืออินเทอร์เน็ตอีกต่อไป แต่คือ การควบคุมสองสิ่งที่เป็นฐานรากที่สุดของโลกมนุษย์

ปัญญา (Intelligence) – การสร้าง AI ที่สามารถเลียนแบบและอาจเก่งกว่ามนุษย์

ชีวิต (Life) – การใช้ชีววิทยาสังเคราะห์เพื่อออกแบบสิ่งมีชีวิตใหม่

นี่ไม่ใช่คลื่นธรรมดา แต่คือ Meta-Wave ที่แตะต้องแกนกลางของสิ่งที่ทำให้โลกเป็นอย่างที่มันเป็น ถ้าเราควบคุมปัญญาและชีวิตได้ เราก็จะควบคุมทุกอย่างที่เหลือบนโลก

แต่คำถามใหญ่ก็คือ เราจะ “ควบคุม” คลื่นนี้ได้จริงหรือไม่?

.

6. Endless Proliferation เทคโนโลยีหยุดไม่อยู่

มีคนเคยพูดเล่นว่า “สิ่งเดียวที่เดินทางเร็วกว่าข่าวลือคือเทคโนโลยีใหม่ ๆ” จริงทีเดียว เพราะทันทีที่มีสิ่งประดิษฐ์เกิดขึ้น มันไม่ค่อยอยู่นิ่งเป็นของเล่นในห้องทดลองนานนัก แต่จะค่อย ๆ หาทางเล็ดลอด ออกเดินทาง สร้างเครือข่ายของมันเอง จนในที่สุดกลายเป็น “คลื่น” ที่กลืนทั้งโลก

Mustafa Suleyman ใช้คำว่า Endless Proliferation การแพร่กระจายที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อบอกว่าเทคโนโลยีแทบทุกชิ้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะหาทางไปสู่มือคนให้ได้เสมอ ราคาถูกลง ใช้ง่ายขึ้น และแทรกตัวเข้าสู่ทุกมิติของชีวิตมนุษย์

จากรถม้า → เครื่องยนต์สันดาป → รถยนต์

หนึ่งในเรื่องเล่าที่เขาใช้คือการเดินทางของเครื่องยนต์สันดาปภายใน (internal combustion engine)

ยุคแรก การเดินทางส่วนใหญ่คือเดินเท้า หรือขี่สัตว์ลากเลื่อน

ศตวรรษที่ 18 มีการทดลองเครื่องยนต์ไอน้ำติดรถ แต่ก็เชื่องช้า ใหญ่เทอะทะ และอันตราย

จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 19 Karl Benz สร้าง Motorwagen—รถสามล้อที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาป ถือเป็นรถยนต์คันแรกของโลก

แต่ของใหม่มักถูกหัวเราะ Benz ขายได้ไม่กี่สิบคัน กระทั่งวันหนึ่งภรรยาของเขา Bertha Benz ตัดสินใจแอบเอารถขับไปหาแม่ที่อยู่อีกเมือง ระหว่างทางต้องแวะปั๊มน้ำมันแบบบ้าน ๆ (ร้านขายน้ำยาทำความสะอาดที่มีน้ำมันเบนซินวางขาย) การเดินทางครั้งนั้นกลายเป็น “โฆษณา” ชิ้นแรกของรถยนต์ และผู้คนเริ่มเชื่อว่ามันใช้งานได้จริง

จุดพลิกคือปี 1908 เมื่อ Henry Ford เปิดตัว Model T และใช้สายพานการผลิต (assembly line) เพื่อลดต้นทุน รถยนต์จากของเล่นคนรวย กลายเป็นของที่ชนชั้นกลางซื้อได้ และในเวลาไม่ถึงสองทศวรรษ รถยนต์ก็เต็มถนนอเมริกา

เรื่องนี้สะท้อน “กฎเหล็กของเทคโนโลยี”

I. เริ่มจากแพงและเฉพาะกลุ่ม

II. ราคาลดลง เพราะการผลิตจำนวนมากและการแข่งขัน

III. กลายเป็นของจำเป็น ที่เปลี่ยนโครงสร้างสังคม

วันนี้เรามีรถยนต์กว่า 1.4 พันล้านคันทั่วโลก และถนนหลายล้านกิโลเมตรคือผลพวงของการแพร่กระจายที่เริ่มจากการทดลองในโรงงานเยอรมันเล็ก ๆ

.

7. “แท่นพิมพ์ Gutenberg” “ไฟฟ้า” “คอมพิวเตอร์”

7.1 อีกตัวอย่างที่ Suleyman หยิบยกคือ “แท่นพิมพ์ Gutenberg” ศตวรรษที่ 15

ตอนแรกมีเพียงเครื่องเดียวในเยอรมนี แต่ในเวลาไม่ถึง 50 ปี มีแท่นพิมพ์กว่า 1,000 เครื่องกระจายทั่วทวีปยุโรป จำนวนหนังสือจากหลักแสนเล่มต่อศตวรรษ กลายเป็นหลายสิบล้านเล่ม และที่สำคัญคือราคาหนังสือลดลงถึง 340 เท่า

ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่คนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่คือการปฏิวัติทางศาสนา การเกิดขึ้นของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และท้ายที่สุดคือโลกทัศน์แบบใหม่ของมนุษย์ยุโรป—ทั้งหมดเพราะการแพร่กระจายที่หยุดไม่อยู่

.

