สรุปหนังสือ BEHAVE : ชีววิทยาของมนุษย์ยามดีสุดขั้วและชั่วสุดขีด

สรุปหนังสือ Behave ชีววิทยาของมนุษย์ยามดีสุดขั้วและชั่วสุดขีด เขียนโดย Robert Sapolsky
.
สมมติว่าคุณกำลังยืนอยู่หน้ากระจก พูดกับตัวเองว่า “ฉันคือคนที่มีเหตุผล ฉันควบคุมชีวิตตัวเองได้” เพราะเมื่อวานคุณเพิ่งอ่านหนังสือ How to บริหารสมองให้ตื่นเช้าแบบ CEO ได้ครึ่งบท แล้วพอเช้านี้เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น คุณกดเลื่อนมันไป 5 ครั้ง ก่อนจะลุกมาเปิด TikTok ดูรีวิวร้านข้าวมันไก่ที่อยู่อีกฟากเมือง
.
Robert Sapolsky อยากจะเดินมาบอกคุณว่า ไม่ใช่คุณหรอกที่ตัดสินใจแบบนั้น...แต่เป็นสมองคุณ, ฮอร์โมนคุณ, พันธุกรรมคุณ, วัยเด็กคุณ, เพื่อนสมัยมัธยม, และบางทีอาจรวมถึงไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 65 ล้านปีก่อน
.
หนังสือ Behave เล่มนี้คือบทสืบสวนชีวิตมนุษย์ที่ลากจากเหตุการณ์หนึ่งวินาทีก่อนคุณทำอะไรบางอย่าง ย้อนกลับไปถึงวิวัฒนาการของสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และขณะเดียวกันก็แอบถามเบาๆ ว่า “คุณแน่ใจแค่ไหนว่าคุณเป็นเจ้าของความคิดของตัวเอง?”
.
ถ้าคุณกำลังมองหาหนังสือที่จะทำให้คุณรู้สึกฉลาดขึ้นและไม่ไว้ใจตัวเองอีกต่อไป… คุณมาถูกที่แล้วครับ
.
.
1. หนึ่งวินาทีก่อนจะทำอะไรลงไป สมอง, สัญชาตญาณ และการระเบิดทางพฤติกรรม
.
ในการศึกษาประวัติศาสตร์พฤติกรรมมนุษย์ เราพบว่าเมื่อมนุษย์กระทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะช่วยเหลือหรือทำร้ายกัน ปฏิกิริยานั้นไม่ได้เกิดขึ้นใน "ช่วงเวลาหนึ่ง" แบบลอย ๆ แต่มันคือผลผลิตจากกลไกทางชีววิทยาที่เริ่มทำงานก่อนหน้าวินาทีนั้นอย่างแม่นยำ
.
หนึ่งในสิ่งที่ Sapolsky พยายามทำในเล่มนี้คือการขุดเข้าไปลึกลงในจังหวะ "ก่อนที่เราจะกระทำ" ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะมีข้อมูลวิทยาศาสตร์รองรับได้ เช่น สมองทำงานอย่างไร? เส้นประสาทตัวไหนยิงสัญญาณก่อน? ฮอร์โมนใดหลังมาก่อน? เสี้ยววินาทีที่ว่านั้นคือจุดเริ่มต้นของการ "ลงมือ" ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
.
ในบริบทนี้ ความรู้ทางประสาทชีววิทยา (neurobiology) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าใจว่า สมองส่งคำสั่งให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวโดยใช้วงจรประสาทเชื่อมโยงหลายชั้น ได้แก่ การรับอินพุตจากสิ่งเร้าภายนอก (external stimuli) การประมวลผลผ่านระบบลิมบิก (limbic system) และการพิจารณาทางจริยธรรมโดยสมองส่วนหน้าผาก (prefrontal cortex) ในบางกรณีทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 0.3 วินาที เช่น เมื่อคุณเผลอยื่นมือออกไปคว้าคนกำลังจะล้ม หรือตอบสนองด้วยความรุนแรงในภาวะตึงเครียด
.
.
2. สมองสามชั้น วิวัฒนาการที่ซ้อนทับกัน
.
วิวัฒนาการของสมองมนุษย์สามารถอธิบายได้ผ่านโมเดลที่ Sapolsky นำเสนอ นั่นคือโมเดล "Triune Brain" ของ Paul MacLean ซึ่งแบ่งเป็นสามระดับ:
.
2.1 สมองสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian Brain)
.
ระดับแรกนี้เป็นโครงสร้างดั้งเดิม เช่น brainstem และ basal ganglia ซึ่งควบคุมพฤติกรรมอัตโนมัติ เช่น การหายใจ การรักษาสมดุลของร่างกาย การตอบสนองรวดเร็วแบบไร้สติ นอกจากนี้ยังเป็นฐานของพฤติกรรมการต่อสู้ การครองอาณาเขต การผสมพันธุ์ และการอยู่รอดที่เน้น "เร็วไว้ก่อน" คุณสมบัตินี้ทำให้มนุษย์ตอบสนองในแบบ "สัญชาตญาณดิบ" ได้ เช่น สะดุ้ง หลีกหนี หรือโต้กลับในสถานการณ์ที่มีภัย
.
2.2 ระบบลิมบิก (Limbic System)
.
ระดับที่สองเป็นสมองระดับกลาง ที่ปรากฏเด่นชัดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประกอบด้วยอวัยวะสำคัญอย่าง amygdala, hippocampus, hypothalamus และเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความกลัว ความรัก การจดจำ และความรู้สึกผูกพัน Limbic system คือระบบ "รู้สึก" ที่กำหนดว่าเราจะเกลียด, รัก, โกรธ หรือยอมรับใครบางคน และมักตัดสินใจก่อนที่ neocortex จะมีเวลาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงด้วยซ้ำ
.
2.3 นีโอคอร์เท็กซ์ (Neocortex)
.
ระดับที่สามเป็นสมองชั้นนอกสุดที่มีขนาดใหญ่ในมนุษย์ ทำหน้าที่คิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา วางแผน เข้าใจเหตุและผล รวมถึงสร้างความสามารถในการจินตนาการ อารมณ์สลับซับซ้อน และจริยธรรม อย่างไรก็ตาม Neocortex พัฒนาช้าในวัยเด็ก และมักแพ้การเร่งเร้าจาก limbic system โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะตื่นตระหนกหรือโดนกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าที่รุนแรง
.
.
3. Amygdala: เจ้าแห่งความกลัวและปฏิกิริยาโต้กลับ
.
ในการศึกษาสมองมนุษย์ Amygdala ได้รับความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากบทบาทสำคัญในการควบคุมพฤติกรรม Amygdala เป็นโครงสร้างรูปอัลมอนด์ขนาดเล็กแต่ทรงพลังที่อยู่ใน temporal lobe ของสมอง
.
บทบาทหลัก: Amygdala ทำหน้าที่ตรวจจับสัญญาณภัยในสิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองแบบรวดเร็ว เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อแตก และเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่าง stimulus กับภัยคุกคาม (fear conditioning) ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนเคยตีคุณตอนใส่เสื้อสีแดง ครั้งต่อไปที่คุณเห็นคนใส่เสื้อแดง Amygdala อาจเตือนภัยล่วงหน้าแม้ไม่มีเหตุผลรองรับ เพราะมันจดจำบริบทที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด
.
ความเร็วเหนือสติ: สิ่งที่น่าทึ่งคือ Amygdala สามารถส่งสัญญาณไปยัง hypothalamus และ brainstem เพื่อเปิดระบบสู้หรือหนี (fight or flight) ได้ก่อนที่สมองส่วนหน้าจะรับรู้เต็มที่เสียอีก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนจึง "ลงไม้ลงมือ" ก่อนคิด เช่น ต่อยใครบางคนก่อนจะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดประชดเล่น หรือยิงคนด้วยความกลัวว่าตัวเองกำลังถูกคุกคาม
.
.
4. Frontal Cortex: ยับยั้ง สังเคราะห์ และเลือกทางที่ "ไม่ใช่ความรู้สึกแรก"
.
ในขณะที่ Amygdala ทำหน้าที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว สมองส่วนหน้าผาก (Prefrontal Cortex - PFC) กลับเป็นศูนย์บัญชาการของ "มนุษย์ในตัวเรา"
.
หน้าที่สำคัญ: PFC ทำหน้าที่ยับยั้งพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ประเมินผลระยะยาว ชั่งน้ำหนักคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจ และจำลองสถานการณ์สมมติ ("ถ้าทำอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น") PFC เป็นสมองที่ช่วยให้เราตัดสินใจไม่ตามความรู้สึกเพียงอย่างเดียว เช่น ในกรณีที่เรารู้สึกโกรธแค้นใครมาก แต่เลือกที่จะ "ไม่ทำร้าย" เขาเพราะคิดถึงผลลัพธ์หรือหลักศีลธรรม
.
พัฒนาการช้าและอ่อนไหว: อย่างไรก็ตาม ในเด็กและวัยรุ่น สมองส่วนนี้ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ตัดสินใจแบบไม่รอบคอบได้ง่าย นอกจากนี้ PFC ยังอ่อนไหวต่อความเครียด สารเสพติด และการขาดการนอน เมื่อโดนความกลัวหรืออารมณ์รุนแรงบีบ สมองส่วนนี้มัก "มืดบอด" ชั่วคราว ตัวอย่างเช่น คนที่เคยอบรมเยาวชนเรื่องความรุนแรง อาจลงมือทำร้ายคนได้เมื่อโดนกระตุ้นความกลัวหรือความแค้นมากพอ เพราะ Amygdala เข้ามา takeover
.
.
5. Dopamine: ความอยาก ความคาดหวัง และกับดักของรางวัล
.
ในการทำความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ Dopamine มีบทบาทสำคัญที่มักถูกเข้าใจผิด Dopamine มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็น "สารแห่งความสุข" แต่จริง ๆ แล้วมันคือสารเคมีที่ขับเคลื่อน "แรงจูงใจ"
.
ฟังก์ชันที่แท้จริง: Dopamine ทำให้คุณ "อยากได้รางวัล" มากกว่าจะรู้สึกดีตอนรับรางวัล มันตอบสนองต่อ "ความคาดหวังว่าจะได้บางสิ่ง" และส่งเสริมพฤติกรรมที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เวลาที่คุณเล็งจะทำอะไรแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เช่น กดซื้อของออนไลน์ หรือพูดประชดเจ็บแสบใส่ใคร นั่นคือ Dopamine กระตุ้นคุณล่วงหน้า ไม่ใช่หลังจากนั้น
.
กับดักพฤติกรรมมนุษย์: การตอบสนองด้วย Dopamine ทำให้เราทำพฤติกรรมเดิมซ้ำ ๆ แม้ไม่ได้ให้ความสุขมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้เกิด "การเสพติด" พฤติกรรม เช่น การพนัน, การไล่ล่าอำนาจ, ความแค้น, ความสำเร็จ นอกจากนี้ Dopamine ยังเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ดู "มีศีลธรรม" เช่น การช่วยคน เพราะเราคาดหวังความรู้สึกดีจากการทำสิ่งถูกต้อง
.
ในกรณีของพฤติกรรมรุนแรง Sapolsky แสดงให้เห็นว่าการแก้แค้นหรือการลงโทษอาจทำให้สมอง "พอใจ" ได้ไม่ต่างจากการได้รับของขวัญ เพราะเส้นทาง Dopamine ไม่ได้เลือกข้างศีลธรรม
.
.
6. นาทีก่อนการกระทำ สิ่งเร้า ความรู้สึกไม่รู้ตัว และแรงขับจากบริบท
.
เมื่อเราขยับจากเสี้ยววินาทีมาสู่ช่วงนาทีก่อนการกระทำ เราพบว่ามนุษย์ไม่ได้ตัดสินใจจาก "ข้อมูล" เพียงอย่างเดียว แต่จากสิ่งที่สัมผัสได้ กลิ่น เสียง แสง สี ความรู้สึกไม่ชัดเจนที่ยากจะอธิบาย เหมือนเวลาคุณเดินผ่านซอยมืดแล้วรู้สึก "บางอย่างไม่ถูกต้อง" ก่อนจะรู้ตัวว่ามีใครตามมา
.
Sapolsky อธิบายว่าในช่วง "นาทีก่อนจะกระทำ" สมองรับสัญญาณจากระบบประสาทสัมผัสอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เช่น กลิ่นที่กระตุ้นความทรงจำ เสียงที่ปลุกความกลัว สีที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ในอดีต ซึ่งทั้งหมดนี้ไปกระตุ้นบริเวณ insula, cingulate cortex, และ amygdala ทำให้เกิดอารมณ์โดยที่เราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน
.
.
7. การรับรู้แบบอัตโนมัติ: ความจริงที่เกิดก่อนเหตุผล
.
การวิจัยทางประสาทวิทยาได้เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงว่า "การรับรู้" หลายอย่างเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว เช่น คนเห็นใบหน้าที่แสดงอารมณ์โกรธเพียง 30 มิลลิวินาที (เร็วเกินกว่าที่ตาจะบอกว่าเห็น) แต่สมองตอบสนองทันที หรือการได้กลิ่นน้ำหอมบางชนิดในห้องสัมภาษณ์ทำให้ผู้ให้คะแนนรู้สึกว่าผู้สมัครมีบุคลิก "มั่นใจ" มากขึ้น
.
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นหลักฐานว่า subconscious perception มีผลต่อการตัดสินใจระดับพฤติกรรม เช่น การช่วยเหลือ การลงโทษ หรือการข่มขู่ก่อนที่ผู้กระทำจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาคิดอะไรอยู่ และในบางสถานการณ์ ความรู้สึกเหล่านี้อาจรุนแรงพอที่จะเป็น "แรงผลัก" ให้เกิดพฤติกรรมที่พลิกจากความเมตตาเป็นความโกรธ หรือในทางตรงข้าม
.
.
8. ความเหนื่อยล้า ความหิว และเวลา บรรดาตัวแปรที่ไม่ใช่ศีลธรรม
.
Sapolsky ยกงานวิจัยชื่อดังเกี่ยวกับผู้พิพากษาที่ปล่อยตัวผู้ต้องขัง โดยพบว่า โอกาสการได้รับทัณฑ์บนสูงสุดในช่วงเช้า แล้วลดลงเรื่อยๆ จนต่ำที่สุดก่อนพักเที่ยง พุ่งขึ้นอีกครั้งหลังพัก และลดอีกครั้งช่วงบ่าย
.
นั่นหมายความว่า "ความหิว" และ "ความเหนื่อย" มีผลต่อการตัดสินใจแบบที่แม้แต่ผู้พิพากษาเองก็ไม่รู้ตัวว่ากำลัง "ไม่ยุติธรรม" นอกจากนั้นยังมีตัวแปรอื่นที่สำคัญในระดับ "นาที" ก่อนเกิดพฤติกรรม เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด ส่งผลต่อความอดทน สภาพอากาศ กระตุ้นหรือกดพฤติกรรมรุนแรง เสียงรบกวน หรือ ระดับแสง ในสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจที่เรา "นึกว่า" เป็นของเรา แต่จริงๆ แล้วมันคือของร่างกาย
.
.
9. การ Priming = เมื่อคุณถูก "ตั้งค่า" ให้คิดหรือทำอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
.
"Priming" คือกระบวนการที่บางสิ่งทำให้สมองเอนเอียงไปสู่การตัดสินใจหรือพฤติกรรมแบบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เช่น อ่านคำว่า "แก่" ซ้ำ ๆ แล้วเดินช้าลง (แม้จะไม่รู้ว่าคำว่า "แก่" เกี่ยวข้องกับการเดิน) ได้ยินเพลงชาติฝรั่งเศสแล้วเลือกสินค้าแบรนด์ฝรั่งเศสมากขึ้น เห็นสีดำ-ขาวที่คล้ายเครื่องแบบตำรวจแล้วทำตัวเรียบร้อยขึ้น
.
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การล้างสมอง แต่คือการ "กำหนดกรอบ" ของความคิดที่เราจะเข้าสู่การตัดสินใจในอีกไม่กี่นาทีต่อมา Priming แสดงให้เห็นว่าเราทำพฤติกรรมหลายอย่างเพราะบริบทพาไป ไม่ใช่เพราะ "เลือก" จริงๆ
.
.
10. กระบวนการกลัวโดยอัตโนมัติ และความทรงจำแห่งภัยคุกคาม
.
ตลอดประวัติศาสตร์วิวัฒนาการ ความกลัวเป็นหนึ่งในกลไกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของร่างกายในการปกป้องชีวิต และมันเกิดเร็วเกินกว่าจะคิด
.
Sapolsky อธิบายว่าสมองสามารถกลัวสิ่งที่เคย "เกือบเป็นอันตราย" แม้จะไม่เคยทำอันตรายจริง การกลัวแบบนี้อาศัยความร่วมมือของ amygdala, insula และ hippocampus เราสร้างภาพจำจากสิ่งแวดล้อม เช่น ใบหน้า สีผิว ภาษากาย กลิ่น ซึ่งกลายเป็น "ธงเตือนภัย" โดยไม่รู้ตัว
.
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนถึง "รู้สึกไม่ไว้ใจ" คนบางประเภท ทั้งที่ไม่เคยมีเหตุผล หรือทำไมคนเราจึงกลัววัตถุบางอย่างมากเกินไป แม้มันไม่อันตรายจริง (เช่น หนูหรือแมงมุม) ในเชิงสังคม สิ่งนี้เป็นรากของ "อคติ" ที่ลึกและยากจะขจัด เพราะมันฝังอยู่ในระบบเตือนภัยของสมอง
.
.
11. ความไม่รู้ตัวในระดับจิตวิทยา: เราไม่รู้ว่าตัวเองกำลัง "รู้สึกอะไร"
.
จิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์หนึ่งว่า "emotional misattribution" คือการที่มนุษย์รู้สึกบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่า รู้สึกเพราะอะไร แล้วไปโยงมันกับสาเหตุผิด
.
ตัวอย่างเช่น คุณรู้สึกหงุดหงิดจากรถติด แต่กลับคิดว่า "แฟนพูดไม่เข้าหู" คุณรู้สึกดีหลังออกกำลังกาย แล้วเข้าใจผิดว่า "กาแฟเช้านี้มันดีจริงๆ" สิ่งนี้สำคัญในเชิงพฤติกรรม เพราะผู้กระทำความรุนแรงหลายคนเชื่อว่า "เขามีเหตุผลดีแล้ว" ทั้งที่จริงๆ เขาแค่ถูกผลักโดยอารมณ์ที่มาจากคนละที่
.
.
12. ระบบจิตแบบสองระบบ
.
ในการทำความเข้าใจกระบวนการคิด
.
ระบบเร็ว (System 1): ทำงานอัตโนมัติ ใช้พลังงานน้อย เช่น ตอบโต้ทางอารมณ์ ตัดสินใจทันที
ระบบช้า (System 2): ใช้เหตุผล ละเอียดรอบคอบ ช้าแต่แม่นยำกว่า
.
ในช่วงนาทีแรกก่อนจะตัดสินใจ ระบบ 1 จะทำงานเกือบทั้งหมด ถ้าระบบ 2 ไม่ได้ถูก "เปิด" ขึ้นมาอย่างจงใจ มนุษย์จะทำตามสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติ แม้ว่าเราจะคิดว่าตัวเองกำลังใช้เหตุผล
.
.
13. ชั่วโมงก่อนการกระทำ ฮอร์โมน, เคมีในร่างกาย, และการซุ่มซ่อนของพลังภายใน
.
เมื่อเราขยับขอบเขตการศึกษาออกไปอีก ในช่วงหลายชั่วโมงหรือวันก่อนเกิดพฤติกรรม ระบบต่อมไร้ท่อของเราจะหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงวิธีคิด ความรู้สึก และแนวโน้มของพฤติกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการรัก การฆ่า หรือการอดทน
แทนที่เราจะคิดว่า "ฉันโกรธจึงทำร้าย" ความจริงอาจเป็น "ระดับ testosterone ขึ้นมา 30% ตั้งแต่เมื่อเช้า และมันปั่นพฤติกรรมฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว"
.
.
13.1 Testosterone: เชื้อเพลิงแห่งการเอาชนะ
.
หลายคนเข้าใจผิดว่า Testosterone คือ "ฮอร์โมนแห่งความรุนแรง" แต่ Sapolsky อธิบายว่าความจริงมันคือ ฮอร์โมนแห่งการแข่งขันเพื่อสถานะ มากกว่า
.
มันทำอะไรบ้าง: Testosterone เพิ่มความไวของสมองต่อสิ่งเร้าด้าน "การแข่งขัน" ไม่ใช่แค่ความก้าวร้าว มันกระตุ้นให้เราทำสิ่งที่ช่วยให้ "ชนะ" ตามนิยามของบริบทนั้น ถ้าชนะคือการต่อยหน้า มันจะช่วยให้คุณกล้าต่อย ถ้าชนะคือการบริจาคเงินมากกว่าคนอื่น มันก็ช่วยให้คุณทำสิ่งดี
.
นี่คือการ "ปรับพฤติกรรมตามบริบท" ไม่ใช่พลังงานไร้ทิศทาง Testosterone ไม่ทำให้คุณเลวโดยตัวมันเอง มันทำให้คุณ เลวในสังคมที่ให้รางวัลกับความเลว และ ดีในสังคมที่ให้รางวัลกับความดี
.
.
13.2 Cortisol: เครียด จึงกลัว จึงก้าวร้าว
.
Cortisol คือฮอร์โมนหลักของความเครียด มีชื่อเสียงว่าเป็นตัวร้ายในเรื่องสุขภาพ แต่มันคือ "สัญญาณภัยชีวภาพ" ที่มีประโยชน์เมื่อร่างกายต้องการพลังงานเร่งด่วน
.
ผลต่อพฤติกรรม: Cortisol เพิ่มการตอบสนองของ amygdala → ทำให้กลัวมากขึ้น ลดการควบคุมจาก prefrontal cortex → คิดช้า อดทนน้อย ทำให้เรา "ปิดหูปิดตา" ต่อข้อมูลที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เรากลัว และเพิ่มแนวโน้มจะคิดแบบขาว-ดำ (good vs evil)
.
Cortisol ยังมีความซับซ้อนอีกชั้น คือมันเชื่อมโยงกับ "การคาดการณ์ว่าตัวเองจะควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่" ถ้ารู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้เลย ระดับ cortisol จะพุ่งสูงจนถึงขั้น "เป็นอัมพาต" ด้านจิตใจ
.
.
13.3 Oxytocin: ไม่ใช่แค่ "ฮอร์โมนแห่งความรัก"
.
Oxytocin เต็มไปด้วยความเข้าใจผิด ถ้าคุณคิดว่า oxytocin ทำให้คนอ่อนโยนเสมอ คุณอาจประเมินมันต่ำเกินไป
.
Sapolsky บอกว่า Oxytocin เพิ่ม ความผูกพันต่อกลุ่มของตัวเอง ไม่ได้เพิ่มความรักแบบ "รักทุกคนบนโลก" กลับกัน มันอาจทำให้เรายิ่ง เกลียดคนนอกกลุ่ม มากขึ้น และยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า "เราดี เขาเลว" อย่างมั่นใจ
.
ตัวอย่างเช่น ในการทดลอง เมื่อฉีด oxytocin ให้กลุ่มทดลองก่อนเล่นเกมการแข่งขันกับคนจากอีกประเทศ กลุ่มที่ได้รับ oxytocin "รักเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น" แต่ก็ "ลงโทษอีกฝ่ายหนักขึ้น" เมื่อถูกมองว่าทำไม่แฟร์ สรุปคือ oxytocin ทำให้คุณ "เป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์กับเพื่อน แต่เหี้ยมกับศัตรู" ได้ง่ายกว่าที่คิด
.
.
13.4 Vasopressin และฮอร์โมนคู่รัก (ที่ก็พร้อมจะผลักคุณเข้าวงจรการครอบครอง)
.
ในการศึกษาพฤติกรรมคู่รัก Vasopressin ทำงานคล้าย oxytocin และมีบทบาทในการเชื่อมโยงกับ "ความจงรักภักดีต่อคู่ครอง" ในสัตว์หลายชนิด เช่น prairie voles
.
ในมนุษย์ มันอาจกระตุ้นพฤติกรรม "หวงคู่ครอง" และความรู้สึกเป็นเจ้าของจนเกิดความรุนแรงได้เมื่อรู้สึกว่าโดนแย่ง นี่คืออีกหนึ่งฮอร์โมนที่อธิบายว่าทำไม "อาชญากรรมแห่งความรัก" จึงเกิดขึ้นในภาวะที่ดูเหมือนรักกันมาก แต่ไม่ใช่ความรักที่เปิดกว้าง หากเป็นความผูกพันแบบ "ครอบครอง"
.
.
14. ฮอร์โมนเพศหญิง: ไม่ได้อ่อนแอ แต่ซับซ้อนกว่าที่คิด
.
ฮอร์โมนเพศ ระดับ estrogen และ progesterone ในผู้หญิงผันผวนตามรอบเดือน และมีผลอย่างชัดเจนต่อพฤติกรรมบางอย่าง
.
ตัวอย่างเช่น ช่วงไข่ตก → เพิ่มความสนใจต่อสัญญาณ "ความเป็นชาย" มีแนวโน้มเลือกกลิ่นเหงื่อของผู้ชายที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่างจากตัวเอง (สัญญาณพันธุกรรมที่ดี) แต่ช่วงประจำเดือน → เพิ่มอารมณ์หงุดหงิด และความอ่อนไหวทางอารมณ์
.
Sapolsky เตือนว่าเราต้องไม่เหมารวมว่า "อารมณ์ผู้หญิงแปรปรวน" โดยไม่มีมูล แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ฮอร์โมนสามารถเปลี่ยนแนวโน้มการตัดสินใจได้ในระดับลึกจริง ๆ
.
.
15. ฮอร์โมนกับ "ความตั้งใจ" ที่เราเข้าใจผิด
.
ประเด็นสำคัญที่ Sapolsky ต้องการสื่อในส่วนนี้คือ เมื่อเราพูดว่า "เขาตั้งใจทำ" เรามักไม่เข้าใจว่า "ตั้งใจ" ถูกขับเคลื่อนจากกลไกชีวภาพมากแค่ไหน
.
ฮอร์โมนไม่ได้กำหนดพฤติกรรมตรง ๆ แต่ "เปลี่ยนความไว" ของสมองต่อสิ่งเร้า เช่น คนที่มี testosterone สูงอาจไม่รุนแรงเสมอไป แต่จะรู้สึกสะใจมากกว่าปกติเมื่อได้เอาชนะ คนที่มี cortisol สูงอาจไม่หยิบมีดขึ้นมาแทงใคร แต่จะหวาดกลัวมากกว่าคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
.
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การตัดสินใจ ไม่ใช่สิ่งที่ลอยอยู่ในสุญญากาศ แต่มันเกิดจากสภาพแวดล้อมภายในร่างกายที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทุกชั่วโมง
.
.
16. วัยเด็กไม่ได้ผ่านไป มันฝังอยู่ในสมอง
.
Sapolsky เปิดประเด็นว่า หากคุณอยากเข้าใจว่าทำไมใครคนหนึ่งถึงตัดสินใจลงมือทำอะไรในวัยผู้ใหญ่ ให้ย้อนกลับไปดูว่าเขาเคยเจออะไรมาบ้างตอนอายุ 0–12 ขวบ
.
ในช่วงปีแรก ๆ สมองมนุษย์พัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทหลายแสนล้านจุดต่อวินาที แต่การเชื่อมต่อนั้นไม่ได้เกิดจากยีนล้วน ๆ มันเกิดจาก "ประสบการณ์" ด้วย ประสบการณ์ที่เด็กได้รับ เช่น การอุ้ม การพูดคุย การสัมผัสทางกาย การตอบสนองจากผู้เลี้ยงดู จะกลายเป็น "คู่มือ" สำหรับสมองในการแปลความรู้สึกและการตอบสนองในอนาคต
.
.
17. การยึดโยงทางอารมณ์ (Attachment): พื้นฐานของศีลธรรมและความไว้ใจ
.
ทฤษฎีของ John Bowlby และ Mary Ainsworth ว่าด้วย "Attachment Theory" กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการอธิบายว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน
.
A. Attachment แบบปลอดภัย (Secure) เด็กได้รับการตอบสนองอย่างสม่ำเสมอ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจคนได้ มีความเห็นอกเห็นใจ
.
B. Attachment แบบไม่ปลอดภัย (Insecure) ถูกละเลย หรือตอบสนองแบบคาดเดาไม่ได้ โตมาอาจกลัวการถูกทอดทิ้ง, หวาดระแวง, มีแนวโน้มใช้ความรุนแรง
.
สมองของเด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่อุ่นใจจะมี prefrontal cortex และ amygdala ที่เชื่อมต่อกันได้ดี ช่วยควบคุมอารมณ์เมื่อโตขึ้น แต่ถ้าขาดความรักความปลอดภัยในวัยเด็ก สมองจะปรับตัวให้ "อยู่รอด" มากกว่า "ไว้ใจโลก" เช่น สร้างความระแวดระวัง การแปลอารมณ์ของคนอื่นแบบผิดพลาด และการตอบโต้ที่เร็วเกินเหตุ
.
.
18. ความเครียดในวัยเด็ก: ทำลายสมองอย่างถาวร
.
การศึกษาผลกระทบของความเครียดต่อพัฒนาการ พบว่าความเครียดเรื้อรังในวัยเด็ก เช่น การโดนทุบตี การเห็นพ่อแม่ทะเลาะ หรือการถูกทอดทิ้ง ไม่ได้เป็นแค่ "ความทรงจำไม่ดี" แต่มันเปลี่ยน โครงสร้างสมอง โดยตรง
.
อะไรเกิดขึ้น: Amygdala โตเร็วและทำงานไวเกินไป → ทำให้โกรธหรือกลัวง่าย Prefrontal Cortex ถูกทำลายเชื่อมโยง → ลดความสามารถในการควบคุมตัวเอง Hippocampus หดตัว → จดจำได้แค่ในบริบทที่มีภัย ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลอย่างเป็นระบบ
.
ยิ่งเด็กได้รับความรุนแรงทางจิตใจหรือร่างกายเร็วเท่าไหร่ ผลกระทบทางสมองก็จะถาวรมากขึ้น เด็กที่เคยถูกตีซ้ำ ๆ อาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตีลูกโดยไม่รู้ตัว หรือเชื่อว่าความรุนแรงคือวิธีปกติของความรัก
.
ยีน + การเลี้ยงดู = พฤติกรรม (แต่มันไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์)
.
Sapolsky อธิบายว่า "ยีน" มีบทบาทสำคัญ แต่ไม่สามารถทำนายพฤติกรรมได้ลำพัง เพราะยีนทำหน้าที่เป็นแค่ "พิมพ์เขียว" ส่วนประสบการณ์คือคนที่เอาแบบไปสร้างบ้านจริง ๆ
.
ตัวอย่างเช่น ยีน MAO-A ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุม dopamine และ serotonin ถ้าเด็กมีรูปแบบยีนที่อ่อนไหว + โดนทารุณในวัยเด็ก → เพิ่มความเสี่ยงในการใช้ความรุนแรงในวัยผู้ใหญ่ แต่ถ้ามีรูปแบบยีนเดียวกันแต่เติบโตในครอบครัวอบอุ่น → พฤติกรรมกลับปกติ
.
นี่คือแนวคิดที่เรียกว่า "Gene × Environment Interaction" หรือ "ปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีนและสภาพแวดล้อม"
.
.
19. อิทธิพลของการเลี้ยงดูแบบเผด็จการ vs. อบอุ่น vs. ปล่อยปละ
.
ในประวัติศาสตร์การศึกษารูปแบบการเลี้ยงดู มีการวิจัยระบุลักษณะของผู้ปกครอง 3 แบบใหญ่ ๆ:
.
1. เผด็จการ (Authoritarian) ควบคุมสูง, อบอุ่นต่ำ เด็กมีแนวโน้มกลัวอำนาจ แต่เก็บกด
.
2. อบอุ่นแต่มีขอบเขต (Authoritative) ควบคุมพอประมาณ + มีความอบอุ่น เด็กโตขึ้นมีวินัย มีความเห็นใจ และเข้าใจความแตกต่าง
.
3. ปล่อยปละ (Permissive/Neglectful) ควบคุมต่ำ + อบอุ่นต่ำ เด็กมักขาดการควบคุมตัวเองและไว้วางใจใครไม่ได้
.
เด็กไม่ได้รับเพียงคำพูดจากพ่อแม่ แต่สมองเรียนรู้ รูปแบบของโลก จากการเลี้ยงดู เช่น โลกคือที่ที่อันตราย โลกคือที่ที่อบอุ่น โลกคือที่ที่ต้องแข่งขันเพื่อความรัก
.
.
20. ความยากจนในวัยเด็ก
.
ในการศึกษาผลกระทบของความยากจน พบว่าเด็กที่เติบโตในครอบครัวยากจนมีแนวโน้ม ถูกกระตุ้นด้วย cortisol สูงกว่า นอนน้อยกว่า เข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพน้อย และมีโอกาสถูกเลี้ยงดูแบบตอบสนองต่ำ
.
ผลที่ตามมา: ความจำแย่ ความอดทนน้อย ความเสี่ยงด้านพฤติกรรมสูงขึ้น
.
นี่ไม่ใช่เรื่องของ "การไม่มีเงินซื้อของเล่น" แต่คือการเติบโตในสภาวะที่สมองเรียนรู้ว่าโลกคือที่อันตราย และ "การอยู่รอด" สำคัญกว่าความเห็นอกเห็นใจ
.
.
21. ความเชื่อทางวัฒนธรรมของครอบครัว
.
นอกจากปัจจัยทางชีววิทยาแล้ว Sapolsky ยังพูดถึงมิติทางวัฒนธรรม เช่น เด็กบางคนถูกเลี้ยงให้ "อดทนเงียบ ๆ" "อย่าขัดขืนผู้ใหญ่" "เห็นแก่ครอบครัวก่อนตัวเอง"
.
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ บางคนไม่กล้าพูดความจริง บางคนรู้สึกผิดที่ต่อต้านอำนาจ หรือแม้กระทั่ง "ลงโทษตัวเอง" แทนที่จะโกรธผู้อื่น โครงสร้างทางสังคมของครอบครัวและวัฒนธรรมจึงกลายเป็น "รูปแบบของสมอง" ที่หล่อหลอมตั้งแต่เด็ก
.
.
22. วัยรุ่น ระเบิดฮอร์โมน ความกล้าบ้าบิ่น และสมองที่ยังไม่เสร็จ
.
Sapolsky เริ่มด้วยข้อเท็จจริงทางชีววิทยาอันสำคัญ สมองส่วน limbic system (โดยเฉพาะ amygdala และ reward centers) พัฒนาเร็วมากในช่วงวัยรุ่น แต่สมองส่วน prefrontal cortex ที่ควบคุมเหตุผล ยั้งคิด และการวางแผน ยังโตไม่เต็มที่จนถึงอายุประมาณ 25 ปี
.
นี่คือสูตรสำเร็จของ "วัยแห่งการทดลอง": พลังขับเคลื่อนแรง แต่เบรกยังไม่มา ผลลัพธ์คือ การเสี่ยงแบบโง่ ๆ การทำเพื่อคำชมจากกลุ่มเพื่อน ความหลงใหลในอุดมการณ์ที่แรงเกินจริง ความเกลียดที่สุดขั้ว ไม่ใช่เพราะเด็กดื้อ...แต่เพราะสมองมันยังอยู่ในช่วง Beta Version
.
.
23. กลุ่มเพื่อน และ "ความอยากเป็นที่ยอมรับ"
.
วัยรุ่นมีแนวโน้มจะเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสิ้นเชิงเมื่ออยู่กับเพื่อน หรือเมื่อรู้ว่ามีคนกำลัง "ดูอยู่"
.
ตัวอย่างจากงานวิจัย เด็กอายุ 14–17 ปีที่เล่นเกมแข่งรถมีแนวโน้มขับเร็วขึ้นแบบหวุดหวิดมากขึ้น หากมีเพื่อนดูอยู่ ระบบ dopaminergic จะทำงานรุนแรงกว่าเดิมเมื่ออยู่ในสถานการณ์แข่งขันเพื่อสถานะ การได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนกระตุ้นระบบให้รางวัลในสมอง (reward circuitry) เหมือนโดนรางวัลแจ็คพอต ซึ่งบางครั้งแรงกว่ารางวัลจากผู้ใหญ่หรือเหตุผลแบบผู้ใหญ่
.
.
24. สถานะทางสังคม ใครเหนือกว่า ใครเป็นที่สนใจ
.
สมองของวัยรุ่นให้ความสำคัญกับ "ลำดับขั้นทางสังคม" มากอย่างไม่เป็นสัดส่วน พฤติกรรมจึงมักหมุนรอบประเด็นว่า ใครดูดี ใครฮิตในกลุ่ม ใครถูกมองว่ามีอำนาจ
.
เด็กผู้ชายวัยรุ่นมีแนวโน้มจะใช้พฤติกรรม "โชว์กล้า" เช่น ทะเลาะวิวาท ล้อแรง ๆ กลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า เพื่อสร้างภาพว่า "ฉันอยู่บนลำดับขั้น" เด็กผู้หญิงบางกลุ่มก็จะใช้ "การควบคุมทางสังคม" เช่น การกีดกัน การพูดลับหลัง การกำหนดแฟชั่น เพื่อสร้างแรงกดดันและรักษาสถานะ
.
ทั้งหมดนี้เกิดจากแรงผลักทางชีวภาพที่มองว่าความอยู่รอดในวัยรุ่นคือ "ต้องไม่ถูกเมิน"
.
.
25. วัยรุ่นกับพฤติกรรมเสี่ยง: รถซิ่ง ดมกาว และเชื่อว่า "ฉันไม่เป็นไร"
.
สมองของวัยรุ่นให้ "น้ำหนักกับรางวัล" มากกว่าผลลัพธ์ระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อ มีสิ่งเร้าทางเพศ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน หรือมีโอกาสได้แสดงความกล้าให้คนอื่นเห็น
.
Prefrontal cortex ที่ยังไม่โตเต็มที่ ทำให้ ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินจริง รู้ว่าเสี่ยง แต่คิดว่า "คงไม่เกิดกับเรา" มีปัญหาในการเชื่อมโยง "สิ่งที่ทำตอนนี้" กับ "ผลระยะยาวในอนาคต"
.
นี่อธิบายว่าทำไมวัยรุ่นที่เฉลียวฉลาดก็ยังมีโอกาสติดยา มีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน หรือขับรถเร็ว ทั้งที่ "รู้" ว่ามันอันตราย
.
.
26. ความเชื่อในวัยรุ่น บ่มเพาะอุดมการณ์ และความเกลียดแรงเกินจริง
.
วัยรุ่นคือช่วงที่สมองพร้อมจะ "หาสิ่งที่ยึดเหนี่ยว" และพร้อมจะ "เชื่อสุดหัวใจ" ไม่ว่าจะเป็น ศาสนา ลัทธิการเมือง ความยุติธรรม อุดมคติแห่งความรัก
.
เพราะสมองกำลังสร้างเครือข่ายเกี่ยวกับ "ความหมาย" (meaning) และ "เอกลักษณ์" (identity) โดยเฉพาะใน medial prefrontal cortex และ temporal junction แต่เพราะ prefrontal cortex ยังไม่สมบูรณ์ จึงเกิดปรากฏการณ์ เห็นโลกแบบขาว–ดำ ยึดมั่นสุดขั้ว ปฏิเสธความซับซ้อนของความจริง
.
นั่นคือเหตุผลที่กลุ่มหัวรุนแรง (extremist groups) มักชอบชักชวนเด็กอายุ 14–24 เพราะนี่คือช่วงที่ "ง่ายต่อการปลุกพลังศรัทธา"
.
.
27. การกลั่นแกล้ง (Bullying)
.
Sapolsky วิเคราะห์การกลั่นแกล้งในวัยรุ่นว่าเป็น "การควบคุมความกลัวต่อการถูกตกชั้นทางสังคม" โดย ผู้กระทำคือคนที่กำลังแข่งขันเพื่อรักษาสถานะ เหยื่อคือคนที่อ่อนแอและไม่มีพวก คนดูคือกลุ่มที่ยังไม่อยากตกเป็นเหยื่อ เลยหัวเราะ/นิ่งเฉยเพื่อรักษาความปลอดภัยตัวเอง
.
สมองของผู้กลั่นแกล้งมักมีการทำงานของ reward system และ amygdala ที่ตอบสนองต่อ "เสียงหัวเราะของกลุ่ม" มากกว่าความทุกข์ของเหยื่อ แต่สิ่งที่น่าสะเทือนใจคือ เด็กที่เป็นเหยื่อในวัยรุ่นมีโอกาสเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาทางสุขภาพจิตสูงขึ้นหลายเท่า บางรายมีการเปลี่ยนแปลงของ hippocampus และ prefrontal cortex อย่างถาวร
.
.
28. ช่วงวัยรุ่นคือ "สงครามกลางสมอง" ที่เปลี่ยนคุณเป็นผู้ใหญ่แบบไหนก็ได้
.
ประเด็นสำคัญที่ Sapolsky ต้องการสื่อคือ วัยรุ่นคือสนามประลองระหว่างแรงขับทางชีวภาพ กับบริบททางสังคมที่กำหนดว่า "รางวัล" คืออะไร ถ้าอยู่ในวัฒนธรรมที่ให้รางวัลกับการขบถ ก็จะโตมาแบบนั้น ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เห็นแก่คนอื่นคือสิ่งเท่ ก็จะเรียนรู้ที่จะเมตตา ถ้าไม่มีใครคอยสะท้อนความผิด/ถูก ก็อาจโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ยังคิดแบบวัยรุ่นอยู่
.
.
29. วัฒนธรรม อุดมการณ์ และความเกลียดที่เรียนรู้ได้
.
Sapolsky ย้ำประเด็นหนึ่งที่ค่อนข้างเจ็บปวดสำหรับแนวคิดแบบเสรีนิยม คือ "วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเองได้เสมอไป" แต่มันถูก "ปลูกฝังให้เราคิดว่ามันเป็นของเรา"
.
เช่น เราไม่ได้เลือกว่าจะชอบเพศไหน หรือรู้สึกกลัวผู้นำแบบไหน เราแค่เติบโตในสังคมที่ปลูกฝังว่า "อะไรดี อะไรเลว" และสมองเราปรับตัวตามนั้น…แม้จะขัดกับสัญชาตญาณดั้งเดิมก็ตาม
.
.
30. กลุ่มของเรา vs. กลุ่มของมัน (Ingroup/Outgroup): กลไกพื้นฐานของลำเอียง
.
ตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มนุษย์มีแนวโน้มจะแบ่ง "เรา" กับ "เขา" โดยอัตโนมัติ แม้แต่ในเด็กอายุ 3 ขวบ
.
ตัวอย่างจากการทดลอง "Minimal Group Paradigm" นักวิจัยสุ่มให้เด็กใส่เสื้อสีแดงหรือสีน้ำเงิน แม้ไม่มีความต่างอื่นเลย เด็กก็เริ่ม "เชียร์" กลุ่มตัวเอง และ "ลดค่าความดีของอีกกลุ่ม"
.
ในสมอง: การเห็นภาพ "คนในกลุ่มเรา" กระตุ้นการทำงานของ medial prefrontal cortex และ reward circuitry แต่เมื่อเห็น "คนนอกกลุ่ม" amygdala ตอบสนองก่อน, รวดเร็ว และเน้นภัยคุกคามมากกว่า
.
นี่ไม่ใช่เพราะเราโหดร้าย แต่เพราะวิวัฒนาการสอนให้กลุ่มที่ผูกพันกันมีโอกาสรอดมากกว่า
.
.
31. ศาสนา
.
Sapolsky พูดถึงศาสนาแบบตรง ๆ และลึกซึ้งว่า ศาสนาช่วยให้คนแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ ลดการใช้ความรุนแรง เพิ่มพฤติกรรมมีจริยธรรม กับคนในกลุ่ม
.
แต่เขายังตั้งคำถามใหญ่ด้วยว่า ถ้าศาสนาทำให้คุณ "ดี" กับเพื่อนร่วมศาสนา แล้วพร้อมจะ "เกลียดคนต่างศาสนา" อย่างสุดหัวใจ มันคือเครื่องมือแบ่งกลุ่มที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
.
สมองจะจดจำว่า "เขาไม่ใช่พวกเรา" และหากอุดมการณ์ศาสนากำหนดว่า "เขาเลวโดยเนื้อแท้" prefrontal cortex อาจถูกกลบด้วยความศรัทธาจนทำให้เห็นการใช้ความรุนแรงเป็น "เรื่องดี"
.
.
32. อุดมการณ์กับความรุนแรง
.
ในประวัติศาสตร์ของสงครามกลางเมือง หรือความขัดแย้งทางอุดมการณ์ คนที่ใช้ความรุนแรงไม่ได้ "โกรธ" เสมอไป พวกเขามัก "เชื่อ" ว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง
.
และความเชื่อนั้นมีผลกระทบในสมองอย่างจริงจัง เช่น ลดกิจกรรมของ anterior cingulate cortex (ศูนย์ประเมินความขัดแย้ง) เพิ่ม dopamine เมื่อกระทำบางอย่างเพื่อ "อุดมการณ์ของกลุ่ม" ปิดการทำงานของ mirror neurons ที่ทำให้เราเห็นใจผู้อื่น
.
ผลคือ "เขา" กลายเป็นวัตถุ "ความรุนแรง" กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
.
.
33. ภาษา วัฒนธรรม และสมอง พันธมิตรที่แยกเราออกจากลิง
.
วัฒนธรรมสร้างโดยภาษา และภาษา "หล่อหลอมวิธีคิด"
.
ตัวอย่างเช่น คนที่พูดภาษาที่มีคำศัพท์เยอะสำหรับความรู้สึก เช่น ญี่ปุ่น จะระบุอารมณ์ได้ละเอียดกว่า คนที่พูดภาษาไม่มีอนาคต (เช่น ภาษาเยอรมันในบางรูปแบบ) มักมีแนวโน้มออมเงินมากกว่า
.
Sapolsky อธิบายว่า ภาษาไม่ใช่แค่ "ช่องทางสื่อสาร" มันคือ กรอบการคิด และวัฒนธรรมคือผลรวมของภาษา ความเชื่อ และกลไกสังคม ทั้งหมดนี้กลายเป็น "ระบบนิเวศแห่งการตัดสินใจ" ของสมองแต่ละคน
.
.
34. Moral Dumbfounding คนมีศีลธรรม แต่ไม่รู้ว่าทำไม
.
Sapolsky ยกปรากฏการณ์น่าสนใจที่เรียกว่า Moral Dumbfounding คนรู้สึกว่าอะไร "ผิด" หรือ "ถูก" อย่างแรงกล้า แต่ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้
.
เช่น คุณรู้สึกว่า "การกินศพญาติที่ตายแล้วแม้จะปลอดภัยและถูกกฎหมาย" มันน่าขยะแขยง แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า "ผิดเพราะอะไร" ในเชิงเหตุผล
.
สิ่งนี้สะท้อนว่าวัฒนธรรมฝัง "อารมณ์ทางศีลธรรม" ในรูปแบบที่ prefrontal cortex ยอมจำนน ต่อ gut feeling
.
.
35. วัฒนธรรมคือ "ซอฟต์แวร์" ที่อัปเดตผ่านประวัติศาสตร์
.
ในการสรุปบทบาทของวัฒนธรรม Sapolsky สรุปว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ประหลาด เรามีความสามารถใช้ความรุนแรงเพราะความดี (e.g. ฆ่าเพราะปกป้องชาติ ศาสนา) เราสร้างจริยธรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจากวัฒนธรรมหนึ่งสู่อีกวัฒนธรรม แต่สมองทุกคนมีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกัน
.
สิ่งที่ต่างคือ "ค่านิยมที่อัดเข้ามาตั้งแต่เกิด" วัฒนธรรมจึงไม่ใช่เรื่องรองชีววิทยา แต่มันคือฟังก์ชันระดับสูงสุดของชีววิทยา การที่สมองเปิดรับความเชื่อที่ไม่มีอยู่จริง และยอมตายเพื่อมัน
.
.
36. ถ้าธรรมชาติ "เก่ง" ทำไมมนุษย์ยังมีความรุนแรง ความเห็นแก่ตัว และความเกลียด?
.
ในการศึกษาประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของพฤติกรรมมนุษย์ คำตอบของ Sapolsky คือ เพราะธรรมชาติไม่ได้คัดเลือกให้คุณ "ดี" หรือ "มีคุณธรรม" แต่มันคัดเลือกแค่ให้คุณ "สืบพันธุ์สำเร็จ"
.
นี่คือใจกลางของทฤษฎีวิวัฒนาการ natural selection เลือกเฉพาะลักษณะที่เพิ่ม "fitness" (ความสามารถในการส่งยีนต่อไปยังรุ่นถัดไป) ดังนั้น ความรุนแรงอาจมีประโยชน์ในการแย่งทรัพยากร ความเห็นแก่ตัวอาจช่วยให้รอดในสถานการณ์จำกัด การโกหกอาจช่วยให้ได้เปรียบในการแข่งขัน และถ้าพฤติกรรมพวกนี้ทำให้เรามีลูกมากกว่าคนอื่น มันก็ "ผ่านการรับรองจากธรรมชาติ"
.
.
37. Kin Selection ความดีที่เลือกทำกับ "ญาติสายเลือดเดียวกัน"
.
หนึ่งในกลไกที่อธิบาย "ความเห็นอกเห็นใจ" ได้ดีที่สุดในเชิงชีววิทยาคือ Kin Selection
.
แนวคิดคือ ถ้าคุณช่วยชีวิตพี่น้อง ลูก หลาน หรือพ่อแม่ คุณอาจไม่รอดเอง แต่ยีนของคุณยังมีโอกาสไปต่อ ดังนั้น "การเสียสละเพื่อญาติ" จึงอาจ มีเหตุผลทางวิวัฒนาการ
.
หลักฐานพบว่า สัตว์หลายชนิดมีแนวโน้มช่วยญาติ มากกว่าช่วยตัวที่ไม่ใช่ญาติ แม้แต่พฤติกรรมการฆ่าก็มีลักษณะ "ละเว้นเครือญาติ" ตัวอย่างที่โด่งดัง: มดบางชนิดยอมตายเพื่อปกป้องรัง ซึ่งเต็มไปด้วยพี่น้องที่มียีนเดียวกัน
.
.
38. Reciprocal Altruism: ถ้าคุณดีกับฉัน...ฉันจะดีกลับ (แต่ถ้าคุณทรยศ ฉันจะจำ)
.
ในความร่วมมือระหว่างมนุษย์ แนวคิดนี้เสนอว่า การช่วยเหลือที่ไม่ใช่กับญาติ ก็อาจเกิดขึ้นถ้ามี การแลกเปลี่ยนที่ยั่งยืน "คุณช่วยฉันตอนนี้ ฉันจะช่วยคุณทีหลัง"
.
ระบบนี้อิงกับการจดจำ การประเมินค่า และบทลงโทษผู้ทรยศ Sapolsky เชื่อว่า moral outrage (ความโกรธที่มีคุณธรรม) คือการป้องกันพฤติกรรมโกงในระบบแบบนี้ เช่น การด่าว่าคนที่ไม่จ่ายค่าแชร์ การคว่ำบาตรคนที่นอกใจ หรือการด่า "คนโกงชาติ" แม้คุณจะไม่ได้เสียผลประโยชน์โดยตรง
.
นี่คือกลไกที่วิวัฒนาการมาควบคุมสังคมที่พึ่งพากันในระยะยาว
.
.
39. Group Selection กลุ่มที่ "สามัคคี" อยู่รอดมากกว่ากลุ่มที่ "ฉลาดแต่แตกแยก"
.
ในประวัติศาสตร์ของทฤษฎีวิวัฒนาการ แม้จะถกเถียงกันมานาน แต่ Sapolskyยอมรับว่ามีบางพฤติกรรมที่อธิบายได้ด้วย "การคัดเลือกในระดับกลุ่ม"
.
ตัวอย่างเช่น กลุ่มลิงที่มีสมาชิกช่วยกันเลี้ยงลูก ดูแลกัน มีความไว้ใจ มักมีอัตรารอดสูงกว่า กลุ่มมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมแบ่งปัน การลงโทษผู้เอาเปรียบ และสร้างความไว้ใจ มักขยายอาณาเขตและอยู่รอดได้ในระยะยาว
.
ดังนั้นวิวัฒนาการอาจไม่ได้เลือกแค่ "ยีน" ที่เห็นแก่ตัว แต่ยังเลือก "ระบบ" ที่เอื้อต่อความร่วมมือ ถ้ามันทำให้กลุ่มนั้นชนะกลุ่มอื่น
.
.
40. พฤติกรรมสุดขั้ว การเสียสละขั้นสุด กับความโหดร้ายเกินมนุษย์
.
ในการวิเคราะห์พฤติกรรมสุดขั้ว Sapolsky พยายามอธิบายว่าทั้ง "ความดีระดับฮีโร่" และ "ความเลวสุดขั้ว" ต่างก็มีรากฐานในวิวัฒนาการเช่นกัน
.
เช่น ฮีโร่สงคราม ที่กระโดดขวางระเบิดเพื่อช่วยเพื่อนร่วมกลุ่ม อาจมาจากกลไกที่ "ฝึกให้เรารักพวกเรา" เกินกว่าตัวเอง ฆาตกรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาจได้รับการปลูกฝังทางวิวัฒนาการว่า "คนกลุ่มนั้นคือศัตรูโดยกำเนิด"
.
สมองของเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อ "มีศีลธรรมโดยบริสุทธิ์" แต่เพื่อ รักพวกเราอย่างลึกซึ้ง เกลียดพวกเขาอย่างเต็มพลัง และใช้เหตุผลเพื่อ สนับสนุนอารมณ์ที่เรามีอยู่แล้ว
.
.
41. ความเห็นอกเห็นใจที่เลือกได้ (Selective Empathy) วิวัฒนาการชี้ว่า "ไม่ต้องรักทุกคนก็ได้"
.
ตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มนุษย์ไม่ได้มี empathy กับทุกสิ่ง แต่มี selective empathy เราเห็นใจบางคน บางกลุ่ม บางสถานการณ์
.
ตัวอย่าง เด็กหิวที่หน้า TV ทำให้คุณร้องไห้ แต่คุณเฉย ๆ กับคนไร้บ้านข้างถนน
.
Sapolsky เสนอว่า สมองของเรามีระบบ "แบ่งการเห็นใจ" ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งคล้ายกัน ยิ่งง่ายที่จะเปิดใช้งาน empathy และวิวัฒนาการไม่ให้คุณ "รู้สึก" กับทุกคน เพราะมันเปลืองพลังเกินไป
.
.
42. แล้วมนุษย์ต้องตกเป็นทาสของวิวัฒนาการไหม?
.
ในการสรุปบทเรียนจากวิวัฒนาการ Sapolsky สรุปว่า วิวัฒนาการสร้างกรอบพฤติกรรม แต่ "วัฒนธรรม" และ "เหตุผล" อาจช่วยเราหลุดจากกรอบนั้นได้บ้าง
.
เช่น วิวัฒนาการให้เรากลัวคนแปลกหน้า → แต่คุณสามารถฝึกให้ "สงสัย" ความกลัวนั้น วิวัฒนาการให้เราแบ่งกลุ่ม → แต่คุณสามารถ "ขยายกลุ่ม" โดยใช้การศึกษา วิวัฒนาการให้เรารักญาติ → แต่คุณสามารถ "ช่วยคนไกล" ได้ด้วยหลักศีลธรรม
.
มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถ "หักธรรมชาติ" ได้ (ในบางครั้ง) และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราน่าทึ่งที่สุด
.
.
43. "คนดี" ทำสิ่งเลวร้ายได้...ถ้าอยู่ในโครงสร้างที่ผิด
.
ในการศึกษาประวัติศาสตร์ของความชั่วร้ายที่เกิดจากระบบ Sapolsky เริ่มด้วยการพูดถึงปรากฏการณ์ที่น่ากลัวแต่เกิดขึ้นบ่อยในประวัติศาสตร์: คนธรรมดาที่มีครอบครัว มีแมว มีลูก และมีหัวใจ...กลายเป็นผู้สังหารหมู่ในสงคราม
.
เขาไม่ได้อธิบายสิ่งนี้ว่าเป็น "ปีศาจในตัวมนุษย์" แต่ว่าเป็นผลจาก "โครงสร้างทางสังคม" ที่มีอิทธิพลเหนือกว่า moral compass ส่วนตัว
.
.
44. อำนาจที่ไร้การตรวจสอบ = สนามเด็กเล่นของปีศาจ
.
เมื่ออำนาจถูกกระจุกในกลุ่มเล็ก ๆ โดยไม่มีการตรวจสอบ สมองของผู้มีอำนาจจะเปลี่ยนแปลงจริง ๆ Prefrontal cortex ลดกิจกรรมการประเมินผลระยะยาว Amygdala ตอบสนองช้าลงต่อความเจ็บปวดของผู้อื่น ระบบ dopamine กระตุ้นให้ "ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ" เมื่อได้อำนาจ
.
เรียกได้ว่า "อำนาจ" เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง และผู้มีอำนาจสามารถเลื่อนมาตรฐานศีลธรรมของตนเองได้เรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
.
.
45. การเชื่อฟังคำสั่ง (Obedience) บาปของฉันหรือของนาย?
.
Sapolsky อ้างถึงงานวิจัยคลาสสิกของ Stanley Milgram ที่ให้คนธรรมดากดปุ่มช็อตไฟฟ้าคนแปลกหน้า...เพียงเพราะผู้สวมเสื้อกราวน์บอกให้ทำ
.
กว่า 60% ทำตามคำสั่งจนสุดระดับ (แม้คิดว่าคนถูกช็อตอาจตาย) เหตุผลคือ "ฉันแค่ทำตามคำสั่ง"
.
ความรู้สึกผิด (ผ่าน anterior cingulate cortex) ลดลงเมื่อเราเชื่อว่าคนอื่นรับผิดชอบแทนเรา ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งมักไม่ใช้ prefrontal cortex ในการตัดสินใจ แต่ "เอาตัวรอดทางจิตใจ" ด้วยการโยนความรับผิดชอบไปให้ authority
.
.
46. Groupthink
.
ในประวัติศาสตร์ของการตัดสินใจที่ผิดพลาดในระดับองค์กร Groupthink คือภาวะที่กลุ่มคนยอมละทิ้งเหตุผลและศีลธรรม เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของกลุ่ม
.
ตัวอย่างเช่น คณะกรรมการที่ไม่ท้วงนโยบายสงครามแม้เห็นความเสี่ยง พนักงานที่รู้ว่าผลิตภัณฑ์อันตราย แต่ไม่กล้าเตือนเพราะ "เดี๋ยวเสียระบบ"
.
ความคิดเห็นของกลุ่มสามารถ override การรับรู้ของบุคคลได้จริง ๆ (ผ่าน insular cortex) การขัดแย้งกับกลุ่มกระตุ้นความเครียดใน amygdala มากกว่าความรู้สึกผิดจาก "การอยู่เฉย ๆ"
.
.
47. การทำลายล้างหมู่: สงคราม ชนชาติ และมนุษยธรรมที่หายไป
.
ในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Sapolsky วิเคราะห์ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ไม่ได้เกิดจาก "คนชั่วไม่กี่คน" แต่เป็น ระบบราชการ ความลำดับชั้น การนิ่งเฉยของคนส่วนใหญ่ และความรู้สึกว่า "เราทำเพื่อความดีของกลุ่มเรา"
.
สมองของผู้ลงมือฆ่ามัก "ปิดสวิตช์ความเห็นอกเห็นใจ" แบบฝึกฝนได้ เช่น ฝึกยิงหุ่นก่อนลงสนาม ใช้ศัพท์เปลี่ยนมนุษย์เป็นวัตถุ ("กำจัดเป้าหมาย" แทน "ฆ่าคน") สร้างระยะห่างทางจิตวิทยาระหว่าง "เรา" กับ "พวกเขา"
.
ในประวัติศาสตร์ของความรุนแรงเพื่ออุดมการณ์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสมองมนุษย์คือ คุณสามารถ "ฆ่าคน" และรู้สึก "สูงส่ง" เพราะอุดมการณ์หลอกให้คุณเชื่อว่า "คุณเป็นนักบุญในสงครามที่จำเป็น"
.
การทำลายมนุษย์เพื่อมนุษยธรรมคือกับดักที่วิวัฒนาการยังไม่สามารถจัดการได้
.
.
48. แต่กลุ่มก็ไม่ใช่ปีศาจเสมอไป
.
ในการมองภาพรวมของอิทธิพลกลุ่ม Sapolsky ไม่ได้มองว่ากลุ่มคือสิ่งชั่วร้ายโดยตัวมันเอง เขาย้ำว่า กลุ่มสามารถสร้างการเสียสละเพื่อส่วนรวม กลุ่มสามารถบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจ กลุ่มสามารถขยาย moral circle ให้คุณเห็นใจคนที่ต่างจากคุณ
.
ความต่างคือ "ผู้นำและวัฒนธรรมในกลุ่มนั้น" ว่าส่งเสริมแบบไหน ถ้าเน้นความกลัว แบ่งแยก ควบคุม กลุ่มนั้นพัง ถ้าเน้นการสะท้อน การวิพากษ์ และการยอมรับความต่าง กลุ่มนั้นเติบโต
.
.
49. เจตจำนงเสรี ความผิด และการให้อภัยในจักรวาลของนิวรอน
.
ในการสำรวจประเด็นปรัชญาที่ลึกซึ้งที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ Sapolsky เริ่มพาร์ทนี้ด้วยคำถามตรง ๆ "ถ้าเรายิงใครสักคน สมองเราคือคนที่เลือกทำ หรือมันแค่ถูกโปรแกรมมาล่วงหน้า?"
.
คำตอบของเขาแบบที่นักปรัชญาจะรู้สึกปวดหัวคือ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "เจตจำนงเสรี" อย่างแท้จริงในเชิงชีววิทยา
.
ในประวัติศาสตร์การศึกษาสมองและจิตสำนึก หนึ่งในงานวิจัยที่ Sapolsky ยกมาคือการทดลองของ Benjamin Libet ให้ผู้เข้าร่วมกดปุ่มเมื่อ "รู้สึกอยาก" พบว่าสมอง (ผ่าน signal ที่เรียกว่า "readiness potential") เริ่มทำงาน ก่อน ที่คนจะ "รู้ตัว" ว่าอยากกดปุ่มถึง 300 มิลลิวินาที
.
แปลว่า สมองเริ่มตัดสินใจ "ก่อน" ที่คุณจะรู้ว่าคุณตัดสินใจ และ "การรู้สึกว่าคุณเลือกเอง" อาจเป็นแค่ illusion ที่สมองสร้างขึ้นหลังจากความจริง
.
.
50. Determinism คุณเลือกเอง หรือโดนคุมโดยฮอร์โมน+วัยเด็ก+สังคม?
.
ในการวิเคราะห์ประเด็นเจตจำนงเสรี Sapolsky ผสานแนวคิดจากทั้งชีววิทยา พันธุกรรม และจิตวิทยาเพื่อสรุปว่า พฤติกรรมของคุณเกิดจากหลายปัจจัยซ้อนกัน ฮอร์โมนที่เปลี่ยนในช่วงก่อนหน้า ประสบการณ์วัยเด็ก พันธุกรรมจากพ่อแม่ โครงสร้างสมอง บริบททางสังคม
.
แต่ไม่มีจุดไหนที่คุณจะ "เลือกเอง 100%" ได้เลย แม้แต่ "แรงจูงใจจะเปลี่ยนตัวเอง" ก็มาจากโครงสร้างทางสมองที่คุณไม่ได้ออกแบบเอง
.
.
51. แล้วใครจะรับผิดชอบกับการยิงคน? คน? สมอง? หรือพ่อแม่เขา?
.
ในการพิจารณาความรับผิดชอบทางศีลธรรมและกฎหมาย Sapolsky ไม่ได้ปฏิเสธการลงโทษในทางกฎหมาย แต่เขาเสนอว่า เราควรเลิก "โกรธ" คนทำผิด และเริ่ม "วิเคราะห์" โครงสร้างที่สร้างความผิดนั้นขึ้นมา
.
เหมือนกับการที่เราจะไม่โกรธสุนัขที่กัดคนถ้าเรารู้ว่ามันมีเนื้องอกในสมอง เราก็ควรใช้ตรรกะเดียวกันกับคนที่มีปัญหาทางจิตหรือความผิดปกติในการควบคุมตนเอง
.
การลงโทษควรมี เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำอีก เพื่อปกป้องสังคม แต่ไม่ใช่เพื่อ "สะใจ" หรือ "ล้างแค้น"
.
.
52. Moral Luck: เมื่อคุณเป็นคนดี...เพราะโชคดีที่ไม่เจออะไรเลวร้าย
.
หนึ่งในข้อเสนออันเจ็บปวดของ Sapolsky คือ คุณไม่ได้เป็นคนดี เพราะคุณ "เลือก" ที่จะดีเสมอไป...คุณแค่โชคดี
.
เช่น คุณอาจไม่เคยขโมยของ เพราะคุณไม่เคยจน คุณอาจไม่เคยฆ่าใคร เพราะคุณไม่เคยอยู่ในสนามรบ คุณอาจไม่เสพติด เพราะสารเคมีในสมองคุณไม่ "ขออีก"
.
และนั่นไม่ใช่ "ความดี" แต่คือ "โชคทางชีววิทยาและสังคม"
.
.
53. แล้วเจตจำนงของเรามีที่ว่างอยู่ตรงไหน?
.
ในการมองหาความหวัง Sapolsky ไม่ได้บอกว่าเรา "ไร้มนุษย์" หรือ "ไร้ความหวัง" เขาเสนอแนวคิดที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น แม้คุณจะไม่มีเจตจำนงเสรีอย่างแท้จริง แต่คุณมี การเรียนรู้ที่จะ "ตอบสนอง" ดีกว่าเดิม
.
การฝึกฝน, วัฒนธรรม, ศีลธรรม และการสะท้อนตนเอง ทั้งหมดคือกระบวนการที่เปลี่ยนสมองคุณในทางที่ดีกว่า เราคือเครื่องจักรที่สามารถ "เขียนโปรแกรมตัวเองใหม่" ได้ หากมีเครื่องมือและเวลาพอ
.
ในการสรุปประเด็นเจตจำนงเสรี ถ้าเราเชื่อว่า ทุกคนเป็นผลรวมของสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ศีลธรรมคือฟังก์ชันหนึ่งของสมอง ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
.
นั่นไม่ได้ทำให้คุณ "ไร้ค่า" หรือ "อยู่ไปวัน ๆ" แต่หมายความว่า คุณควรเมตตาต่อผู้อื่น เพราะคุณก็อาจเป็นแบบเขาในอีกบริบท คุณควรเปลี่ยนระบบ มากกว่าลงโทษแค่คน และคุณควรใช้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เพื่อสร้าง "โลกที่มีเหตุผลและกรุณา" มากกว่าเดิม
.
และนั่นคือบทเรียนสุดท้ายจาก Behave หนังสือที่ไม่ได้พาเราเข้าใจ "สมอง" เท่านั้น แต่พาเราเข้าใจ "ความซับซ้อนในการเป็นมนุษย์" ผ่านมุมมองทางประวัติศาสตร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่เสี้ยววินาทีจนถึงล้านปีของวิวัฒนาการ จากระดับโมเลกุลจนถึงระดับสังคม จากปัจเจกบุคคลจนถึงมวลมนุษยชาติ
.
การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์อย่างลึกซึ้งผ่านเลนส์ของวิทยาศาสตร์ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับมนุษยชาติ เพราะเมื่อเราเข้าใจว่า "ทำไม" เราถึงทำในสิ่งที่เราทำ เราจึงจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลง "สิ่งที่" เราจะทำต่อไปในอนาคต
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

The 48 Laws of Power : ว่าด้วยกฎแห่งอำนาจ เขียนโดย Robert Greene (สรุปฉบับสมบูรณ์)

Next
Next

สรุปหนังสือ "The Psychology of Money" จิตวิทยาว่าด้วยเงิน เขียนโดย Morgan Housel