สรุปหนังสือ How to Be Better at Almost Everything เขียนโดย Pat Flynn

ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตของคนที่โลกเรียกว่า "Jack of All Trades, Master of None" หรือถ้าจะแปลให้ฟังดูดีหน่อยก็คือ "คนที่ HR ไม่รู้จะเอาไปใส่ตำแหน่งไหน"
.
แต่ Pat Flynn กลับบอกว่า "เฮ้ เดี๋ยวก่อน ถ้าเอาคนที่เก่งหลายอย่างพอประมาณมาต่อกันให้ลงตัว มันจะแรงกว่าคนที่เก่งที่สุดในสิ่งเดียวนะ" และนั่นครับคือจุดเริ่มต้นของศาสตร์ "Generalism" หรือ "ศิลปะแห่งการเก่งแบบไม่สมบูรณ์แบบ แต่ไม่มีใครเลียนแบบได้"
.
ว่าแต่ Pat Flynn คือใคร??? เขาคือผู้ชายที่…
.
ซ้อมกีตาร์วันละ 7 ชั่วโมง แล้วแพ้เด็กอายุ 12 จากเกาหลี, เล่นกีตาร์เร็วที่สุดในห้อง แต่สาวๆ ชอบเพื่อนที่ฝีมือธรรมดาแต่ร้องเพลงได้, มีต้นไม้ในหอพัก แล้วถูกเพื่อนขโมยเพราะคิดว่าเป็นกัญชา (แต่ไม่ใช่)
.
จนวันหนึ่งเขาเข้าใจว่า "การเก่งสุดๆ ในอย่างเดียวไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่การเก่งพอประมาณในหลายอย่างแล้วเอามาผสมกัน นั่นแหละคือ Cheat Code ของชีวิต"
.
.
============================
.
1. Generalism
.
Pat Flynn เริ่มต้นด้วยการประกาศว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งของโลกเพื่อจะประสบความสำเร็จหรือมีความสุขในชีวิต เขาเรียกแนวคิดนี้ว่า Generalism หรือศาสตร์แห่งความเก่งแบบกว้าง ซึ่งไม่ใช่การเก่งที่สุดในสิ่งเดียว แต่คือการเก่งในหลายสิ่งพอประมาณแล้วเอามาผสมกัน จนเกิดเป็นสิ่งที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เขาเรียกว่า Skill Stacking หรือการซ้อนทับทักษะให้เกิดคุณค่าทวีคูณ
.
Flynn เปิดด้วยประโยคที่เหมือนถีบเก้าอี้ความคิดเดิม “Specialization is a snare หรือการเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นกับดัก” เขาไม่ได้เกลียดความเชี่ยวชาญ เพียงแต่เห็นว่ามันทำให้เราติดอยู่ในกรอบ เพราะเราถูกสอนตั้งแต่เด็กว่าต้องเก่งในสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ถึงที่สุด แต่โลกยุคนี้ไม่ได้ให้รางวัลแก่คนที่เก่งที่สุดเสมอไป มันให้รางวัลกับคนที่เชื่อมโยงทักษะหลายอย่างเข้าด้วยกันจนเกิดสิ่งใหม่ที่โลกไม่เคยเห็นมากกว่า
.
เขาหมายความตรงๆ ว่าทักษะคือสิ่งที่สร้างได้ และไม่มีใครพรากมันไปจากคุณได้ (เว้นแต่เขาจะพรากชีวิตคุณไปด้วย ซึ่งจะดูเกินไปหน่อย) Flynn บอกว่าเขาเองก็ไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร เขาเป็นคนมีความวิตกกังวลขี้กลัว และเคยผ่านช่วงเวลาแย่ๆ ในชีวิตเหมือนคนทั่วไป แต่เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสะสมทักษะ ไม่ใช่เพราะอยากเป็นผู้ชนะทุกสนาม แต่เพราะอยากใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและสนุกกับมัน
.
เขาเล่าว่าความสุขแท้จริงไม่ได้มาจากการสะสมสิ่งของหรือเงินทอง แต่มาจากการได้ลงมือทำสิ่งดีๆ อย่างต่อเนื่อง หรือในแบบที่นักปรัชญาอย่าง Aristotle และ Thomas Aquinas กล่าวไว้ ความสุขคือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ดีงาม ดังนั้นการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ คือรูปแบบหนึ่งของการใช้ชีวิตที่มีคุณค่า มันไม่ใช่แค่การเพิ่มโอกาสทางอาชีพ แต่ยังเป็นการเติมเต็มความหมายของการมีชีวิตอยู่ด้วย
.
Generalist คือคนที่เก่งหลายอย่างในระดับที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยแต่ไม่จำเป็นต้องสุดยอดในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาสามารถสื่อสารได้ดีพอ เข้าใจธุรกิจได้พอ รู้เรื่องเทคโนโลยีได้พอ และเมื่อนำสิ่งเหล่านี้มารวมกัน มันจะกลายเป็นความสามารถเฉพาะตัวแบบไม่มีใครเลียนแบบได้ Pat Flynn บอกว่าโลกเต็มไปด้วยคนที่ดีมากในอย่างเดียวแต่แย่ในทุกอย่างที่เหลือ เขาเรียกพวกนี้ว่าคนที่เล่นกีตาร์เทพแต่ปลูกต้นไม้ไม่โต
.
เขาเล่าขำๆ ว่าเพื่อนร่วมหอของเขาเคยขโมยต้นไม้ไปเพราะคิดว่าเป็นต้นกัญชา สุดท้ายก็โดนหลอกเพราะมันเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดาที่แม่เขาให้มาเท่านั้น บทเรียนที่เขาได้คือบางเรื่องคุณต้องปล่อยผ่านแล้วเรียนรู้เรื่องอื่นต่อ ซึ่งเป็น Lesson แรกของชีวิตแบบ Generalist คือไม่ต้องเอาจริงเกินเบอร์ในทุกเรื่อง แต่อย่าหยุดเรียนรู้ในทุกเรื่อง
.
แนวคิดหลักของ Flynn คือ Skill Stacking มีค่ามากกว่า Specialization คุณอาจไม่ใช่สุดยอดนักเขียน สุดยอดนักพูด หรือสุดยอดนักขาย แต่ถ้าคุณเขียนได้ดีพอ พูดได้ดีพอ และเข้าใจจิตวิทยาการขายได้ดีพอ คุณก็สามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในตลาดได้เหนือกว่าคนส่วนใหญ่ มันคือการสร้างความได้เปรียบเชิงผสม คล้ายกับการครอสโอเวอร์สายพันธุ์ในธรรมชาติ คนที่เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียวอาจแข็งแกร่ง แต่เปราะบางต่อความเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ Generalist มีความยืดหยุ่นเหมือนสัตว์ที่ปรับตัวได้ในทุกสภาพแวดล้อม
.
Flynn ยกตัวอย่างตัวเองว่าเขาไม่ใช่นักเขียนมือหนึ่ง ไม่ใช่นักฟิตเนสมือหนึ่ง แต่เมื่อเขาเอาทั้งสองสิ่งมารวมกัน เขากลายเป็นนักสื่อสารด้านสุขภาพซึ่งกลุ่มนี้แทบไม่มีคู่แข่งตรงตัวเลย คนที่เขียนได้ดีส่วนใหญ่ไม่ได้ออกกำลังกาย ส่วนคนฟิตมากๆ ก็เขียนไม่เป็น ผลลัพธ์คือเขาโดดเด่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทั้งที่ไม่ได้สุดยอดในด้านใดด้านหนึ่ง
.
.
2. When Great Is the Enemy of Good
.
Flynn เล่าย้อนกลับไปตอนวัยรุ่นที่เขาเคยอยากเป็นมือกีตาร์ที่เร็วที่สุดในโลก เขาฝึกวันละเจ็ดชั่วโมง เล่นเทคนิค sweep picking เหมือนนักกีตาร์ระดับเทพยุค 80 แต่สุดท้ายไม่มีใครสนใจเลย นอกจากพวกนักกีตาร์ด้วยกันเอง เขาบอกว่าเมื่อคุณเก่งเกินไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณจะเริ่มสื่อสารกับคนธรรมดาไม่รู้เรื่อง มันคือปัญหาคลาสสิกของผู้เชี่ยวชาญที่พวกเขาเข้าใจทุกอย่างยกเว้นคนอื่น
.