7.2 ไฟฟ้า คลื่นที่สว่างไปทั้งโลก

ไฟฟ้าในศตวรรษที่ 19 ก็เช่นกัน เริ่มจากโรงไฟฟ้าเล็ก ๆ ในลอนดอน นิวยอร์ก มิลาน และเบอร์ลิน แต่เมื่อประโยชน์มหาศาลชัดเจน มันจึงขยายตัวแบบทวีคูณ ภายในศตวรรษเดียว ไฟฟ้ากลายเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมทั้งหมด

นักเศรษฐศาสตร์ William Nordhaus คำนวณว่าในศตวรรษที่ 18 แรงงาน 1 ชั่วโมงผลิต “แสงสว่าง” ได้เพียง 54 นาที แต่ปัจจุบันแรงงานเท่ากันผลิตแสงได้กว่า 50 ปี—นั่นคืออัตราการทวีคูณแบบที่แทบจินตนาการไม่ออก

.

7.3 คอมพิวเตอร์และทรานซิสเตอร์ – Turbo-Proliferation

และเมื่อมาถึง คอมพิวเตอร์ โลกก็เข้าสู่ยุคที่ Suleyman เรียกว่า Turbo-Proliferation—การแพร่กระจายที่เร็วราวกับติดจรวด

จาก ENIAC ปี 1945 ที่ใหญ่เท่าห้อง ไปสู่ทรานซิสเตอร์ปี 1947 และวงจรรวมยุค 1950–60 ตามด้วย “กฎของ Moore” ที่บอกว่าทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี ทำให้คอมพิวเตอร์เล็กลง ถูกลง และฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ

จากคอมพิวเตอร์หลักพันเครื่องในยุค 1950 วันนี้เรามีสมาร์ทโฟนกว่า 6 พันล้านเครื่อง และอุปกรณ์ดิจิทัลอีกนับไม่ถ้วน ทุกอย่างเชื่อมต่อกันจนกลายเป็นอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoT)

ผลลัพธ์คือข้อมูลที่ระเบิดแบบทวีคูณ: ทุกนาทีมีข้อมูลเพิ่มเข้าระบบโลกหลายล้านกิกะไบต์ ทุกข้อความ อีเมล รูปภาพ คลิปวิดีโอคือเศษคลื่นที่รวมกันเป็นสึนามิดิจิทัล

.

8. Containment Problem ปัญหาที่ไม่มีคำตอบง่าย ๆ

ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักเวทที่เผลอปล่อยปีศาจออกจากขวดโหล เมื่อมันหลุดแล้ว การพยายามยัดมันกลับเข้าไปแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นี่คืออุปมาที่ Mustafa Suleyman ใช้อธิบายสิ่งที่เขาเรียกว่า “ปัญหาการกักเก็บ” (Containment Problem)

เทคโนโลยีคือปีศาจในขวด เมื่อถูกค้นพบแล้ว ความรู้ก็ไม่หายไปไหน ต่อให้เผาหนังสือ ปิดห้องแล็บ หรือสั่งห้ามใช้งาน—สุดท้ายใครสักคนจะหาทางทำมันขึ้นมาใหม่ และมักเร็วกว่าเราคาดคิดเสมอ

ตลอดประวัติศาสตร์ มนุษย์พยายาม “ห้าม” เทคโนโลยีหลายครั้ง แต่ล้มเหลวแทบทุกครั้ง

ดินปืนในจีนโบราณ = เดิมทีถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยจักรพรรดิ แต่สุดท้ายก็แพร่ไปทั่วโลกผ่านการค้าและสงคราม จนกลายเป็นเครื่องมือสร้างและล้มจักรวรรดิ

การพิมพ์ในยุโรป = โบสถ์คาทอลิกพยายามกดดันและเซ็นเซอร์ แต่ไม่สามารถหยุดการเผยแพร่พระคัมภีร์แปลของ Martin Luther ได้ สุดท้ายก่อให้เกิดการปฏิรูปศาสนาที่สั่นคลอนทั้งยุโรป

คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในศตวรรษที่ 20 = หลายประเทศพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ต แต่พบว่ามันเป็นไปแทบไม่ได้ ยิ่งห้ามยิ่งทำให้คนหาทางเลี่ยงผ่าน VPN หรือระบบใหม่ ๆ

ทุกตัวอย่างชี้ไปทางเดียวกัน: Containment มักจะล้มเหลว เพราะเทคโนโลยีถูกออกแบบมาเพื่อถูกทำซ้ำ ขยายต่อ และราคาถูกลง

.

9. Revenge Effects ผลลัพธ์ย้อนกลับ

.

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การกักเก็บยาก คือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์เทคโนโลยีเรียกว่า “Revenge Effects” ผลย้อนกลับที่คาดไม่ถึง

เราสร้างรถยนต์เพื่อเดินทางเร็วขึ้น → แต่ได้ปัญหามลพิษ รถติด และอุบัติเหตุ

เราสร้างอินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงข้อมูล → แต่ได้ misinformation, deepfake และ cybercrime

เราคิดว่าปุ๋ยเคมีคือคำตอบของการเกษตร → แต่ได้การเสื่อมโทรมของดินและภาวะโลกร้อน

ความพยายามควบคุมเทคโนโลยีจึงมักสร้างปัญหาใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม เหมือนพยายามกดลูกโป่งด้านหนึ่งแต่ด้านอื่นก็พองออกมา

.

10. การควบคุมที่แทบเป็นไปไม่ได้

Suleyman ชี้ให้เห็นว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้การ Containment แทบเป็นไปไม่ได้

ความรู้กระจายง่าย – งานวิจัยใหม่เผยแพร่ทางออนไลน์ได้ทันที ไม่ต้องพิมพ์เป็นเล่มเหมือนอดีต

ต้นทุนต่ำลงเรื่อย ๆ – เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่เคยแพงมหาศาล กลายเป็นของที่หาซื้อออนไลน์ได้

แรงจูงใจมหาศาล – ทั้งเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร ทำให้ผู้เล่นหลายฝ่ายอยากได้เปรียบ

การทำซ้ำง่าย – ต่างจากยุคอุตสาหกรรมที่โรงงานใหญ่ ๆ เป็นข้อจำกัด วันนี้คนไม่กี่คนในห้องแล็บเล็ก ๆ ก็ทำสิ่งที่ทรงพลังได้

ผลลัพธ์คือแม้รัฐพยายามออกกฎเข้มงวด ก็แทบไม่อาจหยุดยั้งนักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ หรือแม้กระทั่งแฮกเกอร์สมัครเล่นจากอีกซีกโลกได้

.

11. เทคโนโลยี คือดาบสองคม

ทุกครั้งที่เราพยายามควบคุม เราก็พบว่าเทคโนโลยีคือดาบสองคม มันสร้างประโยชน์มหาศาล แต่ขณะเดียวกันก็ซ่อนความเสี่ยงร้ายแรงไว้เสมอ

นิวเคลียร์ ให้พลังงานสะอาดแต่ก็เป็นระเบิดทำลายล้าง

“AI” ให้ระบบแนะนำเพลงหรือแพทย์ช่วยวินิจฉัย แต่ก็อาจใช้สร้างกองทัพหุ่นยนต์หรือ deepfake propaganda

“ชีววิทยาสังเคราะห์” ให้ยารักษามะเร็ง แต่ก็อาจสร้างไวรัสร้ายแรงที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

Suleyman เตือนว่า “ทุกเทคโนโลยีสำคัญคือโอกาส + ภัยคุกคาม” ในเวลาเดียวกัน

.

12. การควบคุมคือการแก้สมการที่ไม่มีคำตอบ

ปัญหาใหญ่คือ ถ้าเราพยายามหยุดคลื่น ก็เสี่ยงเสียโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคง ถ้าเราไม่หยุด ก็เสี่ยงหายนะใหญ่จากการใช้ผิดทาง

นี่จึงเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า “Dilemma เชิงโครงสร้าง”

ถ้าพัฒนา → โลกได้ประโยชน์มหาศาล แต่ก็เสี่ยง Catastrophic Failure

ถ้าไม่พัฒนา → โลกอาจถูกคู่แข่งทิ้งห่าง หรือจมอยู่ในสภาวะถดถอย

ที่ผ่านมา การแพร่กระจายยังถูกจำกัดด้วยทรัพยากร—รถยนต์ต้องการโรงงานใหญ่ ไฟฟ้าต้องการโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล แต่สำหรับคลื่นใหม่อย่าง AI และ Synthetic Biology เงื่อนไขเปลี่ยนไป

AI ต้องการเพียงข้อมูล + คอมพิวเตอร์ + นักพัฒนา → ซึ่งแพร่กระจายทั่วโลก

Synthetic Biology เริ่มต้นจากเครื่องมือราคาถูกที่ใคร ๆ ก็สั่งออนไลน์ได้

ทั้งสองคือ “General-Purpose Technologies” ที่ประยุกต์ได้ทุกที่ ตั้งแต่การแพทย์ การเงิน การทหาร จนถึงการเมือง

นี่ทำให้ Containment ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะมันไม่ใช่แค่การกักเครื่องจักร แต่มันคือการกัก “ความรู้” และ “อัลกอริทึม” ซึ่งลื่นไหลเกินกว่าจะขังได้

.

13. The Technology of Intelligence ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะคลื่นลูกใหม่

“ปัญญาคือพลังสูงสุด”

ในบรรดาทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างมา ตั้งแต่ไฟฟ้า เครื่องยนต์ ไปจนถึงอินเทอร์เน็ต ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนเกมได้เท่ากับการสร้าง “ปัญญา” ขึ้นมาเอง ถ้าเรามีเทคโนโลยีที่สามารถคิด เรียนรู้ และตัดสินใจได้ เทคโนโลยีนั้นก็สามารถ “ออกแบบเทคโนโลยีอื่น ๆ ต่อ” ได้อีก นี่คือ “Meta-Technology” ที่ไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็นผู้สร้างเครื่องมือ

Mustafa Suleyman เรียก AI ว่า “เทคโนโลยีของปัญญา” (Technology of Intelligence) คลื่นลูกใหม่ที่แตะต้องแกนกลางที่สุดของความเป็นมนุษย์

ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา AI เดินทางมาไกลจากการเป็น “ของเล่นวิชาการ” ไปสู่เทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

I. Narrow AI – ระบบที่ทำได้ดีในงานเฉพาะ เช่น เครื่องคำนวณหมากรุก หรือระบบแนะนำหนังใน Netflix

II. General AI (AGI) – แนวคิดของ AI ที่มีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ ทำได้หลายอย่างหลากมิติ

III. Artificial Capable Intelligence (ACI) – จุดที่ Suleyman เชื่อว่าเป็นจริงในเร็ววัน AI ที่ไม่จำเป็นต้องมี “สติ” แต่มีความสามารถระดับมนุษย์ในงานส่วนใหญ่

ACI ไม่ต้องเข้าใจโลกแบบมนุษย์ แต่เพียงทำงานได้ “ดีพอ” และ “เร็วกว่า” ในแทบทุกสาขา ตั้งแต่การเขียนโค้ด การออกแบบยา ไปจนถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์

.

14. ความสามารถใหม่ที่ก้าวกระโดด

สิ่งที่ทำให้ AI กลายเป็นคลื่นลูกใหม่คือความสามารถที่ซ้อนทับและทวีคูณ:

การรับรู้ (Perception) – AI มองภาพ ฟังเสียง แปลภาษาได้

การสร้าง (Generation) – สร้างข้อความ เพลง ภาพยนตร์ Simulation ที่สมจริง

การคิดเชิงนามธรรม – แก้โจทย์คณิตศาสตร์ เขียนโค้ด สร้างทฤษฎีใหม่

การทำงานแบบ Autonomous – ระบบที่ไม่ต้องรอคำสั่งมนุษย์ แต่ตั้งเป้าหมายและทำงานเอง

ลองคิดถึง AI ที่สามารถ “ออกแบบ AI รุ่นใหม่” ที่เก่งกว่าเดิม นี่คือการเร่งความก้าวหน้าที่เหมือนป้อนเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ไม่มีวันดับ

ประวัติศาสตร์บอกเราว่า “เทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดคือเทคโนโลยีแบบ General-Purpose” ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เพราะมันใช้ได้ทุกที่และสร้างนวัตกรรมต่อยอดไม่รู้จบ

AI คือ General-Purpose Technology ที่เหนือกว่าใครทั้งหมด เพราะ “ปัญญา” คือแกนกลางของทุกสิ่งบนโลก:

เศรษฐกิจ = การตัดสินใจเชิงปัญญา

วิทยาศาสตร์ = การคิดและการทดลอง

ศิลปะ = การสร้างสรรค์เชิงปัญญา

การเมือง = การวิเคราะห์และกลยุทธ์

เมื่อเรามีเครื่องจักรที่ “คิดได้” ทุกอุตสาหกรรมย่อมถูกพลิกจากรากฐาน

ทำไม AI จึงต่างจากคลื่นที่ผ่านมา?

มีสามเหตุผลหลักที่ทำให้ AI เป็นคลื่นที่ “พิเศษ”

I. ไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ – รถยนต์ต้องใช้เหล็ก น้ำมัน ถนน แต่ AI ต้องการเพียงพลังประมวลผลและข้อมูล ซึ่งถูกลงเรื่อย ๆ

II. ทำซ้ำง่าย – โมเดลที่เทรนแล้วสามารถก๊อปปี้ได้ในทันที ต่างจากโรงงานหรือเครื่องจักรที่ต้องสร้างใหม่

III. เร่งตัวเองได้ – AI ออกแบบ AI ได้ → วงจรเร่งปัญญา (Intelligence Acceleration)

นี่ทำให้การแพร่กระจายของ AI รวดเร็วกว่าทุกเทคโนโลยีที่ผ่านมาแบบหลายลำดับขั้น

.

.

15. ภาพโลกที่ AI ครอบงำ

.

Suleyman จินตนาการว่าในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า AI จะไม่ใช่แค่แอปในมือถือ แต่จะอยู่ในทุกสิ่ง:

โรงพยาบาลที่ใช้ AI วินิจฉัยโรคแม่นยำกว่าแพทย์

ศาลที่ใช้ AI วิเคราะห์หลักฐานและช่วยตัดสินคดี

ตลาดการเงินที่มี AI แข่งกันในระดับนาโนวินาที

กองทัพที่มีหุ่นยนต์อัตโนมัติสู้รบแทนมนุษย์

เมื่อถึงจุดนั้น มนุษย์อาจไม่ใช่ผู้เล่นหลักอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ผู้สังเกตการณ์” ในโลกที่ปัญญาเทียมขับเคลื่อน

แต่ประเด็นนี้ไม่ได้ใหม่ นักคิดตั้งแต่ Alan Turing, Norbert Wiener จนถึง Stephen Hawking ต่างเคยเตือนถึง AI ในฐานะ “ภัยคุกคามอัตถวิสัย” (Existential Risk)

Turing บอกตั้งแต่ปี 1951 ว่าเมื่อเครื่องจักรเรียนรู้ได้ มันอาจก้าวข้ามมนุษย์

Wiener เตือนว่าเรากำลังสร้างเครื่องจักรที่อาจ “ไม่ฟังเจ้านาย”

Hawking เคยกล่าวว่า AI อาจเป็นทั้ง “สิ่งที่ดีที่สุดหรือเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติ”

.

.

16. The Technology of Life การเขียนโค้ดชีวภาพ

จากการสังเกต → การเขียนโค้ดชีวิต

ถ้ายุคก่อนมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่พยายาม “อ่าน” ธรรมชาติ เราศึกษาต้นไม้ สัตว์ และโรคภัยเพื่อหาวิธีอยู่รอด

ศตวรรษนี้เรากำลังกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถ “เขียน” ธรรมชาติใหม่ ได้โดยตรง

Mustafa Suleyman เรียกสิ่งนี้ว่า The Technology of Life: เทคโนโลยีที่ไม่ได้แค่ใช้พลังงานหรือข้อมูล แต่แตะต้อง “ชีวิต” เอง โดยเฉพาะในรูปแบบ ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) และ พันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering)

เหมือนกับที่ AI เป็นการสร้าง “ปัญญาเทียม” ขึ้นมา ชีววิทยาสังเคราะห์ก็คือการสร้าง “ชีวิตเทียม” หรืออย่างน้อยคือการปรับแต่งสิ่งมีชีวิตให้ทำงานตามที่มนุษย์ออกแบบ

.

17. CRISPR กรรไกรโมเลกุล

.

หนึ่งในจุดเปลี่ยนคือการค้นพบ CRISPR-Cas9 เครื่องมือแก้ไขยีนที่ถูกเรียกว่า “กรรไกรโมเลกุล” ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตัดต่อ DNA ได้แม่นยำ ราคาถูก และเข้าถึงได้ง่าย

เมื่อก่อนการแก้ไขยีนใช้เวลาหลายเดือนและมีค่าใช้จ่ายนับล้านดอลลาร์

วันนี้นักศึกษาระดับปริญญาโทก็สามารถใช้ CRISPR ในห้องแล็บขนาดเล็กได้

บริษัท startup ด้าน Biotech ผุดขึ้นมานับร้อยที่แข่งขันกันออกแบบเซลล์ จุลชีพ และพืชผลรุ่นใหม่

สิ่งนี้ทำให้ “ชีวิต” ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับนวัตกรรม

.

