สรุปหนังสือ The Art of Spending Money: Simple Choices for a Richer Life และบทความอื่น ๆ ที่เขียนโดย Morgan Housel

ก่อนจะเข้าเรื่องว่าจะ “Spending Money” อย่างไร แอดขอเริ่มจากเรื่องราวนี้ในหนังสือครับ
.
มอร์แกน เฮาเซล แบ่งปันเรื่องราวที่ได้ยินจากบาทหลวงท่านหนึ่งที่ใช้เวลาหลายสิบปีประกอบพิธีศาสนาครั้งสุดท้ายให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาล
.
ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้เห็นรูปแบบที่ชัดเจนว่าผู้คนกล่าว “คำอำลา” กับคนที่รักอย่างไร
.
เมื่อพ่อหรือแม่กำลังจะเสียชีวิต ลูกๆ มักมาหาบาทหลวงด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาถามว่าจะบอกลาคนที่มีความหมายกับชีวิตขนาดนี้ได้อย่างไร จะบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาสำคัญแค่ไหน
.
บาทหลวงแนะนำให้ลูกๆ เข้าไปในห้องทีละคน และขอบคุณพ่อแม่ที่กำลังจากไปสำหรับสิ่งหนึ่งที่พวกเขารู้สึกซาบซึ้งที่สุด
.
และนี่คือจุดที่น่าสนใจ
.
ในครอบครัวที่มีปัญหา ความสัมพันธ์ตึงเครียด บาทหลวงสังเกตว่าลูกๆ มักขอบคุณพ่อแม่สำหรับสิ่งที่ “ใช้เงินซื้อ”
.
พวกเขาขอบคุณที่ส่งเรียนมหาวิทยาลัย ขอบคุณที่ทำงานหาเงินเลี้ยงดู ขอบคุณที่ซื้อรถให้
.
.
แต่ในครอบครัวที่ดีที่สุด ครอบครัวที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ลูกๆ พูดประโยคเดียวกันทุกครั้ง
.
"ขอบคุณที่เชื่อในตัวผม"
.
.
==============================
.
1. ปรัชญาใน The Art of Spending Money
.
ในโลกของหนังสือการเงินส่วนบุคคลที่มีมากมายล้นหลาม เรามักจะจมอยู่กับคำแนะนำเรื่องการหาเงินให้ได้มากขึ้น การลงทุนอย่างชาญฉลาด และการสร้างความมั่งคั่ง
.
แต่กลับมีช่องว่างสำคัญที่ถูกมองข้ามในบทสนทนาเหล่านี้ นั่นคือ เราควรใช้จ่ายเงินที่หามาอย่างยากลำบากนั้นอย่างไรดี
.
มอร์แกน เฮาเซล ได้เติมเต็มช่องว่างสำคัญนี้ด้วยผลงานล่าสุด "The Art of Spending Money: Simple Choices for a Richer Life"
.
เหตุผลที่เฮาเซลเลือกตั้งชื่อหนังสือว่า "ศิลปะ" แทนที่จะเป็น "วิทยาศาสตร์" ของการใช้เงินนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจแนวทางของเขา วิทยาศาสตร์บ่งบอกถึงกฎเกณฑ์สากล สูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกคน
.
แต่การใช้เงินนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว มักขัดแย้งกันเอง และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล มันเป็น “ศิลปะ” ที่แปรผันไปตามค่านิยม ประสบการณ์ และแรงบันดาลใจของแต่ละคน
.
ในขณะที่มีงานวิจัยและคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการลงทุน การพัฒนาอาชีพ และการหาเงินเพิ่ม แต่กลับมีความสนใจน้อยมากในเรื่องการใช้จ่ายจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะสมมติฐานที่ว่าทุกคนรู้วิธีใช้เงินอยู่แล้ว
.
ภูมิปัญญาดั้งเดิมดูเหมือนจะบอกว่า ใช้เงินมากขึ้นแล้วคุณจะมีความสุขมากขึ้น แต่ดังที่เฮาเซลเผยให้เห็น จิตวิทยาของการใช้จ่ายนั้นมีความซับซ้อนหลายชั้น ทั้งความอิจฉา ความเขินอาย การแสวงหาความสนใจ และการไล่ตามมาตรฐานของสังคม
.
เฮาเซลสรุปหลักการพื้นฐาน 6 ข้อ
.
I. มีสองวิธีในการใช้เงิน
.
วิธีหนึ่งคือใช้เป็นเครื่องมือเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น อีกวิธีคือใช้เป็นมาตรวัดสถานะเพื่อเทียบกับคนอื่น หลายคนปรารถนาแบบแรกแต่ใช้ชีวิตไล่ตามแบบหลัง
.
II. เงินเป็นเครื่องมือที่คุณใช้ได้ แต่ถ้าไม่ระวัง มันจะใช้คุณ
.
มันจะใช้คุณอย่างไร้ความปราณีและบ่อยครั้งโดยที่คุณไม่รู้ตัว สำหรับหลายคน เงินเป็นทั้งสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สินทางจิตใจ ความโลภอย่างมืดบอดสามารถแย่งชิงอัตลักษณ์ ควบคุมบุคลิกภาพ และแทรกแซงส่วนของชีวิตที่นำความสุขมาให้มากกว่า
.
III. การใช้เงินซื้อความสุขได้ แต่มักเป็นเส้นทางอ้อม
.
เงินไม่ได้ซื้อความสุขโดยตรง แต่ช่วยให้คุณพบความเป็นอิสระและจุดมุ่งหมาย ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญของชีวิตที่มีความสุขถ้าคุณบ่มเพาะมัน บ้านหลังใหญ่อาจทำให้มีความสุข แต่ส่วนใหญ่เพราะมันทำให้ง่ายต่อการมีเพื่อนและครอบครัวมาเยี่ยม และเพื่อนกับครอบครัวต่างหากที่ทำให้คุณมีความสุข
.
IV. ความสุขที่ยั่งยืนอยู่ในความพอใจ
.
คนที่มีความสุขกับเงินมากที่สุดมักเป็นคนที่หาวิธีหยุดคิดถึงมันได้ คุณสามารถให้คุณค่า ชื่นชม หรือแม้แต่ประหลาดใจกับมัน แต่ถ้าเงินไม่เคยออกจากความคิดคุณ มันน่าจะกลายเป็นความหมกมุ่นที่ควบคุมคุณ
.
V. ถ้าคุณสับสนว่าชีวิตที่ดีกว่าจะเป็นอย่างไร "ชีวิตที่มีเงินมากขึ้น" เป็นคำตอบง่ายๆ
.
แต่นั่นอาจปิดบังปัญหาที่ลึกกว่า เงินเป็นรูปธรรมมากจนเป็นเป้าหมายที่ง่ายต่อการแสวงหา และการไล่ตามมันอาจกลายเป็นเส้นทางแห่งความต้านทานน้อยที่สุดสำหรับคนที่ยังไม่ค้นพบว่าอะไรหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณที่แท้จริง
.
VI. ทุกคนสามารถใช้เงินในแบบที่ทำให้มีความสุขขึ้น แต่ไม่มีสูตรสากล
.
สิ่งดีๆ ที่ทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขอาจดูบ้าสำหรับคุณ และในทางกลับกัน การโต้เถียงเรื่องไลฟ์สไตล์ที่ควรมีมักเป็นแค่คนที่มีบุคลิกต่างกันพูดข้ามหูกัน Luke Burgis กล่าวว่า หลังจากตอบสนองความต้องการพื้นฐานในฐานะสิ่งมีชีวิต เราเข้าสู่จักรวาลแห่งความปรารถนาของมนุษย์ และการรู้ว่า “อยาก” ได้อะไรนั้น ยากกว่าการรู้ว่า “ต้องการ” อะไรมาก
.
.
2. ปัจจัยพื้นฐานของความสุขตาม Carl Jung
.
Carl Jung นักจิตวิทยาผู้มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งเคยถูกถามว่า "อะไรคือปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้จิตใจมนุษย์มีความสุข" เขาตอบว่า
.
I. สุขภาพกายและใจที่ดี
.
II. ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีและใกล้ชิด เช่น การแต่งงาน ครอบครัว มิตรภาพ
.
III. ความสามารถในการรับรู้ความงามในศิลปะและธรรมชาติ
.
IV. มาตรฐานการใช้ชีวิตที่เหมาะสมและงานที่น่าพอใจ
.
V. มุมมองทางปรัชญาหรือศาสนาที่สามารถรับมือกับความผันผวนของชีวิตได้
.
เฮาเซลชี้ให้เห็นว่าการมีเงินอาจส่งผลต่อบางข้อเหล่านี้ แต่เงิน โดยเฉพาะเงินจำนวนมากเกินไป ไม่ใช่หนึ่งในปัจจัยเหล่านี้
.
พ่อแม่หลายคนที่ไล่ตามเงินและสถานะในชีวิตตัวเอง กลับหวังให้ลูกมีความสุขมากกว่าความสำเร็จ บางทีเหตุผลที่พ่อแม่ปรารถนาความสุขมากกว่าความสำเร็จให้ลูกก็เพราะพวกเขาได้เห็นด้านมืดของการไล่ตามสิ่งหนึ่งโดยมองข้ามอีกสิ่งหนึ่งมาก่อนแล้ว
.
.
3. Utility vs Status
.
เฮาเซลเล่าว่าเขาเคยได้ยินใครคนหนึ่งบอกว่า Toyota ระดับบนเป็นรถที่ดีกว่า BMW ระดับเริ่มต้น เพราะ Toyota เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้การขับขี่สะดวกสบายขึ้น - เบาะนวด ระบบเสียงดีเยี่ยม ซันรูฟ ในขณะที่ BMW ระดับล่างส่วนใหญ่เป็นแค่ "สิทธิ์ในการอวด"
.
Toyota ที่มีออพชั่นครบมี Utility - มันทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น คุณเป็นเจ้าของมันเพื่อตัวคุณเอง
.
BMW ระดับล่างมี Status - มันอาจเปลี่ยนความคิดของคนอื่นที่มีต่อคุณ คุณเป็นเจ้าของมันเพื่อคนอื่นและความสนใจของพวกเขา
.
เฮาเซลเสนอวิธีคิดที่น่าสนใจ "ถ้าครอบครัวคุณติดอยู่บนเกาะร้างที่ไม่มีใครเห็นเรา และเราสามารถมีสิ่งของที่ต้องการได้ เราจะเลือกอะไร?"
.
ในสถานการณ์นั้น คุณจะให้คุณค่า Utility มากกว่า Status ทันที
.
เงินคือกระจกสะท้อนตัวตน เพื่อสิ่งที่คุณอยากมี และชดเชยสิ่งที่คุณไม่มี
.
นึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าตอนเช้า การเลือกชุดที่จะใส่ในวันนั้นบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ แต่การใช้เงินของเรายิ่งบอกเรื่องราวได้ชัดเจนกว่านั้นอีก มันเหมือนไดอารี่ที่เปิดเผยว่าเราให้ความสำคัญกับอะไรจริงๆ
.
คนที่ขับรถไฟฟ้าเทสลาราคา 3 ล้านบาทอาจไม่ได้แค่ต้องการรถ แต่ต้องการบอกโลกว่าเขาชื่นชอบนวัตกรรม ขณะที่เพื่อนบ้านที่ขับรถญี่ปุ่นราคา 1 ล้านบาท แม้มีรายได้ใกล้เคียงกัน อาจกำลังบอกว่า "รถสำหรับผมคือแค่ที่นั่งสี่ล้อ เงินที่เหลือผมเอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า" บางทีเขาอาจใช้เงินส่วนนั้นไปเที่ยวกับครอบครัว ลงทุนในตลาดหุ้น หรือเก็บไว้เพื่อความมั่นคง
.
แต่ความซับซ้อนเกิดขึ้นเมื่อเรื่องราวที่เงินเล่าไม่ใช่เรื่องของเราเอง เมื่อเราซื้อของไม่ใช่เพราะต้องการจริงๆ แต่เพราะอยากให้คนอื่นเห็นว่าเรา "ทำได้แล้ว" หรือ "ประสบความสำเร็จ" นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงิน
.
เฮาเซลชี้ให้เห็นความแตกต่างสำคัญ การใช้จ่ายที่มาจากค่านิยมภายในจะยั่งยืนและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราซื้อบ้านเพราะต้องการพื้นที่สำหรับครอบครัวจริงๆ ซื้อรถเพราะต้องการความปลอดภัยและความสะดวก ไปเที่ยวเพราะต้องการใช้เวลากับคนที่รัก - ความพึงพอใจที่ได้จะคงอยู่แม้สถานการณ์เปลี่ยน
.
แต่การใช้จ่ายที่ตอบสนองสายตาสังคมจะเปราะบาง พร้อมพังทลายเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เพราะมันไม่ได้มาจากข้างใน แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินจากข้างนอกที่เราควบคุมไม่ได้
.
ความแตกต่างกับด้านอื่นๆ ของชีวิต เช่น “ความฟิตทางกาย” นั้นมองเห็นได้ทันที คุณสามารถเห็นรูปร่างของใครบางคนและรู้ว่าพวกเขาอยู่ในรูปร่างที่ดีหรือไม่ การมองเห็นนี้ทำให้เราสามารถระบุต้นแบบ ถามเกี่ยวกับกิจวัตรของพวกเขา และเรียนรู้จากความสำเร็จของพวกเขา
.
แต่ด้าน “ความมั่งคั่ง” เฟอร์รารี่หรือคฤหาสน์อาจแสดงถึงภาพของความสำเร็จหรือภาพเหมือนของการก่อหนี้ที่อันตราย คนที่อวดทรัพย์สินราคาแพงอาจไม่ได้นอนมาหลายสัปดาห์แล้ว ถูกความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชำระค่าผ่อนรถครั้งต่อไปกลืนกิน
.
การมองไม่เห็นนี้สร้างมุมมองที่บิดเบือนว่าเราควรเอาอย่างใครและควรแสวงหาอะไร เราไล่ตามสัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ของความมั่งคั่งโดยไม่เข้าใจว่ามันแสดงถึงความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริงหรือเพียงภาพลวงตา
.
.
4. ความเชื่อมโยงระหว่างความสุขกับเงิน
.
งานวิจัยทางวิชาการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเงินและความสุขเผยความจริงที่ละเอียดอ่อนที่ท้าทายสมมติฐานทั่วไป หนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุดคือความสามารถของเงินในการเพิ่มความสุขไม่ใช่สากล แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใครก่อนที่เงินจะมาถึง หากคุณเป็นคนที่มีความสุขอยู่แล้ว มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง สุขภาพดี และมีงานที่น่าพอใจ เงินเพิ่มเติมสามารถทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นได้จริง มันกลายเป็นเครื่องมือในการขยายและเสริมด้านบวกของชีวิตที่มีอยู่แล้ว
.
การศึกษาที่มีชื่อเสียงของพรินซ์ตันที่ระบุเกณฑ์ความสุข ชี้ให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
.
เมื่อผ่านจุดของความมั่นคงทางการเงินแล้ว ความสุขที่เพิ่มขึ้นจากรายได้เพิ่มเติมไม่ได้มาจากความมั่งคั่งสัมบูรณ์ แต่มาจากความมั่งคั่งสัมพัทธ์ - คุณมีมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับคนรอบข้าง นี่อธิบายว่าทำไมมหาเศรษฐียังคงแข่งขันกันเรื่องเรือยอชต์ ทีมกีฬา และคอลเลกชันงานศิลปะ พวกเขาไม่ได้แสวงหาความสุขจากวัตถุเอง แต่จากตำแหน่งของพวกเขาเมื่อเทียบกับคนอื่น
.
ผลกระทบในทางปฏิบัตินั้นลึกซึ้ง มื้อเย็นราคา 15,000 บาทไม่ค่อยทำให้คุณมีความสุขมากกว่ามื้อเย็นราคา 3,000 บาทถึงห้าเท่า กฎของผลตอบแทนที่ลดลงนั้นมีผลอย่างมากต่อการบริโภคของฟุ่มเฟือย
.
อย่างไรก็ตาม การใช้เงินจำนวนเดียวกันเพื่อสร้างประสบการณ์กับคนที่รัก เพื่อซื้อเวลากลับมาจากงานที่น่าเบื่อ หรือเพื่อลดความเครียดและเพิ่มอิสรภาพ สามารถสร้างความพึงพอใจในชีวิตในรูปแบบที่ยั่งยืนเกินกว่าราคาที่จ่ายไป
.
.
5. เส้นทางมักจะอ้อม
.
การทำความเข้าใจว่าเงินสามารถเพิ่มความสุขได้อย่างแท้จริงนั้นต้องตระหนักว่าเส้นทางมักจะอ้อม เงินเองไม่ได้ซื้อความสุข แต่มันสามารถซื้อ “ส่วนประกอบ” ที่เมื่อได้รับ “การติดตั้ง” อย่างเหมาะสม จะนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น บ้านที่ใหญ่และสวยงามอาจช่วยเพิ่มความสุข แต่ไม่ใช่เพราะโครงสร้างเอง
.
แต่เป็นเพราะบ้านทำให้ง่ายต่อการต้อนรับเพื่อนและครอบครัว สร้างความทรงจำ สร้างชุมชน ความสุขมาจากความสัมพันธ์และประสบการณ์ที่บ้านอำนวยความสะดวก ไม่ใช่จากพื้นที่หรือรายละเอียดทางสถาปัตยกรรม
.
เส้นทางอ้อมสู่ความสุขผ่านการใช้จ่ายนี้อธิบายว่าทำไมประสบการณ์มักให้ความพึงพอใจที่ยั่งยืนกว่าการซื้อวัตถุ การไปเที่ยวกับครอบครัวสร้างความทรงจำร่วมกัน เสริมสร้างความผูกพัน และให้เรื่องราวที่สามารถเพลิดเพลินได้นานหลังจากการเดินทางสิ้นสุด ผลประโยชน์เหล่านี้ทบต้นเมื่อเวลาผ่านไป มักจะมีคุณค่ามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
.
ในทางตรงกันข้าม ความตื่นเต้นจากการซื้อใหม่มักจะจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราปรับตัวกับการมีอยู่ของมันในชีวิตของเรา
.
การใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อความสุขมักเกี่ยวข้องกับการใช้เงินเพื่อกำจัดสิ่งลบแทนที่จะเพิ่มสิ่งบวก
.
การจ่ายเพื่อความสะดวกสบายที่ขจัดการเดินทางที่เครียด ทำให้งานที่น่าเบื่อเป็นอัตโนมัติ หรือแก้ปัญหาที่ยืดเยื้อสามารถมีผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตประจำวันอย่างไม่สมส่วน การไม่มีสิ่งลบ (ความเครียด ความไม่สะดวก ความกังวล) มักช่วยเพิ่มความสุขมากกว่าการมีสิ่งบวก (ความหรูหรา สถานะ วัตถุ)
.
.
6. สมองและหัวใจของการเงิน
.
ทุกการตัดสินใจทางการเงินที่สำคัญเกี่ยวข้องกับสององค์ประกอบ “สมองและหัวใจ” ด้านการวิเคราะห์สามารถประเมินราคา เปรียบเทียบตัวเลือก และคำนวณผลตอบแทน แต่ด้านอารมณ์มักขับเคลื่อนการตัดสินใจสุดท้าย และการเพิกเฉยต่อความเป็นจริงนี้นำไปสู่ทางเลือกที่ไม่ดีและความเสียใจ
.
เฮาเซลแสดงให้เห็นด้วยเรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับการหาบ้านกับภรรยาของเขา พวกเขามองเรื่องนี้ว่าเป็นการรวบรวมข้อมูล สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ตัดสินใจอย่างเร่งรีบ แต่ทันทีที่พวกเขาขับรถเข้าไปในถนนหน้าบ้านที่จะกลายเป็นบ้านของพวกเขา ภรรยาของเขาอุทานและประกาศความรักของเธอต่อมัน
.
สเปรดชีตและการเปรียบเทียบมูลค่าทั้งหมดกลายเป็นรองจากการตอบสนองทางอารมณ์นั้น
.
สิ่งสำคัญคือ พวกเขาไม่เสียใจกับการตัดสินใจตามหัวใจในครั้งนั้น บ้านกลายเป็นฉากหลังของเช้าวันคริสต์มาสกับลูกๆ สถานที่ที่พวกเขาพาทารกแรกเกิดกลับบ้าน ฉากหลังของความทรงจำอันล้ำค่านับไม่ถ้วนที่ไม่มีสเปรดชีตใดจับภาพหรือหาปริมาณได้
.
นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรละทิ้งการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล แต่เป็นการที่เราควรยอมรับและรวมทั้งปัจจัยที่มีเหตุผลและอารมณ์ในการตัดสินใจใช้จ่ายของเรา
.
ความตระหนักรู้ในตนเองในการใช้จ่ายต้องการความเข้าใจในตัวกระตุ้น จุดอ่อน และรูปแบบของเราเอง คุณเป็นคนที่ซื้อของอย่างหุนหันพลันแล่นเมื่อเครียดหรือไม่? คุณมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเกินตัวเมื่อพยายามสร้างความประทับใจให้คนอื่นหรือไม่? สภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์บางอย่างนำไปสู่การตัดสินใจทางการเงินที่คุณเสียใจในภายหลังอย่างสม่ำเสมอหรือไม่?
.
การรับรู้รูปแบบเหล่านี้เป็นขั้นตอนแรกสำหรับการเลือกที่มีสติมากขึ้น, สอดคล้องกับค่านิยมที่แท้จริง, และความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวของคุณ
.
.
7. สิบห้าระดับของอิสรภาพทางการเงิน
.
เฮาเซลนำเสนอแนวคิด "สเปกตรัมของอิสรภาพทางการเงิน" ที่มี 15 ระดับ
.
Level 0: การพึ่งพาทางการเงินโดยสมบูรณ์ต่อความเมตตาของคนแปลกหน้า
.
คิดถึงคนขอทานและ CEO ที่ขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล คุณไม่มีการควบคุมทิศทางชีวิตการเงินของตัวเองเลย อยู่ในจุดที่เปราะบางต่อโลกที่โหดร้าย
.
Level 1: พึ่งพาคนที่อยากให้คุณประสบความสำเร็จเพราะรักคุณ
.
เหมือนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่พ่อแม่เลี้ยงดู หรือการยืมเงินเพื่อนและครอบครัวที่รู้ว่าคุณคืนไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยพวกเขาก็ปรารถนาดีต่อคุณ
.
Level 2: สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้บางส่วน
.
คนหนุ่มสาวที่ทำงานแต่ยังพึ่งพาพ่อแม่ในค่าใช้จ่ายพื้นฐาน หรือคนงานที่พึ่งพาสวัสดิการรัฐและเงินบำนาญ
.
Level 3: หาเลี้ยงตัวเองได้เต็มที่ แต่ถูกแทนที่ได้ง่าย
.
คุณจ่ายค่าใช้จ่ายได้หมด แต่เจ้านายหรือลูกค้ายังควบคุมวันของคุณและกำหนดอนาคต ถ้าตกงาน อาจลำบากในการหางานใหม่
.
Level 4: มีเงินออมพอรับมือปัญหาเล็กๆ น้อยๆ
.
ค่ารักษาพยาบาลนิดหน่อย ค่าความร้อนที่เพิ่มขึ้น กางเกงใหม่ให้ลูก - คุณรับมือได้ แค่มีเงินออมไม่กี่ดอลลาร์ก็ให้อิสรภาพจากปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตได้แล้ว
.
Level 5: มีเงินออมรับมือปัญหาใหญ่ที่คาดไม่ถึง
.
ยังพึ่งพาเจ้านายแบบเดือนต่อเดือน แต่ถ้าเกิดวิกฤต คุณน่าจะรอดถ้ามีเงินออมสำรอง รถพัง เตาเสีย - คุณโอเค คุณมีการป้องกันความเสี่ยงในชีวิตประจำวันในระดับหนึ่ง
.
Level 6: มีเงินเกษียณบ้าง มีเงินการศึกษา หลีกเลี่ยงหนี้บัตรเครดิต
.
รู้สึกเหมือนจับล้อความเป็นอิสระทางการเงินได้ข้างหนึ่ง ยังพึ่งพาเจ้านาย แต่มองเห็นอนาคตที่เงินออมจะเติบโตเป็นอิสรภาพระดับใหม่ มีความหวังที่ทำให้มองโลกในแง่ดีและนอนหลับสนิท
.
Level 7: สามารถเลือกงานที่หลีกเลี่ยงความงี่เง่าและยุ่งยากไร้สาระ
.
ยังต้องการเงินเดือน แต่มีอิสรภาพและทักษะที่จะบอกว่า "ไม่ คุณไม่ใช่ คุณเป็นเจ้านายห่วย และนี่เป็นงานห่วย ผมจะหาที่อื่น" ส่วนสำคัญคือมีเงินออมพอที่จะลาออกเมื่อต้องการและใช้เวลาหางานใหม่ที่ดีกว่า
.
Level 8: สบายใจกับสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมพอที่ไม่ต้องอวดคนแปลกหน้า
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของอิสรภาพทางปัญญาและอัตลักษณ์ ไม่ใช่แค่การเงิน การทำไม่ได้เป็นรูปแบบหนึ่งของหนี้และการพึ่งพาที่ซ่อนเร้น
.
Level 9: หลีกเลี่ยงหนี้ส่วนใหญ่ รวมถึงรถ กู้เรียน แม้แต่บ้าน
.
หนี้อาจเป็นทุนราคาถูก แต่มันทำให้คุณต้องเป็นทาสของคนแปลกหน้าที่เป็นเจ้าของอนาคตคุณ เฮาเซลเล่าถึงคนที่เกลียดงานแต่รู้สึกว่าต้องทำต่อเพื่อจ่ายหนี้เรียน - หนี้นั้นคิดดอกเบี้ยมากกว่าอัตราที่ระบุ มันขโมยอิสรภาพในอาชีพไป
.
Level 10: ไม่มีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจใดที่จะดันคุณหรือครอบครัวถอยหลังไปต่ำกว่า Level 5
.
คุณสามารถเลี้ยงตัวเองได้หนึ่งปีหรือมากกว่าจากเงินออม ถ้าโดนค่ารักษาพยาบาลครั้งใหญ่หรือภาวะฉุกเฉิน มันคือขั้นแรกของอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง ตอนนี้คุณสามารถพูดว่า "ไม่ ไปไกลๆ" กับเกือบทุกคน ทุกนายจ้าง หรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยมีโอกาสฟื้นตัวสูง
.
Level 11: รายได้แบบ passive ครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง
.
ดอกเบี้ยและเงินปันผลจ่ายค่าใช้จ่ายพื้นฐานได้มาก ยังทำงานเพื่อเงินเดือน แต่พอร์ตการลงทุนให้รายได้พอลดความเครียดและข้อผูกมัดด้านเวลา ระดับนี้มักมาจากวิถีชีวิตเรียบง่ายพอๆ กับพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ เมื่อได้ลิ้มรสอิสรภาพนี้ คุณจะรู้ว่าความต้องการด้านไลฟ์สไตล์เติบโตเร็วกว่าสินทรัพย์เกือบทุกอย่าง
.
Level 12: การลงทุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายพื้นฐานนานกว่าอายุขัย
.
ยินดีด้วย - คุณไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นในเรื่องงานแล้ว คุณสามารถทำงานกับใครก็ได้ถ้าต้องการ หลายคนถึงระดับนี้ด้วยเงินออมเกษียณที่หาเงินเอง
.
Level 13: สินทรัพย์ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหนือพื้นฐาน
.
คุณสามารถใช้ชีวิตแบบที่ชอบและยังเหลือเก็บต่อ ค่าใช้จ่ายเหนือพื้นฐานนิยามได้ตามใจ แตกต่างกันไปในแต่ละคน ระวังอย่าให้ไลฟ์สไตล์คืบคลานดึงอิสรภาพนี้ลงเหมือนแรงโน้มถ่วง มีคำพูดตลก ๆ ของ Chris Rock ที่ว่า "ถ้า Bill Gates ตื่นมาด้วยเงินเท่ากับ Oprah เขาคงกระโดดออกหน้าต่าง"
.
Level 14: อิสรภาพให้คุณทำและพูดสิ่งที่ต้องการ
.
ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะไม่เห็นด้วย เพราะไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางการเงินหรือโอกาสที่พวกเขาให้ แนวคิด "F-you money" - มีเงินมากพอที่จะบอกให้ใครไปไกลๆ โดยไม่กลัวผลกระทบ - ฟังดูดี (แต่ความเมตตาและความสุภาพก็ดีเช่นกัน) เฮาเซลชอบอีกทางมากกว่า "ไม่ ขอบคุณ ผมไม่สนใจ ผมไม่เห็นด้วยอย่างสุภาพและผมมีอิสระที่จะเพิกเฉยคุณ" อันหนึ่งคือการหาเหตุผลรองรับการเป็นคนงี่เง่า อีกอันคืออิสรภาพทางปัญญา
.
Level 15: ตื่นมาทุกเช้าโดยรู้ว่าสามารถใช้เวลาทำสิ่งที่ต้องการ กับใครที่ต้องการ นานเท่าที่ต้องการ
.
คุณชนะเกม และรู้ว่าแม้นี่จะไม่รับประกันความสุขและยังมีโอกาสพลาดมากมาย แต่คุณได้ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยทำได้ คือการสร้างชีวิตที่คุณควบคุมเวลาของตัวเองอย่างสมบูรณ์
.
.
8. ความสามารถในการตื่นขึ้นมาและเลือกวิธีใช้เวลาของคุณ
.
วอร์เรน บัฟเฟตต์ แม้จะมีเงินหลายพันล้าน ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านโอมาฮาที่เขาซื้อในปี 1958 นี่ไม่ใช่เพราะเขาซื้อบ้านหรูไม่ได้ แต่เพราะความมั่งคั่งสำหรับเขาไม่ได้เกี่ยวกับรถเบนท์ลีย์และเรือยอชต์ แต่เกี่ยวกับอิสรภาพที่จะใช้เวลาทุกวันอ่านหนังสือ คิด และทำงานกับคนที่เขาชอบ
.
วิถีชีวิตของเขาแสดงให้เห็นสิ่งที่เฮาเซลเรียกว่าผลตอบแทนสูงสุดของเงิน “คือการควบคุมเวลาของคุณ”
.
ความสามารถในการตื่นขึ้นมาและเลือกวิธีใช้เวลาของคุณ ทำงานกับคนที่คุณเคารพ หลีกเลี่ยงสถานการณ์และภาระผูกพันที่คุณพบว่าไม่น่าพอใจ อิสรภาพเหล่านี้อาจไม่ดูฉูดฉาดบนอินสตาแกรม แต่มันเป็นแก่นแท้ของชีวิตที่ร่ำรวย แต่ผู้มีรายได้สูงหลายคนพบว่าตัวเองติดอยู่ใน "กุญแจมือทองคำ" ทนายความองค์กรที่ทำเงินปีละ 15 ล้านบาทแต่ทำงานสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง ทนทุกข์จากความวิตกกังวลในคืนวันอาทิตย์ และพลาดช่วงเวลาสำคัญของลูก ไม่ได้ร่ำรวยอย่างแท้จริงแม้จะมีรายได้สูง
.
หลักการนี้ควรเป็นแนวทางในการตัดสินใจใช้จ่าย ก่อนทำการซื้อใดๆ ให้ถามว่ามันให้การควบคุมเวลาของคุณมากขึ้นหรือน้อยลง สินเชื่อรถยนต์อาจปลดปล่อยคุณจากระบบขนส่งสาธารณะ แต่มันก็ล่ามคุณไว้กับการผ่อนหนี้หลายปีที่อาจต้องการให้คุณทำงานที่คุณเกลียด การจ่ายเพิ่มสำหรับการส่งของชำอาจดูเหมือนเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
.
แต่ถ้าทั้งหมดนั่นมันให้เวลาอันมีค่ากลับคืนมาเพื่อใช้กับครอบครัวหรือทำงานที่มีความหมาย มันอาจเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดของคุณ
.
การแสวงหาอิสรภาพผ่านการใช้จ่ายมักหมายถึง การพูดว่า “ไม่” กับการซื้อที่จะสร้างความประทับใจให้คนอื่น แต่กัดกร่อนอิสรภาพของคุณ บ้านราคาแพงที่มีการเดินทางที่โหดร้าย รถหรูที่มีค่างวดที่ทำให้งบประมาณของคุณตึงเครียด วิถีชีวิตที่ต้องการรายได้สูงอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้อาจได้รับการชื่นชมแต่ทำให้คุณเสียอิสรภาพที่ทำให้ชีวิตร่ำรวย
.
.
9. การนิยามความสำเร็จโดย วอร์เรน บัฟเฟตต์
.
วอร์เรน บัฟเฟตต์เสนอคำจำกัดความของความสำเร็จที่ลึกซึ้ง
.
"เมื่อคนที่คุณต้องการให้รัก รักคุณจริงๆ"
.
หลักการนี้สามารถเปลี่ยนวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับการใช้จ่าย แทนที่จะพยายามสร้างความประทับใจให้ทุกคน ให้มุ่งเน้นไปที่วงเล็กๆ ของคนที่ความรักและความเคารพของพวกเขาสำคัญกับคุณจริงๆ โดยทั่วไปคือครอบครัวใกล้ชิดและเพื่อนสนิทไม่กี่คน สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ วงนี้เล็กอย่างน่าประหลาดใจ บางครั้งมีเพียงเจ็ดถึงสิบคน
.
นอกเหนือจากกลุ่มหลักนี้ อาจมีเพื่อนร่วมงานที่เราสนุกกับการใช้เวลาด้วย แต่ความสำคัญลดลงอย่างมากหลังจากนั้น ความจริงก็คือ 99.9% ของโลกไม่ได้ให้ความสนใจกับบ้าน รถ หรือเสื้อผ้าของคุณ พวกเขายุ่งเกินไปกับการกังวลเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง ปัญหาของตัวเอง สถานะของตัวเอง
.
การตระหนักรู้นี้สามารถปลดปล่อยได้อย่างมาก มันปลดปล่อยเราจากการแสวงหาการชื่นชมจากทุกคนที่เหนื่อยและแพง แทนที่จะพยายามสร้างความประทับใจให้คนแปลกหน้าหรือคนรู้จักผิวเผิน เราสามารถมุ่งเน้นทรัพยากรของเราในการสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับคนที่สำคัญที่สุด ใช้เงินไปกับประสบการณ์กับครอบครัวมากกว่าสัญลักษณ์สถานะ
.
.
10. โซเชียลมีเดียและกับดักการเปรียบเทียบ
.
ยุคสมัยใหม่ของโซเชียลมีเดียได้เพิ่มความท้าทายของการใช้จ่ายอย่างมีสติ อินสตาแกรม ติ๊กต็อก และแพลตฟอร์มอื่นๆ สร้างสภาพแวดล้อมของการเปรียบเทียบอย่างต่อเนื่องและการบริโภคเพื่อการแสดง
.
อินฟลูเอนเซอร์แสดงวิถีชีวิตที่คัดสรรอย่างระมัดระวัง นำเสนอภาพลวงตาของความสมบูรณ์แบบที่ผู้ชมมักเข้าใจผิดว่าเป็นความจริง แรงกดดันที่จะตามทัน นำเสนอภาพความสำเร็จและความสุขที่คล้ายกัน ขับเคลื่อนการตัดสินใจใช้จ่ายที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มากกว่าความพึงพอใจที่แท้จริง
.
ลองพิจารณาปรากฏการณ์ของ "วันหยุดอินสตาแกรม" ทริปที่วางแผนมากกว่าสำหรับศักยภาพในการถ่ายภาพมากกว่าเพื่อความเพลิดเพลินที่แท้จริง เฮาเซลเล่าถึงการสังเกตผู้หญิงคนหนึ่งที่รีสอร์ทสวยงามในเปอร์โตริโกที่ใช้เวลาทั้งหมดของเธอถ่ายเซลฟี่แทนที่จะเพลิดเพลินกับแสงแดดและคลื่น เมื่อถามเกี่ยวกับมัน เธออธิบายว่าเธอเป็นอินฟลูเอนเซอร์อินสตาแกรมและนี่คือ "งาน" วันหยุดพักผ่อนกลายเป็นการแสดง มูลค่าของมันถูกวัดด้วยจำนวนไลค์และผู้ติดตามแทนที่จะเป็นการพักผ่อนและการฟื้นฟู
.
ด้านการแสดงของการใช้จ่ายสมัยใหม่นี้สร้างวงจรอุบาทว์ คนใช้เงินเพื่อสร้างภาพที่จะสร้างความประทับใจให้คนอื่น ซึ่งคนอื่นรู้สึกกดดันที่ต้องตามการแสดงของอีกคน นำไปสู่การแข่งขันด้านการบริโภคที่ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย ยกเว้นผู้ที่ขายผลิตภัณฑ์
.
โศกนาฏกรรมคือทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้ในระดับหนึ่งว่าภาพเหล่านั้นถูกคัดสรร กรอง และมักทำให้เข้าใจผิด แต่เรายังรู้สึกถูกบังคับให้เข้าร่วมในการเสแสร้ง
.
.
11. กับดักความคิดแบบกระดานคะแนน
.
มีความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติต่อเงินเป็นเครื่องมือกับการปฏิบัติต่อมันเป็นกระดานคะแนน เมื่อเงินกลายเป็นกระดานคะแนน เราจะถามตัวเองอยู่ตลอดว่า "ฉันชนะหรือยัง?" ความคิดแบบนี้ทำให้เราติดอยู่ในการเปรียบเทียบที่ไม่มีวันจบ เกมที่ไม่มีทางชนะได้จริงๆ ไม่ว่าคุณจะหาเงินหรือสะสมได้มากแค่ไหน ก็ยังมีคนที่มีมากกว่าเสมอ
.
เจฟฟ์ เบโซสอาจเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่แม้แต่เขาก็ยังเสียตำแหน่ง "อันดับหนึ่ง" ให้กับอีลอน มัสก์หรือคนอื่นได้ ความคิดแบบกระดานคะแนนเปลี่ยนชีวิตให้เป็นการแข่งขันที่เป้าหมายเคลื่อนที่ตลอดเวลา
.
แต่เมื่อเงินถูกปฏิบัติเป็นเครื่องมือ คำถามก็เปลี่ยนไปโดยพื้นฐาน "สิ่งนี้ทำให้ชีวิตฉันดีขึ้นไหม?" การเปลี่ยนมุมมองนี้ทำให้เราเคลื่อนจากการแข่งขันไปสู่ความพอใจ เราเริ่มใช้เงินเพื่อแก้ปัญหา ซื้อเวลากลับมา และทำให้ประสบการณ์ที่สำคัญกับเราเกิดขึ้นจริง
.
.
12. ความมั่งคั่งที่ปราศจากอิสระ คืออีกรูปแบบของความยากจน
.
ความแตกต่างระหว่าง “การใช้เงิน” เป็นเครื่องมือกับ “การถูกเงินใช้” แสดงถึงหนึ่งในข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญที่สุดในปรัชญาของเฮาเซล เมื่อเงินเป็นเครื่องมือ คุณยังคงมีอำนาจและการควบคุม คุณใช้ทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์เพื่อแก้ปัญหา สร้างโอกาส และเพิ่มความพึงพอใจในชีวิต เครื่องมือรับใช้จุดประสงค์ของคุณโดยไม่กำหนดอัตลักษณ์หรือบงการทางเลือกของคุณ
.
แต่เมื่อเงินกลายเป็นนาย มันควบคุมพฤติกรรม ครอบงำการตัดสินใจ และหล่อหลอมอัตลักษณ์ของคุณในแบบที่คุณอาจไม่รู้ตัว คุณพบว่าตัวเองทำงานหนักขึ้นเพื่อซื้อของที่คุณไม่มีเวลาเพลิดเพลิน รักษาความสัมพันธ์ตามการพิจารณาทางการเงินแทนที่จะเป็นความรักที่แท้จริง หรือทำการเลือกชีวิตตามศักยภาพรายได้แทนที่จะเป็นการเติมเต็มส่วนตัว
.
การเปลี่ยนจากเงินเป็นเครื่องมือไปเป็นเงินเป็นนายมักเกิดขึ้นทีละน้อยและโดยไม่รู้ตัว มันเริ่มต้นด้วยความปรารถนาที่สมเหตุสมผลสำหรับความมั่นคงและความสะดวกสบาย แต่สามารถพัฒนาเป็นการแสวงหาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
.
ผู้จัดการกองทุนป้องกันความเสี่ยงที่มีความมั่งคั่งข้ามรุ่นแล้วแต่ยังคงทำงาน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์, ผู้ประกอบการที่เสียสละความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อข้อตกลงถัดไป, มืออาชีพที่ไม่สามารถเพลิดเพลินกับวันหยุดโดยไม่ตรวจสอบราคาตลาด… บุคคลเหล่านี้ได้อนุญาตให้เงินเปลี่ยนจากผู้รับใช้เป็นนาย
.
.
13. คำแนะนำแบบมองกลับด้านจาก Charlie Munger
.
Charlie Munger หุ้นส่วนคนสำคัญของ Warren Buffett มีวิธีการสอนที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า "Inversion" หรือการเรียนรู้จากสิ่งที่ไม่ควรทำแทนที่จะมุ่งเน้นแต่สิ่งที่ควรทำ วันหนึ่งเด็กชายคนหนึ่งถามเขาว่า "ผมควรทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต" Munger ตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า "อย่าเสพโคเคน อย่าแข่งกับรถไฟว่าใครจะถึงทางข้ามก่อน และหลีกเลี่ยงสถานการณ์เอดส์ทุกรูปแบบ"
.
คำตอบนี้อาจฟังดูตลก แต่มันสะท้อนปรัชญาที่ลึกซึ้ง บ่อยครั้งเรายากที่จะรู้ว่าอะไรจะนำมาซึ่งความสุข แต่ง่ายที่จะระบุว่าอะไรจะนำมาซึ่งความทุกข์ การสร้างบ้านเป็นเรื่องซับซ้อน แต่การทำลายบ้านเป็นเรื่องง่าย และเราจะพบความคล้ายคลึงนี้ในเกือบทุกด้านของชีวิต เมื่อพยายามก้าวหน้า บางครั้งการพลิกมุมมองและมุ่งเน้นที่การไม่ถอยหลังอาจมีประโยชน์มากกว่า
.
เฮาเซลขยายความแนวคิดนี้เป็นรายการยาวของสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งแต่ละข้อสะท้อนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับชีวิตและการเงิน
.
.
A. ในด้านการเงิน (มีรายละเอียดเพิ่มเติมในข้อ 16 ซึ่งเป็นข้อสุดท้าย)
.
-อย่าให้ความคาดหวังเติบโตเร็วกว่ารายได้ นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความทุกข์ทางการเงิน เมื่อเราคาดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่รายได้ไม่ตาม เราจะไม่มีความสุขไม่ว่าจะมีเงินมากแค่ไหน
.
-อย่าอิจฉาความสำเร็จของผู้อื่นโดยไม่เห็นภาพรวมของชีวิตพวกเขา คนที่ดูประสบความสำเร็จอาจมีปัญหาส่วนตัวที่เราไม่เห็น การอิจฉาโดยไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดเป็นการสร้างความทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น
.
-อย่าแสวงหาสถานะโดยแลกกับอิสรภาพ การมีตำแหน่งสูงหรือชื่อเสียงแต่ไม่มีอิสระในการใช้ชีวิตไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง
.
-อย่าเชื่อมโยงมูลค่าสุทธิกับคุณค่าในตัวคุณหรือคนอื่น คนที่มีเงินมากไม่ได้มีค่ามากกว่าคนที่มีเงินน้อย และการวัดคุณค่าตัวเองด้วยตัวเลขในบัญชีธนาคารเป็นหนทางสู่ความทุกข์
.
-อย่าเลียนแบบกลยุทธ์ของคนที่ต้องการสิ่งที่ต่างจากคุณ คนแต่ละคนมีเป้าหมายต่างกัน สิ่งที่เหมาะกับคนอื่นอาจไม่เหมาะกับคุณ
.
.
B. ในด้านความคิด
.
-อย่าเชื่อว่าความมั่งคั่งเท่ากับปัญญาโดยอัตโนมัติ คนรวยหลายคนโชคดีหรือมีความสามารถเฉพาะด้าน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาฉลาดในทุกเรื่อง
.
-อย่าเลือกว่าจะเชื่อใครจากจำนวน follower บนโซเชียลมีเดีย คนที่มีผู้ติดตามมากอาจเก่งการตลาดมากกว่าเก่งเนื้อหา
.
-อย่าคิดว่าการมีส่วนร่วมเท่ากับความเข้าใจลึกซึ้ง การที่คนพูดถึงหรือแชร์บางอย่างมากไม่ได้หมายความว่ามันมีคุณค่าหรือถูกต้อง
.
-อย่าให้ความอิจฉาเป็นตัวกำหนดเป้าหมายของคุณ การตั้งเป้าหมายเพราะอิจฉาคนอื่นจะนำไปสู่ความไม่พอใจแม้จะบรรลุเป้าหมายแล้ว
.
-อย่าคิดว่าการแก้ปัญหาทุกอย่างคือการมีเงินมากขึ้น ปัญหาหลายอย่างในชีวิตไม่เกี่ยวกับเงินและแก้ด้วยเงินไม่ได้
.
.
C. ในด้านสังคม
.
-อย่าเปรียบเทียบชีวิตเบื้องหลังของคุณกับไฮไลต์ที่คนอื่นคัดสรรมาแล้ว ทุกคนมีปัญหาและความลำบาก แต่ส่วนใหญ่เราเห็นแต่ด้านดีที่พวกเขาเลือกแสดง
.
-อย่าคิดว่าคนอื่นสนใจว่าคุณเรียนจบจากไหนหลังอายุยี่สิบห้า ชื่อมหาวิทยาลัยอาจสำคัญตอนหางานแรก แต่หลังจากนั้นผลงานสำคัญกว่า
.
-อย่าตัดสินคนอื่นจากช่วงเวลาที่แย่ที่สุดและตัดสินตัวเองจากช่วงที่ดีที่สุด ทุกคนมีวันที่ดีและวันที่แย่ การตัดสินที่ยุติธรรมต้องดูภาพรวม
.
-อย่าคบเพื่อนที่มีศีลธรรมต่ำกว่าที่คุณยอมรับได้ คนที่เราใช้เวลาด้วยมีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของเรามากกว่าที่เราคิด
.
-อย่ามองทุกการสนทนาเป็นการแข่งขันที่ต้องชนะ บางครั้งการฟังและเรียนรู้มีค่ามากกว่าการพิสูจน์ว่าเราถูก
.
.
14. สถาปนิกนิตยสาร (คำแนะนำที่สวยหรู vs คำแนะนำที่ใช้ได้จริง)
.
"Magazine Architect" เป็นคำเรียกแบบดูถูกที่สถาปนิกใช้กับเพื่อนร่วมอาชีพที่ออกแบบอาคารเพื่อความสวยงาม เพื่อขึ้นปกนิตยสาร เพื่อชนะรางวัล แต่ใช้งานจริงแล้วเต็มไปด้วยปัญหา
.
หลังคาที่มีดีไซน์สวยงามแปลกตามักรั่วตลอดเวลาเมื่อฝนตก อาคารที่มีรูปทรงแปลกประหลาดชนะรางวัลการออกแบบแต่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานภายในได้เลย วัสดุหรูหราที่ใช้ดูดีแต่เมื่อต้องซ่อมหรือเปลี่ยนกลับหาช่างที่มีความชำนาญพอไม่ได้ ล็อบบี้อลังการใช้พื้นที่มหาศาลแต่แทบไม่มีคนใช้เพราะทุกคนเข้าออกทางลานจอดรถใต้ดิน
.
Frank Lloyd Wright สถาปนิกชื่อดังระดับโลกเคยพูดติดตลกว่า "ถ้าหลังคาไม่รั่ว แสดงว่าสถาปนิกยังสร้างสรรค์ไม่พอ" ซึ่งอาจฟังดูข้อความที่มีศิลปะและปรัชญา น่าประทับใจสำหรับทุกคน ยกเว้นคนที่ต้องอยู่ในบ้านที่หลังคารั่วทุกครั้งที่ฝนตก
.
#คำแนะนำทางการเงินก็เป็นแบบเดียวกัน
.
Jason Zweig นักเขียนด้านการเงินชื่อดังเคยเขียนไว้ว่า ขณะที่คนต้องการคำแนะนำที่ดี สิ่งที่พวกเขาอยากได้จริงๆ คือคำแนะนำที่ “ฟังดูดี"
.
คำแนะนำที่ฟังดูดีที่สุดในระยะสั้นมักเป็นคำแนะนำที่อันตรายที่สุดในระยะยาว ทุกคนอยากได้ความลับ กุญแจสำคัญ แผนที่สู่เมืองทองคำ การลงทุนมหัศจรรย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูง ที่สามารถทำให้เงินเพิ่มเป็นสองเท่าในเวลาอันสั้น ทุกคนอยากไล่ตามผลตอบแทนของสิ่งที่กำลังร้อนแรงและหลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังเย็นชา
.
คำแนะนำทางการเงินจำนวนมากนั้นสวยงามและฉลาดแต่ไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติสำหรับผู้รับฟัง มันเกิดขึ้นด้วยเหตุผลสองประการหลัก
.
A. ประการแรก เหมือนกับสถาปนิก ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินอาจต้องการความก้าวหน้าในอาชีพของตนมากกว่าการช่วยเหลือลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งมักเป็นความบริสุทธิ์ใจที่ผิดพลาด เพราะเมื่อธุรกิจกำไรดีและได้รับความสนใจมาก ง่ายที่จะมองไม่เห็นความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า การที่ทำเงินได้มากและถูกเชิญไปออกรายการโทรทัศน์บ่อยๆ อาจถูกตีความว่าเป็นการสร้างคุณค่ามากมาย แต่บางครั้งมันไม่ใช่
.
กลยุทธ์อนุพันธ์ที่ซับซ้อนอาจทำให้คุณดูฉลาดและนำมาซึ่งค่าธรรมเนียมมหาศาล แต่อาจตรงข้ามกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ มันน่าสังเกตว่า Vanguard บริษัทที่คิดค้นกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ สามารถทำได้เพราะเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร มีช่องว่างกว้างมากระหว่างสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงกับสิ่งที่สร้างค่าธรรมเนียมมากที่สุด หลายคนต้องการอาคารสี่เหลี่ยมธรรมดาทางการเงิน แต่กลับถูกขายโดมรูปทรงเรขาคณิตสวยงามที่มีหลังคารั่วและไม่มีโรงรถ
.
B. ประการที่สอง ไม่มีคนสองคนที่เหมือนกัน และคำแนะนำทางการเงินที่มีประโยชน์สำหรับคุณอาจเป็นหายนะสำหรับคนอื่น ไม่มีแผนการเงินที่ใช้ได้กับทุกคน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ง่ายต่อการมองข้าม เพราะคนต้องการคิดว่าการเงินเหมือนฟิสิกส์ที่มีสูตรที่ชัดเจนและคำตอบที่แน่นอน เมื่อคำแนะนำต้องเป็นส่วนตัวแต่คุณคิดว่ามันเป็นสากล เป็นเรื่องปกติที่จะเลือกสิ่งที่ฟังดูดีที่สุด ฉลาดที่สุด และซับซ้อนที่สุด คนเลื่อนจากสิ่งที่ใช้ได้จริงไปสู่สิ่งที่สวยงาม
.
.
15. การทำในแบบของคุณเอง
.
มันเป็นเรื่องแปลกที่ด้านหนึ่งเรายอมรับว่าคนแต่ละคนมีความแตกต่างกันมาก ทั้งบุคลิกภาพ ภูมิหลัง เป้าหมาย และทักษะ
.
แต่อีกด้านหนึ่งเรากลับถามว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการทำสิ่งนี้คืออะไร" ราวกับว่าจะมีคำตอบสากลเดียวสำหรับคนที่แตกต่างกันอย่างมากมาย
.
ในด้านการลงทุน วิธีที่คุณลงทุนอาจทำให้คนอื่นนอนไม่หลับ และวิธีที่คนอื่นลงทุนอาจทำให้คุณมองหน้าตัวเองในกระจกไม่ได้พรุ่งนี้ และนั่นไม่เป็นไรเลย
.
มันจะดีกว่ามากถ้าเราแค่ยอมรับว่าเราต่างกันแทนที่จะเถียงกันว่าใครถูกหรือใครผิด และมันจะอันตรายมากถ้าคุณถูกชักจูงให้ลงทุนแบบคนอื่นทั้งที่มันผิดสำหรับบุคลิกภาพและชุดทักษะของคุณ
.
ในด้านการใช้จ่ายก็เช่นกัน คุณชอบสิ่งนี้ คนอื่นชอบสิ่งนั้น ใครจะไปสนใจ มันจะกลายเป็นอันตรายเมื่อคุณคิดว่าถ้าคนอื่นใช้เงินต่างจากคุณ พวกเขาต้องทำได้ดีกว่าคุณหรือไม่ก็ทำผิด และนี่เป็นเรื่องปกติมากเพราะง่ายต่อการตีความว่าการที่คนอื่นใช้เงินต่างจากเราเป็นการโจมตีสิ่งที่เราเลือกใช้จ่าย
.
คุณวัดความสำเร็จด้วยมาตรฐานส่วนตัวของคุณเอง ซึ่งสามารถผลักดันคุณให้ถึงศักยภาพที่แท้จริงและป้องกันไม่ให้คุณไล่ตามความฝันของคนอื่น
.
เมื่อเป้าหมายเป็นของคุณเอง ความสำเร็จมีความหมายมากกว่า และความล้มเหลวก็เป็นบทเรียนที่มีค่ามากกว่า และคุณมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้สิ่งที่คุณต้องการจากชีวิตจริงๆ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว นั่นคือสิ่งเดียวที่สำคัญอย่างแท้จริง
.
.
16. พฤติกรรมที่การันตีว่าคุณจะทุกข์ทรมานเพราะเงิน
.
เฮาเซลเขียน "How to Be Miserable Spending Your Money" ในหนังสือเพื่อแสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง และนี่คือรายการของ "สูตรความทุกข์" ที่เขานำเสนอ
.
1. จับจ้องแต่กลุ่มที่อยู่เหนือคุณทางเศรษฐกิจ
.
มองแต่คนที่ร่ำรวยกว่า คิดว่าจะพบความสุขที่ยั่งยืนเมื่อไปถึงระดับนั้น บอกตัวเองว่าจะพอใจเมื่อหาเงินได้มากขึ้นอีกนิด มีบ้านที่ดีขึ้นอีกหน่อย ใช้จ่ายได้มากขึ้นอีกนิด แต่ไม่สนใจความจริงที่ว่ากลุ่มที่คุณอยู่ตอนนี้เคยเป็นความฝันที่คุณคิดว่าจะนำความพอใจและความสุขมาให้
.
2. แสวงหาสถานะแทนอิสรภาพ
.
คิดว่าความสุขขึ้นอยู่กับการที่คนแปลกหน้าจำนวนมากประทับใจในทรัพย์สินวัตถุที่คุณมี แทนที่จะเห็นเวทมนตร์ที่ซ่อนอยู่ของการเป็นเจ้าของเวลาตัวเอง

3. ให้เงินกลายเป็นอัตลักษณ์หลักของคุณ
.
ปล่อยให้เงิน - การหามัน การใช้มัน การสะสมมัน - กลายเป็นส่วนสำคัญของตัวตน ใช้เวลาคิดถึงเงินมากกว่าคิดถึงชีวิตที่คุณสร้างด้วยเงินนั้น
.
4. ใช้จ่ายจนต้องพึ่งพาคนที่ไม่แคร์คุณ
.
ใช้เงินมากจนต้องพึ่งพาการตัดสินใจของคนอื่น เช่น เจ้านายและนายธนาคาร ซึ่งหลายคนไม่สนใจคุณเลย
.
5. คิดว่าเงินมากขึ้นคือคำตอบของทุกปัญหา
.
บอกตัวเองว่าจะตื่นมาพร้อมรอยยิ้มทุกเช้าถ้ามีเงินมากขึ้น จินตนาการว่าจะเป็นที่รัก ชื่นชม มีเพื่อนมากขึ้น และความสัมพันธ์ดีขึ้น เชื่อว่าความกลัว ความวิตกกังวล และความสับสนจะหายไปถ้ามีเงินมากกว่านี้
.
6. หรือคิดว่าเงินแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย
.
คิดว่าเงินเป็นรากเหง้าของความชั่วร้าย ซึ่งอันตรายพอๆ กัน เป็นการมองข้ามว่าเงินเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม สามารถให้อิสรภาพและความสุขจากสิ่งที่มนุษย์หาวิธีทำให้ชีวิตสะดวกสบายมานับพันปี เศร้าแค่ไหนที่จะอยู่ในโลกที่คุณเชื่อว่าความพยายามสะสมของมนุษย์หนึ่งแสนล้านคนที่มาก่อนคุณไม่ได้สร้างอะไรที่คุ้มค่ากับเวลาและความสนใจของคุณเลย
.
7. ออมจนไม่เคยให้รางวัลตัวเอง
.
มีอุดมการณ์การออมที่รุนแรงจนไม่เคยปฏิบัติต่อตัวเองด้วยชีวิตดีๆ ที่พอจะจ่ายได้ ทำเหมือนจุดประสงค์เดียวของเงินคือการสะสมในบัญชีธนาคาร แทนที่จะเป็นเครื่องมือทำให้ชีวิตดีขึ้น คุณกลายเป็นแค่งานอดิเรกทางบัญชี
.
8. ตัดสินตัวเองและคนอื่นแบบสองมาตรฐาน
.
เมื่อประเมินชีวิตตัวเอง คิดว่าความสำเร็จทั้งหมดมาจากความพยายามและความล้มเหลวทั้งหมดเป็นโชคร้าย เมื่อตัดสินคนอื่น คิดว่าความล้มเหลวทั้งหมดมาจากการตัดสินใจผิดและความสำเร็จทั้งหมดเป็นโชคดี ใช้อีโก้แทนความเห็นอกเห็นใจ นี่คือวิธีที่แน่นอนที่สุดที่จะขาดการเชื่อมต่อกับความเป็นจริงว่าคุณควบคุมอะไรได้และอะไรไม่ได้ในชีวิต
.
9. เปรียบเทียบด้านในของคุณกับด้านนอกของคนอื่น
.
อิจฉาความสำเร็จของคนอื่นโดยไม่เห็นภาพเต็มของชีวิตเขา คิดว่ารถ บ้าน เสื้อผ้า เครื่องประดับ และโซเชียลมีเดียสะท้อนความสุขได้อย่างแม่นยำ บอกตัวเองว่าเพราะเขามีของดีๆ เขาต้องมีความสัมพันธ์ดี สุขภาพดี ความชัดเจนทางศีลธรรม ความฉลาดทางอารมณ์ และความพึงพอใจในชีวิตโดยรวม
.
10. มองข้ามต้นทุนซ่อนเร้นของการซื้อ
.
ไม่สนใจต้นทุนทางสังคม อารมณ์ และความคาดหวังที่มากับการซื้อบางอย่าง ไม่สนใจว่าการซื้อบางอย่างจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของคุณในสายตาคนอื่นอย่างไร ลืมว่าคุณอาจสร้างบาร์ที่สูงขึ้นที่ต้องข้ามในการซื้อครั้งต่อไป ซึ่งเป็นหนี้แบบซ่อนเร้น
.
11. ไม่รู้จักแนวโน้มการเสียใจของตัวเอง
.
หมกมุ่นอยู่กับฟองสบู่ของช่วงเวลาปัจจุบันจนมองย้อนกลับไปที่ชีวิตของคุณในอนาคตแล้วสงสัยว่าตอนนั้นคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่พิจารณาว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับการตัดสินใจนี้ในอีก 10 ปีข้างหน้า
.
12. ให้ความคาดหวังโตเร็วกว่ารายได้
.
มองโลกในแง่ดีเกินไปจนความคาดหวังโตเร็วกว่ารายได้ อยู่ในโลกที่ทุกอย่างดีขึ้นแต่คุณไม่ซาบซึ้งเลยเพราะคาดหวังทั้งหมดไว้แล้ว และยังต้องการมากกว่านั้น
.
13. เสี่ยงสิ่งที่จำเป็นเพื่อได้สิ่งที่ไม่จำเป็น
.
เสี่ยงความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนเพื่อโอกาสได้เงินเพิ่มที่แทบไม่กระทบชีวิต หรือเสี่ยงการนอนหลับสนิทเพื่อรถใหม่ที่ไม่มีใครสนใจ
.
14. ประเมินเกินถึงความสนใจที่ได้จากของหรู
.
คิดว่าคนอื่นสนใจของหรูของคุณมาก และคิดว่าความสนใจที่ได้คือการชื่นชมคุณ ไม่ใช่พวกเขาแค่อยากได้ของนั้นเอง
.
15. คิดว่าตัวเองรู้ทุกคำตอบแล้ว
.
ไม่ลองอะไรใหม่ ปฏิเสธความลึกลับของชีวิต ต่อต้านทุกความโน้มเอียงที่จะเติบโต ปรับตัว และเปลี่ยนความคิด ไม่อยากรู้อยากเห็นมุมมองอื่น คิดว่าสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับเงินคือทั้งหมดที่มี และโต้เถียงอย่างดุเดือดเมื่อพบข้อมูลที่ขัดกับความเชื่อปัจจุบัน ปฏิบัติกับเงินเหมือนศาสนา ให้ความสำคัญกับความศรัทธามากกว่าความอยากรู้ และความเคร่งครัดมากกว่าการสำรวจ
.
16. เชื่อมโยงมูลค่าสุทธิกับคุณค่าในตัว
.
คิดว่าเงินเป็นมาตรวัดสูงสุดว่าคนทำได้ดีแค่ไหนในชีวิต และที่แย่กว่านั้นคือคิดว่ารูปลักษณ์วัตถุภายนอกบอกได้แม่นยำว่าเขามีเงินจริงๆ เท่าไหร่
.
17. ปฏิบัติกับทุกการตัดสินใจทางการเงินเป็นคณิตศาสตร์ล้วนๆ
.
ไม่สนใจอารมณ์ที่สมเหตุสมผล คุณค่าทางจิตใจ และความต้องการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ สนใจทำให้สเปรดชีตมีความสุขมากกว่าทำให้ตัวเองมีความสุข
.
18. ให้คนอื่นกำหนดสิ่งที่คุณควรต้องการ
.
รับคำแนะนำและไลฟ์สไตล์จากคนที่ต้องการหรืออยากได้สิ่งที่คุณไม่มี ต้องการสิ่งที่สังคมบอกว่าควรต้องการ ปรารถนาสิ่งที่นักการตลาดบอกว่าควรปรารถนา มองหาคำตอบว่าอะไรดีสำหรับคุณจากคนอื่น รวมถึงคนแปลกหน้า ไม่เห็นคุณค่าของความหลากหลายในความต้องการ ความอยาก และความปรารถนาของผู้คน
.
"ผมรับประกันได้เลยว่าถ้าทำตามทั้งหมดนี้ คุณจะอยู่บนเส้นทางสู่ความทุกข์แน่นอน" เฮาเซลสรุป
.
===============================
.
โลกนี้ไม่เคยยุติธรรม ทุกคนเริ่มต้นจากจุดที่ไม่เท่ากันเสมอมา แต่สิ่งที่เราทำได้คือการยอมรับความจริงนั้น แล้วใช้โชคและโอกาสที่เรามีอย่างอ่อนโยนต่อผู้อื่น ยิ่งคุณโชคดีมากเท่าไร คุณก็ควรจะอ่อนโยนมากขึ้นเท่านั้น
.
เงินสามารถขยายความเป็นตัวคุณได้ แต่ไม่สามารถสร้างชีวิตที่ดีได้โดยลำพัง หากคุณโชคดีพอที่จะเกิดในยุคที่มั่งคั่ง อยู่ในที่ที่มีโอกาส และได้เก็บเกี่ยวผลจากความพยายามและภูมิปัญญาของคนนับพันล้านที่มาก่อนหน้า คุณยิ่งควรใช้ชีวิตด้วยความถ่อมตน และรู้จักเห็นคุณค่าในสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
.
หนังสือเล่มนี้จบลงตรงที่จุดตั้งต้น แท้จริงแล้ว เราทุกคนต่างกำลังออกเดินทางบนเส้นทางของตนเอง เส้นทางที่มุ่งสู่การค้นหาชีวิตที่เรียบง่ายในโลกที่ซับซ้อนใบนี้
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ The Book of Five Rings : คัมภีร์ห้าห่วง เขียนโดย Miyamoto Musashi