สรุปหนังสือ What Color Is Your Parachute? ร่มชูชีพของคุณเป็นสีอะไร : คู่มือค้นหาตัวเอง เพื่อสร้างงานที่ใช่ในโลกที่ไม่แน่นอน เขียนโดย Richard N. Bolles

ถ้าคุณเคยเห็นไลฟ์โค้ชบอกว่า
.
“งานประจำไม่มั่นคง”
“อยากรวยต้องเป็นผู้ประกอบการ!”
“เป็นนายตัวเองสิ ไม่มีเพดานรายได้”
.
…ขอให้คุณใจเย็น แล้ววางแก้วสมูทตี้ลงก่อนครับ
.
บทความนี้ไม่ได้มาฟาดไลฟ์โค้ช
แต่ก็ไม่ได้ชวนให้คุณยึดโต๊ะออฟฟิศจนวัยเกษียณ
.
มันแค่จะชวนคิดว่า
.
ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่รูปแบบงานเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าคุณรู้จักตัวเองแค่ไหน
.
คุณเก่งอะไร?
คุณรักอะไร?
คุณอยากใช้ชีวิตยังไง?
.
ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะมาในรูปของเจ้าของแบรนด์ หรือ พนักงานยอดเยี่ยม
หรือกรอบความฝันที่ไปแคปมาจากอินฟลูเอนเซอร์ใน Reels
.
และนั่นแหละครับคือสิ่งที่ What Color Is Your Parachute? กำลังจะพาคุณไปเจอ
.
ไม่ใช่ความฝันใคร
.
แต่คือ “ร่มของคุณเอง”
.
ดึงเชือกไว้ให้ดีนะครับ
.
หนังสือเล่มนี้จะพาคุณลงจอดตรงที่ๆเหมาะกับคุณ อย่างที่คุณไม่เคยคิดว่าจะหาเจอมาก่อน
.
.
================================
.
1. โลกของงานที่เปลี่ยนไป
.
Richard N. Bolles เปิดหนังสือด้วยการบอกความจริงที่ไม่อ้อมค้อมว่า “โลกของการทำงานในปัจจุบัน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ไม่ใช่แค่ตลาดแรงงานเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่ “กติกาในการได้งาน” ก็เปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
.
หลังวิกฤตการณ์การเงินปี 2008 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Great Recession โลกของการทำงานไม่เหมือนเดิมอีกเลย ผู้คนจำนวนมากพบว่ากลยุทธ์เดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผล เช่น เขียนเรซูเม่ ส่งให้บริษัท รอเรียกสัมภาษณ์ กลับไม่ทำให้ได้งานอีกต่อไป เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “พฤติกรรมของนายจ้าง” ไม่ใช่แค่จำนวนงาน
.
นายจ้างในยุคเศรษฐกิจดี จะยอมลงประกาศงาน อ่านเรซูเม่ และให้โอกาสผู้สมัคร
แต่นายจ้างในยุคเศรษฐกิจไม่ดี จะซ่อนตำแหน่งงานไว้ แล้วอาศัย "คอนเนกชัน" หรือ "พนักงานภายในแนะนำกันเอง"
.
ผลก็คือ ผู้สมัครจำนวนมากที่ยังใช้สูตรเดิมๆ ในการหางาน กลับพบว่าพวกเขา “ตีลังกาอยู่ในความว่างเปล่า” ไม่มีใครเรียก ไม่มีใครตอบกลับ
.
.
2. งานในฝันไม่มีอีกต่อไป แต่การสร้าง “งานที่เหมาะกับคุณ” คือคำตอบ
.
.
หนังสือชี้ให้เห็นว่าในอดีต คนคนหนึ่งอาจเปลี่ยนงานไม่กี่ครั้งในชีวิต แต่ตอนนี้มนุษย์ต้องเผชิญกับ "การเปลี่ยนงานเป็นประจำ"
.
ดังนั้น การหางาน ไม่ใช่แค่กิจกรรมชั่วคราวอีกต่อไป แต่มันกลายเป็น "ทักษะชีวิต" ที่คุณต้องฝึกให้ชำนาญพอๆ กับการว่ายน้ำหรือขับรถ เพราะคุณจะต้องทำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก
.
หนึ่งในแนวคิดสำคัญของ Bolles คือการพลิกกลับมุมมองแบบเดิมที่ว่า “เราต้องหางานที่มีอยู่ในตลาด” เป็น “เราต้องรู้จักตัวเองก่อน แล้วค่อยออกไปหางานที่เข้ากับเรา”
.
เขาใช้คำว่า “You are the given”
หมายถึงคุณต้องเริ่มจากตัวเองเป็นหลัก ไม่ใช่จากตำแหน่งงาน
.
ในอดีต คนส่วนใหญ่หางานโดยเริ่มจากการถามว่า “ตอนนี้มีตำแหน่งอะไรเปิดบ้าง?”
แต่ Bolles กลับบอกว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “คุณชอบอะไร? คุณเก่งอะไร? คุณอยากใช้ชีวิตยังไง?”
.
หากคุณยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ คุณก็จะกลายเป็นคนที่ "ไล่ล่าความเหมาะสม" ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณควรทำอะไร
.
.
3. งานชั่วคราวจะกลายเป็นเรื่องถาวร
.
ข้อมูลจากหนังสือระบุว่า แนวโน้มของงานถาวร (full-time employment) กำลังลดลง
ในขณะที่งานชั่วคราว (temp/freelance/contract work) กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
ปี 2018 มีฟรีแลนซ์ในสหรัฐกว่า 55 ล้านคน และคาดว่าในปี 2020 ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคน หรือ 40% ของแรงงานทั้งหมดในสหรัฐ
.
Bolles ชี้ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่โลกของ “Free Agent Nation” ซึ่งคนจำนวนมากจะไม่ได้มีงานประจำอีกต่อไป แต่จะมีชีวิตแบบ “รับจ้างอิสระระยะสั้นตลอดชีวิต”
.
ถ้าคุณยังตั้งต้นความมั่นคงจากงานประจำ คุณอาจจะต้องเปลี่ยนความคิด
.
.
4. เทคโนโลยีจะไม่แย่งงานคุณ แต่จะเปลี่ยน “รูปแบบของงาน”
.
ในขณะที่หลายคนกลัวว่า “หุ่นยนต์จะมาแย่งงาน” หนังสือกลับมองในอีกมุมว่า
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่การที่หุ่นยนต์มาแทนมนุษย์ แต่คือ “การรวมกันของคนกับเครื่องจักร” (Human-Machine Symbiosis)
.
งานในอนาคต = คน + แมชชีน
.
ระบบอัตโนมัติ, AI, algorithm, IoT, wearable tech ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาแทนเรา
แต่มันจะ “เข้ามาทำงานร่วมกับเรา” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
.
ดังนั้น การเข้าใจเทคโนโลยีระดับพื้นฐาน กลายเป็น “ภาษาที่สอง” ที่คุณต้องพูดให้ได้
.
.
5. โลกใหม่แห่งการหางาน
.
Bolles ร่างภาพให้เห็นความขัดแย้งระหว่าง “ภาษาของนายจ้าง” และ “ภาษาของผู้หางาน” ว่าแตกต่างกันอย่างน่าเหลือเชื่อ
.
ผู้สมัครคิดว่า “Skill” = ความสามารถเช่น การสื่อสาร การวิเคราะห์ ฯลฯ
.
แต่นายจ้างมองว่า “Skill” = ประสบการณ์ตรงที่ทำงานมาก่อน
.
ผลคือเกิด “การพูดคนละภาษา” ซึ่งทำให้แม้ผู้สมัครจะมีความสามารถมาก แต่กลับไม่ได้รับการเรียกสัมภาษณ์ เพราะไม่ได้แสดงออก “ในภาษาของนายจ้าง”
.
.
6. ปัญหาของการใช้เรซูเม่
.
Bolles ชี้ว่า การใช้เรซูเม่เป็นเครื่องมือหลักในการหางานนั้น “ล้าสมัย” และมีประสิทธิภาพต่ำอย่างน่าตกใจ — แค่ 1 ใน 270 เรซูเม่จะนำไปสู่การได้งานจริง
.
สาเหตุเพราะบริษัทส่วนใหญ่ใช้เรซูเม่เพื่อ “คัดคนออก” ไม่ใช่ “คัดคนเข้า”
และระบบ ATS (Applicant Tracking System) ก็อ่านแค่ keyword ไม่ได้เข้าใจบริบท
.
สรุป: เรซูเม่ไม่ใช่ใบเบิกทางอีกต่อไป แต่มันคือ "กับดัก" ถ้าคุณไม่รู้วิธีสร้างมันอย่างมีกลยุทธ์
.
.
7. Google คือเรซูเม่ใหม่ของคุณ
.
ในยุคดิจิทัล Google, LinkedIn, Facebook, Twitter, Instagram คือเรซูเม่ตัวใหม่ของคุณทั้งหมดแบบกลุ่มก้อน
.
Bolles เตือนว่า ทุกสิ่งที่คุณเคยโพสต์ลงออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “แบรนด์ตัวคุณ” ซึ่งนายจ้างสามารถค้นหาได้ง่ายกว่าที่คุณคิด และเขาเสนอวิธีจัดการเรซูเม่ออนไลน์ของคุณ 4 ขั้นตอน:
.
Edit – ลบหรือปรับปรุงข้อมูลที่ทำให้คุณดูไม่เป็นมืออาชีพ
.
Fill in – เติมข้อมูลใน LinkedIn ให้ครบ ไม่ปล่อยให้ว่าง
.
Expand – สร้างตัวตนออนไลน์เพิ่มเติม เช่น blog หรือ YouTube channel
.
Add – สร้างเรซูเม่แบบดั้งเดิม และนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลออนไลน์ของคุณ
.
.
8. LinkedIn ไม่ใช่แค่โปรไฟล์…แต่มันคือสนามประลอง
.
ถ้ามีแค่ Facebook คุณอาจได้ยอดไลก์
แต่ถ้ามี LinkedIn ที่ดี…คุณอาจได้งาน
.
LinkedIn คือแพลตฟอร์มหลักของการหางานยุคใหม่ เป็นที่ที่นายจ้างมองหา “ผู้สมัครเงียบ” ที่ยังไม่ได้สมัครแต่น่าสนใจมากพอจะติดต่อเอง
.
คุณจะกลายเป็น “passive candidate” ที่เนื้อหอม…หากคุณเล่น LinkedIn อย่างถูกวิธี
.
Bolles แนะนำเทคนิคที่เฉียบมาก:
.
ใส่ รูปโปรไฟล์ ที่ชัดเจน สุภาพ ยิ้มอย่างมืออาชีพ (โอกาสถูกดูเพิ่มขึ้น 11 เท่า)
.
ปรับหัวข้อ Job Title ให้ตรงกับสิ่งที่นายจ้างค้นหา เช่น “Content Strategist / Digital Storyteller”
.
เขียน Summary ให้โดนใจ – ไม่ใช่แค่ “ฉันเป็นคนขยัน” แต่ต้องมีเนื้อหาที่โชว์ว่า “คุณแก้ปัญหาอะไรได้”
.
ใส่ Achievement Story – เรื่องจริงของคุณ ที่พิสูจน์ว่าคุณเก่งด้านนั้น เช่น “สามารถเพิ่มยอดขาย 40% ภายใน 3 เดือนโดยใช้การปรับ content strategy”
.
ใช้ Keyword ให้ครบ – คำสำคัญในสายอาชีพของคุณ เช่น "SEO", "Data Analytics", "Python", "CRM"
.
อย่าลืมใส่ลิงก์ผลงาน เช่น Blog, YouTube, Portfolio หรือ Resume Online
.
Bolles สอนให้คิดว่า LinkedIn ไม่ใช่แค่ประวัติ แต่คือ “งานศิลป์” ที่คุณออกแบบเพื่อ “ทำให้นายจ้างหยุดนิ้วไว้ที่คุณ”
.
.
9. ขยายการรับรู้ของโลกต่อความเก่งของคุณ
.
หาก Google ยังไม่รู้จักคุณดีพอ…จงทำให้มันรู้จัก
.
เริ่มเขียน บล็อก เชิงวิชาชีพในสิ่งที่คุณถนัด เช่น “10 เทคนิคแก้การ present แล้วตื่นเต้น”
.
สร้าง ช่อง YouTube หรือ Podcast สั้นๆ ที่โชว์ความรู้ของคุณ
.
โพสต์ใน LinkedIn Groups หรือ Forums ที่เกี่ยวกับสายงาน
.
ไม่จำเป็นต้องเป็นกูรู…แต่ขอให้สม่ำเสมอ และจริงใจ
.
การ “พูดในที่สาธารณะ” เป็นการประกาศศักดิ์ศรีวิชาชีพของคุณโดยปริยาย
และเมื่อ Google เห็นมากพอ มันจะเริ่มให้คะแนนความน่าเชื่อถือคุณมากขึ้น
.
.
10. สร้างเรซูเม่คลาสสิกที่แข็งแรง และใช้ออนไลน์ให้เป็น
.
แม้ Google จะกลายเป็นเรซูเม่ใหม่ แต่เรซูเม่แบบเดิมก็ยังจำเป็น เพราะยังเป็น “รูปแบบที่คนคุ้นเคย” ในกระบวนการสมัครงาน
.
Bolles เสนอให้คุณเขียนเรซูเม่ในแบบที่เป็น “ฐานข้อมูลของชีวิต” โดยเริ่มจากการตอบคำถามพวกนี้:
.
คุณเคยทำอะไรที่ไม่มีใครเหมือน?
คุณเคยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
คุณมีทักษะอะไรที่คุณภูมิใจ?
มีใครชมคุณว่าเก่งเรื่องไหน?
คุณช่วยองค์กรหรือทีมลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพยังไง?
.
และอย่าลืมว่า ข้อมูลในเรซูเม่ต้อง “วัดผลได้” เช่น
.
“เพิ่มจำนวนผู้ใช้เว็บขึ้น 200% ภายใน 6 เดือน”
“ลดเวลาการผลิตจาก 30 วันเหลือ 20 วัน”
.
เรซูเม่แบบนี้ต่างจากเรซูเม่ทั่วๆ ไปที่เขียนว่า “มีทักษะในการสื่อสาร” เพราะมันแสดง “ผลลัพธ์” ไม่ใช่แค่ “คุณสมบัติ”
.
.
11. งานในตลาดมีจริง หรือแค่ภาพลวงตา?
.
Bolles ตอบคำถามที่หลายคนสงสัยที่สุด
.
“ยังมีงานให้สมัครอยู่ไหม?”
.
คำตอบจากข้อมูลคือ “มี และมีเยอะด้วย”
แต่ปัญหาคือ: คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นมัน
.
ในแต่ละเดือน มีตำแหน่งงานว่างใหม่ในสหรัฐฯ มากกว่า 10 ล้านตำแหน่ง
แต่ส่วนใหญ่ไม่ถูกประกาศในเว็บไซต์ หรือ “job boards” แบบที่ผู้สมัครทั่วไปเข้าไปดู
.
Bolles เรียกสิ่งนี้ว่า ตลาดงานเงา (The Hidden Job Market)
ตำแหน่งที่คุณไม่เคยเห็นบนหน้าจอ แต่มีอยู่จริงภายในบริษัท และคนที่รู้จักคนในองค์กรเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้
.
แล้วทำไมถึงไม่ประกาศออกสื่อ?
.
เหตุผลหลักมี 3 ข้อ:
.
A. บริษัทไม่อยากจ่ายค่าประกาศ
B. ใช้คนในแนะนำกันเอง (Referral Hiring) เพราะลดความเสี่ยง
C. บางตำแหน่งยังไม่สรุปงบประมาณ จึงยังไม่ลงประกาศ
.
นั่นแปลว่า ถ้าคุณ “รอให้มีประกาศ” แล้วค่อยสมัคร — คุณช้าไปแล้ว
เพราะบริษัท “อาจปิดดีลได้ก่อนโพสต์ประกาศเสียอีก”
.
.
12. วิธีเข้าถึงตลาดงานเงา
.
Bolles เสนอวิธีเข้าถึงงานที่มองไม่เห็น ด้วยแนวทาง 2 ส่วน
.
.
12.1 ไปหาคนก่อนหางาน
.
ใช้เครือข่ายคนรู้จัก (Bridge Person)
ติดต่อโดยตรงกับหัวหน้าแผนก ไม่ใช่ฝ่าย HR
ขอเข้าไป “shadow” ดูงาน 1–2 วันแบบไม่มีข้อผูกมัด
เข้าร่วมงานสัมมนา, meetup หรือกิจกรรมในสายงานนั้น
.
.
12.2 ส่งเรซูเม่ไปหาบริษัทแม้ไม่มีประกาศ
.
คุณอาจคิดว่าส่งไปแล้วเสียเวลา แต่จริงๆ แล้ว:
บริษัทจำนวนมากเริ่มหาคนก่อนรู้ว่าจะมีตำแหน่ง
เหมือนเตรียม “ฐานข้อมูลผู้สมัครในอนาคต” ไว้ล่วงหน้า และถ้าคุณอยู่ในกองนั้น — เมื่อถึงเวลา คุณก็จะได้เปรียบ
.
.
13. ความกลัวของนายจ้าง
.
Bolles หักล้างความเข้าใจผิดเรื่องการสัมภาษณ์
.
หลายคนเข้าใจว่าคือ “การแข่งขันตอบคำถามให้ดีที่สุด”
.
แต่จริงๆ แล้ว มันคือ “การทำให้นายจ้างรู้สึกปลอดภัยที่สุดที่จะเลือกคุณ”
.
นายจ้างไม่ได้อยากรู้ว่าคุณเก่งแค่ไหนอย่างเดียว
.
เขาอยากรู้ว่า “คุณจะเป็นความเสี่ยงหรือเปล่า?”
.
Bolles บอกว่า การสัมภาษณ์คือ “เกมของการลดความเสี่ยง”
.
.
14. คำถามจริงในใจนายจ้าง (แม้เขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ)
.
.
A. “ทำไมคุณถึงมาสมัครที่นี่?”
.
นายจ้างอยากรู้ว่าคุณสนใจบริษัทเขาจริง หรือแค่สมัครไปเรื่อยๆ
.
.
B. “คุณจะช่วยเราได้อย่างไร?”
.
เขาอยากรู้ว่าคุณแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ไม่ใช่แค่ทำงานตามหน้าที่
.
.
C. “คุณเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรได้ไหม?”
.
แม้คุณเก่ง แต่ถ้าทำงานร่วมกับทีมไม่ได้ เขาก็ไม่อยากรับ
.
.
D. “คุณดีกว่าคนอื่นยังไง?”
.
คุณไม่ต้องเป็นคนที่ดีที่สุด แต่ต้องมี “จุดเด่น” ที่ทำให้จดจำได้
.
.
E. “เราจ่ายค่าจ้างคุณไหวไหม?”
.
งบประมาณมีจำกัด ถ้าคุณเรียกสูงเกิน บริษัทอาจต้องเลือกคนอื่น
.
.
15. วิธีตอบแบบ “กึ่งเรื่องเล่า” (Story-Based Answers)
.
Bolles แนะนำให้คุณฝึก “เล่าเรื่อง” สั้นๆ ที่โชว์ความสามารถ
.
เช่น “ตอนที่ผมทำโปรเจกต์ X ผมต้องเผชิญกับปัญหา Y ซึ่งทำให้ทีมล่าช้า ผมจึงเสนอวิธี Z และสามารถลดเวลาการทำงานลงได้ 20%”
.
นี่คือสูตร STAR ที่หลายคนในวงการใช้:
.
Situation – สถานการณ์คืออะไร
.
Task – คุณรับผิดชอบอะไร
.
Action – คุณทำอะไรลงไป
.
Result – ผลลัพธ์คืออะไร (มีตัวเลขยิ่งดี)
.
.
16. อย่าพูดเยอะ อย่าพูดน้อยเกินไป
.
Bolles ชี้ชัด:
.
คำตอบควรยาวประมาณ 20 วินาที – 2 นาที
อย่าพูดคนเดียวทั้งสัมภาษณ์
พยายาม “แลกเปลี่ยนบทสนทนา” มากกว่าตอบแบบสอบปากคำ
.
และที่สำคัญที่สุด
.
ถ้าคุณอยากได้งานนี้…ให้ “พูดตรงๆ ว่าคุณอยากได้”
.
เช่น “จากที่เราได้คุยกัน ผมมั่นใจว่างานนี้เหมาะกับผมมาก ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ครับ”
.
คุณอาจจะรู้สึกว่า “มันจะดูหน้าด้านไหม?”
แต่ความจริงคือ: คนที่กล้าพูด = มีโอกาสได้มากกว่า
.
.
17. ส่ง Thank-You Note – อาวุธลับที่หลายคนมองข้าม
.
Bolles ยืนยันว่า การส่ง “จดหมายขอบคุณ” ไปหาคนสัมภาษณ์ ภายในวันนั้น จะเพิ่มโอกาสได้งานอย่างมีนัยสำคัญ
.
จะส่งแบบอีเมล หรือเขียนมือก็ได้ แต่ต้อง:
.
กระชับ (2–3 ประโยค)
จริงใจ (ไม่ใช่ copy-paste)
ทวนประเด็นสำคัญที่พูดกัน เช่น “ผมยังคิดถึงเรื่องที่คุณเล่าถึงโปรเจกต์ที่ต้องทำร่วมกับทีมข้ามแผนก และยิ่งมั่นใจว่าผมสามารถสนับสนุนได้ดีครับ”
.
.
18. เจรจาเงินเดือนอย่างมีชั้นเชิง ไม่ใช่แค่เรียก “มากที่สุดที่กล้าพูด”
.
Bolles แสดงจุดยืนชัดว่า “เงินเดือน” เป็นหัวข้อที่ผู้สมัครหลายคนจัดการผิดตั้งแต่ต้น
.
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
.
ตอบเร็วเกินไป – ถ้านายจ้างถาม “คุณอยากได้เงินเดือนเท่าไร” อย่าเพิ่งตอบ!
ไม่เตรียมข้อมูล – หลายคนตั้งตัวเลขจากความรู้สึก ไม่ใช่จากข้อมูลตลาด
กลัวเจรจา – บางคนรับเงินที่ต่ำเกินความสามารถเพราะไม่กล้าต่อรอง
.
Bolles เสนอแนวทางเป็นขั้นตอน
.
.
18.1 หาข้อมูลก่อน
.
ใช้เว็บอย่าง Glassdoor, Payscale, LinkedIn Salary เพื่อดูช่วงเงินเดือน
ถามเพื่อนในวงการอย่างสุภาพ เช่น “ตำแหน่งคล้ายๆ นี้เค้าปกติกันที่เท่าไรเหรอครับ?”
.
.
18.2 อย่าพูดตัวเลขก่อน ถ้ายังไม่ได้รับข้อเสนอ
.
Bolles เตือนว่า หากคุณพูดก่อน คุณจะเสียเปรียบเสมอ
เพราะคุณกำลังยิงตัวเลขเข้ากลางอากาศ โดยไม่รู้ว่าบริษัทพร้อมจ่ายแค่ไหน
.
วิธีตอบที่แนะนำคือ:
“ผมขอทราบช่วงงบประมาณของตำแหน่งนี้ก่อนได้ไหมครับ? ผมยืดหยุ่นได้ และสนใจงานนี้มากกว่าตัวเลขครับ”
.
.
18.3 ถ้าต้องพูดตัวเลข ให้พูดเป็นช่วง (range)
.
ไม่ใช่ “ผมขอ 55,000 ครับ”
แต่เป็น “จากที่ผมศึกษามา ตำแหน่งนี้อยู่ระหว่าง 55,000–65,000 และผมคิดว่าผมอยู่ช่วงกลาง–บนของช่วงนั้นครับ”
.
.
18.4 เจรจาส่วนอื่นนอกจากเงินเดือน
.
วันลาพักร้อน
เวลาทำงานยืดหยุ่น
สวัสดิการอื่น เช่น ค่ารักษาพยาบาล, ค่าเรียน, ค่าที่พัก
.
.
19. งานที่ใช่ ไม่ได้เริ่มที่บริษัท แต่มาจากภายในตัวคุณ
.
ก่อนจะไปหางานที่ใช่ คุณต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า
.
“คุณคือใคร?”
“อะไรคือจุดแข็งของคุณจริงๆ?”
“อะไรคือสิ่งที่คุณรัก ทำเก่ง และอยากทำซ้ำ?”
.
Bolles เชื่อว่า…
.
“เข็มทิศในการหางาน ไม่ได้อยู่ที่ตลาดงาน แต่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ”
.
หลายคนพลาดตั้งแต่ต้น เพราะเริ่มจากคำถามว่า “ตลาดต้องการอะไร?” แทนที่จะเริ่มจาก “ฉันมีอะไร?” และ “ฉันต้องการอะไร?”
.
.
20. อัตราความสำเร็จของการหางานที่เริ่มจาก “ตัวเอง”
.
Bolles ไม่พูดลอยๆ เขายกสถิติ:
.
คนที่เริ่มจาก “วิเคราะห์ตัวเองก่อน” มีโอกาสหางานสำเร็จ 84%
คนที่เริ่มจาก “หางานที่ตลาดเปิดรับอยู่” มีโอกาสสำเร็จ แค่ 4–28%
.
ฟังดูไม่น่าเชื่อใช่ไหม? แต่มันคือความจริงที่ย้อนแย้ง
.
คนที่เริ่มจากตัวเอง กลับหางานได้เร็วกว่า แม้ไม่ได้เริ่มจากตำแหน่งว่าง
.
.
21. The Flower Exercise เครื่องมือวิเคราะห์ตัวเองในโลกการทำงาน
.
Bolles คิดค้นแบบฝึกหัดนี้ขึ้นมา และมันได้กลายเป็น “ตำนาน” ในวงการ career coaching
.
เขาเปรียบชีวิตการทำงานของคนเราเหมือน ดอกไม้ 7 กลีบ ซึ่งแต่ละกลีบคือ “องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้งานเหมาะกับคุณจริงๆ”
.
หากกลีบใดขาด งานนั้นจะรู้สึกขัด
หากกลีบใดผิด งานนั้นจะรู้สึกทรมาน
แต่ถ้าทั้ง 7 กลีบตรงกัน — คุณจะ “เบ่งบาน”
.
.
22. กลีบทั้ง 7 ของดอกไม้ชีวิตการทำงาน
.
.
กลีบที่ 1: สิ่งที่คุณรักจะทำ (Favorite Knowledges or Fields of Interest)
.
หัวข้อไหนที่คุณพูดถึงได้เป็นชั่วโมง?
ความรู้ด้านไหนที่คุณตามติดเสมอ?
ถ้ามีเวลาว่าง 1 ปี คุณอยากศึกษาเรื่องอะไร?
.
.
กลีบที่ 2: สิ่งที่คุณทำเก่ง (Transferable Skills)
.
คุณถนัดอะไรโดยธรรมชาติ?
ทักษะไหนที่คุณใช้บ่อยที่สุดโดยไม่เหนื่อย?
.
Bolles แยกประเภททักษะไว้ 3 กลุ่ม:
.
ทักษะด้านข้อมูล เช่น วิเคราะห์, คิดกลยุทธ์, ประเมินผล
.
ทักษะด้านคน เช่น สื่อสาร, สอน, เจรจา, สร้างแรงจูงใจ
.
ทักษะด้านของ/ระบบ เช่น ซ่อม, ประกอบ, จัดเรียง, ออกแบบกระบวนการ
.
คุณต้อง “ลิสต์” ทักษะที่คุณมี แล้วจัดลำดับว่ารักทักษะไหนที่สุด
.
.
กลีบที่ 3: ระดับความรับผิดชอบที่คุณต้องการ (Level of Responsibility)
.
คุณอยากอยู่ตรงไหนในองค์กร?
.
ผู้นำ
ผู้จัดการระดับกลาง
ทีมสนับสนุน
ผู้ปฏิบัติการ
นักวิเคราะห์อิสระ
.
.
กลีบที่ 4: สถานที่ทำงานในฝัน (Preferred Working Conditions)
.
คุณอยากทำงานในแบบไหน?
.
ที่บ้าน / ที่ออฟฟิศ / เดินทางบ่อย
เวลาทำงานยืดหยุ่นหรือแน่นอน?
ชอบทำงานเดี่ยวหรือเป็นทีม?
องค์กรเล็กหรือใหญ่?
เปิดเสรีหรือมีโครงสร้างชัดเจน?
.
.
กลีบที่ 5: ค่าตอบแทนที่เหมาะสม (Salary and Level of Responsibility)
.
ให้คุณตอบคำถามตัวเองว่า
.
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคุณอยู่ที่เท่าไร?
คุณอยากเก็บเงินได้เดือนละเท่าไร?
ไลฟ์สไตล์ในฝันต้องใช้เงินเดือนเท่าไร?
.
.
กลีบที่ 6: สถานที่อยู่อาศัยที่คุณอยากใช้ชีวิต (Location and Geography)
.
เมืองใหญ่หรือเล็ก?
อากาศแบบไหน?
ใกล้ครอบครัวหรือพร้อมย้าย?
อยากอยู่ที่ที่มีทะเล, ภูเขา, ธรรมชาติ, ศูนย์กลางธุรกิจ?
.
Bolles บอกว่า “งานในฝัน” ที่คุณต้องย้ายไปอยู่ในที่ที่คุณเกลียด = ไม่นานคุณก็จะเบื่อ
.
.
กลีบที่ 7: ค่านิยมส่วนตัวและเป้าหมายชีวิต (Goals & Purpose)
.
คุณเชื่อในอะไร?
อะไรคือภารกิจชีวิตคุณ?
งานที่ทำให้คุณรู้สึกมีความหมายคือแบบไหน?
.
นี่คือกลีบที่สำคัญที่สุด เพราะถ้างานขัดกับ “คุณค่าที่คุณยึดถือ” คุณจะอึดอัดแม้งานนั้นจะดีแค่ไหนก็ตาม
.
.
23. กลยุทธ์หางานแบบเจาะจงองค์กร
.
I. ลิสต์องค์กร 10 แห่งที่คุณอยากทำงานด้วยจริงๆ
.
II. ค้นหา ว่าองค์กรเหล่านี้มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และคนแบบไหนในทีม
.
III. เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ แชร์บทความ, เข้าร่วมอีเวนต์, คอมเมนต์ใน LinkedIn, ฯลฯ
.
IV. หาคนรู้จักภายใน หรือ Bridge Person
.
V. เขียนจดหมายแนะนำตัวแบบเฉพาะเจาะจง โดยไม่รอให้มีตำแหน่งว่าง
.
Bolles เน้นว่า คนที่รอประกาศรับสมัครงาน = คนที่มาช้าเสมอ
.
.

24. แล้วถ้าฉันอยากเปลี่ยนสายงานล่ะ? เปลี่ยนตอนนี้สายไปไหม?
.
Bolles บอกว่า “การเปลี่ยนสายงาน” ไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลว — แต่มันคือ “การย้ายชีวิตไปยังที่ที่มันควรอยู่แต่แรก”
.
เขาเสนอ 5 วิธีในการเปลี่ยนอาชีพ อย่างเป็นระบบ
.
.
I. เปลี่ยนจากภายใน (Internal Shift)
.
คือการเปลี่ยนบทบาท ภายในองค์กรเดิม
.
ตัวอย่าง: จากฝ่ายการตลาด → มาเป็นทีมงาน HR
คุณเปลี่ยนสายงานโดยไม่ต้องเปลี่ยนบริษัท
.
ข้อดี:
ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องการเงินมาก
มีความคุ้นเคย
มีเครือข่ายภายในแล้ว
.
.
II. เปลี่ยนผ่านการเรียนรู้
.
คือการ “เพิ่มทักษะใหม่” เพื่อขยายทางเลือก
.
Bolles บอกว่า “You don’t have to go back to school. You just have to go back to learning.”
.
คุณไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนปริญญาอีกใบ แต่สามารถเรียนรู้ผ่าน:
คอร์สออนไลน์
สัมมนา
งานอาสาในสายอาชีพใหม่
shadow มืออาชีพในสายที่อยากทำ
.
.
III. เปลี่ยนแบบใช้ทักษะเดิมในสนามใหม่ (Skill Transfer)
.
คือการ “หิ้วทักษะเดิม” ไปใช้ในบริบทใหม่
.
เช่น: คนที่เคยทำด้าน customer service อาจย้ายมาเป็นผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม
.
นี่คือ “การเปลี่ยนแค่บริบท” ไม่ใช่เปลี่ยนทั้งหมด
.
Bolles เรียกมันว่า Adjacent Leap กระโดดจากจุดที่คุณยืนอยู่ไปยัง “ข้างๆ” ไม่ใช่กระโดดข้ามหน้าผา
.
.
IV. เปลี่ยนผ่าน “โปรเจกต์ทดลอง”
.
คือการทดลองทำงานเล็กๆ หรือโปรเจกต์เฉพาะทางก่อนเปลี่ยนจริง
.
ตัวอย่าง:
freelance ระยะสั้น
อาสาสมัครในสายที่อยากทำ
โครงการ side project ที่คุณริเริ่มเอง
.
“Try the work before you marry the work.” – Bolles
.
.
V. เปลี่ยนแบบเต็มตัว (Reinvention)
.
นี่คือการ “เปลี่ยนชีวิตทั้งชุด”
.
จากนักบัญชี → เป็นครู
จากพนักงานออฟฟิศ → เป็นเกษตรกร
จากลูกจ้าง → เป็นเจ้าของธุรกิจ
.
Bolles บอกว่า คนที่เลือกวิธีนี้ควร:
.
เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง
มีความยืดหยุ่นทางการเงิน
พร้อมล้มแล้วลุกใหม่หลายครั้ง
.
.
25. บางทีการสมัครงานอาจไม่ใช่ทางของคุณเสมอไป
.
Bolles เปิดประเด็นใหม่ที่คนจำนวนมากคิด
.
“ฉันไม่อยากเป็นลูกจ้างอีกแล้ว ฉันอยากเริ่มอะไรของตัวเอง”
.
Bolles ไม่ได้โรแมนติไซส์การเป็นเจ้าของธุรกิจ
.
เขาเริ่มจากการเตือนก่อนเลยว่า:
.
“การเริ่มธุรกิจไม่เหมือนการทำงานประจำ — มันไม่ปลอดภัย ไม่สบาย และไม่มีใครคอยสั่ง”
.
แต่ถ้าคุณรู้ว่า “คุณมีอะไรบางอย่างที่โลกต้องการ” และ “คุณไม่อยากทำงานภายใต้ระบบที่คุณไม่เชื่อ”
…ธุรกิจของคุณอาจเป็นการปลดปล่อยที่ดีที่สุดในชีวิต
.
.
26. ขั้นตอนเริ่มต้นธุรกิจแบบ Bolles
.
I. สำรวจตลาด (Market First, Passion Later)
.
หลายคนบอกว่า “ทำตามความหลงใหล”
.
แต่ Bolles แนะว่า:
.
จงเริ่มจาก “ปัญหาที่คนมีอยู่จริง”
แล้วค่อยดูว่าคุณสามารถแก้ปัญหานั้นได้ด้วยสิ่งที่คุณรักหรือไม่
.
นั่นคือ “จุดตัดระหว่างตลาด – ความสามารถ – ความหลงใหล”
.
.
II. ทดลองเล็กๆ ก่อน
.
อย่าเริ่มด้วยการกู้เงินก้อนโต
เริ่มด้วย side project หรือทำให้เพื่อนฝูงก่อน แล้วดู feedback จริงจากตลาด
.
“If nobody pays for it, it’s not a business. It’s a hobby.” – Bolles
.
.
III. ทำตัวให้เป็นคนที่ลูกค้าเชื่อใจ
.
ธุรกิจไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่คือ “ความเชื่อใจ”
.
Bolles แนะนำให้เริ่มสร้างชื่อเสียงไว้ล่วงหน้า ผ่าน:
.
บล็อก/เพจ/คลิปที่ให้ความรู้จริง
คำแนะนำที่คนเอาไปใช้แล้วได้ผล
รีวิวจริงจากลูกค้า
.
.
27. ภารกิจชีวิต (Mission): เรามาอยู่ที่โลกนี้เพื่อทำอะไร?
.
หนึ่งในภาคผนวกที่ทรงพลังที่สุดของหนังสือคือ Appendix A: Finding Your Mission in Life
.
Bolles ไม่ได้พูดถึง Mission แบบนามธรรม
.
เขาแบ่ง “ภารกิจชีวิต” ออกเป็น 3 ชั้น:
.
.
I. ภารกิจระดับสากล (Universal Mission)
.
“คุณมีอยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่น”
.
เขาอ้างแนวคิดจากนักปรัชญา ศาสนา และประสบการณ์ชีวิต ว่าท้ายที่สุดแล้ว
.
ภารกิจพื้นฐานของมนุษย์คือการทำให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้น
.
.
II. ภารกิจระดับกลุ่ม (Tribal Mission)
.
“คุณมีอยู่เพื่อรับใช้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ”
.
บางคนถูกเรียกให้ดูแลเด็ก
บางคนเข้าใจผู้สูงวัยอย่างลึกซึ้ง
บางคนรับใช้ผู้ถูกกดขี่
.
นี่คือภารกิจ “เฉพาะทาง” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีเหมือนกัน
.
.
III. ภารกิจส่วนตัว (Personal Mission)
.
“คุณมีอยู่เพื่อใช้พรสวรรค์เฉพาะของคุณ แก้ปัญหาที่คุณเท่านั้นที่เข้าใจ”
.
คุณไม่ต้องเป็นคนดัง
คุณไม่ต้องเปลี่ยนโลกให้ทุกคน
แค่คุณเปลี่ยน “โลกของใครบางคน” ได้ด้วยความสามารถเฉพาะของคุณ นั่นคือภารกิจที่ยอดเยี่ยมแล้ว
.
.
ในตอนท้ายของเล่ม Bolles เขียนจดหมายถึงผู้อ่านว่า
.
"ผมไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อให้คุณหางานได้
ผมเขียนมันเพื่อให้คุณรู้ว่าคุณมีค่า และคุณมีสิทธิเลือกชีวิตของตัวเอง"

.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ Key Person of Influence คุณสมบัติของผู้สร้าง IMPACT ในวงการ เขียนโดย Daniel Priestley