สรุปหนังสือ Why Nations Fail เขียนโดย Daron Acemoglu และ James A. Robinson (รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2024)
บางคนอาจเห็นหน้าปก Why Nations Fail แล้วเผลอเบ้ปาก “อ๋อ…นี่มันก็คงเป็นหนังสืออีกเล่มที่ไลฟ์โค้ชมักเตือนว่าอย่าไปยุ่ง” เพราะสูตรสำเร็จของพวกเขาคือ “อย่าโทษระบบ จงโทษตัวเอง” …ถนนพังไม่ใช่เพราะการเมือง แต่เพราะคุณยังไม่ตื่นตีห้าไปวิ่ง, ธุรกิจเจ๊งไม่ใช่เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่เพราะคุณยังไม่อาบน้ำเย็นทุกเช้าแล้วตะโกนว่า I’m the best! ใส่กระจก ฯลฯ
.
คุณมีสิทธิ์จะเชื่อใครก็ได้ครับ ส่วนหนังสือเล่มนี้จะพาเราออกจากโลกพัฒนาตัวเองรายบุคคล มาสู่ภาพใหญ่ระดับ “ประเทศ” ว่าทำไมบางชาติถึงรุ่งเรือง ขณะที่บางชาติกลับล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ Daron Acemoglu และ James Robinson เป็นศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ MIT กับศาสตราจารย์รัฐศาสตร์ Harvard, เพิ่งเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลปี 2024, และเหตุการณ์ที่เนปาลก็เพิ่งยืนยันคำพูดของพวกเขาไป
.
ภาพเปิดของหนังสือพาเราไปยืนกลางจัตุรัส Tahrir กรุงไคโร ปี 2011 ฝูงชนเรือนแสนตะโกนพร้อมกัน เสียงดังก้องไปทั้งเมือง ไม่ใช่เพราะมีคอนเสิร์ต Coldplay มาเปิด แต่เพราะผู้คนทนไม่ไหวกับ Hosni Mubarak ที่ครองอำนาจมากว่าสามทศวรรษแล้วเล่นบทผูกขาดจนเศรษฐกิจทั้งประเทศเหมือนร้านขายของที่เจ้าของโกยเงินเข้ากระเป๋าเองอย่างเดียว
.
เสียงตะโกนของชาวอียิปต์วันนั้นแปลได้ง่ายๆว่า
“เราทนคอร์รัปชันไม่ไหวแล้ว”
“การศึกษาห่วยแตก”
“รัฐไม่ทำอะไรให้เราเลยนอกจากเก็บภาษี”
.
สิ่งที่ Daron Acemoglu และ James Robinson ค้นพบคือความจริงที่ดิบโหดและอาจไม่สวยหรู ความยากจนของประเทศคือผลพวงของระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่ชนชั้นนำออกแบบมาเพื่อดูดทรัพยากรจากประชาชนส่วนใหญ่ มันคือการปล้นที่ถูกกฎหมาย การขูดรีดที่ถูกทำให้เป็นกฎกติกา
.
พวกเขาเรียกมันว่า "Extractive Institutions"
.
นี่คือเรื่องราวของการเปิดโปงความจริงที่ถูกปกปิดมานานเป็นศตวรรษ ความจริงที่ว่าความล้มเหลวของประเทศไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่คือผลงานการออกแบบชั้นยอดของผู้ที่ต้องการคงอำนาจไว้ชั่วนิรันดร์
.
.
============================
.
1. นักวิชาการ vs. คนขายฟาลาเฟล
.
สิ่งตลกร้ายคือ ในขณะที่นักวิชาการตะวันตกยังถกเถียงกันว่า “อียิปต์จนเพราะอยู่ในทะเลทรายหรือเปล่า?” หรือ “วัฒนธรรมไม่เอื้อให้ขยันหรือเปล่า?” คนขายฟาลาเฟลในไคโรก็เข้าใจประเด็นได้ในประโยคเดียวว่า “เพราะพวกบนหอคอยดูดเอาทุกอย่างไปหมด”
.
นี่แหละความต่างระหว่างทฤษฎีในห้องแอร์กับชีวิตจริงริมถนน หนังสือ Why Nations Fail ของ Daron Acemoglu และ James Robinson จึงบอกชัด ๆ ว่า ประเทศจนไม่ใช่เพราะแดดร้อนหรือคนขี้เกียจ แต่เพราะสถาบันการเมืองกับเศรษฐกิจมันกีดกัน (Extractive institutions)
.
.
2. Extractive vs. Inclusive
.
ให้ลองนึกภาพแบบบ้าน ๆ
.
ถ้าสถาบันประเทศคุณคือร้านอาหารที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมาแข่งกันทำเมนู ลูกค้าเลือกเอง คนเก่งก็รุ่ง ร้านก็รวย นี่คือ Inclusive Institutions
.
แต่ถ้าร้านอาหารนั้นมีเจ้าของเถ้าแก่ใหญ่คุมเมนูเอง ห้ามใครเสนอของใหม่ ที่ได้กำไรเอาเข้ากระเป๋าตัวเองหมด แล้วให้พนักงานกินเศษอาหารหลังร้าน นี่คือ Extractive Institutions
.
ประเทศก็เช่นกันครับ ถ้าสถาบันเปิดโอกาสให้คนทำธุรกิจ ลงทุน มีสิทธิมีเสียง มันจะสร้างแรงจูงใจให้นวัตกรรมและความมั่งคั่งเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าอำนาจถูกกดไว้ในมือไม่กี่คน ต่อให้ดินดี น้ำดี ก็มีแต่เจ๊ง
.
.
3. ตัวเลขและประวัติศาสตร์
.
อียิปต์เฉลี่ยแล้วรายได้ประชาชนแค่ 12% ของอเมริกา อายุขัยสั้นกว่า 10 ปี และ 20% ของคนทั้งประเทศจนระดับเข้าขั้น hard mode ชีวิตจริง ๆ ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Mubarak ที่ “อุทิศชีวิตให้ชาติ” มีทรัพย์สินกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ …
.
หนังสือไม่ได้หยุดที่อียิปต์ แต่พาเราย้อนกลับไปดูอังกฤษในปี 1688 ที่เกิด Glorious Revolution — ประชาชนกับชนชั้นนำบางกลุ่มลุกขึ้นโค่นกษัตริย์ เจรจาให้มีรัฐสภาที่ต้องฟังเสียงคนมากขึ้น
.
ผลลัพธ์คือ “การเมืองเปิดกว้างขึ้น → เศรษฐกิจเปิดกว้างขึ้น → เกิดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ → เกิด Industrial Revolution”
.
ตรงกันข้าม อียิปต์โดนออตโตมันปกครอง โดนนโปเลียนบุก โดนอังกฤษยึด แล้วก็มีกษัตริย์ใหม่ แต่ทุกครั้งคือแค่ “เปลี่ยนเจ้าของร้าน” ไม่เคยเปลี่ยนระบบ พนักงานก็ยังคงต้องกินเศษอาหารเหมือนเดิม
.
ผู้ประท้วงใน Tahrir Square อาจไม่เคยอ่าน Max Weber หรือ Jared Diamond แต่พวกเขาพูดถูก
.
ความจนของอียิปต์คือผลจากการเมืองที่กดทับ ไม่ใช่ภูมิศาสตร์หรือวัฒนธรรม
.
และถ้าจะเข้าใจว่าทำไมโลกถึงเต็มไปด้วยประเทศที่รวยสุดขั้วกับจนสุดขอบ เราต้องมองไปที่ “สถาบัน” ใครมีสิทธิคุมมัน และมันเปิดโอกาสให้ประชาชนมากน้อยแค่ไหน
.
.
4. So Close and Yet So Different รั้วลวดหนามที่กั้นโลกสองใบ
.
ภาพที่ผู้เขียนเลือกเปิดในบทแรกหลังบทเกริ่นนำนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อ Nogales ซึ่งถูกแบ่งครึ่งโดยชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก มันคือ “ห้องทดลองธรรมชาติ” (Natural Experiment) ที่แสดงให้เห็นว่า แค่เส้นเขตแดนบาง ๆ ก็สามารถสร้างสองโลกที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งที่คน วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์แทบจะเหมือนกันทุกประการ
.
ลองจินตนาการว่าคุณเดินเล่นบนถนนฝั่งหนึ่งของ Nogales แล้วข้ามรั้วไปอีกไม่กี่ก้าว คุณไม่ได้เปลี่ยนดาวเคราะห์ ไม่ได้เปลี่ยนศาสนา ไม่ได้เปลี่ยนภาษาด้วยซ้ำ
.
แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ รายได้ของคุณลดลงเหลือหนึ่งในสาม สุขภาพคุณแย่ลง ความปลอดภัยหายไป และการเมืองก็ไม่เคยอยู่ข้างคุณ
.
.
5. Nogales, Arizona ความสะดวกสบายของโลกเสรี
.
ฝั่งที่อยู่ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยประมาณ 30,000 ดอลลาร์ต่อปี เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ได้เรียนจบมัธยม และอีกจำนวนไม่น้อยไปต่อมหาวิทยาลัย ระบบสาธารณสุขอาจจะถูกบ่นว่ามีปัญหาที่อื่น แต่สำหรับที่นี่ คนส่วนใหญ่ก็ยังมี Medicare, Medicaid, หรือประกันเอกชนดูแล
.
บ้านเมืองมีถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ทุกอย่างดูเป็นของธรรมดาที่ “ควรจะมี” และที่สำคัญที่สุดคือ “กฎหมายบังคับใช้จริง” คุณสามารถเปิดร้านอาหารโดยไม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ คุณสามารถร้องเรียนเทศบาลได้หากถนนมีหลุมบ่อ คุณสามารถเลือกนายกเทศมนตรี และถ้าไม่ชอบก็โหวตไล่ได้
.
ประชาชนจึงเชื่อว่ารัฐบาล “แม้จะมีความผิดพลาด” ก็ยังทำงานเพื่อพวกเขา อย่างน้อยก็ต้องทำ เพราะไม่งั้นจะโดนโหวตออกจากตำแหน่ง นี่คือสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “สถาบันการเมืองแบบ Inclusive”
.
.
6. Nogales, Sonora ความเหนื่อยล้าใต้ระบบที่กีดกัน
.
แค่ข้ามรั้วลงไปทางใต้ ภาพก็เปลี่ยนแทบทุกอย่างครับ รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนใน Nogales, Sonora อยู่ที่เพียงหนึ่งในสามของฝั่งสหรัฐฯ การศึกษาต่ำกว่า สุขภาพแย่กว่า ทารกเสียชีวิตสูงกว่า ถนนพัง น้ำไม่สะอาด และอาชญากรรมสูง
.
จะเปิดร้านค้าหรือกิจการอะไรสักอย่าง คุณไม่ได้แค่ไปทำเรื่องที่เทศบาล แต่ต้องเผื่อเงินไว้จ่าย “ค่ากาแฟ” ให้เจ้าหน้าที่ และถ้าโชคร้ายอาจต้องซื้อประกันเถื่อนจากแก๊งท้องถิ่นไม่งั้นร้านคุณอาจอยู่ไม่รอด
.
จนถึงปี 2000 Nogales และเม็กซิโกทั้งประเทศยังอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคการเมืองเดียว (PRI) ที่ครองยาวนานกว่า 70 ปี ความหมายคือการเลือกตั้งไม่ใช่ทางเลือกจริงจัง นักการเมืองไม่มีแรงกดดันที่จะต้องตอบสนองประชาชน ระบบกฎหมายไม่คุ้มครองประชาชนมากพอ ผลคือทุกอย่างกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่กดทับความเจริญ
.
.
7. แล้วมันต่างกันตรงไหน?
.
หากถามนักภูมิศาสตร์ เขาอาจบอกว่า “ก็เพราะเม็กซิโกอยู่ในเขตร้อน” แต่ลองมองดี ๆ Nogales ทั้งสองฝั่งอยู่ในทะเลทราย Sonoran อากาศร้อนตับแตกเหมือนกัน, ฝนตกพอ ๆ กัน, เชื้อโรคก็เดินข้ามรั้วได้โดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ต
.
ถ้าถามนักมานุษยวิทยา เขาอาจบอกว่า “ก็เพราะคนต่างเชื้อสาย” แต่ไม่จริงเลย ชาว Nogales ทั้งสองฝั่งมีบรรพบุรุษร่วมกันมานับศตวรรษ หลังสงครามเม็กซิโก–อเมริกา (1846–1848) และการซื้อขายดินแดน Gadsden Purchase (1853) ที่ลากเส้นชายแดนขึ้นมาแบบไม่ถามความเห็นชาวบ้าน คนทั้งสองฝั่งยังคงเป็นญาติกัน ฟังเพลงเดียวกัน กินทาโก้เหมือนกัน
.
ถ้าถามนักวัฒนธรรม เขาอาจบอกว่า “เพราะวัฒนธรรมการทำงาน” แต่ลองสังเกตดู คนฝั่งเม็กซิโกก็ทำงานหนักไม่แพ้ใคร หลายคนอพยพไปทำงานในสหรัฐฯ แล้วทำงานวันละ 12 ชั่วโมงเพื่อส่งเงินกลับบ้าน ไม่มีหลักฐานใดบอกว่าพวกเขา “ขี้เกียจโดยวัฒนธรรม”
.
“คำตอบที่แท้จริงคือความแตกต่างของ สถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจ”
.
-ฝั่งสหรัฐฯ มีระบบการเมืองที่บังคับให้นักการเมืองต้องรับผิดชอบต่อประชาชน (เพราะไม่งั้นจะโดนโหวตออก)
.
-มีกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน ธุรกิจสามารถลงทุนได้โดยมั่นใจว่าจะไม่ถูกยึดคืนกลางอากาศ
.
-มีระบบศาลที่พอเชื่อถือได้ ทำให้สัญญามีความหมาย
.
ทั้งหมดนี้สร้างแรงจูงใจให้คนคิดค้น ลงทุน และทำงานหนัก เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมาจะไม่ถูกแย่งชิงไปง่าย ๆ
.
ในทางกลับกัน ฝั่งเม็กซิโกไม่มีหลักประกันแบบนั้น ทุกการลงทุนเสี่ยงที่จะถูกรีดไถหรือถูกยึด ประชาชนเลยไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าเสี่ยง ผลลัพธ์คือการเติบโตเชื่องช้า ความจนฝังราก
.
Nogales จึงเป็นตัวอย่างที่เจ็บปวดว่า เส้นรั้วลวดหนามไม่เพียงกั้นเขตแดน แต่กั้นอนาคตของผู้คนด้วย คนที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวกลับมีชีวิตที่ต่างกันราวกับต่างจักรวาล
.
.
8. Theories That Don’t Work รวมทฤษฎีที่ไม่ตรงกับความจริง
.
ถ้าโลกของเศรษฐศาสตร์เปรียบเหมือนตลาดนัด ทฤษฎีเกี่ยวกับความมั่งคั่งและความยากจนก็คงเหมือนร้านค้าที่แข่งกันตะโกนเรียกลูกค้า บางร้านบอกว่า “รวยจนมันอยู่ที่ภูมิศาสตร์!” อีกเจ้าหนึ่งเถียงว่า “ไม่ใช่หรอก อยู่ที่วัฒนธรรมต่างหาก!” ส่วนอีกเจ้าก็บอกว่า “ง่าย ๆ เลย ผู้นำมันโง่”
.
Acemoglu และ Robinson จึงใช้บทนี้ทุบทีละทฤษฎีที่เคยครองความเชื่อมานาน ว่าแท้จริงแล้วมันไม่สามารถอธิบายความแตกต่างของประเทศได้จริง
.
8.1 ทฤษฎีภูมิศาสตร์ (Geography Hypothesis)
.
ทฤษฎีแรกและอาจจะเป็นที่เชื่อกันมากที่สุดคือ “ภูมิศาสตร์เป็นชะตากรรม” ประเทศจนเพราะอยู่ในที่แห้งแล้ง ทะเลทราย พื้นที่เพาะปลูกยาก มีโรคเขตร้อนเยอะ หรืออยู่ไกลจากเส้นทางการค้า
.
ฟังแล้วก็เหมือนมีเหตุผลนะครับ เพราะเราจะเห็นหลายประเทศยากจนในแอฟริกา ซับซาฮารา หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกมองว่ามีภูมิประเทศไม่เหมาะกับการพัฒนา แต่ปัญหาคือเมื่อเราลอง “จับคู่ประเทศ” ที่มีภูมิศาสตร์คล้ายกัน เรากลับพบความแตกต่างมหาศาล
.
I. เกาหลีเหนือ vs เกาหลีใต้: ทั้งคู่มีภูมิศาสตร์แทบเหมือนกันทุกอย่าง อยู่บนคาบสมุทรเดียวกัน แต่รายได้ต่อหัวต่างกันสิบกว่ารอบ เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศเทคโนโลยีชั้นนำ ส่วนเกาหลีเหนือยังมีประชาชนจำนวนมากที่อดอยาก
.
II. เยอรมนีตะวันออก vs เยอรมนีตะวันตก: พื้นที่เดียวกัน ประชาชนพูดภาษาเดียวกัน อยู่ในสภาพอากาศเดียวกัน แต่ฝั่งตะวันตกกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะที่ฝั่งตะวันออกติดอยู่ในเงื้อมมือของคอมมิวนิสต์และล้าหลัง
.
III. สิงคโปร์ vs แอฟริกากลาง: ทั้งสองอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร อากาศร้อนชื้นเหมือนกัน แต่สิงคโปร์กลายเป็นมหานครการค้าและการเงิน ขณะที่อีกหลายประเทศในแอฟริกายังเผชิญกับความยากจน
.
ถ้าภูมิศาสตร์เป็นคำตอบจริง ๆ สิงคโปร์ก็คงไม่รวยหรอกครับ เพราะเกาะเล็ก ๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ แถมยังต้องนำเข้าน้ำดื่มจากมาเลเซียด้วยซ้ำ
.
.
8.2 ทฤษฎีวัฒนธรรม (Culture Hypothesis)
.
อีกทฤษฎีที่ครองใจคนมานานคือ ประเทศบางแห่งจนเพราะวัฒนธรรมไม่เอื้อต่อการพัฒนา
.
ตัวอย่างที่มักถูกอ้างอิงคือ Max Weber ในหนังสือ The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism ที่บอกว่า โปรเตสแตนต์ รวยเพราะศาสนาสอนให้ขยัน อดทน ประหยัด และเห็นคุณค่าของการทำงาน ขณะที่คาทอลิกเน้นพิธีกรรมและการใช้ชีวิตหรูหรา
.
จากแนวคิดนี้ หลายคนก็ขยายไปตีความว่า
.
ละตินอเมริกาจนเพราะคนชอบใช้ชีวิตสบาย ๆ (stereotype แบบไม่แฟร์เลย)
โลกอาหรับจนเพราะศาสนาไม่สอดคล้องกับการสร้างทุนนิยม
เอเชียบางแห่งไม่พัฒนาเพราะวัฒนธรรม “เชื่อฟังผู้ใหญ่เกินไป” จนไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
.
แต่เมื่อหันไปดูโลกจริง ๆ กลับพบว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นเลย
.
ญี่ปุ่น (ไม่ใช่โปรเตสแตนต์) ก็กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลก
เกาหลีใต้ (ไม่มีศาสนาประจำชาติ) ก็รวยเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก
อินโดนีเซียและมาเลเซีย (มุสลิม) ก็เติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
.
ถ้าวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดจริง ๆ คนญี่ปุ่นที่เคร่งพิธีการไม่น้อยกว่าชาวสเปนก็คงไม่รวยได้หรอก แต่ความจริงคือพวกเขาสร้าง “สถาบันที่เปิดกว้าง” มากกว่าต่างหาก
.
.
8.3 ทฤษฎีความไม่รู้ (Ignorance Hypothesis)
.
อีกทฤษฎีที่ยังฮิตคือ “ประเทศจนเพราะผู้นำไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้รวย” ถ้าเพียงแต่เขามีที่ปรึกษาเก่ง ๆ หรือได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง ทุกอย่างก็จะแก้ได้
.
ปัญหาคือหลักฐานตรงข้ามเพียบ
.
Robert Mugabe ในซิมบับเว ไม่ใช่ว่าเขา “ไม่รู้” ว่าการยึดที่ดินจากเกษตรกรแล้วแจกให้พรรคพวกจะทำให้เศรษฐกิจพัง เขารู้ แต่เขา “เลือกทำ” เพราะมันช่วยให้เขาคุมอำนาจและซื้อใจคนสนิทได้
.
Hosni Mubarak ในอียิปต์ก็รู้ว่าการลงทุนด้านการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานจะดีต่อประเทศ แต่เขาเลือกที่จะเทงบไปในโครงการที่ตนเองและครอบครัวได้ประโยชน์
.
พูดง่าย ๆ ผู้นำเหล่านี้ไม่ได้โง่เลย
.
ตรงกันข้าม พวกเขา “ฉลาดพอจะสร้างระบบที่ทำให้ตัวเองรวยและคุมอำนาจได้ แม้ประชาชนจะพินาศทั้งประเทศ”
.
ปัญหาจริง ๆ จึงไม่ใช่ Ignorance แต่คือ Interest ไม่ใช่ “ไม่รู้” แต่คือ “ไม่อยากทำ เพราะมันทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์”
.
.
9. คำตอบที่เหลือคือ Institutions
.
เมื่อทฤษฎีเก่า ๆ ไม่เวิร์ก Acemoglu และ Robinson จึงบอกชัดว่า คำตอบจริงอยู่ที่สถาบัน (institutions)
.
ประเทศที่มี Inclusive Institutions → กระจายอำนาจทางการเมือง คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน เปิดโอกาสให้ประชาชนแข่งขันและสร้างสรรค์ → สุดท้ายก็เจริญยั่งยืน
.
ประเทศที่มี Extractive Institutions → อำนาจรวมศูนย์ในมือคนกลุ่มเล็ก ๆ กฎหมายไม่คุ้มครองใครนอกจากชนชั้นนำ → ประชาชนไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าคิดใหม่ → จนเรื้อรัง
.
ทฤษฎีภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และความไม่รู้ จึงถูกทุบลงทีละข้อ เพื่อปูทางเข้าสู่ “กรอบคิดหลัก” ของหนังสือเล่มนี้
.
.
10. สถาบันคืออะไร?
.
สถาบัน (Institutions) ไม่ได้หมายถึง “ตึก” หรือ “องค์กร” แบบที่เราเข้าใจในชีวิตประจำวัน แต่หมายถึง กฎกติกาที่สังคมสร้างขึ้นเพื่อจัดระเบียบการเมือง เศรษฐกิจ และปฏิสัมพันธ์ของผู้คน
.
สถาบันการเมือง → กำหนดว่าใครมีอำนาจ ใครออกกฎหมาย ใครบังคับใช้กฎหมาย
.
สถาบันเศรษฐกิจ → กำหนดว่าคุณสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ไหม เปิดร้านค้าได้อย่างไร ทำธุรกิจต้องเจออุปสรรคอะไร
.
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ สถาบันคือ “กฎกติกา” ถ้ากฎยุติธรรม เปิดกว้าง ทุกคนมีโอกาส คุณก็ได้เห็นผู้เล่นพยายามเต็มที่ แต่ถ้ากฎกติกาเอื้อคนไม่กี่กลุ่ม ผู้เล่นที่เหลือก็หมดไฟตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
.
.
11. Inclusive Institutions = กติกาที่เปิดกว้าง
.
สถาบันแบบ Inclusive คือกติกาที่ “กระจายอำนาจ” และ “สร้างแรงจูงใจเชิงบวก”
.
คุณสมบัติหลัก ๆ เช่น
.
การเมืองเปิดให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียง (เช่น เลือกตั้งจริง ไม่ใช่แค่โชว์)
.
มีกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน → ถ้าคุณลงทุนสร้างโรงงาน จะไม่มีใครมายึดโรงงานคุณกลางอากาศ
.
เปิดโอกาสให้ทุกคนแข่งขัน → ไม่จำกัดสิทธิแค่ลูกหลานชนชั้นนำ
.
รัฐบาลมีระบบตรวจสอบถ่วงดุล → ไม่ใช่ว่านักการเมืองอยากทำอะไรก็ทำ
.
ผลลัพธ์คือ “แรงจูงใจมหาศาล” คนกล้าลงทุน คนอยากศึกษาเพิ่ม คนอยากคิดค้นสิ่งใหม่ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ทำจะไม่ถูกแย่งไปง่าย ๆ
.
ตัวอย่าง
.
อังกฤษหลัง Glorious Revolution ปี 1688: รัฐสภาเข้มแข็งขึ้น กษัตริย์ถูกจำกัดอำนาจ → นักลงทุนมั่นใจ → อุตสาหกรรมใหม่ ๆ เกิด → ปูทางไปสู่ Industrial Revolution
.
สหรัฐอเมริกา: กฎหมายสิทธิในทรัพย์สินและการเมืองแบบเปิด ทำให้แรงงานอพยพจากทั่วโลกมาลงทุนแรงงาน ความคิด และเงินทุน
.
พูดอีกอย่างคือ Inclusive Institutions คือสนามแข่งที่เปิดให้ทุกคนวิ่งได้ และเส้นชัยไม่ได้ถูกย้ายไปใกล้ลูกชายเจ้าของสนามเท่านั้น
.
.
12. Extractive Institutions = กติกาที่กีดกัน
.
ตรงข้ามกับ Inclusive คือ Extractive Institutions ซึ่งเป็นกติกาที่ ดึงทรัพยากรจากคนส่วนใหญ่ไปสู่คนกลุ่มเล็ก
.
คุณสมบัติหลัก ๆ เช่น
.
อำนาจรวมศูนย์ → คนกลุ่มเล็กๆครองกฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ
.
ไม่มีสิทธิในทรัพย์สิน → ลงทุนอะไรเสี่ยงโดนยึดหรือต้องจ่ายส่วย
.
จำกัดโอกาสทางการศึกษา การทำงาน หรือการลงทุน → เพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาแข่งขันกับชนชั้นนำได้
.
รัฐบาลไม่มีระบบตรวจสอบ → ทำอะไรก็เพื่อประโยชน์ของตนเอง
.
ผลลัพธ์คือวงจรแย่ ๆ คนไม่อยากลงทุน ไม่อยากคิดค้น เพราะรู้ว่าถ้าสร้างอะไรใหม่มา เดี๋ยวก็ถูกยึดไปอยู่ในมือชนชั้นนำ
.
ตัวอย่าง
.
จักรวรรดิโรมันช่วงปลาย: ระบบภาษีที่กดขี่ชาวนา ทำให้คนหนีไปอยู่ในคฤหาสน์ของเจ้าที่ดินใหญ่ → กลายเป็นระบบศักดินา
.
ซิมบับเวยุค Mugabe: นโยบายยึดที่ดินแจกใหม่ที่จริง ๆ แล้วเป็นการโยกทรัพย์ไปสู่พรรคพวก
.
พูดอีกอย่างคือ Extractive Institutions คือสนามแข่งที่เส้นชัยถูกย้ายไปอยู่ตรงหน้าลูกชายเจ้าของสนาม และทุกคนที่เหลือยังต้องแบกหินวิ่ง
.
.
13. แต่ Inclusive และ Extractive ก็ไม่ใช่ขาวกับดำเสมอไป
.
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่า “โอเค งั้นก็แบ่งง่าย ๆ ประเทศไหน Inclusive ก็รวย ประเทศไหน Extractive ก็จน”
.
แต่ความจริงซับซ้อนกว่านั้น เพราะบางประเทศมี “ส่วนผสม” ของทั้งสองแบบ หรือ Inclusive ในบางช่วง แต่ก็เสี่ยงถอยหลังได้เหมือนกัน
.
จีนปัจจุบัน: เติบโตอย่างก้าวกระโดดเพราะเปิดเศรษฐกิจ (เศรษฐกิจดู Inclusive ขึ้น) แต่การเมืองยังคง Extractive → คำถามใหญ่คือความเติบโตนี้จะยั่งยืนแค่ไหน
.
สหรัฐฯ: โดยรวมเป็น inclusive institutions แต่ก็ยังมีปัญหาที่กลุ่มทุนใหญ่มีอิทธิพลทางการเมือง (ความเสี่ยงที่จะ Drift ไปในทาง Extractive)
.
นี่จึงไม่ใช่เส้นแบ่งขาว–ดำ แต่คือสเปกตรัมที่ประเทศต่าง ๆ เคลื่อนไปมาตลอดเวลา
.
.
14. Small Differences and Critical Junctures เมื่อเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
.
นักประวัติศาสตร์มักเตือนเราว่า “ปีศาจซ่อนอยู่ในรายละเอียด”
แต่ Acemoglu และ Robinson บอกว่า “อนาคตก็ซ่อนอยู่ในรายละเอียดเล็ก ๆ เหมือนกัน”
.
เพราะบางครั้งความต่างเล็กน้อยในสถาบัน หรือที่เรียกว่า Institutional Drift เมื่อเจอ “เหตุการณ์ใหญ่” อย่างสงคราม การปฏิวัติ โรคระบาด หรือการค้นพบเส้นทางการค้าใหม่ ๆ
.
มันสามารถพลิกประเทศทั้งประเทศให้รวยหรือจนไปอีกหลายศตวรรษ
.
Critical Junctures คืออะไร?
.
Critical junctures หรือ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” คือเหตุการณ์ที่ทำให้กติกาเดิมถูกท้าทายอย่างแรง เช่น
.
Black Death (กาฬโรคศตวรรษที่ 14) ฆ่าคนยุโรปไปครึ่งหนึ่ง → ทำให้แรงงานมีอำนาจต่อรองมากขึ้น
.
Atlantic Trade (ศตวรรษที่ 16–17) การค้าข้ามมหาสมุทรเปิดโอกาสมหาศาล
.
Industrial Revolution (ศตวรรษที่ 18–19) ปฏิวัติเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโลก
.
พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ละประเทศก็จะตอบสนองไม่เหมือนกัน—ขึ้นกับสถาบันที่มีอยู่ก่อนหน้า
.
.
15. Institutional Drift ความต่างเล็ก ๆ ที่แอบสะสม
.
Institutional drift หมายถึงความแตกต่างเล็ก ๆ ในสถาบันที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นแบบไม่ค่อยมีใครสังเกต มันอาจเกิดจากความขัดแย้งเล็กน้อย การเมืองที่พลิกไปพลิกมา หรือการประนีประนอมระหว่างชนชั้นนำกับประชาชน
.
ตัวอย่างเช่น
.
อังกฤษก่อนศตวรรษที่ 17 → รัฐสภามีอำนาจมากขึ้นทีละน้อย แม้กษัตริย์ยังคุมเยอะ แต่ก็ไม่ถึงกับเบ็ดเสร็จ
.
ฝรั่งเศสและสเปน → กษัตริย์รวมศูนย์อำนาจได้มากกว่า รัฐสภาอ่อนแอ
.
ความต่างเล็ก ๆ นี้ดูเหมือนไม่สำคัญในเวลาปกติ แต่เมื่อเจอ Critical Juncture อย่างการค้าข้ามแอตแลนติก ผลลัพธ์กลับต่างกันมหาศาล
.
.
16. ตัวอย่างของ Institutional Drift
.
I. Atlantic Trade: ของขวัญที่แจกไม่เท่ากัน
.
ศตวรรษที่ 16–17 การค้นพบอเมริกาและเส้นทางการค้าแอตแลนติกคือเหมืองทองคำสำหรับยุโรป—ทั้งแบบตรง ๆ (เงิน ทอง) และแบบอ้อม (การค้าทาส น้ำตาล ยาสูบ)
.
สเปนและฝรั่งเศส: กษัตริย์ผูกขาดผลประโยชน์ → ทรัพย์สินมหาศาลไหลเข้ากระเป๋าราชวงศ์และขุนนาง
.
อังกฤษ: เพราะรัฐสภามีอำนาจพอสมควร กษัตริย์ไม่สามารถผูกขาดได้หมด → กลุ่มพ่อค้าและชนชั้นใหม่ได้เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ → พวกเขาเริ่มมีพลังทางการเมือง และกดดันให้ระบบเปิดกว้างขึ้น
.
ผลคือ อังกฤษได้แรงขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในขณะที่สเปนซึ่งเคยรวยล้นหลามกลับไม่พัฒนาและเสื่อมลง
.
.
II. Black Death: โรคระบาดที่เปิดโอกาส
.
กาฬโรคศตวรรษที่ 14 ฆ่าคนยุโรปไปมากถึง 1 ใน 3–1 ใน 2 ฟังดูเหมือนหายนะ (และมันก็ใช่) แต่ผลข้างเคียงคือแรงงานกลายเป็นทรัพยากรหายาก → แรงงานมีอำนาจต่อรองมากขึ้น
.
ยุโรปตะวันตก: สถาบันที่เปิดกว้างกว่า ทำให้ชาวนาใช้โอกาสนี้ต่อรองสิทธิ์ → ได้ค่าแรงมากขึ้น บางพื้นที่เลิกระบบศักดินา → ปูทางสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ
.
ยุโรปตะวันออก: เจ้าของที่ดินกลับบังคับแรงงานเข้มขึ้น → ระบบกีดกันแข็งแรงกว่าเดิม → ยิ่งจนลง
.
ผลคือเส้นทางเศรษฐกิจของยุโรปสองฝั่งแตกต่างกันออกไปเรื่อย ๆ
.
.
17. Industrial Revolution ทำไมไม่เกิดทุกที่?
.
ปริศนาใหญ่คือทำไม Industrial Revolution ถึงเริ่มในอังกฤษ ทั้งที่ฝรั่งเศสกับเยอรมนีก็มีนักประดิษฐ์และทรัพยากรไม่แพ้กัน?
.
คำตอบคือ เพราะสถาบันอังกฤษเปิดกว้างพอที่จะให้คนธรรมดาคิดค้น ลงทุน และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้
.
ระบบสิทธิในทรัพย์สิน → นักประดิษฐ์มั่นใจว่าความคิดจะไม่ถูกยึด
.
ระบบการเงินเปิดกว้าง → ธนาคารและตลาดทุนให้เงินกับคนที่มีไอเดีย
.
การเมืองที่จำกัดอำนาจกษัตริย์ → ทำให้กฎหมายไม่ถูกเปลี่ยนตามอำเภอใจ
.
ตรงกันข้าม ในฝรั่งเศสหรือสเปน กษัตริย์ยังคุมเบ็ดเสร็จ → ใครคิดค้นอะไรใหม่ก็เสี่ยงถูกยึดหรือผูกขาด → นวัตกรรมเลยไม่ผลิบานเท่าที่ควร
.
.
18. Growth Under Extractive Institutions หากความเจริญคือภาพลวงตา
หลายคนอาจสงสัยว่าถ้า Inclusive Institutions คือเงื่อนไขของการเจริญรุ่งเรือง แล้วทำไมประเทศที่เต็มไปด้วย Extractive Institutions บางแห่งยังดูเหมือน “รุ่ง” ได้?
.
สหภาพโซเวียตในศตวรรษที่ 20 โตเร็วจนโลกตกใจ
.
จีนหลังปี 1978 เติบโตแบบก้าวกระโดดภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์
.
แม้กระทั่งในยุคอาณานิคม หลายจักรวรรดิที่กดขี่ประชาชนก็ยังสร้างถนน ทางรถไฟ เขื่อน โรงงาน
.
คำถามคือ ความเจริญเหล่านี้ของจริงหรือแค่ลวงตา?
.
.
I. เติบโตได้ แต่ไม่ยั่งยืน
.
Acemoglu และ Robinson อธิบายว่า การเติบโตภายใต้สถาบันกีดกันสามารถเกิดขึ้นได้ แต่จะมีข้อจำกัดสองอย่าง:
.
ไม่ใช่ทุกคนได้ประโยชน์ → มันคือการเติบโตที่กระจุกอยู่ในมือคนกลุ่มเล็ก ไม่ได้กระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่
.
ไม่ยั่งยืน → เพราะไม่มีแรงจูงใจระยะยาวให้คนสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ในที่สุดระบบก็จะตัน
.
.
II. กรณีศึกษา: สหภาพโซเวียต
.
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในช่วงศตวรรษที่ 20 สหภาพโซเวียตเติบโตอย่างรวดเร็ว จากประเทศเกษตรกรรมล้าหลังกลายเป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมภายในไม่กี่ทศวรรษ
.
1930s: แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีของสตาลิน เน้นอุตสาหกรรมหนัก โรงงานเหล็ก โรงไฟฟ้า กองทัพ
.
1957: โซเวียตส่งสปุตนิกขึ้นสู่วงโคจร เป็นประเทศแรกที่ขึ้นสู่อวกาศ
.
1970s: GDP ของโซเวียตดูเหมือนใกล้ตามทันสหรัฐฯ
.
แต่ทำไมวันนี้สหภาพโซเวียตถึงเหลือแค่ในหนังสือประวัติศาสตร์?
.
คำตอบคือ การเติบโตที่เกิดจากการบังคับและการระดมทรัพยากร ไม่ใช่จากนวัตกรรมที่เกิดเองตามแรงจูงใจ
.
คนถูกบังคับให้อพยพไปทำงานในโรงงาน
เกษตรถูกยึดเป็นของรัฐ
ใครคิดต่างก็ถูกกำจัด
.
.
III. อาณานิคม = ความเจริญที่สร้างเพื่อถูกบางกลุ่มกอบโกย
.
ในหลายประเทศอาณานิคมก็มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ แต่… “มันถูกสร้างเพื่อรีดผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อพัฒนาคนท้องถิ่น”
.
ทางรถไฟในอินเดียถูกสร้างเพื่อขนฝ้ายและสินค้าดิบไปอังกฤษ ไม่ใช่เพื่อเชื่อมชุมชนท้องถิ่น
ถนนในแอฟริกาถูกวางเพื่อขนทรัพยากรไปยังท่าเรือ ไม่ใช่เพื่อการค้าภายในประเทศ
.
ผลคือหลังเอกราช ประเทศเหล่านี้มีโครงสร้างพื้นฐานบางอย่าง แต่ระบบเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ Inclusive เพราะถูกออกแบบมาเพื่อดูดทรัพยากร ไม่ใช่เพื่อสร้างโอกาส
.
.
IV. สรุปทำไมเติบโตแบบ extractive ถึงตัน?
.
มี 3 เหตุผลใหญ่ ๆ:
.
แรงจูงใจเชิงลบ: คนไม่กล้าลงทุนในสิ่งใหม่ เพราะเสี่ยงถูกยึดหรือผูกขาด
.
ขาดนวัตกรรม: เพราะนวัตกรรมแปลว่า “การเปลี่ยนแปลง” และการเปลี่ยนแปลงมักทำให้ชนชั้นนำเสียประโยชน์
.
ความไม่มั่นคง: เมื่อความเจริญไปถึงจุดหนึ่ง ชนชั้นนำจะเริ่มกลัวเสียอำนาจ แล้วก็หยุดการเปิดกว้าง—ทำให้ระบบติดเพดาน
.
.
19. Virtuous vs. Vicious Circles วงจรที่ลากประเทศขึ้นสวรรค์หรือลงนรก
.
เป็นบทที่ Acemoglu และ Robinson ใช้ไขปริศนาว่า ทำไมบางประเทศเมื่อได้สถาบันที่ดีแล้วก็พัฒนาต่อเนื่อง (วงจรคุณธรรม – Virtuous Circle) แต่บางประเทศกลับวนอยู่กับความเสื่อมซ้ำซาก (วงจรอุบาทว์ – Vicious Circle)
.
นี่แหละคือสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า “วงจร”
.
Virtuous circle → ระบบการเมืองและเศรษฐกิจแบบ Inclusive ที่เสริมแรงกันไปเรื่อย ๆ
.
Vicious circle → ระบบแบบ Extractive ที่ขังประเทศอยู่ในกรงของความจนและการกดขี่
.
.
20. Virtuous Circle สิ่งดีที่ดึงดูดสิ่งดีๆ
.
I. การเมืองดี ค้ำจุนเศรษฐกิจ
.
เมื่อประเทศมี Inclusive Political Institutions ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งจริง ๆ ระบบตรวจสอบอำนาจทำงาน และรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อประชาชน → สิ่งนี้ทำให้เกิด Inclusive Economic Institutions ตามมา
.
เช่น กฎหมายคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน ธุรกิจเล็ก ๆ ได้โอกาสเติบโต ระบบการเงินเปิดให้คนเข้าถึงได้ → ผลลัพธ์คือมีนวัตกรรม มีการลงทุน และความเจริญที่กระจายกว้าง
.
II. เศรษฐกิจเสริมการเมือง
.
ในทางกลับกัน เมื่อเศรษฐกิจ inclusive แล้วก็จะสร้างชนชั้นกลางใหม่ พ่อค้าใหม่ ผู้ประกอบการใหม่ ที่ไม่ใช่ลูกหลานขุนนาง → คนเหล่านี้มีพลังต่อรอง กดดันให้การเมืองต้องเปิดกว้างมากขึ้น
.
นี่คือ “วงจรบวก” ที่เสริมแรงกันไปเรื่อย ๆ
.
.
21. Vicious Circle วงจรอุบาทว์
.
I. การเมืองกดทับเศรษฐกิจ
.
เมื่อประเทศมี Extractive Political Institutions อำนาจรวมศูนย์อยู่ในมือคนกลุ่มเล็ก คนเหล่านี้ก็สร้าง Extractive Economic Institutions เพื่อดูดทรัพยากรจากประชาชน → เศรษฐกิจไม่เปิดกว้าง ไม่กระจายผลประโยชน์
.
II. เศรษฐกิจเสริมการเมืองแบบกีดกัน
.
ยิ่งกว่านั้น เศรษฐกิจที่กีดกันยังเสริมให้การเมืองผูกขาดแน่นขึ้นอีก เพราะคนรวยใหม่ที่เกิดขึ้นก็มักเป็น “พวกเดียวกับชนชั้นนำ” ที่ได้รับอภิสิทธิ์ และพวกเขาก็จะร่วมกันกดทับประชาชนต่อไป
.
นี่คือ “วงจรลบ” ที่ทำให้ประเทศติดกับดักยากจน
.
ตัวอย่างโคลอมเบีย ถูกผูกขาดทางการเมืองตั้งแต่สมัยอาณานิคม → ที่ดินถูกครองโดยชนชั้นนำ → คนส่วนใหญ่จน → ไม่มีพลังต่อรองทางการเมือง → ระบบผูกขาดยิ่งแน่น → วงจรเลวร้ายที่ลากยาวมาถึงปัจจุบัน
.
.
22. Colonial Legacy มรดกที่ยังตามหลอกหลอน
.
สิ่งที่ทำให้ Vicious Circle ดำรงอยู่ได้ยาวนานคือ มรดกอาณานิคม
.
อเมริกาใต้: สเปนและโปรตุเกสสร้างระบบ hacienda ที่ดินมหาศาลอยู่ในมือชนชั้นนำ → ประชาชนกลายเป็นแรงงานไร้สิทธิ
.
แอฟริกา: อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม ตั้งสถาบันการเมืองที่รีดภาษีและทรัพยากร ไม่ได้สร้างระบบที่จะอยู่ยั่งยืน
.
ผลคือหลังเอกราช ประเทศเหล่านี้ “สืบทอด” วงจรอุบาทว์ต่อโดยชนชั้นนำท้องถิ่น
.
เพราะ Extractive Institutions มีคุณสมบัติ “Self-Reinforcing” → คนที่ได้ประโยชน์จากระบบกีดกันก็จะปกป้องมันสุดชีวิต เพราะนั่นคือแหล่งอำนาจของพวกเขา
ยิ่งนาน ระบบยิ่งแข็ง จนประเทศเหมือนถูกล็อกไว้ในวงจรที่ออกไม่ได้
.
.
23. Why Nations Fail Today โลกศตวรรษที่ 21
.
ถ้าคุณมองโลกวันนี้ คุณอาจคิดว่าเรากำลังอยู่ในยุคทองของมนุษยชาติ: รถไฟความเร็วสูง วิทยาศาสตร์ล้ำสมัย อินเทอร์เน็ตที่เชื่อมคนทั้งโลก … แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ยังเห็นข่าวประเทศล้มละลาย รัฐบาลพังทลาย ประชาชนอดอยาก หรือสงครามกลางเมืองอยู่เรื่อย ๆ
.
คำถามคือ ทำไมประเทศยังล้มเหลวในยุคที่เราควรจะรู้วิธีไม่ให้มันเกิดขึ้นแล้ว?
.
Acemoglu และ Robinson ตอบว่าเพราะ Extractive Institutions ไม่ได้ตายไปไหน พวกมันเพียงแต่ปรับตัวให้เข้ากับยุคใหม่เหมือนไวรัสที่กลายพันธุ์เก่ง
.
I. ประเทศล้มเหลวเพราะสถาบันกีดกันยังแข็งแรง
.
แม้จะมีอินเทอร์เน็ต แม้จะมีองค์การสหประชาชาติ แม้จะมีไลฟ์โค้ชนับพันที่ตะโกนสอนผ่าน YouTube … ถ้าประเทศหนึ่งยังมีระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่ Extractive ประเทศนั้นก็ยังวนอยู่ใน Vicious Circle
.
ตัวอย่างซิมบับเว
.
Robert Mugabe ครองอำนาจกว่า 30 ปี
นโยบายยึดที่ดินเกษตรแจกพรรคพวก → การผลิตอาหารล่มสลาย
เงินเฟ้อพุ่งถึงขั้นต้องพิมพ์ธนบัตร 100 ล้านดอลลาร์ซิมบับเวเพื่อซื้อขนมปังหนึ่งก้อน
.
ถามว่าผู้นำไม่รู้เหรอว่าจะเกิดอะไร? เขารู้ แต่เขาเลือก เพราะมันรักษาอำนาจของเขาได้
.
.
II. ทำไมเทคโนโลยีไม่ช่วย?
.
หลายคนคิดว่าเทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาความจนและความล้มเหลวของรัฐ แต่ Acemoglu และ Robinson แย้งว่า: เทคโนโลยีเป็น “มีด” ที่จะใช้หั่นผักหรือฆ่าคนก็ขึ้นอยู่กับใครถือ
.
เกาหลีใต้: เทคโนโลยีถูกใช้สร้างเศรษฐกิจดิจิทัล
.
เกาหลีเหนือ: เทคโนโลยีถูกใช้สร้างระบบสอดส่อง คุมประชาชน และเพื่อการทหาร
.
เพราะฉะนั้น เทคโนโลยีไม่ใช่เวทมนตร์ที่จะทำให้ประเทศ Inclusive โดยอัตโนมัติ มันจะช่วยก็ต่อเมื่อถูกวางอยู่ในมือของสถาบันที่ Inclusive
.
.
III. ทรัพยากรที่มั่งคั่งแต่ไม่ถึงประชาชน
.
อีกปัญหาคือ คำสาปทรัพยากร (Resource Curse) ประเทศที่มีน้ำมันหรือแร่ธาตุจำนวนมหาศาลมักกลายเป็นสนามเด็กเล่นของชนชั้นนำ
.
ไนจีเรีย: มีน้ำมัน แต่รายได้ส่วนใหญ่หายไปกับคอร์รัปชันและความขัดแย้ง
.
ซาอุดีอาระเบีย: รวยมหาศาลจากน้ำมัน แต่ยังมีการเมืองที่รวมศูนย์และกดทับสิทธิประชาชน
.
ในประเทศเหล่านี้ น้ำมันทำให้รัฐบาลรวยโดยไม่ต้องพึ่งภาษีจากประชาชน → เมื่อไม่ต้องพึ่งภาษี ก็ไม่ต้องฟังเสียงประชาชน → วงจร Extractive ยิ่งแน่นขึ้น
.
.
IV. การล้มเหลวของรัฐในศตวรรษที่ 21
.
เรายังเห็นตัวอย่างประเทศที่ล้มเหลวเต็มรูปแบบในยุคปัจจุบัน:
.
โซมาเลีย: ไม่มีรัฐที่ทำงานจริง ๆ มาหลายทศวรรษ → แตกเป็นกลุ่มอำนาจท้องถิ่น
.
เฮติ: หลังภัยพิบัติและการเมืองล้มเหลวซ้ำ ๆ กลายเป็นประเทศยากจนที่สุดในซีกโลกตะวันตก
.
อัฟกานิสถาน: ติดอยู่ในวงจรสงคราม ความขัดแย้ง และการเมืองที่ extractive
.
บางคนคิดว่า โลกาภิวัตน์ (globalization) จะทำให้ประเทศจนต้องเปิดกว้างขึ้น แต่ผู้เขียนเตือนว่าโลกาภิวัตน์ก็เหมือนดาบสองคม
.
ถ้าสถาบัน Inclusive → โลกาภิวัตน์ช่วยกระตุ้นการแข่งขันและนวัตกรรม
.
ถ้าสถาบัน Extractive → โลกาภิวัตน์กลายเป็นโอกาสให้ชนชั้นนำรีดทรัพยากรมากขึ้น
.
ตัวอย่างคือหลายประเทศในแอฟริกาได้รับเงินลงทุนจากบริษัทต่างชาติ แต่ผลลัพธ์คือชนชั้นนำท้องถิ่นจับมือกับนักลงทุนกอบโกย โดยที่ประชาชนแทบไม่ได้อะไรเลย
.
หลายประเทศได้รับความช่วยเหลือมหาศาลจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่ผลลัพธ์มักไม่เป็นไปตามหวัง เพราะเงินช่วยเหลือก็มักไหลเข้ากระเป๋าชนชั้นนำ แล้วก็เสริมความแข็งแกร่งของ Extractive Institutions แทนที่จะเปลี่ยนมัน
.
.
24. ประเทศที่ “หลุดพ้นจากวงจร”
.
แม้ผู้เขียนจะเล่าโลกที่ดูมืดมนกับประเทศจำนวนมากที่ติดอยู่ใน Vicious Circle แต่พวกเขาก็ยืนยันว่า มันเป็นไปได้ที่จะหลุดออกมา
.
I. กรณีบอตสวานา
.
หลังเอกราช (1966) บอตสวานามีทรัพยากรเพียบ โดยเฉพาะเพชร
.
หลายคนคาดว่าจะตกเป็นเหยื่อ Resource Curse เหมือนเพื่อนบ้านในแอฟริกา
.
แต่บอตสวานากลับเลือกใช้ทรัพยากรเพื่อสร้าง Inclusive Institutions กฎหมายคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน, การเมืองที่พอมีการแข่งขัน, ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
.
ผลคือจากประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก กลายเป็นประเทศที่โตเร็วที่สุดในทวีป
.
นี่คือตัวอย่างของการ “ทำลายกรอบ” ที่คนมองว่าเลี่ยงไม่ได้
.
.
II. กรณีญี่ปุ่นสมัยเมจิ
.
ก่อนปี 1868 ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมศักดินา
.
แต่เมื่อเจอ Critical Juncture คือแรงกดดันจากโลกตะวันตก ญี่ปุ่นเลือก “เปิดประเทศ” และปฏิรูปสถาบัน
.
ผลคือจากชาวนาในเอเชียตะวันออก กลายเป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมในเวลาไม่กี่ทศวรรษ
.
.
25. บทเรียนใหญ่จากทั้งเล่มมีดังนี้ครับ
.
I. Geography ไม่ใช่ชะตากรรม
.
สิงคโปร์พิสูจน์แล้วว่าประเทศเล็ก ไม่มีทรัพยากร ก็รวยได้ถ้าสถาบันดี ขณะที่คองโกมีทรัพยากรมหาศาลแต่ยังจน เพราะสถาบันเน่า
.
II. วัฒนธรรมไม่ใช่คำตอบ
.
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ล้วนแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมไม่ใช่ตัวขัดขวางการพัฒนา ถ้าสถาบันเปิดกว้าง วัฒนธรรมก็ปรับตามได้
.
III. ความไม่รู้ไม่ใช่ปัญหาหลัก
.
ผู้นำจำนวนมากรู้ดีว่าต้องทำอะไร แต่ไม่ทำเพราะมันขัดผลประโยชน์ของพวกเขา → ปัญหาจริงคือ “เจตนา” ไม่ใช่ความไม่รู้
.
IV. Institutions คือหัวใจ
.
กติกาในการเมืองและเศรษฐกิจ คือสิ่งที่กำหนดว่าใครได้โอกาส ใครถูกกีดกัน และสุดท้ายใครจะได้ประโยชน์จากการพัฒนา
.
ประเทศล้มเหลวเพราะพวกเขามี Extractive Institutions ที่กีดกันและรีดผลประโยชน์
.
ประเทศรุ่งเรืองเพราะพวกเขามี Inclusive Institutions ที่กระจายอำนาจและสร้างแรงจูงใจ
.
ความแตกต่างเล็ก ๆ ในสถาบันเมื่อเจอ Critical Juncture จะขยายจนกลายเป็นเส้นทางที่ต่างกันสุดขั้ว
.
วงจรคุณธรรม (Virtuous Circle) จะเสริมความเจริญ วงจรอุบาทว์ (Vicious Circle) จะตอกย้ำความล้มเหลว
.
.
===========================
.
และทั้งหมดนี้คือสารที่ Why Nations Fail อยากบอกเราครับว่า
.
ความมั่งคั่งหรือความล้มเหลวของชาติ ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา ภูมิอากาศ หรือแม้แต่ความขยันตื่นตีห้าของประชาชน แต่มันถูกกำหนดด้วย “กติกา” ที่ประเทศนั้นเลือกใช้ กติกาที่บางแห่งเปิดให้ทุกคนมีสิทธิ์วิ่งในสนามเดียวกัน ขณะที่บางแห่งเส้นชัยถูกเขียนชื่อจองไว้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง
.
พูดอีกแบบก็คือ ถ้าคุณเกิดในประเทศที่กติกาดี คุณอาจจะล้มแต่ยังลุกได้ แต่ถ้าเกิดในประเทศที่กติกาเน่า ต่อให้คุณตะโกน “I’m the best!” ใส่กระจกทุกเช้า…กระจกก็คงตอบกลับมาว่า “ใช่ แต่ระบบมันไม่ช่วยคุณเลยนะเพื่อน”
.
บางทีความสำเร็จส่วนตัว มันก็ดีครับ แต่ถ้าอยากเห็นทั้งประเทศไปข้างหน้าด้วยกัน เราคงต้องหันมามองระบบใหญ่ ๆ ด้วยเช่นกันครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies