สรุปหนังสือ The 360-Degree Leader ผู้นำรอบทิศ เขียนโดย John C. Maxwell

ใคร ๆ ก็อยากเป็น “ผู้นำ” แต่ปัญหาคือ…ในออฟฟิศจริง ๆ เก้าอี้หัวหน้าใหญ่ก็มีแค่ตัวเดียว ที่เหลือคือเก้าอี้พลาสติกเสริมรอบโต๊ะประชุมให้ทุกคนนั่งรอคำสั่ง
.
แต่ John C. Maxwell บอกว่า “อย่าไปหลงในตำแหน่ง” เพราะความเป็นผู้นำไม่ได้อยู่ที่เก้าอี้ แต่อยู่ที่ “อิทธิพล” ที่คุณสร้างขึ้นได้รอบทิศ ไม่ว่าจะ “นำขึ้นไปหาหัวหน้า”, “นำข้ามไปหาเพื่อนร่วมงาน”, “หรือนำลงไปหาลูกทีม”
.
นี่แหละครับที่เขาเรียกว่า 360-Degree Leader
.
ที่สำคัญ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนมาให้ CEO อ่านคนเดียว (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อ่านหรอก) แต่มันมีประโยชน์กับทุกตำแหน่ง
.
ถ้าคุณเป็น “จูเนียร์” ที่อยากเลื่อนขั้นจาก “คนนั่งพิมพ์งาน” ไปเป็น “ทีมเพลย์เยอร์ระดับ A” เล่มนี้บอกวิธีให้คุณเป็นที่รักของทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน
.
ถ้าคุณเป็น “ผู้บริหารระดับกลาง” ที่รู้สึกเหมือนถูกบีบทั้งบนทั้งล่าง เล่มนี้คือคู่มือการเอาตัวรอดโดยไม่ต้องรอเกษียณตอนอายุ 45
.
ถ้าคุณเป็น “C-Level” นี่คือเครื่องเตือนใจว่าคุณกำลังสร้าง “ผู้นำรุ่นใหม่” อยู่ หรือกำลังสร้าง “กองทัพผู้ตามแบบจำใจ” กันแน่
.
สรุปง่าย ๆ: ไม่ว่าคุณจะอยู่ตำแหน่งไหนบนผังองค์กร ถ้าอยากเป็นคนที่ใคร ๆ ก็อยากเดินตาม (ไม่ใช่แค่เดินหนีเวลาเจอหน้าคุณในลิฟต์) หนังสือเล่มนี้คือคู่มือที่ใช่
.
.
==============================
.
1. The Myths of Leading from the Middle ความเข้าใจผิดของการเป็นผู้นำตรงกลาง
.
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ “ผู้นำ” คือภาพของคนยืนอยู่แถวหน้า เสียงดังก้องท่ามกลางสมรภูมิหรือในห้องประชุมใหญ่ Winston Churchill โบกไม้เท้า ปลุกใจชาติท่ามกลางไฟสงคราม หรือ Mahatma Gandhi นำขบวนเดินไปทะเลเพื่อท้าทายจักรวรรดิ ผู้คนมักเชื่อว่าการเป็นผู้นำคือการได้อยู่ข้างบนสุด ได้ถือหางเสือและสั่งการทั้งหมด
.
แต่ Maxwell ชี้ให้เห็นความจริงที่น่าตกใจว่า
.
99% ของการนำจริง ๆ ในองค์กรเกิดขึ้นจาก “ตรงกลาง” ไม่ใช่บนยอดพีระมิด
.
เพราะคนที่อยู่ข้างบนมีแค่หนึ่งหรือสอง แต่คนที่อยู่กลางมีเป็นร้อย และพวกเขาต่างก็เป็นผู้สร้างอิทธิพลในทุกทิศทาง หากผู้นำกลางไม่มีพลัง องค์กรทั้งองค์กรก็จะติดหล่มเหมือนรถเครื่องแรงแต่ยางแบน
.
เพื่อให้คนที่อยู่ตรงกลางเลิกหลงกับภาพลวง Maxwell เปิดฉากด้วยการทุบ 7 มายาคติของความเป็นผู้นำ เรียกว่า “The Seven Myths” ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่กัดกร่อนความมั่นใจของคนจำนวนมาก มาลองไล่ดูกันทีละข้อครับ
.
.
ความเข้าใจผิด 1 = The Position Myth – “ฉันไม่ใช่หัวหน้า จะนำได้ยังไง?”
.
นี่คือมายาคติคลาสสิกที่สุด: คิดว่าผู้นำเกิดจากตำแหน่ง ถ้าไม่มีเก้าอี้ใหญ่ ก็ไม่ใช่ผู้นำ แต่ Maxwell ย้ำว่า “ตำแหน่งคือจุดเริ่ม ไม่ใช่บัตรผ่านตลอดชีพ”
.
เขาอ้างถึง “The Five Levels of Leadership” ของตัวเอง
.
Level 1. Position – คนทำตามเพราะ “จำใจ” ไม่ใช่เพราะศรัทธา
.
Level 2. Permission – คนทำตามเพราะเขารู้จักและไว้ใจคุณ
.
Level 3. Production – คนทำตามเพราะคุณทำให้ทีมบรรลุเป้าหมาย
.
Level 4. People Development – คนทำตามเพราะคุณลงทุนสร้างเขา
.
Level 5. Personhood – ระดับสูงสุดที่ผู้อื่นยกย่องให้คุณโดยสมัครใจ
.
ดังนั้นถ้าคุณอยู่ในจุดที่ไม่มีตำแหน่งใหญ่ คุณก็ยัง “เลื่อนขั้น” ได้ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ ผลลัพธ์ และการพัฒนาผู้อื่น
.
.
ความเข้าใจผิด 2 = The Destination Myth – “พอได้เป็นหัวหน้า ค่อยหัดนำก็ยังทัน”
.
Maxwell เล่าเรื่องนักเขียนของเขาที่ซ้อมมาราธอนล่วงหน้าปีก่อนจะวิ่งจริง เพื่อชี้ว่า คุณไม่มีวันพร้อมหากรอจนได้ตำแหน่งก่อนค่อยหัดนำ เพราะการนำคือ “ทักษะที่ต้องฝึกในสนามจริง” ไม่ใช่ทฤษฎีในตำรา
.
ถ้าคุณไม่ฝึกการตัดสินใจตอนงานเล็ก ๆ ความผิดพลาดจะไม่รุนแรง แต่ถ้ารอจนได้ตำแหน่งใหญ่แล้วค่อยลองผิดลองถูก ความเสียหายอาจพังทั้งองค์กร และที่แย่กว่านั้นคือ “เครดิตความน่าเชื่อถือ” ของคุณอาจหมดไปในพริบตา
.
.
ความเข้าใจผิด 3 = The Influence Myth – “ถ้าเราเป็นหัวหน้า คนก็ต้องเชื่อฟัง”
.
อีกความเข้าใจผิดคือการคิดว่าอิทธิพลแถมมาพร้อมเก้าอี้ แต่ความจริงตรงกันข้าม Maxwell บอกว่า ตำแหน่งเป็นแค่ “โอกาสให้พิสูจน์” ไม่ใช่การันตีอิทธิพล หากคุณนำไม่เป็น ตำแหน่งจะยิ่งลดทอนอิทธิพลของคุณลงด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณนำเก่ง ตำแหน่งเล็กก็กลายเป็นเวทีใหญ่ได้
.
กล่าวอีกแบบคือ “ตำแหน่งไม่สร้างผู้นำ แต่ผู้นำสามารถสร้างตำแหน่ง”
.
.
ความเข้าใจผิด 4 = The Inexperience Myth – “พอเป็นหัวหน้าจะได้คุมเองทุกอย่าง”
.
หลายคนบ่นว่า “ถ้าเราเป็นหัวหน้า ป่านนี้ทำดีกว่านี้แล้ว” ฟังดูมีพลัง แต่เป็นความเข้าใจผิดใหญ่ เพราะยิ่งสูงยิ่งไม่มีวันคุมทุกอย่างได้
.
Maxwell ยกตัวอย่าง Carly Fiorina อดีต CEO ของ Hewlett-Packard ที่แม้จะอยู่จุดสูงสุด แต่ยังถูกบอร์ดบังคับให้ลาออกในพริบตา แสดงให้เห็นว่า “การอยู่บนยอดไม่ได้แปลว่าคุมได้ทุกเรื่อง”
.
.
ความเข้าใจผิด 5 = The Freedom Myth – “เป็นหัวหน้าแล้วจะได้อิสระ”
.
อีกหนึ่งภาพลวงตาคือ “พอได้เก้าอี้ใหญ่ ชีวิตจะสบาย” จะได้เลือกเอง ทำเอง อยากพักเมื่อไหร่ก็พัก แต่ความจริงคือยิ่งสูง ความรับผิดชอบยิ่งมาก และอิสระยิ่งน้อยลง
.
ตัวอย่างง่าย ๆ: จากพนักงานขายที่มีอิสระเลือกสไตล์การทำงานเอง แต่พอเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ต้องคุมทั้งทีม ต้องประชุม ต้องอยู่ในตารางเวลาคนอื่นมากขึ้น ยิ่งเลื่อนเป็นผู้จัดการฝ่าย ก็ถูกจำกัดมากขึ้นอีก
.
.
ความเข้าใจผิด 6 = The Potential Myth – “จะไม่ถึงศักยภาพเต็มที่ ถ้าไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่ง”
.
สังคมมักสอนให้เราตั้งเป้าว่า “ต้องเป็น CEO ต้องเป็นประธานาธิบดี” แต่ Maxwell บอกว่า ศักยภาพสูงสุดของคุณไม่ได้ขึ้นกับตำแหน่ง แต่ขึ้นกับ “การเล่นให้สุดในบทบาทที่คุณถนัด”
.
เขายกตัวอย่าง Dick Cheney ที่ไม่เคยอยากเป็นประธานาธิบดี แต่เป็นรองประธานาธิบดีที่ทรงพลังที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพราะเขาเหมาะกับบทบาท “เบอร์สองที่แข็งแกร่ง” มากกว่า
.
.
ความเข้าใจผิด 7 = The All-or-Nothing Myth – “ไม่ได้เป็นหัวหน้าใหญ่ ก็ไม่ต้องนำ”
.
นี่คือทัศนคติที่อันตรายที่สุด: ถ้าไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่ง ก็ไม่ต้องเล่นเกม จะเป็นผู้นำไปทำไมถ้าไม่ใช่หัวหน้าสูงสุด?
.
Maxwell ยกตัวอย่างกลุ่มผู้นำผิวสีในองค์กรใหญ่ ๆ ของอเมริกายุค 50s–60s ที่แม้ไม่มีทางเป็น CEO เพราะถูกกีดกัน แต่พวกเขาก็เลือกจะ “นำจากตรงกลาง” ผลักดันการเปลี่ยนแปลง และในที่สุดสร้างรากฐานให้รุ่นหลังได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด
.
.
==============================
.
2. The Challenges 360-Degree Leaders Face ความท้าทายของตรงกลาง
.
การนำจากตรงกลางองค์กรไม่ใช่เรื่องโรแมนติกที่มีแต่เสียงปรบมือและแสงไฟบนเวที ตรงกันข้าม มันเต็มไปด้วยแรงกดดัน ความไม่แน่นอน และการถูกบีบคั้นจากทั้งบนและล่าง คนจำนวนมากที่พยายามเป็นผู้นำในระดับกลางต่างถอนหายใจว่า “มันเหมือนเอาหัวโขกกำแพงอิฐ” หรือ “ทำไมพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ขยับ” บางคนถึงขั้นอยากยกมือยอมแพ้
.
Maxwell บอกว่า นั่นไม่ใช่เพราะคุณล้มเหลว แต่เพราะคุณกำลังเดินบนเส้นทางเดียวกับผู้นำคนอื่น ๆ ทุกคนที่อยู่ตรงกลาง คุณกำลังเผชิญกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “The Seven Challenges”
.
.
Challenge 1 = The Tension Challenge – ความกดดันของการติดอยู่ตรงกลาง
.
นี่คือโจทย์แรกที่ทุกคนเจอทันทีเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับกลาง คุณมีอำนาจบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด คุณสามารถสั่งการบางเรื่อง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางองค์กรได้เองทั้งหมด ผลคือคุณเหมือนอยู่ในสภาวะ “มีอำนาจแต่ไม่มีพลัง”
.
Maxwell เปรียบเทียบว่า อำนาจของคุณจริง ๆ แล้วคือ “อำนาจที่ถูกยืมมาจากคนที่อยู่เหนือคุณ” คุณอาจทำได้ดี แต่วันหนึ่งหัวหน้าก็สามารถดึงอำนาจนั้นคืนได้ด้วยการลดตำแหน่งหรือปลดคุณออกไปเลย
.
สิ่งที่ทำให้ความกดดันหนักขึ้นคือ “เส้นขอบอำนาจ” มักไม่ชัดเจน หลายครั้งคุณไม่แน่ใจว่าต้องตัดสินใจเองหรือรออนุมัติ คุณจึงรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเชือกเส้นเดียว ต้องรักษาสมดุลระหว่างการริเริ่ม กับการไม่ล้ำเส้น
.
Maxwell แนะนำว่า วิธีคลายแรงกดดันคือ
.
ยอมรับความจริงของการอยู่ตรงกลาง มันไม่เลวร้ายเสมอไป เพราะถ้าได้เจอหัวหน้าที่ดี คุณจะได้อานิสงส์และโมเมนตัมเต็ม ๆ
.
รู้ให้ชัดว่าอะไรคือหน้าที่ของคุณ และอะไรที่ควรปล่อยไป อย่าแบกทุกอย่างไว้บนบ่า
.
สร้างช่องทางถาม-ตอบรวดเร็ว เพื่อไม่ต้องติดแหง็กกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ
.
อย่าทำลายความไว้วางใจ เพราะถ้าเสียความเชื่อใจจากหัวหน้า คุณแทบหมดโอกาสเติบโต
.
หาทางระบายความเครียด ไม่ว่าจะออกกำลังกาย เขียนโน้ต หรือวิธีอื่น ๆ ที่ไม่ทำร้ายใคร
.
.
Challenge 2 = The Frustration Challenge – การต้องทำงานภายใต้หัวหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
.
นี่เป็นฝันร้ายของผู้นำระดับกลางหลายคน เพราะไม่มีอะไรทรมานเท่ากับการต้องเดินตามคนที่คุณรู้ชัดว่า “เขานำได้แย่กว่าฉัน”
.
Maxwell ยกตัวอย่าง Robert E. Lee แม่ทัพฝ่ายใต้ที่ต้องทำงานภายใต้ประธานาธิบดี Jefferson Davis ซึ่งไร้วิสัยทัศน์และไร้ความสามารถ ถึงแม้ Lee จะเก่งแค่ไหน แต่เขาเลือกไม่หักหน้าเจ้านาย ผลคือสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้
.
ปัญหาของหัวหน้าที่ไม่เก่งมีหลายแบบ เช่น:
.
Insecure Leader – ขี้ระแวง กลัวลูกน้องเก่งกว่า
.
Visionless Leader – ไม่มีทิศทาง ทำให้ทีมไม่รู้จะไปทางไหน
.
Incompetent Leader – ไร้ความสามารถ แก้ปัญหาไม่เป็น
.
Selfish Leader – เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว
.
Chameleon Leader – เปลี่ยนสีไปมา ไร้จุดยืน
.
Political Leader – คิดแต่จะสร้างภาพเพื่อเอาตัวรอด
.
Controlling Leader – ชอบจุ้นทุกเรื่องและไมโครเมเนจ
.
Maxwell แนะว่าแทนที่จะ “หัก” หรือ “หนี” เราควรเลือก “เพิ่มคุณค่า” ให้หัวหน้า
.
สร้างความสัมพันธ์กับเขา
มองหาจุดแข็งของเขาให้เจอ
เสริมจุดแข็งเหล่านั้นด้วยการสนับสนุน
ช่วยปิดจุดอ่อนอย่างแนบเนียน
ส่งต่อทรัพยากรความรู้โดยไม่ทำให้เขารู้สึกด้อย
.
หากทำทั้งหมดแล้วยังไม่ได้ผลจริง ๆ Maxwell บอกว่า คุณมีสองทางเลือกคือเปลี่ยนทัศนคติ หรือเปลี่ยนที่ทำงาน
.
.
Challenge 3 = The Multi-Hat Challenge – หนึ่งหัวหลายหมวก
.
ในองค์กร คุณไม่ได้เป็นแค่ “หัวหน้า” คุณยังเป็นลูกน้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ประสานงาน และบางครั้งต้องเป็นนักเจรจา เป็นผู้ฟังที่ดี หรือแม้กระทั่งเป็นนักบำบัดให้ทีม
.
Maxwell ชี้ว่า การใส่หมวกหลายใบไม่ใช่ปัญหา แต่คือความจริงของผู้นำระดับกลาง คุณต้องรู้จักเปลี่ยนหมวกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ เช่น คุยกับหัวหน้าก็ต้องใส่หมวกผู้สนับสนุน, คุยกับเพื่อนร่วมงานต้องใส่หมวกผู้ร่วมทีม, คุยกับลูกทีมต้องใส่หมวกผู้นำและครู
.
ความท้าทายคือคุณต้อง “เปลี่ยนบทบาท” อย่างต่อเนื่องโดยไม่สับสนหรือหลุดโฟกัส ซึ่งต้องอาศัยทั้งความยืดหยุ่นและความชัดเจนในตัวตน
.
.
Challenge 4 = The Ego Challenge – เมื่อคุณถูกบดบังในเงามืด
.
คนที่อยู่ตรงกลางมักจะไม่ได้รับเครดิตเต็ม ๆ ต่อให้คุณทำงานหนัก แต่ไฟสปอร์ตไลต์มักจะส่องไปที่หัวหน้าคุณด้านบน หรือบางทีก็ถูกลูกทีมแย่งเครดิตไป
.
ตรงนี้คือบททดสอบอีโก้ที่สำคัญ: คุณพอใจที่จะเป็น “เงา” ที่ผลักดันผู้อื่นให้เปล่งประกายได้หรือไม่? ถ้าคุณมัวแต่หมกมุ่นกับการถูกยกย่อง คุณจะท้อแท้และหมดไฟ แต่ถ้าคุณยอมรับว่านี่คือธรรมชาติของตำแหน่ง คุณจะหายใจโล่งขึ้น
.
Maxwell ย้ำว่า “Leaders add value.” การนำคือการสร้างคุณค่า ไม่ใช่การสะสมคำปรบมือ
.
.
Challenge 5 = The Fulfillment Challenge – เมื่อหัวใจโหยหาด้านหน้า
.
มนุษย์เรามีความปรารถนาที่จะ “ยืนข้างหน้า” ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำสูงสุด แต่ตำแหน่งผู้นำกลางทำให้คุณต้องยอมรับว่าคุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น
.
นี่คือความท้าทายด้าน “ความพึงพอใจ” (Fulfillment) คุณต้องหัดพอใจกับการนำจากตรงกลาง Maxwell แนะนำว่าให้เปลี่ยนมุมมองจาก “ฉันไม่ได้อยู่ข้างหน้า” เป็น “ฉันกำลังสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างหน้า”
.
การทำงานตรงกลางให้อิ่มใจคือการรู้ว่าคุณมีส่วนร่วมกับความสำเร็จโดยรวม
.
.
Challenge 6 = The Vision Challenge – การแบกวิสัยทัศน์ที่ไม่ได้สร้างเอง
.
อีกโจทย์หนึ่งที่หนักคือ คุณต้องทำให้ทีมศรัทธาในวิสัยทัศน์ที่คุณไม่ได้เป็นคนคิด บางครั้งหัวหน้าของคุณอาจเป็นคนวาดฝัน แต่คุณคือตัวแปลภาษาที่ต้องทำให้ทีมเข้าใจและเชื่อ
.
Maxwell บอกว่า ผู้นำระดับกลางต้องเป็น “นักตีความวิสัยทัศน์” (Vision Translator) ไม่ใช่แค่ผู้สื่อสารธรรมดา คุณต้องตีความฝันใหญ่ขององค์กรให้กลายเป็นเป้าหมายที่จับต้องได้สำหรับทีมของคุณ และบางครั้งยังต้องเพิ่ม “พลังศรัทธา” ให้ทีมเชื่อมากกว่าที่หัวหน้าคิดไว้ด้วยซ้ำ
.
.
Challenge 7 = The Influence Challenge – การสร้างอิทธิพลเกินกว่าตำแหน่ง
.
สุดท้ายและยากที่สุดคือ การนำโดยไม่พึ่งตำแหน่ง เพราะตำแหน่งของคุณมีขอบเขตจำกัด แต่ถ้าคุณอยากเป็น 360-Degree Leader คุณต้องหาวิธีสร้างอิทธิพล “เหนือขอบเขต” ให้ได้
.
อิทธิพลนี้มาจาก
.
ความน่าเชื่อถือส่วนบุคคล (คุณทำงานดีและไว้ใจได้)
ความสัมพันธ์ (คุณจริงใจกับผู้คนรอบตัว)
ความเชี่ยวชาญ (คุณเก่งในสิ่งที่ทีมต้องพึ่งพา)
ความเสียสละ (คุณทำเกินหน้าที่เสมอ)
.
เมื่อคุณสร้างอิทธิพลแบบนี้ คุณจะกลายเป็น “ศูนย์กลางพลังงาน” ที่คนอยากตาม
.
.
===========================
.
3. Nine Principles for Leading Your Leaders หลักการของการนำ "ขึ้นบน"
.
หลายคนเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องคือเส้นทางทางเดียว—จากบนลงล่าง หัวหน้าสั่ง ลูกน้องทำ แต่ในโลกจริง ถ้าองค์กรจะเติบโตได้เร็ว ต้องมีพลังไหลกลับขึ้นไปจากล่างสู่บนด้วย
.
การ Lead Up จึงไม่ใช่การ “สั่งหัวหน้า” แต่คือการ สร้างคุณค่า จนหัวหน้ามองเห็นว่าคุณคือ “พันธมิตร” ไม่ใช่แค่ผู้ใต้บังคับบัญชา คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวหน้า แต่คุณสามารถ “เปลี่ยนวิธีที่เขามองคุณ” ได้
.
Maxwell เสนอ 9 หลักการ สำหรับการนำขึ้น มาลองไล่ไปทีละข้อ
.
.
Principle 1 = Lead Yourself Exceptionally Well – จัดการตัวเองให้เยี่ยมที่สุด
.
คุณไม่สามารถนำใครได้ หากยังนำตัวเองไม่ได้
.
หัวหน้าจะไม่ให้คุณถือหางเสือเพิ่มถ้าเขาเห็นว่าคุณยังควบคุมชีวิตตัวเองไม่อยู่ คุณมาสายบ่อย งานไม่เสร็จตามกำหนด หรือหงุดหงิดง่าย สิ่งเหล่านี้ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงทันที
.
Maxwell บอกว่า “Self-management is the foundation of leading up.” ผู้นำที่เก่งการจัดการตัวเองจะแสดงให้หัวหน้าเห็นว่า เขาสามารถไว้ใจคุณได้โดยไม่ต้องเฝ้าดู
.
เคล็ดลับของการจัดการตัวเอง:
.
มีวินัยในการทำงาน—ทำให้เสร็จก่อนเดดไลน์เสมอ
จัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจน
ควบคุมอารมณ์ ไม่โยนความผิดไปที่คนอื่น
มองหาการพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง
.
.
Principle 2 = Lighten Your Leader’s Load – ช่วยแบ่งเบาภาระของหัวหน้า
.
หัวหน้าทุกคนต่างถูกกดดันจากงานกองโตและเดดไลน์ Maxwell บอกว่า “The best way to gain influence with your leader is to add value by easing their burden.”
.
คุณสามารถสร้างอิทธิพลขึ้นไปได้ด้วยการ “คิดล่วงหน้า” ว่ามีอะไรที่คุณพอทำให้ชีวิตหัวหน้าง่ายขึ้น เช่น
.
รับอาสาทำงานบางอย่างที่เขาไม่ทันได้ลงมือ
แก้ปัญหาที่เขายังไม่ทันเห็น
สรุปข้อมูลที่ซับซ้อนให้กลายเป็นภาพรวมชัดเจน
.
การทำแบบนี้ไม่ใช่การประจบ แต่คือการพิสูจน์ว่า คุณคือคนที่หัวหน้าขาดไม่ได้
.
.
Principle 3 = Be Willing to Do What Others Won’t – ยอมทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ
.
องค์กรเต็มไปด้วยงานที่ทุกคนหลบ เช่น งานน่าเบื่อ งานหนัก งานที่ไม่มีใครอยากแตะ แต่ Maxwell บอกว่า “Those who do what others won’t often get opportunities others don’t.”
.
การอาสาทำงานยากหรือไม่เป็นที่นิยม ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นเหยื่อ แต่หมายความว่าคุณกำลังซื้อ “เครดิต” ที่หัวหน้าจะไม่มีวันลืม และนั่นทำให้เขาไว้วางใจคุณมากขึ้น
.
.
Principle 4 = Do More Than Manage—Lead! – อย่าหยุดที่การบริหาร แต่จงนำ
.
หลายคนในตำแหน่งกลางคิดว่าหน้าที่ของตนคือ “บริหารให้เรียบร้อย” แต่ Maxwell ย้ำว่า หัวหน้าไม่ได้ต้องการคนจัดตารางงาน แต่ต้องการคนสร้างทิศทาง
.
การเป็นผู้จัดการคือทำให้สิ่งที่มีอยู่เดินไปตามแผน แต่การเป็นผู้นำคือการสร้างโอกาสใหม่ ๆ คิดนอกกรอบ เสนอแนวทางที่ดีกว่า
.
เมื่อคุณกล้าเสนอวิธีใหม่ ๆ (โดยไม่ล้ำเส้นจนกลายเป็นท้าทายอำนาจ) หัวหน้าจะเริ่มมองว่าคุณคือ “ผู้ร่วมสร้างอนาคต”
.
.
Principle 5 = Invest in Relational Chemistry – สร้างความสัมพันธ์ที่มีเคมี
.
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับหัวหน้าไม่ควรเป็นแค่ธุรการ แต่ควรมี “เคมีแห่งความไว้วางใจ” Maxwell บอกว่า ถ้าหัวหน้ารู้สึกว่าคุณคือ “คนของเขา” ที่จริงใจและไว้ใจได้ คุณจะได้รับโอกาสมากกว่าคนที่มีทักษะสูงแต่ขาดความสัมพันธ์
.
การสร้าง relational chemistry ไม่ใช่การคุยเล่นหรือเอาใจ แต่คือการ:
.
ฟังความต้องการลึก ๆ ของหัวหน้า
รู้จังหวะเวลา—เมื่อไหร่ควรพูด เมื่อไหร่ควรเงียบ
ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แต่ไม่ทำให้เขาเสียหน้า
แสดงออกว่าเป้าหมายของคุณสอดคล้องกับเป้าหมายของเขา
.
.
Principle 6 = Be Prepared Every Time You Take Your Leader’s Time – เตรียมตัวทุกครั้งที่ใช้เวลาหัวหน้า
.
เวลาของหัวหน้ามีค่ามากที่สุด ถ้าคุณเข้าประชุมโดยไม่เตรียมตัว หรือถามคำถามที่คุณหาคำตอบเองได้ หัวหน้าจะมองว่าคุณไม่เคารพเวลา
.
Maxwell จึงแนะนำว่า ก่อนจะเข้าหาหัวหน้า:
.
เตรียมข้อมูลสั้น กระชับ ครบ
รู้ชัดว่าคุณต้องการอะไรจากเขา: คำแนะนำ, การตัดสินใจ, หรือเพียงการอนุมัติ
หัวหน้าจะประทับใจคุณทันทีเมื่อเห็นว่าคุณ “เคารพเวลา” ของเขา และเขาจะยิ่งอยากให้เวลากับคุณมากขึ้น
.
.
Principle 7 = Know When to Push and When to Back Off – รู้ว่าเมื่อไหร่ควรก้าว เมื่อไหร่ควรถอย
.
บางครั้งคุณอาจเห็นทางออกที่ดีกว่า และอยากโน้มน้าวหัวหน้า แต่ถ้าคุณกดดันผิดเวลา เขาอาจต่อต้านคุณโดยอัตโนมัติ
.
Maxwell แนะนำว่าให้ สังเกต 3 อย่าง ก่อนจะผลักดันความคิดของคุณ:
.
หัวหน้าอยู่ในสภาวะอารมณ์ไหน? (เครียด, โกรธ, หรือเปิดใจ)
ข้อมูลของคุณพร้อมแค่ไหน?
ความสัมพันธ์ของคุณกับเขามีพอที่จะรับแรงกดดันหรือยัง?
.
ถ้าไม่ครบทั้งสาม อย่าเพิ่งกดดัน รอจังหวะที่เหมาะ แล้วคุณจะโน้มน้าวได้มากกว่า
.
.
Principle 8 = Become a Go-To Player – เป็นคนที่หัวหน้าต้องนึกถึงเป็นคนแรก
.
ทุกองค์กรมี “คนที่หัวหน้าคิดถึงก่อนเสมอ” เมื่อเจองานยาก ๆ เพราะพวกเขาคือ Go-To Player ที่ไว้ใจได้ที่สุด
.
คุณจะเป็น Go-To Player ได้ถ้า:
.
ส่งงานตรงเวลาและคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ
ไม่บ่นเมื่องานยาก
ทำให้หัวหน้ามั่นใจว่า “คุณไม่ทำให้เขาเสียหน้า”
พัฒนาตัวเองจนเก่งในสิ่งที่ทีมต้องพึ่งพา
.
เมื่อคุณกลายเป็น Go-To Player คุณจะได้โอกาสเรียนรู้และมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ
.
.
Principle 9 = Be Better Tomorrow Than You Are Today – เติบโตต่อเนื่องทุกวัน
.
สุดท้าย Maxwell บอกว่า การพัฒนาตนเองคือบัตรผ่านเข้าสู่การนำขึ้น หัวหน้าชอบทำงานกับคนที่พัฒนาไม่หยุด เพราะมันบอกว่าเขาลงทุนกับคุณแล้วคุ้มค่า
.
.
===========================
.
4. Lead Across: Principles for Leading Your Peers หลักการของการนำ "ด้านข้าง"
.
ในองค์กร เพื่อนร่วมงานคือกลุ่มที่คุณใช้เวลามากที่สุด กินข้าวด้วยกัน ประชุมด้วยกัน ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ แต่ความสัมพันธ์แนวนอนก็อันตรายพอ ๆ กัน เพราะเต็มไปด้วยการเปรียบเทียบ ใครเด่นกว่าใคร ใครได้โปรเจ็กต์ใหญ่กว่า และใครเป็นคนที่หัวหน้าชอบมากกว่า
.
Maxwell บอกว่า ถ้าคุณอยากเป็น 360-Degree Leader จริง คุณต้องไม่มองเพื่อนร่วมงานเป็น “คู่แข่ง” แต่เป็น “ผู้ร่วมทาง” และต้องใช้หลักการทั้ง 7 ข้อนี้
.
.
Principle 1 = Understand, Practice, and Complete the Leadership Loop
.
Maxwell เสนอแนวคิดที่เรียกว่า The Leadership Loop ซึ่งเป็นเส้นทางการสร้างอิทธิพลกับเพื่อนร่วมงาน เริ่มจากขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับความไว้วางใจ
.
Caring – ใส่ใจ เริ่มจากการแสดงความห่วงใยในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน
.
Learning – เรียนรู้ ทำความเข้าใจว่าเพื่อนคุณถนัดอะไร ต้องการอะไร และกลัวอะไร
.
Appreciating – ชื่นชม ยอมรับคุณค่าของเขาในสิ่งที่เขาทำ
.
Contributing – มีส่วนร่วม เพิ่มคุณค่าในชีวิตการทำงานของเขา
.
Verbalizing – สื่อสาร แสดงออกชัด ๆ ว่าคุณเห็นคุณค่าในตัวเขา
.
Leading – นำ เมื่อเขาไว้วางใจแล้ว คุณจึงสามารถชี้นำได้
.
นี่คือเส้นทางที่ไม่สามารถ “ลัดขั้น” ได้ หากคุณกระโดดไปชี้นำโดยที่ยังไม่ได้สร้างความไว้วางใจ คุณจะถูกต่อต้านทันที
.
.
Principle 2 = Put Completing Fellow Leaders Ahead of Competing with Them
.
เพื่อนร่วมงานจำนวนมากใช้ชีวิตในโหมด แข่งขัน: ใครจะได้เด่นกว่า ใครจะมีผลงานมากกว่า แต่ Maxwell บอกว่า ถ้าคุณเปลี่ยนจาก “แข่งขัน” เป็น “เติมเต็ม” คุณจะมีอิทธิพลมากกว่า
.
แทนที่จะหาทางแย่งซีน ลองถามว่า “เราจะช่วยให้เพื่อนร่วมงานเก่งขึ้นได้อย่างไร?” เช่น ถ้าเพื่อนเก่งด้านวิเคราะห์ข้อมูล คุณอาจช่วยเขาในด้านการนำเสนอให้ดูน่าสนใจขึ้น แบบนี้คุณจะไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นพันธมิตร และสุดท้ายคุณจะได้รับเครดิตในแบบที่ไม่มีใครแย่งได้
.
.
Principle 3 = Be a Friend – เพื่อนแท้ ไม่ใช่เพื่อนผลประโยชน์
.
Maxwell แยก “เพื่อนร่วมงาน” ออกจาก “เพื่อนจริง” เพื่อนจริงคือคนที่อยู่ข้าง ๆ คุณแม้ในวันที่ไม่มีผลงานให้โชว์ เพื่อนจริงคือคนที่ไม่หักหลังคุณเพื่อความก้าวหน้าส่วนตัว
.
การ Lead Across ต้องเริ่มจากความเป็นเพื่อนที่จริงใจ ไม่ใช่การเมืองแอบแฝง เพราะไม่มีใครอยากเดินตามคนที่ “ใช้” ความสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
.
.
Principle 4 = Avoid Office Politics – หนีให้ไกลจากการเมืองในออฟฟิศ
.
การเมืองในที่ทำงานคือบ่อนทำลายที่ใหญ่ที่สุดต่อการนำในแนวนอน เพราะมันทำให้เพื่อนร่วมงานมองคุณเป็น “นักการเมือง” ไม่ใช่ “ผู้นำ”
.
Maxwell บอกว่า “When you play politics, you lose trust.” ถ้าคุณเลือกข้างเพื่อผลประโยชน์สั้น ๆ คุณอาจได้อะไรเล็กน้อย แต่คุณจะเสียทุนความไว้วางใจมหาศาลไปในทันที
.
.
Principle 5 = Expand Your Circle of Acquaintances – ขยายวงเพื่อนร่วมงาน
.
ผู้นำแนวนอนที่ดีไม่ปิดตัวเองอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ แต่พยายามสร้างเครือข่ายกว้างขึ้น Maxwell บอกว่าการรู้จักผู้คนหลากหลายระดับในองค์กรจะเพิ่มอิทธิพลของคุณ เพราะคุณสามารถ “เชื่อม” กลุ่มต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
.
อย่าคิดว่าการสร้างเครือข่ายคือการ “หว่านนามบัตร” แต่มันคือการสร้างสายสัมพันธ์จริง ๆ ที่คุณและอีกฝ่ายต่างได้คุณค่าซึ่งกันและกัน
.
.
Principle 6 = Let the Best Idea Win – ให้ไอเดียที่ดีที่สุดชนะ
.
ความผิดพลาดของเพื่อนร่วมงานหลายคนคืออยากให้ความคิดตัวเองชนะเสมอ เพราะกลัวว่าจะดูด้อยค่า แต่ Maxwell ชี้ว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ “เปิดพื้นที่ให้ไอเดียดีที่สุด ไม่ว่าจะมาจากใคร” คุณจะได้รับการยอมรับมากกว่า
.
ผู้นำแนวนอนที่แท้จริงจึงไม่เล่นเกมอีโก้ แต่ถามว่า “อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีมและองค์กร?”
.
.
Principle 7 = Don’t Pretend You’re Perfect – อย่าทำตัวเป็นคนไร้ที่ติ
.
ไม่มีใครชอบทำงานกับ “เพื่อนร่วมงานสมบูรณ์แบบ” ที่ไม่เคยผิด ไม่เคยพลาด และทำเหมือนรู้ทุกอย่างตลอดเวลา สิ่งนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกห่างเหิน
.
Maxwell บอกว่าจงแสดงความเป็นมนุษย์ ยอมรับว่าคุณพลาดบ้าง และพร้อมเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน เมื่อคุณทำแบบนี้ คนจะเชื่อใจและยอมรับการนำของคุณมากขึ้น
.
.
===========================
.
5. Lead Down: Principles for Leading Your Team หลักการของการนำ "ลงล่าง"
.
ผู้นำจำนวนมากพลาดตรงนี้ เพราะมัวแต่สนใจว่า “ฉันจะทำยังไงให้ทีมทำงานให้ฉัน?” แต่ Maxwell บอกว่า คำถามที่แท้จริงคือ “ฉันจะทำยังไงให้ทีมเติบโตเต็มศักยภาพ?” ถ้าคุณช่วยพวกเขาเติบโต คุณจะไม่ต้องบังคับอะไรเลย เพราะพวกเขาจะอยากทำงานให้คุณด้วยใจ
.
.
Principle 1 = Walk Slowly Through the Halls – เดินช้า ๆ ผ่านทางเดิน
.
ฟังดูง่าย แต่ลึกซึ้งมาก Maxwell แนะนำให้ ผู้นำอย่าเอาแต่ปิดตัวเองอยู่ในห้องประชุมหรือมุมโต๊ะทำงาน แต่ควรใช้เวลาเดินเล่น พูดคุย สบตา ทักทายคนในทีม
.
การ “เดินช้า ๆ” หมายถึงการเปิดพื้นที่ให้คนในทีมเข้าถึงคุณได้ ถ้าลูกทีมเห็นว่าคุณพร้อมฟัง เขาจะกล้าแชร์ปัญหาและไอเดียที่แท้จริง และนี่คือจุดเริ่มของความไว้วางใจ
.
.
Principle 2 = See Everyone as a “10” – มองเห็นคุณค่าในตัวทุกคน
.
คนเรามักทำตัวตามภาพที่หัวหน้ามีต่อเขา ถ้าหัวหน้ามองว่าเขา “เก่ง” เขาจะพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งจริง แต่ถ้าหัวหน้ามองว่าเขา “ไร้ค่า” เขาก็แทบไม่มีแรงจะพิสูจน์อะไรเลย
.
Maxwell บอกว่า ให้มองทุกคนในทีมเป็น “10 เต็ม 10” ตั้งแต่แรก ไม่ว่าพวกเขาจะยังไม่เก่งแค่ไหน แต่เมื่อคุณมองด้วยสายตาเชื่อมั่น พวกเขาจะมีแรงบันดาลใจในการยกระดับตัวเองขึ้นมาให้ใกล้เคียงสิ่งที่คุณเชื่อ
.
.
Principle 3 = Develop Each Team Member as a Person – พัฒนาแต่ละคน ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง
.
หัวหน้าที่ดีไม่ได้มองลูกทีมเป็น “ฟันเฟืองในเครื่องจักร” แต่เป็น “มนุษย์ที่มีศักยภาพเฉพาะตัว”
.
Maxwell ยกตัวอย่างว่าผู้นำ 360 องศาจะพยายามรู้จักลูกทีมในมิติส่วนตัว:
.
ความฝันของเขาคืออะไร
จุดแข็งที่ซ่อนอยู่ตรงไหน
อะไรคือแรงบันดาลใจลึก ๆ
.
.
Principle 4 = Place People in Their Strength Zones – จัดคนให้อยู่ในจุดที่ถนัด
.
ผู้นำที่อ่อนแอมักโยนงานแบบสุ่ม: ใครว่างก็ทำ แต่ผู้นำที่แข็งแกร่งจะถามว่า “งานนี้ต้องใช้ทักษะอะไร และใครคือคนที่เหมาะที่สุด?”
.
Maxwell บอกว่า การให้คนทำงานตรงกับจุดแข็งของเขา คือของขวัญที่ดีที่สุดที่คุณจะให้ได้ เพราะมันทำให้เขาไม่เพียงทำงานได้ดี แต่ยังมีความสุขในการทำงานด้วย
.
.
Principle 5 = Model the Behavior You Desire – เป็นแบบอย่างที่คุณอยากเห็น
.
คำพูดมีพลัง แต่พฤติกรรมของหัวหน้ามีพลังมากกว่า คุณไม่สามารถบอกทีมให้ตรงต่อเวลาในขณะที่คุณมาสายประจำ หรือสั่งให้ทีมทำงานหนักในขณะที่คุณหายตัวไปตอนดึกทุกวัน
.
Maxwell ย้ำว่า “People do what people see.” ถ้าคุณอยากได้ทีมแบบไหน คุณต้อง “เป็น” แบบนั้นก่อน
.
.
Principle 6 = Transfer the Vision – ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ให้ชัด
.
หัวหน้าที่ดีไม่ได้แค่สั่งงาน แต่ทำให้ทีมเข้าใจว่าเรากำลังทำงานเพื่ออะไร
.
Maxwell บอกว่า การสื่อสารวิสัยทัศน์ไม่ใช่การพูดครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้อง “สื่อสารซ้ำ ๆ” ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด เรื่องเล่า หรือการกระทำ จนทีมซึมซับว่านี่ไม่ใช่แค่งาน แต่คือพันธกิจ
.
.
Principle 7 = Reward for Results – ให้รางวัลตามผลงานจริง
.
มนุษย์ทุกคนอยากรู้ว่าสิ่งที่ตนทำมีค่า และรางวัลที่ดีไม่ใช่แค่เงินเดือนหรือโบนัส แต่รวมถึงการยกย่อง การเปิดโอกาส และการให้เครดิตที่เหมาะสม
.
Maxwell ชี้ว่า ถ้าผู้นำให้รางวัลอย่างยุติธรรมและสม่ำเสมอ จะสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้ทุกคนอยากทุ่มเท เพราะรู้ว่า “ความพยายามของฉันจะไม่สูญเปล่า”
.
.
===========================
.
6. สิบปัญหายอดฮิตและคำตอบจาก The 360-Degree Leader
.
ผู้นำระดับกลางทุกคนต่างก็มี “เสียงในหัว” ที่ถามซ้ำ ๆ เวลาเผชิญปัญหา Maxwell เองก็เคยเจอคำถามเหล่านี้บ่อยในการสัมมนาและโค้ชชิ่ง เขาจึงสรุปออกมาเป็น Q&A ที่ฟังแล้วเหมือนคุยตรงกับใจคนทำงาน เรามาไล่ดูกันครับ
.
.
คำถามที่ 1: “ผู้นำตัวกลางอย่างฉันจะมีอิทธิพลจริง ๆ ได้เหรอ?”
.
คำตอบ: ได้แน่นอน แต่ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง แต่อยู่ที่ “คุณค่าและความสัมพันธ์ที่คุณสร้าง” Maxwell ย้ำว่า “Leadership is influence, nothing more, nothing less.” ถ้าคุณเพิ่มคุณค่าให้หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และทีม คุณก็จะกลายเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนพึ่งพา ถึงแม้จะไม่ได้ถือยศสูงสุดก็ตาม
.
.
คำถามที่ 2: “แล้วถ้าหัวหน้าฉันไม่มีประสิทธิภาพเลยล่ะ?”
.
คำตอบ: อย่าหมกมุ่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ Maxwell บอกว่าแทนที่จะวิจารณ์หรือท้อแท้ ให้มุ่ง “เพิ่มคุณค่า” เข้าไป เช่น ปิดจุดอ่อนของหัวหน้า สนับสนุนจุดแข็งของเขา และสร้างผลงานที่ทำให้ทีมไม่พังไปเพราะข้อบกพร่องนั้น สุดท้ายคุณจะได้ทั้งเครดิต และบางครั้งยังเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานรอบตัวโดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวหน้า
.
.
คำถามที่ 3: “ฉันควรทำยังไงถ้าเพื่อนร่วมงานไม่ยอมร่วมมือ?”
.
คำตอบ: Maxwell บอกว่าอย่าพยายาม “แข่ง” แต่ให้ “เติมเต็ม” ใช้ Leadership Loop: ใส่ใจ–เรียนรู้–ชื่นชม–มีส่วนร่วม–สื่อสาร–แล้วค่อยนำ เมื่อเพื่อนเห็นว่าคุณจริงใจ ไม่ได้หวังชิงซีน แต่ช่วยเขาเติบโต เขาจะเริ่มเปิดใจและยอมร่วมมือเอง
.
.
คำถามที่ 4: “ทำไมฉันต้องทุ่มเท ทั้งที่เครดิตก็ตกไปที่หัวหน้า?”
.
คำตอบ: Maxwell ยอมรับว่านี่คือเรื่องเจ็บจี๊ดของทุกคน แต่เขาบอกว่า “คุณค่าแท้จริงของผู้นำคือผลกระทบ ไม่ใช่คำปรบมือ” ถ้าคุณสร้างผลลัพธ์จริง คุณจะได้เครดิตในระยะยาว และที่สำคัญ คุณกำลังฝึกทักษะที่จะทำให้คุณพร้อมขึ้นในวันที่คุณได้ตำแหน่งสูงกว่า
.
.
คำถามที่ 5: “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าควรผลักดันไอเดียขึ้นไป หรือควรถอย?”
.
คำตอบ: ใช้สูตรสามข้อของ Maxwell:
1. หัวหน้าอยู่ในอารมณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะหรือไม่?
2. ข้อมูลของคุณครบและแข็งแรงพอไหม?
3. ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับหัวหน้าลึกพอที่จะรับแรงกดดันได้หรือยัง?
ถ้าไม่ครบสามข้อ—ให้รอก่อน เพราะ “จังหวะ” สำคัญพอ ๆ กับ “ความคิด”
.
.
คำถามที่ 6: “ทำไมฉันรู้สึกไม่มีอิสระเลย ทั้งที่เป็นหัวหน้าแล้ว?”
.
คำตอบ: นี่คือมายาคติที่หนังสือพูดชัดตั้งแต่แรก Maxwell บอกว่า “ยิ่งสูง ยิ่งรับผิดชอบมาก” การเป็นหัวหน้าไม่เคยทำให้คุณอิสระขึ้น แต่ทำให้คุณถูกจำกัดมากขึ้นต่างหาก วิธีคิดที่ถูกคือ “ฉันกำลังแลกอิสระเล็ก ๆ เพื่ออิทธิพลที่ใหญ่กว่า”
.
.
คำถามที่ 7: “แล้วถ้าฉันไม่อยากเป็นเบอร์หนึ่งล่ะ จะถือว่าล้มเหลวไหม?”
.
คำตอบ: ไม่เลย Maxwell ยกตัวอย่าง Dick Cheney ที่ไม่อยากเป็นประธานาธิบดี แต่เป็นรองประธานาธิบดีที่ทรงพลังมากที่สุดคนหนึ่ง เขาบอกว่า “คุณค่าของคุณไม่ได้ขึ้นกับเก้าอี้ แต่ขึ้นกับการใช้ศักยภาพเต็มที่ในบทบาทที่คุณอยู่”
.
.
คำถามที่ 8: “ทำไมการเมืองในออฟฟิศจึงดูเลี่ยงไม่ได้?”
.
คำตอบ: เพราะหลายคนเชื่อว่ามันคือเส้นทางลัดสู่ความสำเร็จ แต่ Maxwell เตือนว่า เกมการเมืองคือดาบสองคม คุณอาจได้ผลประโยชน์ระยะสั้น แต่จะเสียความไว้วางใจระยะยาว และความไว้วางใจนี่แหละที่เป็นทุนจริงของผู้นำ 360 องศา
.
.
คำถามที่ 9: “ฉันเหนื่อยเพราะต้องใส่หลายหมวก จะทำยังไงดี?”
.
คำตอบ: Maxwell บอกว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่คุณรู้สึกสับสน เพราะผู้นำระดับกลางต้องเป็นทั้งลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ครู และนักประสานงานพร้อมกัน แต่กุญแจคือ รู้จักเปลี่ยนหมวกตามสถานการณ์ และอย่าลืมว่า “หมวกทุกใบ” กำลังฝึกคุณให้ยืดหยุ่นและแกร่งขึ้นสำหรับอนาคต แต่แก่นตัวตนยังคงเป็นตัวคุณ
.
.
คำถามที่ 10: “จะเริ่มต้นพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้นำ 360 องศาได้ยังไง?”
.
คำตอบ: Maxwell บอกว่ามันเริ่มง่าย ๆ จาก “ตัวคุณเอง” ก่อนเสมอ:
จัดการชีวิตตัวเองให้ดี
เพิ่มคุณค่าให้หัวหน้า
เติมเต็มเพื่อนร่วมงาน
ลงทุนพัฒนาลูกทีม
อย่าหยุดเรียนรู้
.
.
“The greatest challenge of leadership is leading yourself. The rest will follow.”
.
.
===========================
.
.
สิ่งที่ Maxwell อยากบอกเราก็คือ การเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องของเก้าอี้ที่คุณนั่ง แต่คือรัศมีที่คุณแผ่ออกไป ไม่ว่าคุณจะนั่งเก้าอี้หมุนตัวใหญ่ของผู้บริหาร หรือเก้าอี้พับในห้องประชุมเล็ก ๆ คุณก็ยังมีสิทธิ์เลือกที่จะ “นำ” ได้
.
360-Degree Leader คือคนที่เลือกจะสร้างคุณค่าในทุกทิศทาง ไม่ว่าคุณจะต้องเงยหน้าไปช่วยหัวหน้า เหลียวข้างไปเติมเต็มเพื่อนร่วมงาน หรือก้มลงไปพัฒนาทีมของคุณเอง
.
และถ้าคุณทำได้แบบนั้น ต่อให้ไม่มีเก้าอี้ใหญ่รออยู่ข้างหน้า คุณก็จะมี “พื้นที่ในใจคน” ที่ไม่มีใครแย่งไปจากคุณได้

และใครจะรู้ล่ะครับ บางทีนี่อาจเป็น "ตำแหน่งที่แท้จริงที่สุดของผู้นำ"
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Mastery ศาสตร์แห่งการชำนาญให้สุด เขียนโดย Robert Greene

Next
Next

สรุปหนังสือ The Unspoken Rules กฎแห่งโลกการทำงานที่ไม่มีใครบอกคุณ ของ Gorick Ng (Career Adviser ของนักศึกษา Harvard)