สรุปหนังสือ Key Person of Influence คุณสมบัติของผู้สร้าง IMPACT ในวงการ เขียนโดย Daniel Priestley
ลองนึกภาพวงการใดวงการหนึ่งที่คุณรู้จักดี ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ อาหาร สื่อ การตลาด หรือแม้แต่สัตวแพทย์
.
ในทุกวงการ มักมีคนบางคนที่ชื่อของพวกเขาจะ “โผล่ขึ้นมาเอง” เวลามีโครงการสำคัญเกิดขึ้น
.
คนที่ชื่อถูกพูดถึงในห้องประชุม ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในห้องนั้น
.
คนที่ไม่ได้ต้องวิ่งหางาน เพราะงานมาวิ่งหาพวกเขา
.
Daniel Priestley เรียกคนเหล่านี้ว่า “Key Person of Influence” หรือ KPI
.
และหนังสือเล่มนี้มีจุดมุ่งหมายเดียว = สอนคุณให้กลายเป็นหนึ่งในนั้น
.
.
1. โลกที่เปลี่ยนไป (และคุณต้องเปลี่ยนด้วย)
.
"โลกไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป" คำพูดนี้เราได้ยินมานาน
แต่สำหรับ Priestley มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนของเทคโนโลยี แต่มันคือการเปลี่ยนระบบนิเวศของความสำเร็จเลยทีเดียว
.
โลกอุตสาหกรรม = ขยันแล้วอยู่รอด
.
ในยุคเดิม ใครขยัน ใครอดทน ใครทำตามระบบได้ดี คนนั้นจะได้เลื่อนขั้น ได้เงินเดือนเพิ่ม และเกษียณอย่างปลอดภัย
.
แต่ในยุคปัจจุบันที่ระบบเก่าล่มสลาย...
เราเข้าสู่เศรษฐกิจที่ ไม่แน่นอน เป็นดิจิทัล และขับเคลื่อนด้วย “แบรนด์บุคคล”
ไม่ใช่ระบบคุณวุฒิ
.
"ความสามารถทำให้คุณได้งาน
แต่ตัวตนของคุณจะเป็นเหตุผลว่าทำไมใครๆ ถึงอยากร่วมงานกับคุณ"
.
และนั่นคือสาเหตุที่หลายคน “ทำงานดีแต่ไม่มีใครรู้จัก”
พวกเขาอยู่ในวงการ แต่ไม่ได้เป็น “คนที่วงการหมุนรอบตัว”
.
.
2. เก่งอย่างเดียวไม่พอ “คนต้องจำได้” ด้วย
.
คนส่วนมากมักเข้าใจว่า ความสำเร็จต้องมาจากการพัฒนาความสามารถให้เหนือกว่าคนอื่น
แต่ในโลกจริง…มันไม่พอ
.
เพราะ
-ความเก่งถูกเปรียบเทียบได้ง่าย
-ความเก่งแทนที่กันได้
.
แต่ "ตัวตน" ที่ชัดเจน ไม่มีใครแทนคุณได้
.
Priestley แบ่งผู้คนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
.
A. Functional People: คนที่ “ทำงานได้”
.
-ขยัน ทำตามระบบได้ดี
-กลัวการเปลี่ยนแปลง
-ถูกแทนได้ตลอดเวลา
-รายได้ขึ้นอยู่กับเวลาและตำแหน่ง
.
.
B. Vital People: คนที่ “ขาดไม่ได้”
.
-มีเอกลักษณ์ มีเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกับคุณค่า
-กล้าถามว่า “ทำไมต้องทำแบบนี้?”
-กลายเป็นส่วนสำคัญของทีม
-เป็นคนที่โปรเจกต์ต้องมีเพื่อให้น่าเชื่อถือ
.
“Vital” ในภาษาอังกฤษ แปลว่า “จำเป็น” หรือ “มีชีวิต”
.
KPI คือคนที่เหมือนระบบหมุนรอบพวกเขา ถ้าไม่มีเขา ทุกอย่างดูจืดชืดลงทันที
.
.
3. โลกนี้ไม่ต้องการ “อีกคนหนึ่ง” แต่ต้องการ “คนนั้น”
.
คุณเคยรู้สึกไหมว่า...
บางคนพูดอะไรเฉย ๆ ก็มีคนแชร์เป็นพัน แต่คุณเขียนบทความแน่นปึ้กกลับมีแค่คนในบ้านกดไลก์?
.
Priestley ไม่มองว่านั่นเป็นเพราะ “เขาเก่งกว่า”
แต่มองว่าเขา สร้างกรอบการรับรู้ (Perception) ได้ดีกว่า
.
การเป็น Key Person of Influence ไม่ได้แปลว่าคุณดังที่สุด
แต่มันแปลว่า “เมื่อคนในวงการต้องการใครสักคน…ชื่อของคุณจะลอยขึ้นมาก่อน”
.
และทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือ “ระบบ” ที่สร้างได้
ซึ่ง Priestley เรียกว่า KPI Method
.
แต่ก่อนจะพูดถึงวิธีการ เราต้องเข้าใจก่อนว่า…
.
.
3.1 ทำไมคนที่ทำงานดีถึงไม่ปัง?
.
เพราะระบบรางวัลเปลี่ยนไป
.
ในอดีต
.
-ระบบรางวัลมาจาก “การทำตามกฎ”
-ใครอยู่ในองค์กรนาน ใครทำงานหนัก = ได้โบนัส เลื่อนขั้น
.
ในปัจจุบัน
.
-ระบบรางวัลมาจาก “การมองเห็น + การเชื่อมโยง”
-ใครที่คนอยากฟัง = ได้โอกาสมากกว่า
-ใครที่คนไว้ใจ = ได้ดีลก่อน
.
“ในโลกที่การทำดีไม่เพียงพอ...คุณต้องทำให้ดีแล้วให้คนเห็นด้วย”
.
.
3.2 เพราะคุณกำลังเล่นอยู่ใน “วงนอก”
.
Priestley แบ่งวงการออกเป็น 3 ชั้น:
.
Inner Circle = KPI ระดับหัวแถวของวงการ
.
Middle Ring = คนที่มีความสามารถ แต่ยังไม่ถูกจดจำ
.
Outer Ring = คนจำนวนมากที่แข่งกันในตลาดที่ไม่มีความแตกต่าง
.
เขาชี้ว่า Inner Circle มีคนน้อย และโอกาสเยอะ
คนวงในแชร์งานให้กัน
คนที่ไม่ได้รับงาน...คือคนที่ไม่อยู่ในวง
.
ถ้าคุณยังอยู่ใน Middle หรือ Outer Ring
“โอกาสดี ๆ” อาจไม่มีทางมาถึงคุณ ไม่ใช่เพราะคุณไม่เก่ง
แต่เพราะไม่มีใคร “นึกถึงคุณ” เมื่อต้องเลือกใครบางคน
.
.
4. วิธีคิดแบบ “ผู้มีอิทธิพล”
.
Priestley ไม่ได้สอนแค่กลยุทธ์ แต่เขาปรับวิธีคิดของคุณใหม่หมด โดยเริ่มจากแนวคิดสำคัญว่า…
.
“อย่าพยายามเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน
จงเป็นคนที่ใช่สำหรับบางคน แล้วให้บางคนเหล่านั้นดึงคุณขึ้นไปเอง”
.
เขาแนะนำให้คุณหาสิ่งต่อไปนี้ในตัวเอง
.
4.1 ธีมหลักของชีวิตคุณ (Your Throughline)
.
-อะไรที่คุณพูดถึงเสมอ?
-อะไรที่คุณอดไม่ได้ต้องแสดงความเห็น?
-คุณเก่งเรื่องไหนแบบ “ไม่ได้ตั้งใจ”?
.
.
4.2 Passion ≠ งานอดิเรก
.
-ความหลงใหลไม่ใช่สิ่งง่อย ๆ ที่ไม่มีประโยชน์
-มันอาจคือเชื้อเพลิงลับ ที่กลายเป็นจุดยืนของคุณในวงการ
.
.
4.3 แพสชัน + ความชัดเจน = อิทธิพล
.