ในขณะที่เพื่อนของเขา Tom ซึ่งเล่นกีตาร์ธรรมดาแต่ร้องเพลงได้ กลับถูกสาวๆ ชวนไปงานพรอม บทเรียนนี้ทำให้ Flynn ตาสว่างว่าการเก่งสุดทางในสิ่งเดียวอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ต้องการในชีวิตจริง ถ้าเป้าหมายคือมีคนอยากฟังหรือมีคนชื่นชม บางครั้งการเก่งพอประมาณในหลายสิ่งกลับเป็นหนทางที่ฉลาดกว่า
.
เขาพบว่าแม้จะฝึกหนักแค่ไหน เขาก็ยังแพ้เด็กอายุสิบสองปีจากเกาหลีในสนามสอบเข้ามหาวิทยาลัยดนตรี และนั่นคือวันที่เขาเข้าใจกฎผลตอบแทนลดลง เมื่อคุณเก่งถึงจุดหนึ่ง การฝึกเพิ่มอีกสิบชั่วโมงไม่ได้ให้ผลลัพธ์เพิ่มสิบเท่า มันกลับเหนื่อยมากขึ้นแต่ได้ผลน้อยลงเรื่อยๆ เขาหัวเราะกับตัวเองว่าเขาซ้อมกีตาร์ทุกชั่วโมงที่ตื่นแล้วโดนเด็กอายุสิบสองตบคว่ำในออดิชัน มันไม่ใช่หนัง Rocky หรอก มันคือชีวิตจริง
.
จากนั้นเขาเริ่มเข้าใจว่าเวลาและพลังควรถูกกระจายไปสร้างทักษะอื่น แทนที่จะทุ่มทุกอย่างให้กับสิ่งเดียว เขาน่าจะเอาบางชั่วโมงไปเรียนร้องเพลงหรือแต่งเพลง ซึ่งสุดท้ายจะทำให้ภาพรวมของตัวเขามีคุณค่ามากกว่า
.
Flynn ชี้ให้เห็นว่าโลกของผู้เชี่ยวชาญมีข้อจำกัดเยอะมาก ความสำเร็จของพวกเขามักขึ้นอยู่กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่นการเกิดในที่ที่มีทรัพยากรดี มีครอบครัวสนับสนุน หรือมีร่างกายเหมาะสมกับเส้นทางนั้น
.
ในขณะที่ Generalist ไม่ต้องพึ่งโชคชะตาเหล่านั้นเลย คุณสามารถเริ่มจากศูนย์และสะสมทักษะด้วยตัวเอง จนกลายเป็นชุดความสามารถเฉพาะตัวที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ เขาเขียนติดตลกว่าคุณไม่ต้องมีพ่อแม่เป็นนายแบบนางแบบหรือเป็นนักคณิตศาสตร์รางวัลโนเบล คุณสามารถเป็นคนธรรมดาที่โคตรมีประโยชน์ได้ และเขาเป็นหลักฐาน
.
Flynn เริ่มออกกำลังกายศึกษาโภชนาการและเข้าเรียนเทควันโด จากนั้นเริ่มทำบล็อกและช่อง YouTube เกี่ยวกับสุขภาพ จิตใจ และการฝึกสมาธิ เขาไม่ใช่นักเพาะกายระดับโลก แต่หลายอย่างเขาฟิตในระดับดีมาก ทั้งแข็งแรง ยืดหยุ่น และทำ handstand ได้ จนผู้คนเริ่มสนใจวิธีของเขา เพราะมันไม่ใช่ทางสุดโต่ง มันคือความฟิตแบบทำได้จริง
.
และที่สำคัญคือเขาเขียนเก่ง เมื่อรวมทักษะการสื่อสาร ทักษะฟิตเนส และทักษะการตลาดเข้าด้วยกัน มันกลายเป็น Stack ที่ไม่มีคู่แข่งตรงตัว เขาได้สัญญาเขียนหนังสือ ฟิตเนสบล็อกของเขาเติบโต และชีวิตเริ่มเปลี่ยน
.
Flynn บอกว่า Generalism คือหนทางที่นำเขาไปสู่เสรีภาพ ไม่ใช่แค่เสรีภาพทางเวลาหรือเงินทอง แต่คือเสรีภาพในการเป็นตัวเอง
.
ถ้าคุณไม่มีคุณค่าในตัวเองก่อน คุณจะไม่กลายเป็น Somebody เพียงเพราะมีชื่อเสียง เขาเชื่อว่าความสุขและความสำเร็จไม่ใช่ผลลัพธ์จากการได้มา แต่เกิดจากการกลายเป็น และสิ่งที่คุณต้องกลายเป็นคือคนที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ ในสิ่งดีๆ หลายอย่าง ไม่ใช่คนที่พยายามเป็นที่หนึ่งในสิ่งเดียวแล้วหมดไฟกับชีวิต
.
.
3. Freedom for Excellence เสรีภาพที่ต้องแลกมาด้วยวินัย
.
ถ้าคุณเคยเข้าใจว่าอิสระคือการทำอะไรก็ได้ตามใจ Pat Flynn จะยิ้มมุมปากแล้วพูดว่างั้นคุณอาจแค่ยังไม่เคยมีวินัยพอจะรู้ว่าความอิสระจริงๆ มันหน้าตาเป็นยังไง เพราะในมุมของเขา Freedom หรือเสรีภาพแบ่งได้เป็นสองแบบ
.
แบบแรกคือ Freedom of Indifference หรือเสรีภาพแบบ “อย่ามายุ่งกับฉัน”
.
และแบบที่สองคือ Freedom for Excellence หรือเสรีภาพแบบ “ฉันเลือกทำสิ่งที่ดีเพราะฉันฝึกตัวเองให้ทำมันได้”
.
เสรีภาพแบบแรกคือเป็นอิสระจากการถูกควบคุม แต่เสรีภาพแบบหลังคือเป็นอิสระออกจากความอ่อนแอในตัวเอง และ Flynn บอกว่าแบบหลังนี่แหละที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่จริง
.
ในช่วงวัยรุ่น Flynn เคยผ่านช่วงบ้าการเมือง เขาบอกว่าเขาเคยเป็น Libertarian สาย Snake Plissken จาก Escape from New York ซึ่งพูดง่ายๆ คือไม่เอาใครทั้งนั้น โลกจะพังไหมไม่สน ขอแค่ฉันได้ทำในสิ่งที่อยากก็พอ แต่พออายุมากขึ้น เขาเริ่มเห็นว่าความคิดแบบนั้นไม่พาไปไหน ใช่ มันดีที่ไม่มีใครมาควบคุมคุณ เขาว่า แต่คุณแน่ใจเหรอว่าคุณเองรู้วิธีควบคุมตัวเอง
.
โลกเต็มไปด้วยคนที่มีอิสระทางกฎหมายแต่ติดกับทางชีวิต มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้แต่ไม่ทำอะไรเลย อยากมีสุขภาพดีแต่กินโดนัทตอนเที่ยงคืน อยากรวยแต่ดู Netflix แทนการทำงาน อยากมีความสัมพันธ์ดีแต่เลื่อนมือถือจนเช้า Freedom of Indifference อาจให้คุณเลือกได้ว่าจะทำอะไร แต่ Freedom for Excellence จะให้คุณมีพลังพอจะเลือกสิ่งที่ถูก
.