18. การสังเคราะห์ DNA

อีกเทคโนโลยีคือการ สังเคราะห์ DNA หรือการ “พิมพ์” ลำดับพันธุกรรมใหม่ตั้งแต่ศูนย์

บริษัทเช่น Twist Bioscience สามารถพิมพ์ DNA ได้ตามสั่ง ลูกค้าสามารถอีเมลไฟล์ลำดับยีน แล้วไม่กี่วันต่อมาก็ได้รับ DNA ที่ออกแบบเองทางไปรษณีย์

เมื่อ DNA กลายเป็น “ซอฟต์แวร์ชีวภาพ” ที่ใคร ๆ ก็โหลด ส่ง และปรับแต่งได้ง่าย โลกจึงเข้าสู่จุดที่ชีวิตถูกเขียนขึ้นใหม่เหมือนเขียนโค้ดโปรแกรม

.

19. โอกาสมหาศาล

ถ้าใช้ในทางที่ดี ชีววิทยาสังเคราะห์สัญญาว่าจะเปลี่ยนโลก:

การแพทย์ – ออกแบบยีนเพื่อรักษาโรคทางพันธุกรรม รักษามะเร็ง หรือสร้างวัคซีนใหม่ภายในไม่กี่สัปดาห์ (เช่น วัคซีน mRNA ช่วงโควิด)

เกษตรกรรม – พืชที่ทนแล้ง ผลผลิตสูง ใช้ปุ๋ยน้อยลง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

พลังงาน – จุลชีพที่ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพแทนน้ำมัน

อุตสาหกรรม – แบคทีเรียที่ผลิตสารเคมี พลาสติกที่ย่อยสลายได้ หรือเส้นใยใหม่ที่แข็งแรงกว่าหลอดเหล็ก

พูดง่าย ๆ คือ มันอาจเป็นคำตอบของวิกฤตโลกหลายด้าน สุขภาพ อาหาร และสิ่งแวดล้อม

.

20. ความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน

แต่ Suleyman เน้นย้ำว่า ทุกเทคโนโลยีคือดาบสองคม และเมื่อเราพูดถึง “การออกแบบชีวิต” ความเสี่ยงก็ใหญ่มหาศาล

การสร้างไวรัสร้ายแรง – ในปี 2002 นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างไวรัสโปลิโอจาก DNA ที่สั่งซื้อทางออนไลน์ได้สำเร็จ

การระบาดที่เกิดจากแล็บ – สมมติการทดลองหลุดรอดออกมา อาจก่อให้เกิดโรคระบาดใหญ่ที่ควบคุมไม่ได้

Biohacking – ชุมชนเล็ก ๆ ของ “Biohacker” ที่ทำการทดลองในโรงรถและห้องใต้ดิน เพิ่มความเสี่ยงที่ใครบางคนจะสร้างสิ่งอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจ

Bioterrorism – กลุ่มก่อการร้ายหรือรัฐเผด็จการที่ใช้ชีววิทยาสังเคราะห์สร้างอาวุธชีวภาพที่ร้ายแรงกว่าระเบิดนิวเคลียร์

ทำไมการควบคุมยากยิ่งกว่า AI?

AI อันตรายเพราะมันทำงานอัตโนมัติ แต่ชีววิทยาสังเคราะห์อันตรายเพราะมัน “เลียนแบบและใช้กฎของธรรมชาติเอง”

โค้ด DNA สามารถคัดลอกตัวเองได้ (ผ่านการแบ่งเซลล์)

สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการได้เอง ทำให้สิ่งที่มนุษย์สร้างอาจกลายพันธุ์ไปในทิศทางที่คาดไม่ถึง

ความรู้ทางพันธุกรรมแพร่กระจายเร็วพอ ๆ กับซอฟต์แวร์บน GitHub

ดังนั้นปัญหา Containment ในชีววิทยาสังเคราะห์จึงยิ่งยากกว่าปัญหาการควบคุม AI เสียอีก

.

21. จุดร่วมของ AI และ Synthetic Biology

แม้ดูต่างกัน แต่ทั้งสองคือ คลื่นคู่ขนาน ที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน

ทำซ้ำง่าย

ราคาถูกลงเรื่อย ๆ

ใช้ได้หลากหลาย (Omni-Use)

มีแรงจูงใจสูงจากการเมืองและเศรษฐกิจ

และเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งคู่แตะต้อง “สิ่งที่เป็นรากฐานของโลกมนุษย์” ปัญญาและชีวิต

.

22. The Wider Wave & Four Features คลื่นกว้างที่ถาโถม

เมื่อเราพูดถึง Coming Wave คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแค่ AI แต่ Suleyman ชี้ว่ามันกว้างกว่านั้น คลื่นนี้คือ “การมาบรรจบกัน” ของเทคโนโลยีหลายแขนงที่เสริมพลังซึ่งกันและกัน

AI – ปัญญาที่เขียนโค้ดและวิเคราะห์ข้อมูลแทนมนุษย์

Synthetic Biology – การเขียนชีวิตใหม่เหมือนซอฟต์แวร์

หุ่นยนต์ (Robotics) – แขนขาและการเคลื่อนไหวที่ทำงานเอง

นาโนเทคโนโลยี – การควบคุมสสารในระดับโมเลกุล

ควอนตัมคอมพิวติ้ง – พลังประมวลผลที่ทะลุข้อจำกัดเดิม

เทคโนโลยีพลังงานใหม่ – เช่น ฟิวชัน ที่ปลดล็อกพลังงานมหาศาล

เมื่อทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกัน เราก็จะได้โลกที่ AI ออกแบบยีน หุ่นยนต์ผลิตเซลล์ชีวภาพ ควอนตัมเร่งการค้นพบยา และพลังงานราคาถูกทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างไร้ข้อจำกัด คลื่นนี้จึงไม่ใช่เพียง “ลูกเดียว” แต่คือ “พายุหลายลูกซ้อนทับกัน”

.

23. คุณสมบัติ 4 ประการของคลื่นใหม่

Suleyman เน้นว่าเทคโนโลยีในคลื่นนี้มี “4 ลักษณะร่วม” ที่ทำให้มันอันตรายกว่าทุกยุคที่ผ่านมา

I. Asymmetry – ความไม่สมดุล

ในอดีตอาวุธร้ายแรงมักอยู่ในมือรัฐมหาอำนาจ เช่น ระเบิดนิวเคลียร์ต้องการยูเรเนียม โรงงาน และนักวิทยาศาสตร์นับพัน แต่คลื่นใหม่นี้อาจอยู่ในมือของ “คนไม่กี่คน” ก็ได้

AI model ที่ดาวน์โหลดฟรีอาจใช้สร้างมัลแวร์ระดับชาติได้

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มเล็กอาจสร้างไวรัสใหม่ในห้องแล็บ

กลุ่มหัวรุนแรงอาจเข้าถึงพลังที่ครั้งหนึ่งต้องการทรัพยากรระดับจักรวรรดิ

“อำนาจจึงไม่สมดุล” จากที่เคยกระจุกในมือรัฐใหญ่ กลับกระจายไปสู่ปัจเจกหรือกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ง่าย

.

II. Hyper-Evolution – วิวัฒนาการแบบเร่งด่วน

สิ่งมีชีวิตใช้เวลาหลายล้านปีในการวิวัฒนาการ แต่ซอฟต์แวร์ AI สามารถอัปเดตทุกสัปดาห์ เซลล์ที่ตัดแต่งพันธุกรรมสามารถทดสอบหลายพันรุ่นในไม่กี่เดือน

AI สามารถ “เรียนรู้จากความผิดพลาด” เร็วกว่าเรา

ชีววิทยาสังเคราะห์สามารถสร้างสายพันธุ์ใหม่ ๆ ได้ในเวลาอันสั้น

หุ่นยนต์สามารถทดสอบการเคลื่อนไหวหลายหมื่นรูปแบบใน Simulation ก่อนสร้างจริง

นี่คือการเร่งวิวัฒนาการจนมนุษย์ตามไม่ทัน และไม่แน่ใจว่าจะหยุดตรงไหน

.

III. Omni-use – ใช้ได้ทุกอย่าง

ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานได้กว้าง แต่ AI และ Synthetic Biology นั้น กว้างกว่าหลายเท่า

AI ใช้ได้ทั้งในงานดี (รักษาโรค) และงานร้าย (ทำ Deepfake)

DNA Printing ใช้สร้างวัคซีนได้ แต่ก็สร้างไวรัสได้เช่นกัน

หุ่นยนต์ใช้กู้ภัยก็ได้ หรือใช้ในสนามรบก็ได้

Omni-use ทำให้การควบคุมแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า “งานดี” กับ “งานร้าย” อยู่ตรงไหน มันคือเหรียญสองด้านเสมอ

.

IV. Autonomy – ความเป็นอิสระ

เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้รอคำสั่งมนุษย์เสมอไป แต่มันเริ่ม “ตัดสินใจเอง”

หุ่นยนต์โดรนอาจเลือกเป้าหมายเองโดยไม่ต้องรอคำสั่ง

AI อาจเขียนโค้ดเพื่อปรับปรุงตัวเองโดยไม่ต้องถามใคร

ระบบชีวภาพอาจกลายพันธุ์ไปในทางที่มนุษย์ไม่ได้ออกแบบ

เมื่อเทคโนโลยีเริ่ม “เป็นอิสระ” ปัญหาการควบคุมก็ซับซ้อนขึ้นมหาศาล เพราะเราไม่ได้เป็นคนขับอีกต่อไป แต่เป็นแค่ “ผู้โดยสารในรถที่วิ่งเอง”

ทำไมทั้งสี่ข้อจึงน่ากังวล?

เมื่อคุณสมบัติทั้งสี่มารวมกัน ภาพที่ได้คือโลกที่…

คนกลุ่มเล็ก ๆ มีพลังอำนาจมหาศาล (Asymmetry)

ทุกอย่างเร่งตัวเร็วเกินกว่ามนุษย์จะตามทัน (Hyper-Evolution)

ใช้ได้ทั้งทางสร้างและทำลาย (Omni-Use)

และบางครั้งมันไม่ฟังเราเลย (Autonomy)

นี่คือสูตรสมบัติผสมที่พร้อมจะสร้างทั้ง ความรุ่งเรืองมหาศาล และ หายนะที่ยากจะป้องกัน ในเวลาเดียวกัน

Suleyman บอกว่าคุณสมบัติ 4 ข้อนี้จะทำหน้าที่เหมือน Amplifier “เครื่องขยายความเปราะบางของรัฐและสังคม”

ข้อมูลปลอมแพร่เร็ว = ความวุ่นวายทางการเมือง

ไวรัสใหม่ระบาด = ความตื่นตระหนกระดับโลก

AI สร้างอาวุธ = สงครามที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้

หุ่นยนต์และ automation = การว่างงานครั้งใหญ่

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาเทคโนโลยี แต่คือ “ปัญหาความมั่นคงอารยธรรม”

.

24. Unstoppable Incentives พลังผลักดันที่ต้านไม่ไหว

“เมื่อรู้ว่าอันตราย แต่ยังเดินหน้า”

ลองนึกภาพนักบินที่เห็นพายุใหญ่ตรงหน้า แต่เลือกบินทะลุเข้าไป เพราะอีกฟากหนึ่งมีทองคำรออยู่

นี่คืออุปมาที่ใกล้เคียงที่สุดกับสิ่งที่โลกกำลังทำกับ AI และชีววิทยาสังเคราะห์

เรารู้ว่ามี ความเสี่ยงหายนะ (Catastrophic Risk) แต่เรายังเดินหน้าต่อ เพราะแรงจูงใจ (Incentives) นั้นมากเกินไป: เศรษฐกิจ มหาอำนาจทางการเมือง และความทะเยอทะยานของมนุษย์

Mustafa Suleyman เรียกสิ่งนี้ว่า “แรงจูงใจที่หยุดไม่อยู่” (Unstoppable Incentives)

I. แรงจูงใจแรก การแข่งขันระหว่างรัฐมหาอำนาจ

ไม่มีประเทศไหนอยาก “ตามหลัง” เมื่อเทคโนโลยีใหม่สามารถเปลี่ยนสมดุลโลกได้

สงครามเย็นนิวเคลียร์ เป็นตัวอย่างชัด: สหรัฐฯ และโซเวียตแข่งกันพัฒนา แม้ต่างฝ่ายรู้ดีว่ามันอาจนำไปสู่การทำลายล้างโลก แต่ ไม่พัฒนาไม่ได้ เพราะจะเสี่ยงเสียเปรียบ

วันนี้คือ AI Race ระหว่างสหรัฐฯ จีน และยุโรป ใครครองโมเดลที่ทรงพลังที่สุด จะได้เปรียบทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และการเมืองโลก

ในชีววิทยาสังเคราะห์ก็เช่นกัน: การแข่งขันผลิตวัคซีน mRNA ช่วงโควิดแสดงให้เห็นว่าใครพัฒนาได้ก่อน ย่อมมีอำนาจต่อรองและชื่อเสียงมหาศาล

รัฐชาติจึงไม่มีทางยอม “หยุดพัฒนา” ต่อให้รู้ว่ามีความเสี่ยง เพราะความกลัวถูกทิ้งห่างนั้นร้ายแรงพอ ๆ กับความเสี่ยงหายนะเอง

II. แรงจูงใจที่สอง เงินและเศรษฐกิจ

ทุนไหลไปสู่เทคโนโลยีเหมือนน้ำไหลลงที่ต่ำ

Venture Capital เทเงินมหาศาลลงในบริษัท AI, Biotech, Robotics เพราะหวังผลตอบแทนมหาศาล

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต้องลงทุนแข่งกันเพื่อครองตลาด ไม่ลงทุนคือการเสี่ยงเสียตำแหน่ง

ประวัติศาสตร์บอกเราว่า ทุกการปฏิวัติเทคโนโลยีสร้างเศรษฐกิจใหม่มหาศาล: รถยนต์สร้างอุตสาหกรรมยาง ถนน น้ำมัน อินเทอร์เน็ตสร้าง Google, Amazon, Facebook

แล้วใครจะหยุดลงทุน ในเมื่อข้างหน้าคือ “ตลาดมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์”?

III. แรงจูงใจที่สาม วัฒนธรรมของการเผยแพร่ (Open-Source Culture)

ต่างจากอาวุธนิวเคลียร์ที่ถูกควบคุมโดยรัฐ เทคโนโลยีใหม่อย่าง AI มี วัฒนธรรม open-source ที่ผลักดันการเผยแพร่

โค้ด AI ถูกแชร์ฟรีบน GitHub

งานวิจัยชีววิทยาถูกตีพิมพ์แบบ Open-Access

Biohacker Community แชร์วิธีทดลองยีนเหมือนแชร์สูตรอาหาร

สิ่งนี้ทำให้ “การเก็บเป็นความลับ” แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อใน “อุดมการณ์ความรู้เพื่อมนุษยชาติ” และยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งผลักให้มีคนปล่อยของ

IV. แรงจูงใจที่สี่: จิตวิทยาและความทะเยอทะยานของมนุษย์

มนุษย์ไม่เพียงทำเพราะเงินหรือการแข่งขัน แต่ยังเพราะความอยากรู้ อยากลอง และอยากยิ่งใหญ่

นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากขับเคลื่อนด้วยความฝัน: อยากรักษาโรค อยากสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน

นักลงทุนจำนวนมากขับเคลื่อนด้วยความโลภ: อยากเป็นเจ้าของยูนิคอร์นตัวต่อไป

รัฐบาลจำนวนมากขับเคลื่อนด้วยความกลัว… กลัวถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ทั้งหมดนี้รวมกันคือแรงจูงใจที่ไม่มีปุ่มหยุด

.

25. “The Dilemma” และทำไมแรงจูงใจเหล่านี้ถึงอันตราย

ตัวอย่างในอดีต

การแข่งขันอวกาศ – การไปดวงจันทร์ไม่ได้มีประโยชน์เศรษฐกิจโดยตรง แต่ถูกผลักดันด้วยเกียรติภูมิและอำนาจทางการเมือง

โครงการ Human Genome Project – ใช้เงินมหาศาล แต่เปิดทางสู่อุตสาหกรรม biotech มูลค่าหลายแสนล้าน

อินเทอร์เน็ต – เริ่มจากโครงการทางทหาร (ARPANET) แต่เมื่อแพร่สู่พลเรือนก็กลายเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครองโลก

ลองจินตนาการว่าคุณยืนอยู่บนสะพานแขวนที่แคบมาก ด้านซ้ายคือเหวลึก ด้านขวาคือภูเขาไฟที่กำลังปะทุ ไม่ว่าคุณจะเอียงไปทางไหน ก็ดูเหมือนจะตกลงสู่หายนะ

นี่คือภาพที่ Suleyman ใช้เพื่ออธิบาย “The Dilemma” ของศตวรรษนี้

ถ้าเรา “เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี” เต็มที่ → เราเสี่ยงหายนะจากการแพร่กระจายที่ควบคุมไม่ได้: AI weaponization, engineered pandemics, cyberwarfare ระดับโลก

ถ้าเรา “หยุดหรือชะลอการพัฒนา” → เราเสี่ยงไปสู่โลกดิสโทเปีย: เผด็จการใช้กฎหมายควบคุมเข้มงวด, ความล้าหลัง, และการถูกประเทศอื่นแซงหน้า

ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ดูเหมือน “ผิดหมด” จึงกลายเป็น “ทางเดินแคบ” (Narrow Path) ที่ยากอย่างยิ่ง

.

26. Pessimism-Aversion Trap

หนึ่งในประเด็นที่ Suleyman ชี้คือ มนุษย์มักติดกับดักทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “pessimism-aversion”

เราไม่อยากคิดถึงหายนะ จึงมองโลกในแง่ดีเกินไป

ผู้นำการเมืองไม่กล้าเตือนเรื่องอันตรายเพราะกลัวเสียงเลือกตั้งหาย

นักลงทุนไม่อยากพูดถึงความเสี่ยงเพราะจะทำให้ตลาดสะดุด

ผลคือโลก “ปิดหูปิดตา” ต่อความจริงด้านมืดของเทคโนโลยี แล้วปล่อยให้มันพัฒนาไปเรื่อย ๆ

.

27. ข้อเสนอของ Suleyman

Suleyman เสนอว่าเส้นทางแคบต้องอาศัยการผสมผสานของหลายชั้น:

การกำกับดูแลระดับชาติ – กฎหมายควบคุมการวิจัย การเผยแพร่ และการใช้งาน

ข้อตกลงระหว่างประเทศ – สนธิสัญญาใหม่สำหรับ AI และชีววิทยา เหมือนที่เคยทำกับนิวเคลียร์

การมีส่วนร่วมของบริษัท – บริษัทเทคโนโลยีต้องยอมรับความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่แสวงหากำไร

วัฒนธรรมความรับผิดชอบ – นักวิทยาศาสตร์และสังคมต้องตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมอย่างจริงจัง

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขามองว่าเป็นไปได้ในเชิงหลักการ แม้จะยากในเชิงปฏิบัติ

.

.

#Ending

.

===================================

.

ในที่สุด The Coming Wave ก็พาเรายืนอยู่ริมชายหาด มองออกไปเห็นคลื่นลูกใหม่ที่กำลังซัดเข้ามา…

และแน่นอน คลื่นนี้ไม่ได้มาเบา ๆ แบบชวนลงไปเล่นน้ำ แต่เป็นสึนามิที่พกเอา AI, ชีววิทยาสังเคราะห์, ควอนตัมคอมพิวติ้ง และหุ่นยนต์ติดอาวุธมาด้วยครบเซ็ต ฟังแล้วอาจเหมือนหนังไซไฟ แต่ Suleyman พยายามจะบอกเราว่า ไม่ต้องรอฮอลลีวูดอนุญาต มันกำลังจะมาแน่ ๆ

ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่การสร้าง “กำแพงกันคลื่น” (ซึ่งมักพังเสมอ) แต่คือการหัดโต้คลื่นให้เป็นอย่างมีศิลปะ ลองนึกภาพว่าประเทศหนึ่ง ๆ ก็คือทีมโต้คลื่น ทีมงานมีครบทั้ง “รัฐบาล” ที่เป็นไลฟ์การ์ดคอยเป่านกหวีด (บางทีเป่าเพราะคลื่นอันตราย บางทีเป่าเพราะอยากกลับบ้าน), “นักวิจัย” ที่เป็นครูสอนโต้คลื่นพยายามบอกวิธีเอาตัวรอด, “บริษัทเทคฯ” ที่เป็นร้านเช่ากระดานพร้อม Upsell น้ำมะพร้าวแพง ๆ, และสุดท้ายคือ “ประชาชน” ที่จริง ๆ แค่อยากลงไปแช่น้ำเย็น ๆ แต่ดันโดนซัดไปกับคลื่นโลกแบบไม่ทันตั้งตัว

พอหันไปอีกฝั่ง เห็นประเทศเพื่อนบ้านกำลังซ้อมโต้คลื่นอย่างเมามัน เราก็เริ่มกังวลว่า “เฮ้ย ถ้าเรายังยืนเถียงกันริมชายหาด เขาไม่โต้คลื่นไปถึงอีกทวีปก่อนแล้วเหรอ?” ผลก็คือ ไม่ว่ากลัวแค่ไหน เราก็ต้องลงน้ำกับเขาอยู่ดี…เพราะใครหยุดก่อน ก็มักถูกทิ้งไว้บนฝั่งพร้อมชายหาดร้าง ๆ และร้านขายบะหมี่ที่ไม่มีลูกค้า

ทางเลือกที่แท้จริงไม่ใช่การหนีหรือการปล่อยไหล แต่คือการสร้าง “ท่าโต้คลื่นที่ดี” + “เสื้อชูชีพความรับผิดชอบ” ถ้าคลื่นแรงไปก็พักขึ้นมาจิบมะพร้าวสักอึก (เรียกว่า ชะลออย่างมีสติ) และถ้าคลื่นนิ่งไปก็อย่าเผลอหลับ

และถ้าในวันหนึ่งคุณเห็นแอดโบกมือริมชายหาด ไม่ต้องตกใจ ไม่ได้เรียกให้หนีคลื่น แต่เรียกให้รีบลงไปซ้อมด้วยกันต่างหาก เพราะคลื่นลูกนี้มันใหญ่เกินกว่าคนใดคนหนึ่งจะรับได้คนเดียว ใส่เสื้อชูชีพ กอดกระดานให้แน่น และทำตัวให้พอมีอารมณ์หัวเราะได้เวลาโดนคลื่นซัดหน้าเต็ม ๆ ครับ

.

.

.

.

#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ How Countries Go Broke: The Big Cycle เขียนโดย Ray Dalio

Next
Next

สรุปหนังสือ 21 Lessons for the 21st Century เขียนโดย Yuval Noah Harari