-แพสชันอย่างเดียว = คนชอบ แต่จำไม่ได้
-ความชัดเจนอย่างเดียว = เข้าใจง่าย แต่ไม่มีอารมณ์ร่วม
-แต่เมื่อรวมกัน = คนเชื่อ คนติดตาม คนพูดถึง
.
.
5. The KPI Method - สร้างอิทธิพลให้เป็นระบบ
.
สิ่งที่ทำให้หนังสือ Key Person of Influence โดดเด่นเหนือเล่มพัฒนาตนเองทั่วไป คือการที่ Daniel Priestley ไม่ได้เสนอเพียงแรงบันดาลใจลอย ๆ หรือคอนเซปต์สวยหรู แต่ให้ “แผนผังจริง” ที่พิสูจน์แล้วว่าทำงานได้ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก
.
เขาเรียกแผนผังนี้ว่า The KPI Method ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ได้แก่
.
Pitch → Publish → Product → Profile → Partnership
.
คุณไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงอยู่ก่อน
ไม่จำเป็นต้องมีทุนก้อนใหญ่
แค่คุณเดินตามลำดับนี้อย่างจริงจัง โอกาสจะเริ่มวิ่งเข้ามาหาคุณ
.
และที่สำคัญ: ลำดับขั้นมีผลโดยตรงต่อความสำเร็จ
คุณข้ามขั้นหรือจัดลำดับผิดไม่ได้
.
Inner Circle is the Goal
.
ก่อนเข้าสู่ 5 ขั้นตอน Priestley ย้ำเตือนจุดหมายของกระบวนการนี้ว่า…
.
"จนกว่าคุณจะกลายเป็น Key Person of Influence ในอุตสาหกรรมที่คุณรัก งานประจำของคุณคือการกลายเป็นคนนั้นให้ได้"
.
เพราะ Inner Circle ของวงการใด ๆ คือที่ที่เงิน โอกาส ความร่วมมือ และความน่าเชื่อถือไหลเวียนกันอยู่
ไม่ใช่พื้นที่ของคนทำงานหนักที่สุด แต่ของคนที่ถูกจำได้ก่อน
.
.
===============================
.
[ STEP 1: PITCH - พูดให้น่าสนใจในเวลา 60 วินาที ]
.
.
ถ้าคุณมีเวลาแค่ 60 วินาทีเพื่อทำให้ใครสักคนเข้าใจว่า “คุณคือใคร” คุณจะพูดอะไร?
.
นั่นแหละครับคือหัวใจของการ Pitch
ซึ่งไม่ได้หมายถึงการขายของในห้องประชุมเท่านั้น แต่หมายถึงการนิยามคุณค่าในแบบที่โลกฟังแล้วเข้าใจและอยากฟังต่อ
.
ปัญหาหลักที่คนทั่วไปเจอคืออะไร?
.
พูดอะไรยาวมาก แต่คนฟังจำไม่ได้
ใช้ภาษาทางเทคนิคเกินไป
พูดแบบ “ฉันทำได้หลายอย่าง” แต่ไม่มีอะไรเด่นเลย
หรือพูดแบบ “สุภาพเกินไป” จนไม่มีใครสนใจ
.
Priestley บอกว่า
.
"Beware of the polite response."
.
คำชมแบบสุภาพ เช่น “อืม ฟังน่าสนใจนะครับ” แปลว่า: เขาจะไม่โทรกลับ
.
สิ่งที่ Pitch ที่ดีควรมี
.
1. มีปัญหาที่คุณแก้ไขได้อย่างชัดเจน
.
ตัวอย่าง: “ผมช่วยคนที่มีไอเดีย แต่ยังไม่รู้จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นรายได้อย่างไร”
.
2. มีจุดยืนเฉพาะเจาะจง
.
อย่าบอกว่าคุณ "ช่วยทุกคน" หรือ "ทำได้ทุกอย่าง"
ความน่าเชื่อถือมาจากความชัด ไม่ใช่ความครอบคลุม
.
3. มีอารมณ์ร่วม
.
คนฟังไม่ได้อยากรู้ว่าคุณทำอะไรอย่างเดียว แต่เขาอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงสนใจมัน
Passion + Expertise = พลัง
.
4. มีภาพจบในหัวคนฟัง
.
Pitch ที่ดีควรทำให้คนเห็นภาพว่า “ถ้าฉันร่วมงานกับเขา ฉันจะได้อะไร?”
.
สูตรสร้าง Pitch เบื้องต้น
.
“ฉันช่วย [ใคร] ที่มีปัญหา [อะไร] ให้ได้ผลลัพธ์ [อะไร] โดยใช้วิธี [อะไรที่เป็นเอกลักษณ์]”
.
เช่น “ผมช่วยเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่อยากขยายการตลาดออนไลน์ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ให้สามารถทำยอดขายจากโซเชียลได้ใน 60 วัน ผ่านการออกแบบแผนที่เน้นผลลัพธ์เป็นรายสัปดาห์”
.
สิ่งสำคัญคือ คุณต้องกล้าเลือกเป้าหมายที่แคบพอที่จะชัด และกว้างพอให้คนอยากฟัง
.
ข้อสังเกต: คนที่อยู่ใน Inner Circle มักมี Pitch ที่สั้น ชัด และคนพูดถึงแทนได้
.
.
============================
.
[ STEP 2: PUBLISH - คนที่พูดแล้วน่าเชื่อ คือคนที่เคย “เขียน” ]
.
.
หลังจากที่คุณรู้ว่าจะพูดอะไรเพื่อสร้างความน่าสนใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ทำให้ความน่าสนใจนั้น “ฝังราก” ลงในตลาด
คำตอบคือ การ Publish หรือ “สร้างเนื้อหา” ที่เผยแพร่ได้ โดยเฉพาะ “การเขียนหนังสือ” หรือ “บทความ”
.
ทำไมการเขียนจึงสำคัญ?
.
1. “มันเปลี่ยน Perception”
คนที่มีผลงานเขียนจะถูกมองว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” แทบจะในทันที
เพราะ “ใครจะเขียนหนังสือได้ ถ้าไม่รู้จริง?”
.
2. “มันทำให้คุณขยายอิทธิพลโดยไม่ต้องอยู่ตรงนั้นเสมอ”
คนอาจไม่เจอคุณ แต่เขาเจอบทความของคุณ
.
3. “มันทำให้คุณกลายเป็น Asset ของวงการ”
เมื่อคุณเขียนเรื่องหนึ่งซ้ำ ๆ จนคนเริ่มพูดว่า “เรื่องนี้ต้องอ่านของเขา” คุณกลายเป็นผู้มีอิทธิพลแล้ว
.
4. “มันแสดงว่าคุณเอาจริง”
คนที่ลงมือ publish อะไรบางอย่าง คือคนที่เอาจริงกับความเชี่ยวชาญของตน
.
.
รูปแบบที่นับว่า “Publish” ได้:
-หนังสือ
-Ebook
-White paper
-Blog / Medium
-คอนเทนต์ในโซเชียล (ถ้าคงเส้นคงวา)
-Podcast หรือ Youtube channel ก็เข้าข่าย
.
คำแนะนำจาก Priestley:
"อย่ารอให้เพอร์เฟกต์ก่อนถึงจะเขียน เขียนไปแล้วค่อยทำให้ดีขึ้นภายหลัง ไม่มีใครอ่านหนังสือคุณละเอียดเท่าที่คุณกลัวหรอก"
.
.
============================
.
[ STEP 3: PRODUCT - เปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นสิ่งที่ “ซื้อได้” ]
.
.
การ Pitch คือการบอกคุณค่าของคุณ
การ Publish คือการสร้างอิทธิพลและความเชื่อมั่น
แต่จะไม่มีใครร่วมงานกับคุณจริง ถ้าคุณ “ไม่มีสินค้า”
.
Product คือสิ่งที่เปลี่ยน “คุณค่า” ให้กลายเป็น “สิ่งจับต้องได้”
.
ไม่ใช่แค่สินค้าแบบกล่องหรือขวด แต่รวมถึง
-คอร์สออนไลน์
-โปรแกรมให้คำปรึกษา
-หนังสือที่ขายจริง
-ระบบ / Template / IP
-แอปพลิเคชัน
.
.
คนส่วนใหญ่ทำผิดอย่างไร?
.
-เอาตัวเองไปขาย = ขายเวลา
-ไม่กล้ากำหนดขอบเขตความเชี่ยวชาญให้แคบ
-ไม่กล้าใส่ “ราคาที่คู่ควรกับคุณค่า”
-ไม่เข้าใจว่า "Product ไม่ใช่แค่ของ...แต่มันคือการแพ็กความรู้ให้ซื้อได้"
.
.
2 ประเภทของ Product ตาม Priestley:
.
A. Product ที่แพร่กระจายความคิด (Idea Spreaders)
.
เช่น หนังสือ, คอนเทนต์, podcast
→ เอาไว้สร้างความรู้จัก
.
.
B. Product ที่สร้างรายได้ (Revenue Drivers)
.
เช่น โปรแกรม, คอร์ส, แพ็กเกจบริการ
→ เอาไว้สร้างเงินจริง
.
คุณต้องมีทั้งสองอย่าง — เพื่อ “ให้คนรู้จัก” และ “ให้คนซื้อได้”
.
เคล็ดลับ: ถ้าคุณอยากอยู่ในตลาดนาน ให้สร้างสินค้า
ถ้าอยากเป็นแค่ฟรีแลนซ์ที่เหนื่อยตลอดชีวิต ก็ขายเวลาไปเรื่อย ๆ
.
.
===========================
.
[ STEP 4: PROFILE - กลายเป็นชื่อที่โลกออนไลน์มองหา ]
.
.
โปรไฟล์ ไม่ใช่แค่ “เรซูเม่” หรือ “ประวัติย่อ” แต่หมายถึง สิ่งที่โลกเห็นเมื่อพิมพ์ชื่อคุณลงไปในการค้นหา
.
Daniel Priestley บอกว่า:
.
“โปรไฟล์คือสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้คนตัดสินใจร่วมงานกับคุณ แม้จะยังไม่เคยเจอคุณตัวเป็น ๆ”
.
ทำไม Profile ถึงสำคัญ?
.
1. เพราะคนตัดสินคุณจากสิ่งที่เขาเจอ ไม่ใช่สิ่งที่คุณเป็น
ในโลกความเร็วสูง คนใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการตัดสินว่า “คุณดูน่าเชื่อถือหรือเปล่า”
.
2. เพราะความน่าเชื่อถือไม่ได้มาจากการบอก แต่มาจาก “บริบทที่คุณอยู่”
ถ้าคุณไปพูดในงาน TEDx มีพอดแคสต์ขึ้น Spotify และมีเว็บไซต์ดีไซน์สวย
→ คุณดูมีน้ำหนักทันที (แม้คนยังไม่ได้ฟังสิ่งที่คุณพูด)
.
3. เพราะไม่มีใครอยากเป็นลูกค้าคนแรก
ถ้าคุณไม่มีสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่า “คุณเคยทำแล้ว”
→ เขาจะลังเลเสมอ
.
.
องค์ประกอบของ “โปรไฟล์ทรงพลัง”
.
1. เว็บไซต์ส่วนตัว
.
เป็นพื้นที่กลางที่รวบรวมสิ่งที่คุณทำ, ผลงาน, เรื่องเล่า, วิธีติดต่อ
Priestley เรียกว่า “บ้านออนไลน์” ที่สะท้อนตัวตน
.
.
2 Google-able
.
พิมพ์ชื่อคุณลง Google แล้วพบอะไร?
ถ้าขึ้นแต่ลิงก์เฟซบุ๊กส่วนตัว = ยังไม่พอ
.
.
3. เนื้อหาที่บ่งบอกความเชี่ยวชาญ
.
คลิปสัมภาษณ์, บทความที่แชร์ในวงกว้าง, คำพูดที่คนหยิบไปอ้าง
.
.
4. ความสัมพันธ์กับคนอื่นที่มีชื่อเสียง
.
อยู่ในภาพเดียวกับคนที่คนรู้จัก (Social Proof)
ได้รับเชิญให้พูด ร่วมงาน แชร์เวที → ส่งผลโดยอ้อมต่อการมองเห็น
.
.
5. แบรนด์ภาพลักษณ์สม่ำเสมอ
.
โลโก้ดีไซน์มืออาชีพ
ภาพโปรไฟล์คุณภาพ
ภาษาที่ใช้ในทุกช่องทาง “เป็นเสียงเดียวกัน”
.
.
Profile ไม่ใช่แค่เปลือก มันคือ “แม่เหล็ก” ที่ดูดโอกาส
.
คุณอาจคิดว่า “เอาไว้มีของก่อน ค่อยสร้างโปรไฟล์”
แต่ Priestley โต้แย้งอย่างหนักว่า ของดีต้องถูกเห็น มิฉะนั้นก็ไร้ค่า
.
“คุณอาจเป็นเพชรแท้ในถ้ำมืด แต่ถ้าไม่มีแสงส่องเข้ามา…
เพชรก็ไม่มีวันสะท้อนอะไรเลย”
.
.
============================
.
[ STEP 5: PARTNERSHIP - โตเร็วกว่าใคร ด้วยพลังจากคนอื่น ]
.
.
คุณ Pitch เก่ง, คุณมีผลงานที่ตีพิมพ์, คุณมี Product ที่ซื้อได้ และคนเห็นคุณบนโลกออนไลน์
.
แต่คุณยังเติบโตได้ไม่เร็วพอ…
เพราะคุณยังทำอยู่ “คนเดียว”
.
ขั้นตอนสุดท้ายของ KPI Method คือ Partnership คือ ระบบคิดใหม่ในการทำงานกับผู้อื่นอย่างมีกลยุทธ์
.
ทำไม Partnership ถึงเป็นอาวุธลับ?
.
1. เพราะคนเก่งที่ทำงานคนเดียว มักช้ากว่าคนธรรมดาที่มีทีมดี
โลกธุรกิจคือเกมของเครือข่าย ไม่ใช่แค่ความสามารถส่วนตัว
.
2. เพราะโอกาสใหญ่ มักต้องใช้ “ความร่วมมือ” เกินหนึ่งคนถึงทำให้สำเร็จ
ลองนึกถึงหนังสือขายดี → มักมีสำนักพิมพ์, นักออกแบบ, นักการตลาด
ลองนึกถึงพอดแคสต์ดัง → มีทีมโปรดักชัน, คนเชิญแขกรับเชิญ, คนทำ SEO
.
3. เพราะการเติบโตแบบก้าวกระโดด = การใช้ทรัพยากรของคนอื่นด้วย
เวลา / เครือข่าย / ช่องทางการขาย / ความเชี่ยวชาญ
.
.
รูปแบบของ Partnership ที่น่าทำ
.
Joint Venture (JV): สร้างสิ่งใหม่ร่วมกัน เช่น อีเวนต์, คอร์ส, พ็อดแคสต์
Affiliate: ให้ค่าตอบแทนกับคนที่แนะนำลูกค้ามาหาคุณ
Content Collaboration: สัมภาษณ์กัน, ทำซีรีส์บทความร่วมกัน
Platform Leverage: ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการของผู้อื่น
Strategic Alliance: แลกเปลี่ยนฐานลูกค้าในกลุ่มที่ไม่ทับซ้อน
.
.
สิ่งที่ทำให้ Partnership สำเร็จ
.
1. เข้าใจว่าแต่ละฝ่ายต้องการอะไร
.
2. ชัดเจนในบทบาท หน้าที่ และคุณค่า
.
3. สร้างบนความไว้วางใจ ไม่ใช่เอกสารอย่างเดียว
.
.
==========================
.
เมื่อทุกอย่างมารวมกัน…
.
Pitch + Publish + Product + Profile + Partnership
= ระบบที่เปลี่ยน “คนธรรมดา” ให้กลายเป็นชื่อที่ “วงการต้องการ”
.
และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้แต่ละขั้นก็คือ “ลำดับ”
เพราะถ้าคุณเริ่มสร้าง Partnership ทั้งที่ยังไม่มี Product
หรือไปสร้าง Profile ทั้งที่ยังไม่มี Pitch ที่ดี
ทุกอย่างจะกลายเป็น "เปลือก" ที่ไม่มีแก่น
.
.
=========================
.
[ ทำไมคนมีของถึงยังไม่ดัง? (The Vortex of Doom) ]
.
.
Daniel Priestley เริ่มต้นพาร์ทนี้ด้วยคำถามทรงพลัง:
.
“ถ้าคุณมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์มากมาย…
แล้วทำไมถึงยังไม่มีใครจดจำคุณในวงการ?”
.
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ความขยัน ความรู้ หรือแม้แต่ความพยายาม
แต่มันอยู่ที่กับดักลึก ๆ ที่คนเก่งจำนวนมากติดอยู่โดยไม่รู้ตัว
.
และ Priestley เรียกสิ่งนี้ว่า The Vortex of Doom
.
.
กับดักของ “คนที่เกือบสำเร็จ”
.
คนที่ฉลาด มีของ และทำงานหนักจำนวนมาก ยังไม่กลายเป็น Key Person of Influence เพราะติดอยู่ในวงจรนี้
.
1. ไม่มีจุดยืนชัดเจน (Unclear Pitch)
.
→ ทำให้ใคร ๆ ก็ไม่รู้ว่าคุณแตกต่างจากคนอื่นยังไง
→ เวลาเกิดโอกาสใหม่ คนจะนึกถึง “คนอื่น” ที่ดูชัดกว่า
.
2. ไม่มีสิ่งที่เผยแพร่ต่อเนื่อง (No Publish)
.
→ โลกไม่เห็นตัวตนคุณ เพราะคุณไม่พูดอะไรออกมา
→ แม้คุณจะรู้เยอะ แต่โลกไม่รู้ว่าคุณรู้
.
3. ไม่มีสินค้าให้คนซื้อ (No Product)
.
→ พอมีคนสนใจ ก็ไม่รู้จะเริ่มจ้างหรือซื้อคุณจากตรงไหน
→ จบด้วยคำว่า “เดี๋ยวไว้โอกาสหน้านะครับ”
.
4. ไม่มีโปรไฟล์ให้คนกล้าแนะนำ (No Profile)
.
→ คนจะลังเลเสมอถ้าจะแนะนำใครที่ดูไม่มีข้อมูลออนไลน์
→ พอไม่มี Social Proof ก็ไม่มีการบอกต่อ
.
5. ไม่มีพันธมิตร (No Partnerships)
.
→ ต้องทำทุกอย่างเอง เหนื่อย เครียด และเดินช้า
→ โอกาสใหญ่ ๆ ก็เลยไม่เคยเข้าถึง
.
ทั้งหมดนี้วนลูปซ้ำจนคนเก่งกลายเป็น “นักซ่อมเรือกลางทะเล” คือมัวแต่ซ่อมๆ ลอยๆ แต่ไม่เคยไปถึงฝั่งเสียที
.
.
========================
.
[ วิธีออกจากกับดัก = สร้าง “เครื่องยนต์อิทธิพล” แทนการพายเรือ ]
.
.
Daniel Priestley เสนอว่าคุณต้องเลิก “พายเรือ” ด้วยแรงตัวเอง
แล้วหันมาสร้าง Engine of Influence หรือ “ระบบที่ขับเคลื่อนตัวคุณโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยทุกวัน”
.
ลักษณะของคนที่ “ติดลูป”:
.
-ตื่นมาพร้อมรายการสิ่งที่ต้องทำ 18 อย่าง
-รู้ว่าต้องทำ Pitch / Publish / Product แต่ไม่รู้จะเริ่มที่ไหน
-รู้สึกว่า “ยังไม่พร้อม” ทุกครั้งที่กำลังจะเริ่มอะไรใหม่
-คิดมากจนไม่ได้ทำ
.
.
ลักษณะของคนที่ “ติดเครื่องแล้ว”:
.
-มีโปรไฟล์ที่ทำให้โอกาสเข้ามาเอง
-มีเนื้อหาที่พูดแทนตัวตนเขา
-มีสินค้า/บริการที่ขายได้เรื่อย ๆ
-มีพันธมิตรที่ผลักดันเขาไปไกลกว่าเดิม
-และ “เขาไม่ได้ทำทุกอย่างเอง”
.
.
เครื่องมือเร่งความเร็ว: การจัดการกับเวลา, พลัง, และทรัพยากร
.
Priestley ไม่เชื่อว่า “ต้องทำให้ครบก่อน แล้วค่อยออกสู่โลก”
เขาเสนอให้คุณเริ่ม “สร้างอิทธิพล” พร้อมกับ “เรียนรู้ไปด้วย” โดยใช้หลักการดังนี้
.
1. เลิกคิดแบบพนักงาน → คิดแบบทรัพย์สิน
.
คนทั่วไป “แลกเวลาเป็นเงิน”
แต่ KPI คิดว่า “ฉันจะเปลี่ยนความรู้ให้เป็นสิ่งที่คนเข้าถึงได้อย่างถาวร”
.
ตัวอย่างเช่น:
คนทั่วไปสอนทีละคนแบบตัวต่อตัว
KPI สร้างคลาสออนไลน์ที่ขายได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องอยู่ตรงนั้น
.
.
2. ใช้ “ทรัพยากรของคนอื่น” อย่างชาญฉลาด (OPR = Other People’s Resources)
.
เวลา: สร้างระบบอัตโนมัติ หรือให้ทีมช่วยดูแลบางเรื่อง
ทุน: หา Partner แทนการกู้
เครือข่าย: ไปโผล่ในงานของคนอื่น แทนที่จะสร้างงานเองทั้งหมด
ชื่อเสียง: เอาผลงานของคุณไปอยู่ข้าง ๆ คนที่น่าเชื่อถือ
.
“โลกนี้ไม่ได้ให้รางวัลคนทำทุกอย่างเอง
แต่มันให้รางวัลกับคนที่ทำ ‘สิ่งสำคัญ’ ได้ดีที่สุด แล้วให้คนอื่นจัดการเรื่องที่เหลือ”
.
.
3. เปลี่ยน Passion → เป็น Pitch / Product / Publish ให้ได้ภายใน 90 วัน
.
Priestley เสนอแผนที่ชัดเจนมาก:
สัปดาห์ที่ 1–2: สร้าง Pitch ที่น่าสนใจ
สัปดาห์ที่ 3–6: เขียนบทความหรือร่างหนังสือ
สัปดาห์ที่ 7–10: แพ็กสินค้า / คอร์ส / โปรแกรม
สัปดาห์ที่ 11–12: สร้างเว็บไซต์ / ปรับโปรไฟล์
สัปดาห์ที่ 13: หาพันธมิตร / ขอสัมภาษณ์ / จัด Live
.
แน่นอนว่าคุณไม่ต้องทำทุกอย่างเอง แต่ต้องเป็นคน “กำกับทิศทาง”
และทำให้สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกันเป็นระบบเดียว
.
.
4. ฝึกคิดแบบ “ผู้มีอิทธิพล” ในทุกวัน
.
ถามตัวเองทุกเช้า: วันนี้จะทำอะไรให้ “โลกเห็นคุณในแบบที่คุณอยากเป็น?”
เขียนโพสต์ แชร์ไอเดีย ทำคลิปสั้นๆ ทุกวันมีคนใหม่ที่อาจเจอคุณ
อย่ารอความสมบูรณ์แบบ แต่เน้นความต่อเนื่อง
.
“ในโลกยุคนี้ คุณไม่ต้องดังระดับโลก
คุณแค่ต้องดังในกลุ่มที่ใช่ แล้วดูแลเขาให้ดีที่สุด”
.
.
และทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า คุณไม่ต้องมีสตูดิโอหรู ไม่ต้องมีเส้นสาย หรือมีบารมีจากจักรพรรดิ TikTok
แค่คุณมี “ของ” และหยิบของนั้นมาวางให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกวิธี
คุณก็สามารถเปลี่ยนจาก “ใครก็ไม่รู้” → ไปเป็น “คนนั้นไง!” ได้เหมือนกันครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies