สรุปหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

เช้าวันหนึ่ง Naval Ravikant ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ ขณะแปรงฟันอย่างเลื่อนลอย ร่างกายอยู่ตรงนั้น แต่ใจของเขาไปไกลแล้ว
.
เขากำลังจินตนาการถึงพอดแคสต์ตอนหนึ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น Shane Parrish กำลังถามคำถาม เขากำลังตอบด้วยความเฉียบคม ผู้ฟังประทับใจ ทุกอย่างลงตัวในความคิด นี่คือช่วงเวลาแห่งชัยชนะในจินตนาการ
.
แล้วเขาก็ "เห็น" ตัวเอง ไม่ใช่ในกระจก แต่ในจิตใจของเขาเอง
.
"ทำไมฉันถึงไม่สามารถอยู่ตรงนี้ได้? ทำไมฉันถึงต้องหลงไปอยู่ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น?"
.
เขาถามตัวเองเบา ๆ พร้อมเสียงแปรงฟันที่ยังดำเนินต่อ เขารู้ทันทีว่านี่คือ "อีโก้" ความอยากให้คนยกย่อง ความทะเยอทะยานที่ปลอมตัวเป็นแรงบันดาลใจ
.
Naval วางแปรงสีฟันลง สูดลมหายใจ แล้วหัวเราะเบาๆ ในใจ "ฉันกำลังเสียเวลา แม้แต่ตอนแปรงฟันก็ยังไม่ปล่อยวาง"
.
เขาปิดเสียงความคิด กลับมารับรู้สิ่งตรงหน้า เสียงน้ำไหลเบาๆ จากก็อก ความเย็นของกระจก ความสะอาดในปาก และจังหวะการหายใจที่กลับมาช้าและนิ่ง
.
ในวินาทีนั้น เขาไม่ได้ "อยู่ในความคิด" อีกต่อไป แต่ "อยู่ในชีวิต" จริงๆ
.
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเข้าใจสิ่งที่เขาใช้เวลาทั้งชีวิตไล่ตาม "ความมั่งคั่ง ความสุข และอิสรภาพ" และทั้งหมดเริ่มจากการ "อยู่กับปัจจุบัน" ให้ได้ก่อน
.
Naval เขียนไว้ว่า "Peace is happiness at rest. Happiness is peace in motion."
.
ความสงบคือความสุขที่หยุดนิ่ง ความสุขคือความสงบที่เคลื่อนไหว
.
ในที่สุด ก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นหัวใจของ The Almanack of Naval Ravikant
.
หนังสือแบ่งออกเป็นสองประเด็นใหญ่ที่สะท้อนสองมิติสำคัญของชีวิต
.
Wealth (ความมั่งคั่ง) และ Happiness (ความสุข)
.
================================
.
#Wealth
.
.
1. เวลา ความมั่งคั่ง เงิน สถานะทางสังคม
.
Naval Ravikant เปิดหนังสือด้วยการท้าทายความเชื่อที่ฝังรากลึกในสังคมว่าการขยันทำงานหนักเพียงอย่างเดียวจะนำไปสู่ความร่ำรวย เขาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าคุณสามารถทำงานในร้านอาหาร 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ร่ำรวยขึ้นมาเลย ความจริงที่น่าสะท้อนใจคือการทำงานหนักเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ของภาพใหญ่เท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่ามากคือการรู้ว่าต้องทำอะไร ทำกับใคร และทำเมื่อไหร่
.
ถ้าคิดดูให้ดี มีคนนับล้านที่ทำงานหนักกว่า Naval มาก แต่ทำไมเขาถึงสร้างความมั่งคั่งได้มากกว่าพวกเขา คำตอบอยู่ที่การเข้าใจธรรมชาติแท้จริงของความมั่งคั่ง ซึ่งหลายคนมักสับสนระหว่างความมั่งคั่ง เงิน และสถานะทางสังคม
.
ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ให้คุณแม้ขณะที่คุณหลับ มันอาจเป็นโรงงาน หุ่นยนต์ที่ทำงานอัตโนมัติ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง หรือเงินลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง นี่คือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร
.
ในทางตรงกันข้าม เงินเป็นเพียงเครื่องมือในการแลกเปลี่ยน มันคือเครดิททางสังคมที่ช่วยให้คุณแลกเปลี่ยนเวลาและมูลค่าที่คุณสร้างขึ้นกับคนอื่นได้ ถ้าคุณสร้างมูลค่าให้กับสังคม สังคมก็จะให้กระดาษแลกเปลี่ยนที่เรียกว่าเงินกลับมาให้คุณ เหมือนกับใบ IOU ที่บอกว่า "ฉันเป็นหนี้คุณ" นั่นเอง
.
ส่วนสถานะทางสังคมคือตำแหน่งของคุณในลำดับชั้นของผู้คน นี่คือกับดักที่ทำให้หลายคนไขว่คว้าไปกับสิ่งที่ผิด คนที่ไล่ตามสถานะมักจะเสียเวลาไปกับการโจมตีคนที่กำลังสร้างความมั่งคั่งจริงๆ เพราะพวกเขากำลังเล่นคนละเกมโดยไม่รู้ตัว
.
.
2. เกมที่แตกต่างกันระหว่างสถานะทางสังคม และความมั่งคั่ง
.
Naval เน้นย้ำว่าการแสวงหาสถานะทางสังคมเป็นเกม Zero-Sum ซึ่งหมายความว่าเพื่อที่คุณจะขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง คนที่เป็นอันดับหนึ่งเดิมต้องลงมา การเมือง กีฬา การแข่งขันทางสังคมล้วนเป็นเกมแบบนี้ทั้งสิ้น มันต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้เสมอ คุณไม่สามารถชนะได้โดยที่ไม่มีใครแพ้
.
ในทางตรงกันข้าม การสร้างความมั่งคั่งเป็นเกม Positive-Sum ซึ่งทุกคนสามารถชนะไปพร้อมกันได้ เมื่อสตีฟ จ็อบส์สร้าง iPhone ขึ้นมา เขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน แต่พวกเราทุกคนก็ได้ Smartphone ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นและสะดวกขึ้นอย่างมหาศาล นี่คือการสร้างมูลค่าที่แท้จริง ไม่ใช่การแย่งชิงพายที่มีอยู่แล้ว แต่เป็นการทำให้พายทั้งก้อนใหญ่ขึ้น
.
คนที่เข้าใจความแตกต่างนี้จะหยุดการสูบเลือดและฉุดกระชากซึ่งกันและกัน แล้วเริ่มมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าร่วมกัน พวกเขารู้ว่าความร่ำรวยที่แท้จริงไม่ได้มาจากการเอาชนะคนอื่น แต่มาจากการสร้างสิ่งที่โลกต้องการแต่ยังไม่รู้วิธีทำ
.
.
3. ความรู้เฉพาะตัว เป็นขุมทรัพย์ที่ไม่มีใครแย่งได้
.
สำหรับ Specific Knowledge หรือความรู้เฉพาะตัว Naval บอกว่าความรู้ที่ทำให้คุณมีค่าไม่ใช่สิ่งที่คุณเรียนมาจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย มันเป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดในห้องเรียนได้ ถ้าสังคมสามารถสอนคนอื่นให้ทำสิ่งที่คุณทำได้ แสดงว่าพวกเขาก็สามารถแทนที่คุณได้เช่นกัน
.
ความรู้เฉพาะตัวที่แท้จริงมักมาจากความหลงใหลและความสนใจที่ลึกซึ้งของคุณ มันคือสิ่งที่คุณทำแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเล่นสนุก แต่สำหรับคนอื่นมันดูเหมือนงานหนัก มันคือสิ่งที่คุณเรียนรู้ผ่านการฝึกงาน การลองผิดลองถูก ไม่ใช่จากตำราเรียน
.
Naval ให้ตัวอย่างจากชีวิตของเขาเอง ตอนเด็กเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมักจะเบื่อง่ายเมื่อต้องทำอะไรซ้ำๆ ถ้าเขาไปทำงานที่ต้องเจาะลึกหัวข้อเดียวเป็นเวลา 20 ปี เขาคงทนไม่ได้ แต่การเป็นนักลงทุนกิจการเริ่มต้นที่ต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา เข้าใจธุรกิจที่แตกต่างกัน กลับเหมาะกับเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
.
ตัวอย่างของความรู้เฉพาะตัวอาจเป็นทักษะการขายที่เป็นธรรมชาติ บางคนเกิดมาก็ขายเก่งโดยไม่ต้องเรียนอะไรมาก บางคนมีความสามารถด้านดนตรีจนสามารถหยิบเครื่องดนตรีอะไรก็เล่นได้ บางคนมีบุคลิกที่หมกมุ่นจดจำรายละเอียดได้อย่างรวดเร็ว บางคนชอบนิยายวิทยาศาสตร์จนทำให้ดูดซับความรู้ทางเทคโนโลยีได้เร็วกว่าคนทั่วไป หรือบางคนเล่นเกมมากมายจนเข้าใจ Game Theory อย่างลึกซึ้ง
.
สิ่งสำคัญที่สุดที่ Naval ย้ำคือคุณไม่สามารถแข่งกับใครในการเป็นตัวคุณเองได้ ไม่มีใครเป็นคุณได้ดีเท่าคุณ ชีวิตส่วนใหญ่จึงเป็นการค้นหาว่าใครต้องการตัวคุณมากที่สุด งานไหนเหมาะกับคุณที่สุด ไม่ใช่การพยายามเป็นคนอื่นหรือทำตามคนอื่น
.
.
4. อำนาจเลเวอเรจ คือตัวคูณที่ทำให้งานของคุณมีค่าพันเท่า
.
Naval บอกว่าเราอยู่ในยุคแห่ง Leverage ไร้ขีดจำกัด และนี่คือสิ่งที่แยกคนที่ร่ำรวยออกจากคนที่แค่ทำงานหนัก Leverage คือตัวคูณที่ทำให้ผลงานของคุณมีผลกระทบมากกว่าแรงงานที่คุณใช้ไปเป็นหมื่นเท่า มีสามรูปแบบหลักของ Leverage ที่คุณต้องเข้าใจ
.
รูปแบบแรกคือ Labor Leverage หรือการใช้แรงงานคน นี่เป็นรูปแบบเก่าแก่ที่สุดของ Leverage คุณจ้างคนมาทำงานให้ ทุกคนที่คุณจ้างคือตัวคูณของเวลาและความสามารถของคุณ แต่ Naval ถือว่านี่คือรูปแบบที่แย่ที่สุด เพราะการจัดการคนนั้นยุ่งยากมากและเต็มไปด้วยปัญหา คุณต้องมีทักษะความเป็นผู้นำระดับสูง คอยจัดการอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เสี่ยงต่อการกบฏหรือการต่อต้าน และคุณห่างจากการถูกกลุ่มคนทำร้ายเพียงแค่ก้าวเดียว
.
รูปแบบที่สองคือ Capital Leverage หรือการใช้ทุน นี่คือการบริหารจัดการเงินของคนอื่น มันทันสมัยกว่าการใช้แรงงานและ Scale ได้ง่ายกว่ามาก การจัดการเงิน 100 ล้านง่ายกว่าการจัดการคน 100 คนมากนัก คนที่ร่ำรวยในศตวรรษที่ผ่านมาส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้ นักธนาคาร นักลงทุน ผู้ที่เคลื่อนย้ายเงินจำนวนมหาศาล แต่ปัญหาของมันคือคุณต้องมีคนให้เงินคุณก่อน คุณต้องขออนุญาต คุณไม่สามารถตื่นขึ้นมาวันหนึ่งแล้วมี Capital Leverage ได้ทันที
.
รูปแบบที่สามและทรงพลังที่สุดคือ Code and Media Leverage หรือการใช้โค้ดและสื่อ นี่คือ Leverage ที่ไม่ต้องขออนุญาตใครเลย คุณไม่ต้องขออนุญาตใครเพื่อเขียนโค้ด เขียนหนังสือ ทำพอดแคสต์ หรือสร้างวิดีโอ คุณสามารถผลิตซ้ำผลงานเหล่านี้ได้ไม่จำกัดโดยแทบไม่มีต้นทุนเพิ่มเติม และมันทำงานให้คุณตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
.
หนังสือเล่มนี้เองก็เป็นตัวอย่างที่ดีของ Media Leverage Naval ไม่ต้องนั่งบรรยายกับผู้คนทีละคนทีละคน เขาสามารถเผยแพร่ความคิดไปยังคนนับล้านพร้อมกันผ่านหนังสือเล่มเดียว Joe Rogan ทำรายได้ 50 ถึง 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีจากพอดแคสต์ของเขา Jeff Bezos, Mark Zuckerberg, Bill Gates ความมั่งคั่งของพวกเขาทั้งหมดล้วนมาจากโค้ดและซอฟต์แวร์
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ Code และ Media Leverage ไม่เพียงแต่ทรงพลัง มันยังเป็นประชาธิปไตยอีกด้วย ในอดีตถ้าคุณอยากรวย คุณต้องเกิดในตระกูลที่ดี หรือโชคดีพอที่จะเข้าถึงทุน แต่ตอนนี้ทุกคนสามารถเปิดแล็ปท็อปและเริ่มเขียนโค้ด หรือเปิดกล้องและเริ่มทำคอนเทนต์ได้ นี่คือเหตุผลที่ Naval บอกว่าเราอยู่ในยุคทองของการสร้างความมั่งคั่ง
.
.
5. ความรับผิดชอบ คือดาบสองคมที่ให้ทั้งเกียรติและภาระ
.
Accountability หรือความรับผิดชอบเป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่ง Naval อธิบายว่ามันเป็นดาบสองคม เมื่อคุณทำธุรกิจภายใต้ชื่อของคุณเอง คุณจะได้รับเครดิตทั้งหมดเมื่อสำเร็จ แต่คุณก็ต้องแบกรับผลทั้งหมดเมื่อล้มเหลวเช่นกัน มันเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง คุณเสี่ยงที่จะล้มเหลวในที่สาธารณะ เสี่ยงที่จะอับอายต่อหน้าคนนับพัน เสี่ยงที่จะถูกตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์
.
แต่นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ คนที่กล้าล้มเหลวในที่สาธารณะภายใต้ชื่อของตัวเอง กลับได้รับอำนาจมหาศาล เพราะการทำแบบนี้สร้างความน่าเชื่อถือ สร้างแบรนด์ส่วนตัว และทำให้คนอื่นไว้วางใจมอบ Leverage ให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็นคน เงิน หรือโอกาส
.
Naval เล่าเรื่องของเขาเองว่าเมื่อเขาเริ่มพูดถึงปรัชญาและจิตวิทยาบน Twitter ในปี 2014-2015 มีคนในวงการซิลิคอนวัลเลย์ส่งข้อความมาเตือนเขาว่ากำลังทำลายอาชีพของตัวเอง นี่มันโง่ ทำไมต้องออกนอกลู่นอกทาง ทำไมไม่โฟกัสแค่เทคโนโลยีและการลงทุน
.
แต่เขาเลือกที่จะเสี่ยง เขาเลือกที่จะพูดในสิ่งที่เขาเชื่อ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่คนคาดหวัง และนั่นกลับทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักคิดที่มีอิทธิพลที่สุดในยุคนี้ ผู้คนไว้วางใจเขาเพราะเขาเป็นตัวของตัวเอง ไม่กลัวที่จะแสดงความคิดที่แท้จริง
.
หลักการที่ Naval ใช้คือยิ่งคุณต้องการให้ใครอยู่ใกล้คุณมากเท่าไหร่ ค่านิยมของเขาก็ต้องดีขึ้นเท่านั้น เขาไม่เสียเวลากับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ คนที่คิดแบบระยะสั้น หรือคนที่เขาไม่สามารถไว้วางใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์
.
.
6. วิจารณญาณ เป็นทักษะที่ถูกประเมินค่าต่ำเกินไป
.
Naval เชื่อมั่นว่า Judgment หรือวิจารณญาณเป็นสิ่งที่คนประเมินค่าต่ำที่สุด ในขณะที่การทำงานหนักถูกประเมินค่าสูงเกินไป ในยุคของ Leverage การตัดสินใจที่ถูกต้องเพียงครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้
.
ลองนึกภาพโปรแกรมเมอร์ที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง เขาอาจเขียนโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัดที่สร้างมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ให้กับบริษัท ในขณะเดียวกัน โปรแกรมเมอร์สิบคนที่เลือกทิศทางผิด แม้จะทำงานหนักสิบเท่า อาจไม่สร้างมูลค่าอะไรเลยหรืออาจทำลายมูลค่าไปด้วยซ้ำ
.
นี่คือเหตุผลที่ Judgment สำคัญมาก เพราะในโลกของ Leverage แล้ว Input ไม่ได้สัมพันธ์กับ Output อีกต่อไป เวลาที่คุณใช้ไม่ได้เท่ากับมูลค่าที่คุณสร้าง ทิศทางที่คุณเลือกสำคัญกว่าความเร็วที่คุณวิ่ง
.
Warren Buffett ได้รับเงินมหาศาลเพราะ Judgment ของเขา ไม่มีใครถามว่าเขาทำงานหนักแค่ไหน เขาตื่นกี่โมง หรือเขานอนกี่ชั่วโมง คนสนใจแค่ว่าเขาตัดสินใจอย่างไร เขาเลือกลงทุนอะไร และทำไม
.
Judgment คือความรู้ถึงผลที่ตามมาในระยะยาวของการกระทำของคุณ มันคือปัญญาที่ประยุกต์ใช้กับปัญหาภายนอก มันต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้าง แต่เมื่อคุณมีมันแล้ว คุณจะมีค่ามหาศาล
.
.
7. กฎทองของการรวย คือต้องมีส่วนแบ่งในธุรกิจ
.
Naval พูดอย่างไม่เกรงใจว่าถ้าคุณไม่มี Equity หรือส่วนแบ่งในธุรกิจ คุณไม่มีทางสู่เสรีภาพทางการเงินเลย นี่คือความจริงที่โหดร้ายแต่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพที่สังคมถือว่าดีแค่ไหน ถ้าคุณแค่ขายเวลาของคุณ คุณไม่สามารถร่ำรวยได้จริงๆ
.
ปัญหาของการขายเวลาคือ Input ของคุณผูกติดกับ Output อย่างแน่นหนา คุณทำงานหนึ่งชั่วโมงได้เงินหนึ่งชั่วโมง เมื่อคุณหลับคุณไม่ได้เงิน เมื่อคุณเกษียณคุณไม่ได้เงิน เมื่อคุณไปพักร้อนคุณไม่ได้เงิน คุณไม่สามารถสร้างรายได้แบบไม่เป็นเชิงเส้นหรือที่เรียกว่า non-linear ได้
.
แม้แต่หมอที่รวยจริงๆ ก็ไม่ได้รวยเพราะเป็นหมอ พวกเขารวยเพราะเปิดคลินิกเอกชนซึ่งเป็นธุรกิจ เพราะสร้างแบรนด์ที่คนไว้วางใจ หรือเพราะพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์ที่มี Intellectual Property พวกเขารวยเพราะมี Equity ไม่ใช่เพราะขายเวลา
.
หนทางสู่ Equity มีหลายทาง คุณอาจเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเอง เข้าร่วม Startup ในช่วงแรกๆ และได้ Stock Options ลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทที่เติบโต หรือสร้าง Intellectual Property ที่มีค่า Naval เน้นว่าคุณต้องไต่ระดับจนกระทั่งคุณสามารถมี Equity ได้ มันอาจใช้เวลา แต่นี่คือทางเดียวที่แท้จริงสู่ความมั่งคั่ง
.
.
8. พลังของดอกเบี้ยทบต้นในทุกมิติของชีวิต
.
Compound Interest หรือดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ใช้ได้กับเงินเท่านั้น มันทำงานในทุกมิติของชีวิต และเป็นกุญแจทองที่เปิดประตูสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
.
Naval เล่าถึง Elad Gil ซึ่งเป็นนักลงทุนที่เขาชอบทำดีลด้วยมาก Elad เป็นคนที่พยายามให้มากกว่าที่ควรเสมอ ถ้ามีเงินเหลือจากดีล เขาจะจ่ายเองโดยไม่บอก Naval ถ้ามีต้นทุนที่ต้องจ่าย เขาจะจ่ายจากกระเป๋าตัวเองโดยไม่พูดถึงเลย
.
ผลที่ตามมาคือ Naval ส่งทุกดีลที่ดีไปให้ Elad พยายามเอา Elad เข้าร่วมในทุกโอกาส และเมื่อถึงเวลาต้องจ่ายเงิน Naval ก็พยายามจ่ายให้ Elad มากกว่าที่ควร นี่คือการทบต้นของความสัมพันธ์ มันไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันสร้างมูลค่ามหาศาล
.
ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงก็ทำงานแบบเดียวกัน ถ้าคุณมีชื่อเสียงที่ดีและคุณสร้างมันมาหลายสิบปี คนจะสังเกต ชื่อเสียงของคุณจะมีค่ามากกว่าคนที่มีความสามารถเท่ากันแต่ไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือมาตลอด นี่คือเหตุผลที่ Warren Buffett ได้รับข้อเสนอที่คนอื่นไม่ได้รับ ชื่อเสียงของเขาคือสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด
.
.
9. เล่นเกมยาวและเลือกคนร่วมทางอย่างรอบคอบ
.
Naval เปรียบเทียบชีวิตว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของความพยายามนั้นสูญเปล่า นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคุณค่า มันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ แต่ถ้าพูดในแง่ของเป้าหมาย มันจริงๆ แล้วเสียเวลาไป ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณกลับไปดูวิชาที่เรียนในโรงเรียน 99 เปอร์เซ็นต์ของเทอมเปเปอร์ หนังสือ หรือแบบฝึกหัดที่คุณทำ คุณไม่ได้ใช้มันจริงๆ ในชีวิต คุณอาจเคยเรียนภูมิศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยนำมาใช้อีกเลย
.
หรือคิดถึงคนทั้งหมดที่คุณเคยเดทก่อนจะเจอคู่สมรสของคุณ ในแง่ของเป้าหมายมันก็เสียเวลาเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ก็ตาม
.
Naval ไม่ได้พูดแบบนี้เพื่อให้คุณรู้สึกว่าชีวิตนั้นสูญเปล่า แต่เขาต้องการให้คุณตระหนักว่าเมื่อคุณเจอสิ่งที่ใช่ คุณต้องลงทุนอย่างเต็มที่ เมื่อคุณเจอหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ให้ผลตอบแทนจริงๆ คุณต้องไปกับมันทั้งหมด
.
เมื่อคุณกำลังเดท ในทันทีที่คุณรู้ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่จะนำไปสู่การแต่งงาน คุณควรก้าวต่อไป เมื่อคุณกำลังเรียนวิชาหนึ่ง เช่นภูมิศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ และคุณรู้ว่าคุณจะไม่มีวันใช้ข้อมูลนี้ ก็เลิกเรียนวิชานั้นไปเลย มันเสียเวลา มันเสียพลังงานสมองของคุณ
.
Naval ไม่ได้บอกว่าอย่าทำ 99 เปอร์เซ็นต์ เพราะมันยากมากที่จะระบุได้ว่าอะไรคือหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่แท้จริง แต่เมื่อคุณพบมันแล้ว เมื่อคุณพบสิ่งที่คุณสามารถลงทุนได้ทั้งชีวิตและมันมีความหมายต่อคุณจริงๆ ให้ลงทุนไปเต็มที่และลืมส่วนที่เหลือไป
.
.
#Happiness
.
.
10. ความสุขคือทักษะที่เรียนรู้ได้
.
Naval พูดถึงทฤษฎี Five Chimps ว่าคุณสามารถทำนายพฤติกรรมของลิงตัวหนึ่งได้โดยดูที่ลิงห้าตัวที่มันใช้เวลาด้วยมากที่สุด ทฤษฎีนี้ใช้ได้กับมนุษย์ด้วย บางทีมันอาจฟังดูไม่ถูกต้องทางการเมืองที่จะบอกว่าคุณควรเลือกเพื่อนอย่างระมัดระวัง แต่คุณไม่ควรเลือกพวกเขาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าตามคนที่อยู่ข้างบ้านหรือคนที่บังเอิญทำงานด้วย
.
คนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จมากที่สุดเลือกเพื่อนห้าคนของพวกเขาอย่างระมัดระวัง กฎข้อแรกของ Naval ในการจัดการความขัดแย้งคืออย่าอยู่รอบๆ คนที่มีความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา เขาไม่สนใจอะไรที่ไม่ยั่งยืนหรือยากที่จะธำรงรักษา รวมถึงความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก
.
Naval เชื่อว่าความสุขเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ได้เหมือนทักษะอื่นๆ สิบปีก่อนถ้าคุณถามเขาว่าเขามีความสุขแค่ไหน เขาจะบอกแค่ 2 หรือ 3 จากสิบ อาจจะ 4 ในวันที่ดีที่สุด และเขาก็ไม่ได้คิดว่าความสุขนั้นสำคัญ
.
แต่ตอนนี้เขาให้คะแนนตัวเอง 9 จากสิบ และใช่ว่าการมีเงินช่วยได้ แต่มันเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ของภาพรวม ส่วนใหญ่มาจากการเรียนรู้หลายปีว่าความสุขของเขาเองคือสิ่งสำคัญที่สุด และเขาได้ปลูกฝังมันด้วยเทคนิคต่างๆ มากมาย
.
การตระหนักว่าความสุขไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณเกิดมาพร้อม ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณโดยบังเอิญ แต่เป็นทักษะที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ เหมือนกับการออกกำลังกายหรือการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
.
.
11. นิยามของความสุขที่แตกต่าง
.
Naval บอกว่าความสุขไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถนิยามได้แบบเดียวกันสำหรับทุกคน สำหรับบางคนมันคือ Flow State สำหรับบางคนมันคือความพึงพอใจ สำหรับบางคนมันคือความรู้สึกสบายใจ คำตอบที่เขาให้เมื่อหนึ่งปีก่อนจะต่างจากคำตอบที่เขาให้ตอนนี้
.
วันนี้ Naval เชื่อว่าความสุขคือสภาวะเริ่มต้นของมนุษย์ ความสุขคือสิ่งที่เหลืออยู่เมื่อคุณเอาความรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปในชีวิตออกไป เราคือเครื่องจักรเพื่อการอยู่รอดและการสืบพันธุ์ที่มีการตัดสินสูงมาก เราเดินไปมารอบๆ คิดว่า "ฉันต้องการสิ่งนี้" หรือ "ฉันต้องการสิ่งนั้น" ติดอยู่ในใยแห่งความปรารถนา ความสุขคือสถานะที่ไม่มีอะไรขาดหายไป เมื่อไม่มีอะไรขาดหายไป จิตใจของคุณหยุดทำงาน หยุดวิ่งไปสู่อดีตเพื่อเสียใจหรือวิ่งไปสู่อนาคตเพื่อวางแผน
.
ในความเงียบภายในนั้น คุณจะพอใจและมีความสุข ผู้คนเข้าใจผิดว่าความสุขเกี่ยวกับความคิดบวกและการกระทำเชิงบวก แต่ยิ่ง Naval อ่านมาก เรียนรู้มาก และประสบมาก เขายิ่งรู้ว่าความคิดบวกทุกอย่างมีความคิดเชิงลบซ่อนอยู่ข้างใน มันคือความแตกต่างและขั้ว ถ้า Naval พูดว่าเขามีความสุข นั่นหมายความว่าเขาเคยเศร้า ถ้าเขาพูดว่าคนคนหนึ่งสวย หมายความว่ามีคนอื่นที่ไม่สวย ความคิดบวกทุกอย่างมีเมล็ดพันธุ์ของความคิดลบอยู่ภายใน และในทางกลับกัน
.
นี่คือเหตุผลที่ความยิ่งใหญ่มากมายในชีวิตเกิดจากความทุกข์ คุณต้องเห็นสิ่งเชิงลบก่อนที่คุณจะปรารถนาและชื่นชมสิ่งเชิงบวก สำหรับ Naval ความสุขไม่ได้เกี่ยวกับความคิดบวก มันเกี่ยวกับการไม่มีความปรารถนา โดยเฉพาะความปรารถนาสิ่งภายนอก ยิ่งเขามีความปรารถนาน้อยเท่าไหร่ ยิ่งเขายอมรับสภาวะปัจจุบันได้มากเท่าไหร่ ยิ่งจิตใจของเขาเคลื่อนไหวน้อยลงเท่านั้น เพราะจิตใจมีอยู่จริงในการเคลื่อนไหวไปสู่อนาคตหรืออดีต ยิ่งเขาอยู่กับปัจจุบันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความสุขและพอใจมากขึ้นเท่านั้น
.
.
12. ความทุกข์มาจากการหลีกเลี่ยง
.
Naval มีข้อสังเกตที่ทรงพลังมากว่าความทุกข์ส่วนใหญ่ของเรามาจากการหลีกเลี่ยง ตัวอย่างที่ดีคือการอาบน้ำเย็น ในช่วงสี่หรือห้าเดือนแรก Naval จะค่อยๆ เข้าไปในฝักบัว หดตัวไปตลอดทาง แต่ตอนนี้เขาเปิดฝักบัวเย็นสุดและเดินเข้าไปทันที เขาไม่ให้เวลาตัวเองลังเล ทันทีที่เขาได้ยินเสียงในหัวบอกว่ามันจะเย็นแค่ไหน เขารู้ว่าต้องเดินเข้าไป
.
เขาเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากสิ่งนี้ ความทุกข์ส่วนใหญ่ของเรามาจากการหลีกเลี่ยง ความทุกข์ส่วนใหญ่จากการอาบน้ำเย็นคือการค่อยๆ เข้าไปทีละนิด เมื่อคุณเข้าไปแล้ว คุณก็อยู่ในนั้น มันไม่ใช่ความทุกข์ มันแค่เย็น ร่างกายของคุณบอกว่ามันเย็นต่างจากจิตใจของคุณบอกว่ามันเย็น ให้ยอมรับว่าร่างกายของคุณบอกว่ามันเย็น ดูมัน จัดการกับมัน ยอมรับมัน แต่อย่าให้จิตใจทุกข์ทรมานกับมัน การอาบน้ำเย็นสองนาทีไม่ได้ฆ่าคุณ
.
การอาบน้ำเย็นช่วยให้คุณเรียนรู้บทเรียนนั้นใหม่ทุกเช้า ตอนนี้น้ำร้อนเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องมีในชีวิต มีสิ่งที่เขาต้องการจากชีวิตน้อยลงไปอีกหนึ่งอย่าง
.
.
13. ความสุขต้องการความเป็นปัจจุบัน
.
ในเวลาใดก็ตาม เมื่อคุณเดินไปตามถนน มีเพียงเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยของสมองคุณที่โฟกัสอยู่กับปัจจุบัน ส่วนที่เหลือกำลังวางแผนอนาคตหรือเสียใจกับอดีต นี่ทำให้คุณไม่ได้มีประสบการณ์ที่น่าทึ่ง มันทำให้คุณไม่เห็นความงามในทุกสิ่งและไม่รู้สึกขอบคุณสำหรับที่ที่คุณอยู่ คุณสามารถทำลายความสุขของคุณได้ถ้าคุณใช้เวลาทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่ในภาพลวงตาของอนาคต
.
Naval พูดว่าเขาไม่เชื่ออะไรเลยจากอดีตของเขา ไม่มีความทรงจำ ไม่มีความเสียใจ ไม่มีคน ไม่มีการเดินทาง ไม่มีอะไรเลย ความทุกข์มากมายของเรามาจากการเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ จากอดีตกับปัจจุบัน
.
มีนิยามที่ยอดเยี่ยมที่ Naval เคยอ่านพบว่า "การตรัสรู้คือช่องว่างระหว่างความคิดของคุณ" มันหมายความว่าการตรัสรู้ไม่ใช่สิ่งที่คุณบรรลุหลังจากนั่งบนภูเขาสามสิบปี มันเป็นสิ่งที่คุณสามารถบรรลุได้ทีละช่วงเวลา และคุณสามารถตรัสรู้ได้ในระดับหนึ่งทุกวัน
.
.
14. ความปรารถนาคือสัญญาที่คุณทำกับตัวเองเพื่อไม่มีความสุข
.
Naval คิดว่าความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดของมนุษยชาติคือการเชื่อว่าคุณจะมีความสุขเพราะสถานการณ์ภายนอกบางอย่าง เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันเป็นปัญญาพื้นฐานของพุทธศาสนา แต่เขารู้สึกได้ว่ามันเป็นความจริงในระดับนึง รวมถึงในตัวเขาเอง
.
พวกเขาซื้อรถใหม่ ตอนนี้เขารอรถใหม่มาถึง แน่นอนว่าทุกคืนเขาอยู่ในฟอรัมอ่านเกี่ยวกับรถ ทำไม? มันเป็นแค่วัตถุไร้สาระ มันเป็นแค่รถไร้สาระ มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขามากมาย เขารู้ว่าในทันทีที่รถมาถึง เขาจะไม่สนใจมันอีกต่อไป ปัญหาคือเขาติดกับความปรารถนา เขาติดกับความคิดว่าสิ่งภายนอกนี้จะนำมาซึ่งความสุขและความสุขบางอย่างให้เขา และนี่เป็นภาพลวงตาที่สมบูรณ์
.
การมองหาอะไรนอกตัวคุณเองบางครั้งอาจเป็นภาพลวงตา ไม่ใช่ว่าคุณไม่ควรทำสิ่งต่างๆ ภายนอก คุณควรอย่างแน่นอน คุณเป็นสิ่งมีชีวิต มีสิ่งที่คุณต้องทำ แต่ความคิดที่ว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโลกภายนอกและมันจะนำความสงบมาให้ ความสุขนิรันดร์ และความสุขที่คุณสมควรได้รับมาให้ เป็นภาพลวงตาพื้นฐานที่เราทุกคนทนทุกข์ทรมาน รวมทั้ง Naval
.
ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือการพูดว่า "โอ้ ฉันจะมีความสุขเมื่อฉันได้สิ่งนั้น" ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม นั่นคือความผิดพลาดพื้นฐานที่เราทุกคนทำตลอด
.
ความปรารถนาคือสัญญาที่คุณทำกับตัวเองว่าจะไม่มีความสุขจนกว่าคุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ Naval ไม่คิดว่าเราส่วนใหญ่ตระหนักว่านั่นคือสิ่งที่มันเป็น เราเดินไปรอบๆ ปรารถนาสิ่งต่างๆ ตลอดทั้งวันแล้วสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่มีความสุข
.
เขาชอบตระหนักถึงเรื่องนี้เพราะมันทำให้เขาสามารถเลือกความปรารถนาของเขาอย่างระมัดระวังมาก เขาพยายามไม่ให้มีความปรารถนาใหญ่ในชีวิตของเขามากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาใดก็ตาม และเขายังตระหนักด้วยว่ามันคือแกนของความทุกข์ของเขา เขาตระหนักถึงพื้นที่ที่เขาเลือกที่จะไม่มีความสุข
.
.
15. ความสำเร็จไม่ได้ซื้อความสุข
.
Naval มีเพื่อนคนเปอร์เซียชื่อ Behzad ที่เขาคิดว่าประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่เพราะเขามีเงินหรือมีชื่อเสียง แต่เพราะเขาไม่ต้องการอะไรจากใครเลย เขาสงบ เขาสุขภาพดี และไม่ว่าเขาจะทำเงินได้มากหรือน้อยกว่าคนอื่นไม่มีผลต่อสภาวะทางจิตของเขา
.
Naval พูดถึงพระพุทธเจ้าหรือ Krishnamurti ซึ่งเป็นคนที่เขาชอบอ่าน พวกเขาประสบความสำเร็จในความหมายที่ว่าพวกเขาออกจากเกมทั้งหมด การชนะหรือแพ้ไม่สำคัญสำหรับพวกเขา
.
มีบรรทัดหนึ่งจาก Blaise Pascal ที่ Naval อ่าน มันพูดโดยพื้นฐานว่าปัญหาทั้งหมดของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะเขาไม่สามารถนั่งในห้องอย่างเงียบๆ ได้ ถ้าคุณสามารถนั่งสามสิบนาทีและมีความสุขได้ คุณประสบความสำเร็จแล้ว นั่นคือสถานที่ที่ทรงพลังมากที่จะอยู่ แต่มีคนเพียงไม่กี่คนที่ไปถึงจุดนั้น
.
Naval คิดว่าความสุขเป็นคุณสมบัติที่เกิดขึ้นจากความสงบ ถ้าคุณสงบทั้งภายในและภายนอก นั่นจะนำไปสู่ความสุขในที่สุด แต่ความสงบเป็นสิ่งที่หายากมาก ความขัดแย้งคือวิธีที่เราส่วนใหญ่พยายามหาความสงบคือผ่านสงคราม เมื่อคุณเริ่มธุรกิจ คุณกำลังไปสู่สงคราม เมื่อคุณต่อสู้กับเพื่อนร่วมห้องว่าใครควรล้างจาน คุณกำลังไปสู่สงคราม คุณกำลังต่อสู้เพื่อให้คุณมีความปลอดภัยและความสงบในภายหลัง
.
ในความเป็นจริง ความสงบไม่ใช่สิ่งที่รับประกันได้ มันไหลอยู่เสมอ มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คุณต้องการเรียนรู้ทักษะหลักของการไหลไปกับชีวิตและยอมรับมันในกรณีส่วนใหญ่
.
.
16. ความอิจฉาคือศัตรูของความสุข
.
ความอิจฉาเป็นอารมณ์ที่ยากมากสำหรับ Naval ที่จะเอาชนะ เมื่อตอนเขายังเด็ก เขามีความอิจฉามาก แต่ค่อยๆ เขาเรียนรู้ที่จะกำจัดมัน มันยังคงโผล่ขึ้นมาเป็นครั้งคราว มันเป็นอารมณ์ที่เป็นพิษเพราะในที่สุดแล้ว คุณไม่ได้ดีขึ้นด้วยความอิจฉา คุณไม่มีความสุข และคนที่คุณอิจฉายังคงประสบความสำเร็จหรือดูดีหรือไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอะไรก็ตาม
.
วันหนึ่ง Naval ตระหนักได้กับคนทั้งหมดที่เขาอิจฉา ว่าเขาไม่สามารถเลือกเพียงแง่มุมเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตพวกเขาได้ เขาไม่สามารถพูดว่าเขาต้องการร่างกายของเขา เงินของเธอ บุคลิกของเขา คุณต้องเป็นคนนั้น คุณต้องการจริงๆ ที่จะเป็นคนนั้นกับปฏิกิริยาทั้งหมดของพวกเขา ความปรารถนาของพวกเขา ครอบครัวของพวกเขา ระดับความสุขของพวกเขา มุมมองต่อชีวิตของพวกเขา ภาพลักษณ์ของตนเองของพวกเขาหรือไม่ ถ้าคุณไม่เต็มใจที่จะทำการแลกเปลี่ยนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์กับคนที่เป็นคนนั้น ก็ไม่มีประเด็นที่จะอิจฉา
.
เมื่อ Naval มาถึงการตระหนักนี้ ความอิจฉาก็จางหายไปเพราะเขาไม่ต้องการเป็นใครอื่น เขามีความสุขอย่างสมบูรณ์แบบที่เป็นตัวเอง อนึ่ง แม้แต่นั้นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา การมีความสุขที่เป็นตัวเองมันแค่ไม่มีรางวัลทางสังคม
.
.
17. การยอมรับคือเส้นทางสู่ความสุข
.
Naval บอกว่าในทุกสถานการณ์ในชีวิต คุณมีสามทางเลือกเสมอ คุณสามารถเปลี่ยนมัน คุณสามารถยอมรับมัน หรือคุณสามารถออกจากมัน
.
ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนมัน มันคือความปรารถนา มันจะทำให้คุณทุกข์จนกว่าคุณจะเปลี่ยนมันได้สำเร็จ ดังนั้นอย่าเลือกมากเกินไป เลือกความปรารถนาใหญ่อันหนึ่งในชีวิตคุณในเวลาใดก็ตามเพื่อให้คุณมีจุดประสงค์และแรงจูงใจ
.
ทำไมไม่ใช่สองอัน? คุณจะฟุ้งซ่าน แม้แต่หนึ่งอันก็ยากพอแล้ว การสงบสุขมาจากการมีจิตใจของคุณปราศจากความคิด และความชัดเจนมากมายมาจากการอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน มันยากมากที่จะอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบันถ้าคุณคิดว่าฉันต้องทำสิ่งนี้ ฉันต้องการสิ่งนั้น สิ่งนี้ต้องเปลี่ยน
.
อีกครั้ง คุณมีสามทางเลือกเสมอ คุณสามารถเปลี่ยนมัน คุณสามารถยอมรับมัน หรือคุณสามารถออกจากมัน สิ่งที่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีคือการนั่งรอบๆ ปรารถนาว่าคุณจะเปลี่ยนมันแต่ไม่เปลี่ยนมัน ปรารถนาว่าคุณจะออกจากมันแต่ไม่ออกจากมัน และไม่ยอมรับมัน การต่อสู้หรือความไม่ชอบนั้นเป็นความทุกข์ส่วนใหญ่ของเรา วลีที่ Naval ใช้กับตัวเองในหัวมากที่สุดคือเพียงคำเดียว “ยอมรับ”
.
การยอมรับคืออะไรสำหรับคุณ? มันคือการโอเคไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอะไร มันคือการสมดุลและเป็นศูนย์กลาง มันคือการก้าวถอยหลังและเห็นแผนการที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งต่างๆ
.
เราไม่ได้รับในสิ่งที่เราต้องการเสมอ ยิ่งคุณยอมรับมันเป็นความจริงเร็วเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งปรับตัวกับมันได้เร็วเท่านั้น การบรรลุการยอมรับนั้นยากมาก Naval มีสองสามวิธีที่เขาลอง แต่เขาไม่อยากพูดว่าพวกมันประสบความสำเร็จทั้งหมด
.
วิธีหนึ่งคือการก้าวถอยหลังและมองความทุกข์ที่ผ่านมาในชีวิตของเขา เขาเขียนมันลงมา ครั้งสุดท้ายที่คุณเลิกกับใครบางคน ครั้งสุดท้ายที่คุณมีความล้มเหลวทางธุรกิจ ครั้งสุดท้ายที่คุณมีปัญหาสุขภาพ เกิดอะไรขึ้น เขาสามารถติดตามการเติบโตและการปรับปรุงที่มาจากมันหลายปีต่อมา
.
Naval มีอีกวิธีที่เขาใช้สำหรับความรำคาญเล็กน้อย เมื่อพวกมันเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งของเขาจะตอบสนองเชิงลบทันที แต่เขาได้เรียนรู้ที่จะถามตัวเองในใจว่าอะไรคือสิ่งบวกของสถานการณ์นี้
.
“โอเค ฉันจะไปประชุมสาย แต่ประโยชน์สำหรับฉันคืออะไร ฉันได้ผ่อนคลายและดูนกสักครู่ ฉันจะใช้เวลาในการประชุมที่น่าเบื่อนั้นน้อยลง มีบางอย่างเชิงบวกเกือบเสมอ”
.
แม้ว่าคุณจะคิดบางอย่างเชิงบวกไม่ได้ คุณสามารถพูดว่าจักรวาลกำลังจะสอนฉันบางอย่างตอนนี้ ตอนนี้ฉันได้ฟังและเรียนรู้
.
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุด Naval อยู่ในงานหนึ่ง และหลังจากนั้นมีคนถล่มกล่องข้อความของเขาจนท่วมไปด้วยรูปภาพทั้งหมดที่พวกเขาถ่าย
.
มีการตัดสินเล็กน้อยทันทีว่าเอาเถอะ คุณไม่สามารถเลือกเพียงไม่กี่รูปที่ดีที่สุดได้เหรอ ใครส่งรูปร้อยรูป แต่ทันทีเขาถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งบวก ด้านบวกคือเขาได้เลือกรูปที่เขาชอบห้ารูป เขาได้ใช้การตัดสินของเขา
.
ในปีที่ผ่านมา ด้วยการฝึกฝนวิธีนี้เพียงพอ Naval จัดการที่จะไปจากการใช้เวลาสองสามวินาทีในการคิดถึงการตอบสนอง ไปสู่ตอนนี้สมองของเขาทำมันเกือบจะทันที นั่นคือนิสัยที่คุณสามารถฝึกตัวเองให้ทำได้
.
.
18. การโอบกอดความตาย
.
Naval บอกว่ามันสรุปลงมาที่การโอบกอดความตาย ความตายคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับคุณ เมื่อคุณมองที่ความตายของคุณและคุณยอมรับมัน แทนที่จะวิ่งหนีจากมัน มันจะนำความหมายที่ยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตของคุณ เราใช้ชีวิตมากมายพยายามหลีกเลี่ยงความตาย สิ่งที่เราต่อสู้มากมายสามารถจัดประเภทเป็นการแสวงหาความเป็นอมตะ
.
บางทีคุณจะมีลูก ถ้าคุณเป็นศิลปิน จิตรกร หรือนักธุรกิจ คุณจะต้องการทิ้งมรดกไว้ข้างหลัง แต่สิ่งที่ควรรู้ เราทุกคนจะหายไป ลูกของเราจะหายไป ผลงานของเราจะเป็นฝุ่น อารยธรรมของเราจะเป็นฝุ่น โลกของเราจะเป็นฝุ่น ระบบสุริยะของเราจะเป็นฝุ่น ในแผนการที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งต่างๆ จักรวาลอยู่มาสิบพันล้านปี มันจะอยู่อีกเจ็ดสิบพันล้านปีจนกว่าจะถึงความตายความร้อนของจักรวาล
.
ชีวิตของคุณคือการกะพริบของหิ่งห้อยในคืน คุณอยู่ที่นี่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าคุณยอมรับอย่างเต็มที่ถึงความไร้ประโยชน์ของสิ่งที่คุณกำลังทำ Naval คิดว่ามันสามารถนำความสุขและความสงบที่ยิ่งใหญ่มาให้ เพราะคุณตระหนักว่านี่คือเกม แต่มันเป็นเกมที่สนุก สิ่งเดียวที่สำคัญคือคุณประสบความเป็นจริงของคุณเมื่อคุณผ่านชีวิต ทำไมไม่ตีความมันในทางบวกที่สุดที่เป็นไปได้
.
.
19. ความรับผิดชอบต่อตัวเอง
.
Naval เริ่มส่วนนี้ด้วยข้อความที่ทรงพลัง หมอจะไม่ทำให้คุณแข็งแรง นักโภชนาการจะไม่ทำให้คุณผอม ครูจะไม่ทำให้คุณฉลาด กูรูจะไม่ทำให้คุณสงบ ผู้ให้คำปรึกษาจะไม่ทำให้คุณรวย เทรนเนอร์จะไม่ทำให้คุณฟิต ท้ายที่สุดแล้ว คุณต้องรับผิดชอบ ชีวิตตัวเองให้รอด
.
นี่เป็นธีมหลักตลอดหนังสือเล่มนี้ ไม่มีใครจะช่วยคุณได้ดีเท่าที่คุณจะช่วยตัวเอง คนอื่นสามารถชี้ทาง ให้เครื่องมือ เสนอความรู้ แต่การทำจริงต้องมาจากคุณเอง Naval ไม่เคยพบเมนเทอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เขาต้องการอย่างมากที่จะเป็นเหมือนตัวเขาเอง
.
ไม่มีใครในโลกจะเอาชนะคุณในการเป็นคุณได้ คุณจะไม่มีทางเก่งในการเป็นเขาเท่ากับเขา เขาจะไม่มีทางเก่งในการเป็นคุณเท่ากับคุณ แน่นอน ฟังและซึมซับ แต่อย่าพยายามเลียนแบบ การเลียนแบบอย่างสมบูรณ์เป็นภารกิจของคนโง่ แต่ละคนมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในบางสิ่ง พวกเขามีความรู้เฉพาะ ความสามารถ และความปรารถนาที่ไม่มีใครอื่นในโลกมี เพียงแค่จากการรวมกันของ DNA ของมนุษย์และการพัฒนา
.
การรวมกันของ DNA และประสบการณ์ของมนุษย์น่าตกตะลึง คุณจะไม่มีวันพบมนุษย์สองคนที่สามารถแทนที่กันได้ เป้าหมายของคุณในชีวิตคือการหาคน ธุรกิจ โครงการ หรือศิลปะที่ต้องการคุณมากที่สุด
.
Scott Adams เคยบอกว่าเราควรตั้งระบบ ไม่ใช่เพียงเป้าหมาย ใช้วิจารณญาณของคุณเพื่อคิดออกว่าชนิดของสภาพแวดล้อมไหนที่คุณสามารถเจริญเติบโตได้ และจากนั้นสร้างสภาพแวดล้อมรอบๆ คุณเพื่อให้คุณมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จทางสถิติ
.
สภาพแวดล้อมปัจจุบันโปรแกรมสมอง แต่สมองที่ฉลาดสามารถเลือกสภาพแวดล้อมที่กำลังจะมา
.
Naval จะไม่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนโลก เขาก็ไม่ต้องการเป็น เขาแค่ต้องการเป็นเวอร์ชันที่ประสบความสำเร็จที่สุดของตัวเองในขณะที่ทำงานหนักน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เขาอาจไม่ได้ชนะชีวิตในทุกแง่มุม แต่เขาตั้งระบบเพื่อให้เขาล้มเหลวได้น้อยมาก
.
.
20. การไม่ยึดติดอัตลักษณ์เพื่อความคิดที่ชัดเจน
.
มีบางสิ่งที่ลึกลับและร้ายกาจยิ่งกว่าอคติ มันคือการยึดติดกับ “ตัวตน” ที่เราสร้างขึ้นเองตลอดเวลา ทุกคนต่างก่อร่างอัตลักษณ์ขึ้นมาเหมือนเปลือกหอย ปกป้องตัวเองจากความไม่แน่นอนของโลก แต่เปลือกนี้เองกลับทำให้เรามองไม่เห็นความจริงตรงหน้า Naval จึงมักเตือนว่า ถ้าอยากคิดได้อย่างแจ่มชัด สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “Shed Identity” หรือการสลัดอัตลักษณ์ออกไปให้ได้
.
“การสลัดอัตลักษณ์ไม่ใช่การทำลายความเป็นตัวเรา” แต่คือการถอยห่างจากป้ายชื่อที่เราติดไว้กับตัวเองตลอดเวลา เช่น “ฉันเป็นนักธุรกิจ” “ฉันเป็นนักลงทุน” หรือแม้แต่ “ฉันเป็นคนฉลาด” ป้ายเหล่านี้สร้างกำแพงบางๆ ที่บังการตัดสินใจของเราให้เบี่ยงเบนจากความจริง เพราะเมื่อใดที่เรายึดมั่นกับอัตลักษณ์ เราก็เริ่มปฏิเสธข้อมูลที่ขัดแย้งกับมัน ถ้าใครบอกว่าธุรกิจที่เรารักอาจล้มเหลว เราจะปฏิเสธทันทีเพราะ “ฉันคือผู้ประกอบการที่ต้องชนะ” มากกว่าจะมองข้อเท็จจริงด้วยสายตาเปล่า
.
Naval เปรียบสิ่งนี้เหมือนกับการใส่แว่นสีเข้มตลอดเวลา โลกทั้งใบจึงดูมืด แม้แสงแดดภายนอกจะสว่างสักเพียงใดก็ตาม การปลดแว่นนั้นออกคือการสลัดตัวตน เมื่อไรที่ทำได้ เราจึงเริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ผ่านเลนส์ที่เราอยากเชื่อ
.
ลองนึกถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ยึดติดกับทฤษฎีของตนเอง เขาใช้เวลาหลายสิบปีสร้างชื่อเสียง ผลงาน และงานวิจัย จนกลายเป็นอัตลักษณ์ว่า “ฉันคือเจ้าของทฤษฎีนี้” แต่วันหนึ่งข้อมูลใหม่ๆ ปรากฏขึ้น ขัดแย้งกับสิ่งที่เขาเคยเสนอ หากเขายึดติดกับตัวตน เขาจะมองไม่เห็นความจริงนั้น และปิดประตูการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ตรงกันข้าม นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง มักเป็นผู้ที่สามารถละทิ้งอัตลักษณ์ ยอมรับความผิดพลาด และเปลี่ยนทิศทางได้เสมอ
.
Naval จึงย้ำว่า การคิดชัดเจนเริ่มต้นที่การปล่อยวางความเป็นใคร แล้วเหลือเพียงการมองโลกตามที่มันเป็น ไม่ใช่ตามที่เราปรารถนาให้มันเป็น
.
.
21. Mental Models เป็นเครื่องมือของการมองโลก
.
แต่การถอดตัวตนออกไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินลอยเคว้งอยู่ในสุญญากาศแห่งความจริง เพราะความจริงนั้นกว้างใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่า มนุษย์จึงต้องอาศัย “กรอบความคิด” หรือ “Mental Models” เป็นแว่นสายตาชนิดใหม่ที่ไม่ได้บิดเบือนโลก แต่ช่วยให้เราจัดระเบียบสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น
.
Naval เชื่อว่า “การสะสม Mental Models คือเส้นทางสู่ Judgment ที่ดี” นักคิดอย่าง Charlie Munger เรียกสิ่งนี้ว่า “Latticework of Mental Models” โครงข่ายกรอบความคิดที่ขึงไว้ในสมองเหมือนใยแมงมุม ยิ่งใยละเอียดมากเท่าไร สิ่งที่ผ่านเข้ามาก็ยิ่งถูกกรองและเก็บเกี่ยวได้แม่นยำมากขึ้น
.
ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ “เศรษฐศาสตร์จุลภาค” ช่วยให้เราเข้าใจกลไกอุปสงค์-อุปทาน การเรียนรู้ “Game Theory” ทำให้เราเห็นรูปแบบการแข่งขันและความร่วมมือ การเข้าใจ “จิตวิทยา” เปิดเผยอคติของมนุษย์ที่บิดเบือนการตัดสินใจ หรือแม้แต่ “คณิตศาสตร์พื้นฐาน” ก็กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราแยกแยะความน่าจะเป็นออกจากความเชื่อโชคลาง
.
Naval มักกล่าวว่า “There is no skill called business.” สิ่งที่เราเรียกว่า “ธุรกิจ” เป็นเพียงผลรวมของหลาย ๆ วิชา เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา การโน้มน้าวใจ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ถ้าเราคิดว่า “ธุรกิจ” คือทักษะแบบหนึ่ง เราจะถูกจำกัดอยู่กับวิธีการที่ตายตัว แต่หากเรามองว่า “ธุรกิจ” คือสนามที่ให้เราใช้ Mental Models มาประยุกต์ มันจะเปิดกว้างแบบไร้ขอบเขต
.
แต่ Mental Models ไม่ได้เกิดจากการนั่งฝันกลางวัน มันต้องอาศัยเชื้อเพลิง และเชื้อเพลิงนั้นก็คือ “การอ่าน”
.
.
22. การเรียนรู้ คือเชื้อเพลิงที่จุดไฟแห่งการเติบโต
.
Naval มักพูดว่าทักษะที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือการกลายเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ไม่ใช่สิ่งที่เราทำเพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุด ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ภายในเก้าถึงสิบสองเดือนนั้นมีค่ามากกว่าการที่คุณเคยเรียนอะไรมานานแค่ไหน
.
รูปแบบเก่าของการทำเงินคือไปโรงเรียนสี่ปี รับปริญญา แล้วทำงานเป็นมืออาชีพสามสิบปี แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้คุณต้องเรียนรู้อาชีพใหม่ภายในเก้าเดือน แล้วมันก็ล้าสมัยไปในสี่ปีถัดมา แต่ภายในช่วงสามปีที่มันยังมีประโยชน์นั้น คุณสามารถสร้างความมั่งคั่งได้มหาศาล
.
สิ่งที่ Naval เน้นคือความสำคัญของรากฐาน เขาคิดว่าการเป็นเซียนในเลขคณิตและเรขาคณิตดีกว่าการรู้คณิตศาสตร์ขั้นสูงแบบผิวเผิน การสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษธรรมดาได้ชัดเจนสำคัญกว่าการมีคำศัพท์มากมายหรือพูดภาษาต่างประเทศเจ็ดภาษา รากฐานที่แข็งแรงคือกุญแจสำคัญ ดีกว่าที่จะเก่งในรากฐานอยู่ที่ระดับเก้าหรือสิบจากสิบ มากกว่าพยายามเจาะลึกสิ่งต่างๆ มากเกินไป
.
Naval อ่านหนังสือเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่แท้จริง ไม่ใช่เพราะอยากให้ใครประทับใจ เขาอาจอ่านหนังสือสิบเล่มพร้อมกัน เปิดไปเปิดมาตามอารมณ์ ถ้าหนังสือเล่มไหนน่าเบื่อ เขาก็ข้ามไปอ่านส่วนอื่นหรือทิ้งไปเลย เขาไม่รู้สึกผิดที่อ่านเล่มนั้นไม่จบ เพราะชีวิตสั้นเกินกว่าจะเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ดึงดูดใจเรา
.
ความรู้หลากหลายของ Naval ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ เศรษฐศาสตร์ ไปจนถึงปรัชญาและจิตวิทยา ไม่ได้กระจัดกระจายไร้ทิศทาง มันเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายความคิดที่ทรงพลัง เมื่อเผชิญปัญหาในการลงทุน เขาอาจใช้หลักการจากจิตวิทยาหรือวิวัฒนาการมาช่วยคิด นี่คือพลังของการเรียนรู้แบบสหวิทยาการ มันสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจที่ทำให้เราไม่หักง่ายเมื่อโลกเปลี่ยน แต่โค้งงอไปกับลมแล้วกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง
.
.
23. อิสรภาพ คือจุดหมายปลายทาง
.
เราเรียนรู้และเติบโตเพื่ออะไร? Naval ตอบคำถามนี้ด้วยคำเดียว เพื่ออิสรภาพ แต่อิสรภาพในความหมายของเขาลึกซึ้งกว่าที่หลายคนคิด
.
ในวัยหนุ่ม Naval ต้องการ "freedom to" คืออิสรภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ไปไหนก็ได้ที่อยากไป แต่เมื่อโตขึ้น เขาค้นพบว่าอิสรภาพที่แท้จริงคือ "freedom from" คืออิสรภาพจากสิ่งที่กดขี่เรา อิสรภาพจากอารมณ์โกรธ อิสรภาพจากความเศร้า อิสรภาพจากการถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ
.
อิสรภาพที่แท้จริงไม่ใช่การมีเงินมากมาย ไม่ใช่การเดินทางรอบโลกโดยไม่มีเจ้านาย แต่คือความสามารถในการใช้เวลาและพลังงานของเราไปกับสิ่งที่เราคิดว่ามีค่าจริงๆ เป็นการปลดแอกจากการขายเวลาเพื่อเงิน เมื่อเราสร้างระบบหรือสินทรัพย์ที่ทำงานแทนเราได้ เวลาในชีวิตเราจึงเป็นของเราอย่างแท้จริง
.
Naval เคยพูดว่าคุณจะไม่รวยจากการขายเวลาของคุณออกไป เงินอาจได้มา แต่เวลาที่เสียไปไม่มีวันย้อนกลับ อิสรภาพจึงไม่ใช่เป้าหมายที่ไกลโพ้น แต่คือการออกแบบชีวิตให้เวลาที่เหลือมีค่ามากที่สุด เป็นการทำให้ทุกวินาทีมีความหมาย ไม่ใช่การรอวันที่จะมีอิสรภาพในอนาคต แต่เป็นการสร้างอิสรภาพตั้งแต่วันนี้
.
.
24. นิสัย คือเครื่องจักรอัตโนมัติแห่งความสุข
.
Naval เชื่อว่าความสุขเกิดจากนิสัยที่เราสร้างขึ้นทุกวัน มันไม่ได้มาจากการไล่ตามความสุขโดยตรง แต่มาจากการสร้างระบบที่ทำให้ความสุขเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
.
เขามองว่านิสัยเป็นเหมือนระบบอัตโนมัติของชีวิต เมื่อเราสร้างนิสัยที่ดี เราไม่ต้องใช้พลังใจมากในการบังคับตัวเอง ระบบจะพาเราไปสู่ความสุขโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิทุกเช้า การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ หรือการเข้านอนตรงเวลา นี่ล้วนเป็นนิสัยที่สร้างความสุขในระยะยาว
.
สิ่งสำคัญคือ Naval เน้นว่าทุกความปรารถนาคือการเลือกความไม่พอใจรูปแบบหนึ่ง เมื่อเราปรารถนาบางสิ่ง เราก็สร้างสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีความสุขจนกว่าจะได้สิ่งนั้น แต่ถ้าเราสร้างนิสัยที่ดี เราจะไม่ต้องสร้างความปรารถนาที่กัดกินจิตใจตลอดเวลา ความสุขจึงกลายเป็นสภาวะพื้นฐานของชีวิต มากกว่าเป้าหมายที่ต้องไล่ตาม
.
Naval พบว่าการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ช่วยให้อารมณ์มีเสถียรภาพมากขึ้น การไม่กินน้ำตาลก็เช่นกัน การไม่เล่น Facebook, Snapchat หรือ Twitter ช่วยให้จิตใจสงบขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นนิสัยที่เขาสร้างขึ้นทีละอย่างเพื่อเพิ่มความสุขในชีวิต ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงข้ามคืน แต่เป็นการปรับปรุงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในหลายปี
.
.
25. วงจรที่งดงามของชีวิต
.
เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เราจะเห็นภาพวงจรที่งดงาม การเรียนรู้ทำให้เราเติบโต การเติบโตทำให้เราสร้างคุณค่าและมีทางเลือกมากขึ้น การมีทางเลือกนำไปสู่อิสรภาพ และนิสัยที่ดีคือระบบที่ทำให้ความสุขกลายเป็นสิ่งธรรมชาติในชีวิตประจำวัน
.
วงจรนี้ไม่มีจุดจบ มันหมุนต่อไปเรื่อยๆ ทุกการเรียนรู้ใหม่ทำให้เราเติบโต ทุกการเติบโตสร้างอิสรภาพเพิ่ม ทุกอิสรภาพทำให้เรามีเวลาและพลังงานสร้างนิสัยที่ดีขึ้น และนิสัยเหล่านั้นก็กลับมาหล่อเลี้ยงการเรียนรู้และการเติบโตอีกครั้ง
.
Naval สอนเราว่าชีวิตไม่ใช่การวิ่งไปสู่เส้นชัย แต่เป็นการเดินทางที่เราออกแบบเองได้ ไม่ใช่การรอให้ความสุขมาหา แต่เป็นการสร้างระบบที่ทำให้ความสุขเกิดขึ้นเองทุกวัน ไม่ใช่การไล่ตามเงินเพื่อซื้ออิสรภาพในอนาคต แต่เป็นการสร้างอิสรภาพตั้งแต่วันนี้ผ่านการเรียนรู้ การเติบโต และการสร้างนิสัยที่ดี
.
ทุกคนเริ่มต้นจากจุดที่แตกต่างกัน แต่หลักการเหล่านี้ใช้ได้กับทุกคน Naval เองก็เริ่มต้นเป็นเด็กยากจนในอินเดีย แต่ด้วยการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง การสร้างอิสรภาพทีละก้าว และการปลูกฝังนิสัยที่ดี เขาสามารถสร้างชีวิตที่ทั้งมั่งคั่งและมีความสุขได้
.
.
===============================
.
#แอดขอจบด้วยเรื่องราวนี้ครับ
.
ในหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant มีตอนที่ Naval เล่าถึงเพื่อนชาวเปอร์เซียชื่อ Behzad ซึ่งเขายกย่องว่าเป็นตัวอย่างของ “คนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง” ไม่ใช่เพราะร่ำรวยหรือมีชื่อเสียง แต่เพราะเป็นคนที่ “ไม่ต้องการอะไรจากใครเลย”
.
ตอนนั้น Naval เล่าว่า Behzad เป็นคนที่รักชีวิตและไม่เสียเวลาอยู่กับคนที่ไม่มีความสุข เขาอธิบายแนวคิดชีวิตของตัวเองด้วยประโยคสั้น ๆ ที่กลายเป็นหนึ่งในประโยคที่โด่งดังที่สุดของหนังสือว่า
.
“Stop asking why and start saying wow.”
.
โลกนี้น่าพิศวงเกินกว่าที่เราจะเอาแต่ตั้งคำถามว่า “ทำไม” อยู่ตลอดเวลา เพราะมนุษย์เรามักชินกับการถือสิ่งต่างๆ ว่าเป็นของตาย ทั้งที่ในความจริง การที่เราได้นั่งในห้องอุ่น ๆ มีเสื้อผ้าใส่ ได้กินอิ่ม และสามารถพูดคุยกันผ่านกาลจักรวาลและกาลเวลา มันคือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งสิ้น
.
“The world is such an amazing place. As humans, we’re used to taking everything for granted... We should be two monkeys sitting in the jungle right now watching the sun going down, asking ourselves where we are going to sleep.”
.
Naval สรุปตอนนี้ไว้ว่า หากเราอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง เราจะมองเห็นความอุดมสมบูรณ์รอบตัวและเข้าใจว่าชีวิตมอบของขวัญให้เราอยู่แล้วตลอดเวลา
.
“I’m here now, and I have all these incredible things at my disposal.”
.
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ และฉันมีสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในกำมือของฉัน”
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ How to Be Better at Almost Everything เขียนโดย Pat Flynn

Next
Next

สรุปหนังสือ The Art of Spending Money: Simple Choices for a Richer Life และบทความอื่น ๆ ที่เขียนโดย Morgan Housel