Flynn ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าคุณอยากอิสระในการเล่นดนตรีใช่ไหม งั้นก่อนอื่นคุณต้องยอมจำกัดตัวเองให้นั่งซ้อมทุกวันก่อน อยากอิสระในการพูดได้หลายภาษา งั้นคุณต้องยอมถูกจำกัดให้ท่องศัพท์สามสิบนาทีต่อวัน การได้แสดงออกอย่างอิสระบนเวทีดนตรีเกิดขึ้นเพราะคุณยอมเป็นทาสของการฝึกซ้อมมาก่อนหน้านั้น นั่นแหละคือ Freedom for Excellence มันไม่ได้เกิดจากการปลดปล่อย แต่เกิดจากการฝึกฝน
.
คนที่บอกว่าอยากมีชีวิตที่อิสระแต่ไม่ฝึกตัวเองให้มีวินัย ก็เหมือนคนอยากบินแต่ไม่ยอมสร้างปีก Flynn พูดติดตลกว่าเขาไม่เคยเจอใครที่มีอิสระโดยไม่ทำอะไรเลย นอกจากคนที่อยู่ในคุก (และถึงอย่างนั้นเขายังต้องยื่นเรื่องขอประกันตัวอยู่ดี)
.
เขาใช้คำสวยๆ ว่า Freedom for Excellence is the Discipline of Desire คือการฝึกฝนความอยากให้ไปในทางที่ดี คุณอยากกินของหวาน วินัยจะบอกว่าไม่ แต่พอคุณฝึกมากพอ วันหนึ่งคุณจะไม่ต้องบอกไม่เลย เพราะคุณไม่อยากมันอีกแล้ว และนั่นแหละคือเสรีภาพของจริง
.
Flynn เชื่อมโยงแนวคิดนี้เข้ากับโลกฟิตเนสที่เขารัก เขาบอกว่าสุขภาพดีไม่ใช่เสรีภาพจากโรค แต่มันคือเสรีภาพในการทำสิ่งที่ร่างกายคุณเคยทำไม่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ คนอ้วนหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลอาจบอกว่าฉันอิสระจะกินอะไรก็ได้ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่อิสระจะวิ่งหรือนั่งขัดสมาธิได้อย่างสบาย นั่นคือความอิสระที่ถูกขโมยไปโดยไขมันและความเฉื่อย
.
แต่ถ้าคุณยอมจำกัดตัวเองให้ตื่นมาวิ่งทุกเช้า ยอมเหนื่อย ยอมเมื่อย ยอมอดโดนัท คุณจะได้อิสระคืน นั่นคืออิสระที่จะทำ push-up ได้ห้าสิบครั้ง อิสระที่จะเดินทางโดยไม่เหนื่อย อิสระที่จะมีชีวิตยืนยาวขึ้น ดังนั้นเสรีภาพจากข้อจำกัดต้องเริ่มจากการยอมรับข้อจำกัด และการฝึกฝนให้มันหายไปทีละน้อย
.
Flynn พูดถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าสิทธิในการเลือกผิด ฟังดูประชดแต่จริงมาก เพราะเขาไม่ต้องการให้เรากลายเป็นหุ่นยนต์ที่ทำอะไรก็ไม่ผิด การเป็น Generalist คือการเปิดพื้นที่ให้ตัวเองลองผิด ลองเรียน ลองเปลี่ยน ลองพลาด แล้วเรียนรู้จากมัน เสรีภาพไม่ใช่การเลือกได้ถูกทุกครั้ง แต่มันคือการมีโอกาสให้เลือกใหม่
.
.
4. ปรัชญาความสุขแบบ Aristotle
.
หลังจากพูดเรื่องอิสระ Flynn ก็เข้าสู่ปรัชญาความสุขอย่างจริงจัง เขาอ้างถึง Aristotle อีกครั้งที่กล่าวว่ามนุษย์คือสัตว์ที่ใช้เหตุผลเพื่อแสวงหาความดี และ Good ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าทำตัวดีเหมือนเด็กเรียบร้อย แต่หมายถึงสิ่งที่งดงามต่อจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ ดังนั้น Happiness จึงไม่ใช่สิ่งที่ได้มาหลังจากคุณสำเร็จอะไรบางอย่าง แต่คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่คุณทำสิ่งดีงามนั้นอยู่
.
Happiness is not an outcome, it's a deed มันไม่ใช่ของขวัญหลังจากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสร็จ แต่มันคือผลพลอยได้จากการลงมือทำสิ่งดีๆ ซ้ำๆ ทุกวัน คุณจะไม่มีวันได้ความสุขเหมือนที่ไม่มีวันได้กล้ามท้องซิกแพ็ก คุณต้องสร้างมันขึ้นทุกวันด้วยการกระทำเล็กๆ ที่มีความหมาย
.
เพื่อให้เห็นภาพชัด Flynn สร้างตัวละครสองแบบสุดขั้ว แบบแรกคือ Charles ผู้ชายในสูท สูบซิการ์ ใส่โมโนเคิล ผู้บ้าอำนาจ และ Brett หนุ่มแว่นดำอยู่ในรถตู้กินขนมปังเย็นๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
.
Charles มีวินัยแต่ไร้ความหมายชีวิต ส่วน Brett สบายแต่ไร้ความก้าวหน้า ทั้งคู่ไม่มีความสุขเพราะต่างก็เข้าใจเสรีภาพแบบผิด Charles ใช้วินัยเพื่อไล่ตามอำนาจ Brett ใช้เสรีภาพเพื่อหนีความพยายาม
.
แต่ Generalist จะเลือกทางสายกลาง วินัยเพื่ออิสระและอิสระเพื่อทำสิ่งดี เขาแซวว่าอย่าทำตัวเหมือน Charles ที่พกความโกรธไว้ในกระเป๋าเงิน หรือ Brett ที่ใช้เงินซื้อแค่แซนด์วิชและ Wi-Fi
.
Flynn พูดชัดว่าการทำสิ่งที่รัก กับการหาเงิน ไม่จำเป็นต้องแยกจากกัน คุณสามารถทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้คนและทำกำไรได้ในเวลาเดียวกัน ขอเพียงแรงจูงใจของคุณไม่ผิดเพี้ยน
.
“The point isn't what you get, but what you create” คุณอาจเขียนหนังสือเพื่อขายได้เป็นล้าน แต่ถ้าเขียนเพียงเพราะอยากดัง มันจะไม่เติมเต็ม แต่ถ้าคุณเขียนเพราะอยากช่วยคนอื่นเข้าใจสิ่งที่คุณรู้ มันจะให้พลังแบบที่เงินซื้อไม่ได้
.
และที่ตลกคือเมื่อคุณทำด้วยแรงจูงใจที่ถูก เงินก็มักจะตามมาเอง เขาสรุปสั้นๆ ว่า Stop being Charles. He's rich but miserable. You can make money the happy way.
.
Flynn วางกรอบปรัชญาของ Generalism อย่างชัดเจนว่า Specialists มักผูกตัวเองไว้กับผลลัพธ์ พวกเขามีค่าก็ต่อเมื่อยังเป็นที่หนึ่ง ในขณะที่ Generalists ผูกตัวเองไว้กับกระบวนการ พวกเขามีค่าทุกวันเพราะกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ เขาพูดติดตลกว่า Specialists แข่งกันเป็นที่หนึ่ง แต่ Generalists แค่แข่งกับตัวเอง และถึงจะแพ้ก็ยังเรียนรู้อะไรบางอย่างได้
.
Specialization สร้างความเครียดเพราะคุณต้องอยู่บนยอดเขาเสมอ แต่ Generalism สร้างความอิสระเพราะคุณสามารถปีนเขาอีกลูกได้ตลอดเวลา นั่นคือเหตุผลที่เขาเชื่อว่า Generalism ไม่ได้แค่ทำให้คนสำเร็จ แต่มันทำให้คนมีความสุขโดยธรรมชาติเพราะกระบวนการเรียนรู้เองก็คือความสุข
.
.
5. The Five Principles of Generalism ห้าหลักการแห่งการเก่งในทุกสิ่ง
.
Pat Flynn เริ่มประเด็นนี้ด้วยประโยคที่เหมือนจะยั่วคนสมบูรณ์แบบทุกคนในโลกว่า ถ้าคุณพยายามจะเก่งในทุกเรื่อง คุณจะไม่เก่งสักเรื่อง แต่ถ้าคุณมุ่งจะเก่งในหลายเรื่อง คุณจะเก่งในการใช้ชีวิต
.
และเพื่อให้คุณเก่งในการใช้ชีวิตจริงๆ เขาก็สรุปหลักการของ Generalism ออกมาเป็นห้าข้อใหญ่ ซึ่งเป็นเหมือนกฎเหล็กสำหรับคนที่อยากเก่งขึ้นในหลายอย่างโดยไม่หลงทาง
.
“หลักการแรก Don't Be a Specialist หรือจงอย่าเป็นผู้เชี่ยวชาญแบบแคบ”
.
เขาเริ่มจากการรื้อระบบความคิดของคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลคำว่าผู้เชี่ยวชาญ Flynn บอกว่าโลกไม่ได้ต้องการผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเสมอไป เพราะในโลกที่เปลี่ยนเร็ว ความเชี่ยวชาญอาจกลายเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคา ลองคิดดู ถ้าคุณเป็นสุดยอดในเทคโนโลยีที่กำลังจะตาย เช่นเครื่องแฟกซ์หรือกล้องฟิล์ม คุณก็จะเก่งในสิ่งที่ไม่มีใครอยากจ้างแล้ว
.
The more narrow your field, the more fragile your freedom ยิ่งคุณอยู่ในวงแคบเท่าไร อิสรภาพของคุณก็ยิ่งเปราะบางเท่านั้น เขาไม่ได้บอกให้คุณเลิกเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ให้เปิดสเปกตรัมของความสามารถ ลองมองว่าคุณสามารถใช้ทักษะหนึ่งขยายไปอีกทักษะหนึ่งได้อย่างไร เหมือนนักดนตรีที่กลายเป็นโปรดิวเซอร์ นักเขียนที่กลายเป็นนักพูด หรือครูฟิตเนสที่กลายเป็นเจ้าของแบรนด์สุขภาพ Flynn บอกว่า Specialization makes you efficient; generalism makes you antifragile คือการเชี่ยวชาญทำให้คุณมีประสิทธิภาพ แต่การเป็น Generalist ทำให้คุณยืดหยุ่นต่อความไม่แน่นอน
.
“หลักการที่สอง Be Good Enough, Not Perfect หรือเก่งพอ อย่าสมบูรณ์แบบ”
.
ในโลกของ Flynn คำว่าพอคือคำที่ศักดิ์สิทธิ์ เขายกแนวคิดของ Pareto Principle หรือกฎแปดสิบยี่สิบว่า แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของผลลัพธ์มักมาจากเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของความพยายามที่สำคัญที่สุด ดังนั้น Generalist ต้องกล้าที่จะหยุดเมื่อดีพอเพื่อเก็บเวลาไว้ใช้กับสิ่งอื่น เขายกตัวอย่างขำๆ ว่าการฝึกเปียโนให้เล่นได้เพลงหนึ่งกับการฝึกให้เล่นเหมือน Mozart ใช้เวลาต่างกันสิบปี
.
ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจะเป็น Mozart ก็ควรหยุดตรงจุดที่คนอื่นบอกว่าเล่นดีมากแล้วไปต่อในเรื่องใหม่ Good enough is great when you can stack it เพราะถ้าคุณดีพอในหลายอย่างแล้วนำมารวมกัน ผลลัพธ์จะยิ่งใหญ่กว่าการสมบูรณ์แบบในเรื่องเดียว เขาเรียกสิ่งนี้ว่า The Good-Enough Principle อย่ารอให้พร้อมเต็มร้อย จงเริ่มเมื่อพร้อมแค่หกสิบ เพราะความเก่งจะเกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่ใช่ก่อนเริ่มต้น
.
“หลักการที่สาม Stack, Don't Swap หรือซ้อนทักษะ อย่าเปลี่ยนทักษะ”
.
นี่คือหัวใจของแนวคิด Skill Stacking ที่เขาเน้นซ้ำในหลายบท Flynn บอกว่าคนส่วนใหญ่เวลาเริ่มต้นใหม่มักเปลี่ยนเส้นทาง พวกเขาเลิกงานเก่า เลิกอาชีพเดิม แล้วเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ซึ่งไม่ต่างจากการลบเลเวลในเกมแล้วเล่นใหม่ทุกครั้ง แต่ Generalist จะไม่ทำแบบนั้น พวกเขาจะซ้อนสิ่งใหม่บนสิ่งเดิม ใช้ทักษะเก่ามาต่อยอดกับของใหม่ให้เกิดการทวีคูณ ไม่ใช่ทดแทน
.
เขายกตัวอย่างตัวเองอีกครั้ง เขาเริ่มจากการเล่นดนตรี แล้วเพิ่มทักษะการเขียน การพูด การตลาด ไม่ได้เลิกสิ่งเดิม แต่ต่อยอดไปสู่สิ่งที่ใหญ่ขึ้น Generalists don't reinvent themselves; they compound themselves การเรียนรู้แต่ละอย่างจึงเหมือนดอกเบี้ยทบต้นของชีวิต ทักษะหนึ่งจะเพิ่มมูลค่าให้ทักษะอื่น เหมือนการซ้อน LEGO ที่ยิ่งสูงยิ่งสวย
.
เขาแนะว่าให้จด Skill Map ของตัวเองไว้ว่าตอนนี้มีอะไรอยู่บ้าง แล้วลองถามว่าถ้าฉันเพิ่มอีกหนึ่งทักษะจะทำให้ภาพรวมของฉันโดดเด่นขึ้นยังไง เช่น เขียนเก่งบวกเข้าใจจิตวิทยากลายเป็น Copywriter ระดับเทพ รู้เรื่องฟิตเนสบวกการสื่อสารกลายเป็น Personal Trainer ที่ดังใน YouTube หรือรู้เรื่องเทคโนโลยีบวกธุรกิจกลายเป็นที่ปรึกษา Startup Flynn บอกว่า Skill stacking is the art of making one plus one equal eleven
.
“หลักการที่สี่ Short-Term Specialization หรือโฟกัสแบบระยะสั้น”
.
Flynn ไม่ได้ปฏิเสธการโฟกัสเสียทีเดียว เขาบอกว่าคุณควรเชี่ยวชาญแต่แค่ชั่วคราว Be a specialist for a season, not for a lifetime Generalist ที่แท้จริงจะโฟกัสทีละทักษะในช่วงเวลาหนึ่งจนดีพอแล้วจึงย้ายไปเรื่องใหม่โดยไม่หยุดพัฒนาเรื่องเก่า เขาเรียกมันว่า Sprints of Focus การเรียนรู้แบบสั้นแต่เข้ม เหมือนฝึกภาษาใหม่ภายในสามเดือนหรือเรียนกีตาร์ภายในเก้าสิบวัน จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อเป็นมืออาชีพ แต่เพื่อซึมซับหลักการสำคัญของทักษะนั้น
.
Flynn ใช้หลักนี้กับทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่ฟิตเนสจนถึงธุรกิจ เขาเล่าว่าเขาเคยหมกมุ่นกับการยืนด้วยมือ handstand อยู่สามเดือนเต็ม พอทำได้ก็เลิก เพราะเป้าหมายของเขาไม่ใช่โชว์เหนือ แต่คือการฝึกสมาธิ ความอดทน และการเข้าใจกลไกร่างกาย The goal of focus is not perfection, but extraction to extract principles you can apply elsewhere คุณไม่ได้เรียนเพื่อจบวิชา แต่เรียนเพื่อได้กฎที่นำไปใช้ได้ในทุกอย่าง นั่นแหละคือ Generalist Mindset
.
“หลักการที่ห้า Integrate, Don't Isolate หรือรวมสิ่งที่รู้เข้าด้วยกัน”
.
Flynn เชื่อว่าการเก่งหลายอย่างจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าคุณไม่รู้วิธีผสมมัน เขาเปรียบ Generalism เหมือนการทำอาหาร บางคนมีวัตถุดิบดีเต็มครัวแต่ทำออกมาแล้วรสชาติเหมือนกระดาษ เพราะพวกเขาแยกทุกอย่างออกจากกัน เรียนฟิตเนสเป็นฟิตเนส เรียนเขียนเป็นเขียน เรียนการขายเป็นการขาย แต่ไม่เคยเอาทั้งหมดมารวมกันในจานเดียว
.
Flynn แนะนำว่าให้ใช้ Interdisciplinary Thinking หรือการเชื่อมโยงระหว่างสาขา เช่น ใช้หลักจิตวิทยาในฟิตเนส ใช้หลักการขายในการพูด ใช้หลักการฝึกสมาธิในธุรกิจ หรือแม้แต่ใช้หลักปรัชญาในความสัมพันธ์ The magic of generalism isn't in the parts, but in the synthesis เวทมนตร์ของ Generalism ไม่ได้อยู่ที่ส่วนประกอบ แต่อยู่ที่การผสมเข้าด้วยกัน เขาเล่าว่าตัวเองสามารถอธิบายฟิสิกส์ของการยกน้ำหนักผ่านปรัชญาอริสโตเติลได้ ซึ่งฟังดูบ้าบอแต่คนกลับจำได้เพราะมันแตกต่างอย่างมีความหมาย
.
และนั่นคือเป้าหมายสูงสุดของ Generalist ไม่ใช่เก่งในหลายสิ่ง แต่คือการสร้างมุมมองใหม่จากการเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นเข้าด้วยกัน
.
หลังจากวางหลักการทั้งห้า Flynn สรุปภาพรวมชีวิตแบบ Generalist ไว้อย่างชัดเจนว่า ให้เลือกสิ่งที่อยากเรียนรู้ในตอนนี้ แล้วฝึกอย่างมีระบบ ถึงจุดดีพอแล้วขยับไปต่อ นำสิ่งที่รู้มาผสมกับสิ่งเดิม และใช้มันสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น เมื่อคุณทำครบวงจรนี้เรื่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่ยิ่งโตยิ่งมีมูลค่า เพราะทักษะทุกอย่างที่คุณเคยเรียนจะกลับมาสนับสนุนกันอย่างต่อเนื่อ
.
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “Compounding Competence การสะสมความสามารถแบบทบต้น” เหมือนบัญชีที่ยิ่งฝากยิ่งโตเพราะแต่ละทักษะช่วยเพิ่มค่าของอีกทักษะ
.
Flynn ยกตัวอย่างเพื่อนชื่อ Mike ที่เริ่มจากเป็นนักเขียนบล็อก พอฝึกถ่ายภาพก็กลายเป็นช่างภาพมือสมัครเล่น ต่อมาเรียนตัดต่อวิดีโอแล้วเปิดช่อง YouTube จากนั้นใช้ความรู้การเขียนบวกกับวิดีโอในการทำคอร์สออนไลน์ ทุกอย่างเชื่อมโยงกันโดยไม่ต้องทิ้งสิ่งเดิม อีกคนชื่อ Sarah เป็นนักกายภาพบำบัดที่เรียนการตลาดดิจิทัล วันนี้เธอกลายเป็นเจ้าของธุรกิจสุขภาพออนไลน์ที่มีลูกค้าทั่วโลก ทั้งคู่ไม่เคยเปลี่ยนอาชีพ พวกเขาแค่ซ้อนอาชีพเข้าไปทีละชั้น Flynn เขียนติดตลกว่า ถ้า Leonardo da Vinci มี LinkedIn เขาคงเลือกช่อง Add Skill จนเต็มหน้าแรกแล้วกดยิ้ม
.
Flynn เน้นว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อประสิทธิภาพ แต่เพื่อความสุขในกระบวนการเรียนรู้ เพราะคนที่เรียนรู้ตลอดเวลาจะไม่รู้สึกว่าชีวิตซ้ำซาก คุณจะตื่นขึ้นพร้อมความอยากรู้อยากลอง ไม่ใช่ความเบื่อหน่าย Happiness loves movement. Stagnation breeds misery ความสุขเกิดจากการเคลื่อนไหว ความทุกข์เกิดจากการหยุดนิ่ง และในยุคที่โลกเปลี่ยนเร็ว Generalist จึงมีความสุขกว่าเพราะพวกเขาพร้อมปรับตัวแทนที่จะกลัวเปลี่ยนแปลง
.
“I may not be the best at anything, but I'm one hell of a combo ผมอาจไม่ใช่ที่สุดในสิ่งใด แต่ผมคือการผสมที่โคตรลงตัว”
.
.
6. Skill Stacking in Practice วิธีซ้อนทักษะให้กลายเป็นพลังชีวิตและอาชีพ
.
Flynn บอกว่า “ถ้าคุณทำอาหารได้ พูดเป็น เขียนเป็น และทำให้คนหัวเราะได้ ขอแสดงความยินดี คุณเก่งในชีวิตมากกว่าคนส่วนใหญ่บนอินเทอร์เน็ตแล้ว” เขาไม่ได้พูดเล่น เพราะสิ่งที่เขากำลังจะอธิบายคือคุณไม่ต้องหาทักษะที่โลกต้องการ แค่สร้างการผสมที่โลกยังไม่เห็น เขาเรียกสิ่งนั้นว่า Skill Stack โครงสร้างส่วนตัวที่ประกอบด้วยทักษะหลายอย่างที่เมื่อรวมกันแล้ว มันสร้างมูลค่าซ้อนมากกว่าผลรวมของแต่ละส่วน
.
จุดเริ่มต้นของ Skill Stack คือการรู้จักทักษะแกนกลางของตัวเอง Flynn บอกว่าก่อนจะซ้อนทักษะใหม่ๆ ได้ คุณต้องรู้ก่อนว่าทักษะแกนกลางของคุณคืออะไร หรือพูดง่ายๆ คือสิ่งที่คุณถนัดที่สุดในตอนนี้ อะไรคือฐานรากที่คุณจะนำไปต่อยอดได้ A Skill Stack without a core is a tower of Jenga. One shake and it all falls apart เหมือนหอคอยเจงก้าที่ไม่มีฐาน เขย่าครั้งเดียวก็พังทั้งหมด
.
เขาแนะนำให้ถามตัวเองสามข้อ
.
“หนึ่งคือฉันทำอะไรได้ดีเป็นพิเศษ”
.
“สองคือฉันสนุกกับอะไรแม้ไม่ได้รางวัล”
.
“และสามคือฉันทำอะไรแล้วคนอื่นได้ประโยชน์”
.
คำตอบจากสามข้อจะบอกทักษะแกนกลางของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณชอบสื่อสาร ทักษะแกนกลางคือการพูดหรือเขียน ถ้าคุณชอบแก้ปัญหา ทักษะแกนกลางคือการวิเคราะห์หรือออกแบบระบบ ถ้าคุณชอบช่วยคน ทักษะแกนกลางคือการให้คำปรึกษาหรือการสอน
.
จากนั้นคุณจะใช้ทักษะแกนกลางนี้เป็นศูนย์กลางของวงโคจรแล้วซ้อนทักษะอื่นๆ รอบมัน Flynn เขียนขำๆ ว่าอย่าพยายามซ้อนทักษะถ้าคุณยังไม่รู้ว่าฐานมันอยู่ตรงไหน ไม่งั้นคุณจะได้หอไอเฟลเวอร์ชันพังตั้งแต่ชั้นสอง
.
หลังจากรู้แกนหลักแล้ว ขั้นต่อไปคือการเลือกทักษะเสริม สิ่งที่ทำให้ทักษะแกนกลางของคุณเปล่งประกายขึ้นอีกเท่าตัว
.
เขาแบ่งทักษะเสริมออกเป็นสองประเภท “ประเภทแรกคือทักษะเชื่อมโยงที่ช่วยให้คุณเชื่อมทักษะอื่นเข้าหากัน” เช่น การสื่อสาร การตลาด การคิดเชิงระบบ และการบริหารเวลา “ประเภทที่สองคือทักษะขยายที่ช่วยเพิ่มขอบเขตการใช้งานของทักษะเดิม” เช่น ถ่ายภาพแล้วเพิ่มการตัดต่อวิดีโอ เขียนบทความแล้วเพิ่มการทำ Podcast หรือออกกำลังกายแล้วเพิ่มการโค้ชออนไลน์
.
Flynn ยกตัวอย่างตัวเองอีกครั้ง เขาเริ่มจากเป็นนักฟิตเนสซึ่งทักษะแกนกลางคือสุขภาพ แล้วเพิ่มทักษะเชื่อมโยงอย่างการเขียนและการตลาดออนไลน์ ผลคือเขาไม่ต้องเป็นเทรนเนอร์ประจำยิมอีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้สื่อสารด้านสุขภาพระดับโลกที่คนอ่านและเชื่อถือ
.
If your core skill is the engine, amplifying skills are the turbocharger ถ้าทักษะแกนกลางคือเครื่องยนต์ ทักษะเสริมคือเทอร์โบชาร์จเจอร์ เขาบอกว่า Skill Stack ที่ดีคือเครื่องยนต์ที่คุณประกอบเอง และทุกครั้งที่เพิ่มทักษะใหม่ มันจะทำให้พลังรวมของคุณโตขึ้นแบบทบต้น
.
อย่าซ้อนแบบมั่ว Flynn เสนอกรอบคิดที่เขาเรียกว่า Triangle of Value ให้คุณเลือกทักษะที่จะซ้อนโดยใช้สามเกณฑ์นี้
.
“หนึ่งคือ Value to Self หรือคุณค่าต่อตัวเอง” ทักษะนี้ทำให้คุณสนุกหรือเติมเต็มไหม
.
“สองคือ Value to Others หรือคุณค่าต่อผู้อื่น” มันช่วยหรือสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้ไหม
.
“และสามคือ Value to Market หรือคุณค่าทางเศรษฐกิจ” มันมีคนยินดีจ่ายเงินไหม ถ้าทักษะใดผ่านทั้งสามด้าน มันคือ Perfect Stack Candidate The sweet spot is where passion meets usefulness and pays rent จุดสมบูรณ์แบบคือเมื่อสิ่งที่คุณรักมีประโยชน์และจ่ายค่าเช่าชีวิตได้
.
เขาเตือนว่าอย่าตกหลุมพรางของทักษะที่เท่แต่ไร้ค่า อย่างการเรียนทำค็อกเทลศิลปะสิบสองชั้นในเมื่อคุณไม่ชอบดื่ม หรือการฝึกภาษาละตินเพื่อโพสต์คำคมเท่ๆ ใน Twitter
.
Flynn เขียนประชดไว้ว่าเขาเคยเรียนมายากลเพราะอยากจีบสาว แต่สุดท้ายมันแค่ช่วยให้เขาหยิบเหรียญตกพื้นได้เร็วขึ้น บทเรียนคือทักษะที่ไม่เชื่อมโยงกับเป้าหมายใหญ่ของคุณคือการใช้พลังงานที่มีจำกัดไปกับสิ่งที่ไม่เกิดการคูณ
.
การซ้อนแบบมีระบบหรือ Structured Stacking เป็นขั้นตอนสำคัญที่ Flynn พาเรามาถึง เขาเสนอขั้นตอนห้าขั้น
.
“ขั้นแรกคือระบุแกนหลักหรือ Core Skill” โดยถามตัวเองว่าถ้าฉันต้องถูกจำกัดให้เก่งเพียงอย่างเดียว ฉันอยากเลือกอะไร
.
“ขั้นที่สองคือระบุจุดอ่อนหรือ Skill Gap” สิ่งใดที่ถ้าเพิ่มเข้าไปจะขยายพลังของแกนหลักได้มากที่สุด
.
“ขั้นที่สามคือวางลำดับเวลาหรือ Skill Sprint” โดยกำหนดช่วงเวลาเรียนรู้ เช่น เก้าสิบวันต่อหนึ่งทักษะ
.
“ขั้นที่สี่คือฝึกแบบ Active Learning” คือการลงมือทำทันที ไม่ใช่แค่อ่านหรือดู Flynn ย้ำว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นจากแรงเสียดทาน ไม่ใช่จากแรงบันดาลใจ
.
“และขั้นที่ห้าคือผสมผลงานหรือ Integration” หลังจากฝึกจนดีพอให้นำทักษะนั้นไปเชื่อมกับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้ว เช่น เรียนตัดต่อวิดีโอแล้วทำช่อง YouTube เกี่ยวกับฟิตเนส หรือเรียนเขียนแล้วสร้างคอร์สออนไลน์
.
A skill not applied is a seed never planted ทักษะที่ไม่ได้ใช้ก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ถูกปลูก Flynn ย้ำว่าทักษะมีค่าแค่ตอนมันถูกใช้จริง ไม่ใช่ตอนคุณเขียนใส่เรซูเม่
.
เมื่อ Stack กลายเป็น Brand Flynn บอกว่า Skill Stack ที่แข็งแรงจะค่อยๆ กลายเป็นแบรนด์ชีวิตของคุณ คือคนจะเริ่มจำได้ว่าคุณคือคนแบบนั้น เขายกตัวอย่างตัวเองอีกครั้งว่าเขาไม่ใช่เทรนเนอร์ ไม่ใช่นักเขียน ไม่ใช่นักพูด แต่เขาคือคนที่ใช้สามอย่างนี้รวมกันเพื่อทำให้คนสุขภาพดีขึ้น และนั่นคือแบรนด์ที่ไม่มีใครเหมือน ไม่ใช่เพราะเขามีทักษะหายาก แต่เพราะเขาผสมทักษะสามอย่างที่คนส่วนใหญ่แยกกันทำ
.
เขาแนะนำให้ผู้อ่านมองตัวเองเหมือนบริษัทหนึ่งแห่งที่ต้องสร้างเอกลักษณ์ในตลาด Skill Stack คือสินทรัพย์ทางปัญญาของคุณ และแบรนด์คือการรับรู้จากผู้อื่น เมื่อสองอย่างนี้ซ้อนกัน คุณจะไม่ต้องหางานอีกต่อไป เพราะงานจะหาคุณ
.
Flynn ยกตัวอย่างคนดังหลายคนที่ใช้ Skill Stack อย่างแยบยล อย่าง Scott Adams ผู้เขียนการ์ตูน Dilbert เขาไม่ใช่นักวาดที่เก่งที่สุดหรือคนทำธุรกิจที่เฉียบที่สุด แต่เมื่อเขานำการวาดการ์ตูนบวกความรู้ธุรกิจบวกอารมณ์ขันเชิงประชดมารวมกัน เขากลายเป็นนักเขียนการ์ตูนแนวออฟฟิศที่โด่งดังที่สุดในโลก
.
Tim Ferriss ไม่ใช่นักกีฬา ไม่ใช่ CEO ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เขารวมการทดลองชีวิตบวกการเขียนบวกการตลาด จนกลายเป็นหนึ่งในนักเขียน self-help ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก
.
และ Elon Musk ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์เฉพาะด้าน แต่เข้าใจวิศวกรรมบวกธุรกิจบวกจิตวิทยาผู้บริโภค จนสร้างอาณาจักร Tesla และ SpaceX ได้
.
ก่อนจบพาร์ทนี้ Flynn สรุปกฎทองของการซ้อนทักษะไว้สั้นๆ แต่คมมากคือ
.
หนึ่ง ทักษะที่ใช้ได้ในหลายบริบทมีค่ามากที่สุด เช่น การสื่อสาร การเขียน การคิดเชิงตรรกะ การบริหารเวลา
.
สอง อย่ากลัวการเริ่มใหม่ในเรื่องเล็กๆ เพราะทักษะย่อยเล็กๆ มักเป็นสะพานสู่โอกาสใหญ่ เช่น การใช้ Excel วาดแผนภาพ หรือแม้แต่เล่าเรื่อง
.
และสาม ทุกทักษะต้องถูกใช้เพื่อสร้างคุณค่า ไม่ว่าจะต่อผู้อื่น ต่อทีม หรือแม้แต่ต่อครอบครัว เพราะคุณค่าคือสิ่งที่เปลี่ยนทักษะให้กลายเป็นอาชีพ เขาสรุปด้วยมุกกึ่งจริงกึ่งตลกว่าเขาไม่รู้ว่าคุณกำลังเรียนรู้อะไรอยู่ตอนนี้ แต่ขอให้มันอย่างน้อยมีประโยชน์มากกว่าการแปลภาษากอทิก
.
“Be better at almost everything, and you'll be unbeatable at life”
.
.
7. The Fitness of Everything การฝึกฝนร่างกาย จิตใจ และการโฟกัสแบบ Generalist
.
Flynn บอกว่า คุณอยากเก่งในทุกอย่างแต่ยังหอบตอนขึ้นบันไดอยู่ไหม? ใช่ครับ เขาพูดแบบนั้นจริงๆ เพราะเขาเชื่อว่าร่างกายคือระบบปฏิบัติการของทุกทักษะ ถ้าคุณไม่มีพลัง ไม่มีสมาธิ ไม่มีสุขภาพ การเรียนรู้อะไรก็จะเหมือนพยายามติดตั้งโปรแกรมใหม่ในคอมพิวเตอร์เก่าที่แฮงก์ทุกสิบนาที
.
The body is the first and final skill ร่างกายคือทักษะแรกและทักษะสุดท้ายของชีวิต
.
Flynn ไม่ได้มองการออกกำลังกายเป็นเรื่องของหุ่นหรือกล้าม แต่คือเรื่องของประสิทธิภาพชีวิต เขาเล่าว่าตัวเองเริ่มจริงจังกับฟิตเนสหลังจาก “เหนื่อยกับการเหนื่อย” ตอนนั้นเขานั่งทำงานหน้าคอมจนหลังค่อม มือชา หัวหมุน และดื่มกาแฟวันละห้าถ้วย วันหนึ่งเขาคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเขายังใช้ร่างกายแบบนี้ เขาจะไม่มีพลังเหลือพอจะเรียนรู้อะไรอีกเลย
.
นั่นคือวันที่เขาเริ่มฝึกแนวคิด Generalist Fitness คือการฝึกให้ร่างกายเก่งหลายอย่างในระดับดี ไม่สุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่งแต่พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์
.
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า Physical Preparedness for Life ความฟิตที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่หุ่นสวยเฉพาะในยิม แต่คือวิ่งขึ้นบันไดได้โดยไม่หอบ ยกของหนักได้โดยไม่เจ็บหลัง นอนหลับดีกินได้ปกติ และที่สำคัญคือมีพลังพอจะหัวเราะทุกวัน
.
Flynn แยกฟิตเนสแบบผู้เชี่ยวชาญออกจากฟิตเนสแบบ Generalist เขาบอกว่านักเพาะกายอาจมีมวลกล้ามเนื้อเยอะแต่วิ่งไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร นักมาราธอนอาจวิ่งได้ไกลแต่ยกของไม่ขึ้น ทั้งคู่เก่งในสิ่งหนึ่งแต่เปราะในสิ่งอื่น
.
Generalist จะไม่เลือกข้าง เขาจะฟิตให้ครบสเปกชีวิต Train to be useful, not just aesthetic ฝึกเพื่อให้ร่างกายมีประโยชน์ไม่ใช่แค่ดูดี
.
Flynn แนะนำหลักการฝึกห้าด้านที่เขาเรียกว่า Five Pillars of Functional Fitness ได้แก่
.
Strength หรือความแข็งแรงเพื่อทำสิ่งที่ยากได้
.
Mobility หรือความยืดหยุ่นเพื่อไม่พังเมื่อแก่
.
Endurance หรือความทนทานเพื่ออยู่ในเกมได้นาน
.
Power หรือพลังเพื่อทำสิ่งรวดเร็วทันที
.
และ Balance หรือสมดุลเพื่อไม่ล้มทั้งกายและใจ เขาย้ำว่าอย่าฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งสุดโต่ง แต่ให้ฝึกให้ครบในระดับดี เหมือนเครื่อง Swiss Army Knife มันอาจไม่ใช่มีดที่ดีที่สุดในโลก แต่ช่วยคุณรอดได้แทบทุกสถานการณ์ Flynn เขียนตลกว่าเขาไม่ได้ฝึกเพื่อโชว์กล้าม เขาฝึกเพื่อวิ่งหนีถ้าโดนหมาวิ่งไล่กลางทาง
.
เมื่อพูดถึงความฟิตของจิตใจ Flynn ใช้คำว่า Mental Conditioning เขาเชื่อว่าจิตใจก็เหมือนกล้ามเนื้อ ถ้าไม่ใช้มันก็อ่อนแอ The brain is the most important muscle you can't flex in the mirror สมองคือกล้ามที่สำคัญที่สุดที่คุณงอไม่ได้หน้ากระจก
.
เขาเสนอการฝึกจิตใจแบบ Generalist ไว้สามขั้นตอน
.
ขั้นแรกคือ Resistance Training for the Mind หรือฝึกต่อต้านความฟุ้งซ่าน ทุกครั้งที่คุณปฏิเสธการเช็กมือถือระหว่างอ่านหนังสือ คุณกำลังยกดัมเบลให้สมาธิของตัวเอง
.
ขั้นที่สองคือ Cardio for the Soul หรือฝึกจังหวะชีวิตให้สม่ำเสมอ การมีวินัยในกิจวัตร เช่น การนอนให้เป็นเวลาหรือทำงานในช่วงที่พลังสูงสุด คือการสร้างระบบหายใจให้กับจิตใจ
.
และขั้นที่สามคือ Mobility of Thinking หรือความยืดหยุ่นทางความคิด อย่าคิดว่าความมั่นคงคือการยึดติด แต่คือการรู้จักขยับเมื่อความจริงเปลี่ยน Generalist ต้องพร้อมยอมรับแนวคิดใหม่โดยไม่สูญเสียตัวตน
.
Flynn สอนเรื่องโฟกัสไว้ได้น่ารักมาก เขาไม่ได้พูดถึง Deep Work แบบซีเรียสเหมือน Cal Newport แต่พูดแบบคนธรรมดาที่รู้ว่าชีวิตมีแมว มีงาน มีภรรยา และมี Netflix
.
Focus is not the absence of distraction, but the management of it โฟกัสไม่ใช่การไม่มีสิ่งรบกวน แต่คือการจัดการมันให้ได้ เขาใช้วิธีที่เรียกว่า Block & Bounce System คือแบ่งเวลาทำงานเป็นบล็อกโฟกัสแล้วให้เวลาตัวเองดีดกลับด้วยกิจกรรมสั้นๆ ที่ชาร์จพลัง เช่น เดินเล่น ออกกำลังสิบนาที หรือทำสมาธิหายใจลึก
.
Flynn บอกว่าคนส่วนใหญ่ล้มเหลวในการโฟกัสเพราะไม่ยอมพัก พวกเขาเหมือนคนยกน้ำหนักโดยไม่เคยวางบาร์เบลลงเลย สุดท้ายกล้ามเนื้อก็ไหม้และสมองก็ไหม้ตาม เขาพูดติดตลกว่า Sometimes the most productive thing you can do is take a nap and dream about working บางครั้งสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่คุณทำได้คือนอนแล้วฝันว่ากำลังทำงาน
.
Flynn สรุปหลักการฟิตชีวิตไว้ในสามวงซ้อนกัน เหมือนสามชั้นของการเติบโต หนึ่งคือ Physical Fitness หรือร่างกายที่สร้างพลังและความพร้อม สองคือ Mental Fitness หรือจิตใจที่สร้างสมาธิและความยืดหยุ่น และสามคือ Moral Fitness หรือเจตจำนงที่สร้างความตั้งใจทำสิ่งที่ถูกแม้ไม่มีใครเห็น
.
เขาอ้างถึง Aristotle อีกครั้งว่าการกระทำซ้ำๆ ของความดีจะกลายเป็นคุณธรรม ดังนั้นการฝึกทุกวันไม่ใช่แค่เรื่องกล้ามหรือสมาธิ แต่มันคือการฝึกนิสัยแห่งความดี Virtue is fitness for the soul คุณธรรมคือความฟิตของจิตวิญญาณ
.
Flynn ย้ำว่า Generalist ที่แท้จริงต้องฟิตทั้งข้างนอกและข้างใน เพราะทักษะทั้งหมดในโลกไม่มีค่าถ้าคุณไม่มีเจตจำนงจะใช้มันเพื่อสิ่งดี
.
เขาเล่าว่าในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาเคยพยายามฝึกทุกอย่างให้สุด ออกกำลังกายวันละสามชั่วโมง อ่านหนังสือสองเล่ม ทำสมาธิวันละชั่วโมง สุดท้ายหมดแรงและหัวเราะใส่ตัวเองว่าเขาฝึกทุกอย่างยกเว้นศิลปะแห่งการพักผ่อน
.
เขาบอกว่าการฟิตแบบ Generalist ต้องมีจังหวะ ไม่ใช่เร่งตลอดเวลาแต่รู้เมื่อไหร่ควรหยุด เหมือนการหายใจเข้าออก ความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่การกลั้นหายใจ แต่อยู่ที่การรู้จังหวะของชีวิต Consistency beats intensity ความสม่ำเสมอชนะความสุดโต่งเสมอ
.
เขาย้ำว่าความสุขไม่ได้มาจากความสมบูรณ์แบบของร่างกาย แต่มาจากการได้ใช้ร่างกายนี้ในแบบที่มีความหมาย เดินกับลูก วิ่งกับหมา เล่นกับเพื่อน หัวเราะกับภรรยา นั่นแหละการฟิตของชีวิตที่แท้จริง
.
Flynn เชื่อว่าสุขภาพคือทักษะที่คูณทุกทักษะอื่น เขาอ้างงานวิจัยและประสบการณ์ส่วนตัวว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำจะมีสมาธิและความจำดีกว่าคนทั่วไป A fit mind in a fit body creates a compound interest of growth จิตใจที่ฟิตในร่างกายที่ฟิตสร้างดอกเบี้ยทบต้นของการเติบโต เขาเล่าว่าหลังเริ่มฝึกสมาธิและออกกำลังกายอย่างจริงจัง เขาเขียนหนังสือได้เร็วขึ้น อ่านได้ลึกขึ้น และมีพลังทำสิ่งใหม่มากขึ้น เพราะร่างกายไม่แย่งพลังจากสมองอีกต่อไป เพราะคุณไม่สามารถเป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่ในร่างกายที่หมดแรงจากการเลื่อน Instagram จนตีสองได้หรอก
.
.
8. A Better Life Through Better Skills ชีวิตที่ดีขึ้นจากการเก่งขึ้นในแทบทุกอย่าง
.
You don't need to be the best in the world – just hard to replace คุณไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดในโลก แค่ยากจะถูกแทนที่ก็พอ ประโยคนี้ฟังดูเรียบง่ายแต่จริงๆ มันคือหัวใจของทั้งเล่ม เพราะในโลกที่ทุกคนพยายามโดดเด่น การเป็นคนที่มีคุณค่าและน่าเชื่อถือกลับเป็นของหายากกว่า
.
เขาบอกว่า Generalist ที่แท้จริงไม่วิ่งแข่งกับใคร แต่เติบโตในเส้นทางของตัวเองอย่างต่อเนื่อง คนแบบนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อสร้างชื่อ แต่ใช้ชื่อเพื่อสร้างชีวิตที่มีคุณค่า
.
Flynn อธิบายว่าโลกสมัยนี้เปลี่ยนเร็วเกินกว่าที่ใครจะเชี่ยวชาญในสิ่งเดียวไปตลอดชีวิตได้ เทคโนโลยีใหม่มาแทนงานเดิมทุกปี อุตสาหกรรมที่มั่นคงเมื่อวานวันนี้อาจหายไปทั้งระบบ
.
Generalist ไม่ใช่คนที่รู้ทุกอย่างตื้นๆ แต่คือคนที่รู้พอจะต่อยอดได้ในหลายมิติ เหมือนนักรบที่ถืออาวุธได้หลายแบบหรือศิลปินที่เล่นได้หลายเครื่องดนตรี เขาเขียนขำๆ ว่าเขาไม่ได้อยากเป็นคนรอบรู้ เขาแค่ไม่อยากเป็นคนที่พูดได้ประโยคเดียวในทุกวงสนทนา
.
Flynn แยกคำว่า More skills กับ Better skills ไว้อย่างชัดเจน การเก่งขึ้นไม่ใช่การสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ แบบยัดเข้า USB drive แต่คือการเชื่อมโยงสิ่งที่รู้ให้เกิดประโยชน์จริง
.
เขาบอกว่า Generalist ที่เก่งที่สุดคือคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้ความรู้ไหน และรู้ว่าจะเอาความรู้จากสาขาหนึ่งไปประยุกต์ใช้ในอีกสาขาอย่างไร Knowledge without application is trivia ความรู้ที่ไม่ถูกใช้จริงคือเรื่องขำขันของสมอง
.
Flynn เสนอแนวคิดที่เขาเรียกว่า Perpetual Practice การฝึกอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพราะทักษะที่ไม่ได้ใช้จะเสื่อมเหมือนกล้ามที่ไม่ได้ยกน้ำหนัก Excellence is a habit, not an event ความเป็นเลิศคือนิสัย ไม่ใช่เหตุการณ์ เขาแนะนำให้สร้างวงจรเรียนรู้สามขั้นง่ายๆ คือ Learn หรือศึกษาจากผู้รู้ Do หรือลงมือทำจริงทันที และ Teach หรือถ่ายทอดให้คนอื่น
.
เขาบอกว่าการสอนคือรูปแบบสูงสุดของการเรียนรู้ และทุกคนควรสอนแม้ไม่มีใครจ้างให้สอนก็ตาม เพราะการอธิบายสิ่งที่รู้คือการทำให้ความเข้าใจของคุณชัดขึ้น The moment you can teach it clearly, you finally understand it fully เมื่อคุณสอนมันได้อย่างชัดเจน คุณจึงเข้าใจมันอย่างแท้จริง
.
Flynn เขียนไว้อย่างซื่อสัตย์ว่าช่วงหนึ่งในชีวิตเขาก็หลงทาง พยายามจะเป็นคนที่คนรู้จักมากกว่าจะเป็นคนที่มีคุณค่า จนวันหนึ่งเขารู้ว่าความสุขไม่ได้มาจากยอดขายหรือยอดไลก์ แต่มาจากความรู้สึกที่ว่าวันนี้เราทำได้ดีกว่าเมื่อวาน
.
เขาเสนอให้ผู้อ่านเปลี่ยนหน่วยวัดชีวิตจากสิ่งที่สะสมเป็นสิ่งที่พัฒนา จากรายได้ต่อเดือนเป็นทักษะต่อเดือน จากคนที่รู้จักคุณเป็นคนที่คุณช่วยได้ A meaningful life is a stack of useful skills applied with good intent ชีวิตที่มีความหมายคือการซ้อนทักษะที่มีประโยชน์เข้ากับเจตนาที่ดี และอย่าเปรียบเทียบความเร็วของเรากับเส้นทางของคนอื่น เพราะแต่ละคนซ้อนทักษะต่างกัน
.
Life is too complex for single answers. Be the kind of person who learns multiple languages of life ชีวิตซับซ้อนเกินสำหรับคำตอบเดียว จงเป็นคนที่เรียนรู้หลายภาษาของชีวิต เพราะชีวิตไม่ได้มีคำตอบเดียว และการเรียนรู้หลายสิ่งช่วยให้เราเข้าใจโลกอย่างยืดหยุ่นและรอบด้านกว่า
.
“The goal is not to be the best, but to be better at being human เป้าหมายไม่ใช่การเป็นที่สุด แต่คือการเก่งขึ้นในการเป็นมนุษย์”
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant