สรุปหนังสือ "The Things You Can See Only When You Slow Down" เขียนโดย Haemin Sunim

"สิ่งที่เห็นได้เมื่อชีวิตเราช้าลง" เป็นหนังสือที่เผยความลุ่มลึกของปรัชญาพุทธศาสนาผ่านมุมมองของพระภิกษุชาวเกาหลีผู้ทรงอิทธิพล แฮมิน ซูนิม นำเสนอข้อคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยแสดงให้เห็นว่าการชะลอชีวิตที่เร่งรีบลงสักหน่อย จะช่วยให้เราเห็นความจริงที่มักถูกมองข้ามในการใช้ชีวิตประจำวัน
.
หนังสือเล่มนี้เกิดจากข้อความสั้นๆ ที่แฮมิน ซูนิมโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งกลายเป็นกระแสตอบรับท่วมท้นจากผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแม่ม่ายที่กำลังคิดสั้น, ผู้บริหารที่ต้องการเริ่มวันด้วยความสงบ, หรือบัณฑิตจบใหม่ที่กำลังท้อแท้จากการหางาน ข้อความเหล่านี้กลายเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งในเกาหลีใต้ถึง 41 สัปดาห์ และขายได้มากกว่าสามล้านเล่มในสามปี
.
.
--------------------------------------
.
[ โลกวุ่นวาย หรือใจเราวุ่นวาย? ]
.
.
ซูนิมเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุกความคิด: "เมื่อทุกอย่างรอบตัวเคลื่อนไหวเร็วเหลือเกิน ฉันหยุดและถาม: โลกกำลังยุ่งเหรอ หรือจิตใจฉันกันแน่?" คำถามนี้ตอกย้ำประเด็นสำคัญว่า ความวุ่นวายที่เรารู้สึกมักเกิดจากภายในมากกว่าภายนอก
.
ท่านชี้ให้เห็นว่าตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เส้นแบ่งระหว่างจิตใจและโลกนั้นบางเฉียบและเป็นภาพลวงตา โลกไม่ได้สุขหรือทุกข์โดยตัวมันเอง แต่จิตใจเราต่างหากที่ฉายภาพประสบการณ์อัตวิสัยของเราออกไปสู่โลก
.
ท่านเล่าเรื่องของเพื่อนที่เป็นแม่ชีพุทธ ซึ่งช่วยดูแลการสร้างหอสวดมนต์ในวัด เธอสังเกตว่าตอนที่ต้องเลือกกระเบื้องหลังคา เธอเห็นแต่กระเบื้องไปทั่ว สนใจวัสดุ ความหนา และการออกแบบ เช่นเดียวกับตอนที่ต้องติดตั้งพื้น เธอเห็นแต่พื้นไปหมด
.
แม่ชีสรุปว่า: "เมื่อเรามองโลกภายนอก เรามองเพียงส่วนเล็กๆ ที่เราสนใจเท่านั้น โลกที่เราเห็นไม่ใช่จักรวาลทั้งหมด แต่เป็นโลกที่จำกัดซึ่งจิตใจเราใส่ใจ ความจริงของเราไม่ใช่จักรวาลที่แผ่ขยายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เป็นส่วนเล็กๆ ที่เราเลือกจะโฟกัส ความจริงมีอยู่เพราะจิตใจเรามีอยู่ หากไม่มีจิตใจ ก็จะไม่มีจักรวาล"
.
ท่านเล่าประสบการณ์ส่วนตัวว่า ในฐานะพระและอาจารย์มหาวิทยาลัย ท่านมีตารางงานแน่น แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไป ท่านตระหนักว่าแท้จริงแล้วท่านเลือกที่จะมีชีวิตเช่นนี้ เพราะมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น
.
"โลกไม่เคยบ่นว่ามันยุ่งเลย" ซูนิมเขียนด้วยมุมมองที่น่าขบคิด พร้อมชี้ให้เห็นว่าวิธีที่เรามองโลกสะท้อนสภาวะจิตใจของเรา เปรียบเสมือนคำกล่าวในพุทธศาสนาที่ว่า "ในสายตาของพระพุทธเจ้า ทุกคนคือพระพุทธเจ้า ในสายตาของหมู ทุกคนคือหมู"
.
ประโยคนี้สะท้อนความจริงอันลึกซึ้ง: โลกที่เราเห็นเป็นภาพสะท้อนของจิตใจเรา เมื่อใจเราสงบ โลกก็สงบด้วย
.
.
--------------------------------------
.
[ การพักผ่อนเมื่อชีวิตผิดหวัง ]
.
.
เมื่อเผชิญกับความผิดหวัง ซูนิมแนะนำให้เราหยุดพัก ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป เขาให้คำแนะนำอันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง:

"เมื่อความไว้วางใจพังทลาย เมื่อความหวังถูกทำลาย เมื่อคนที่คุณรักจากไป ก่อนจะทำอะไร แค่หยุดชีวิตและพักสักครู่"
.
ท่านแนะนำให้อยู่กับเพื่อนสนิท ไปดูหนังตลก ฟังเพลงที่สัมผัสหัวใจ หรือออกเดินทางคนเดียว หลังจากใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ให้ไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคุณ ปิดตา และทำจิตใจให้สงบ
.
คำแนะนำเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงปรัชญาชีวิตที่เน้นการเยียวยาตนเอง โดยไม่ต่อสู้กับความรู้สึกลบ แต่ให้ยอมรับและปล่อยให้มันผ่านไป
.
"จงรักตัวเองแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ คุณไม่รู้สึกเห็นใจตัวเองขณะที่ดิ้นรนผ่านชีวิตหรือ? คุณกระตือรือร้นที่จะช่วยเพื่อน แต่กลับปฏิบัติต่อตัวเองแย่มาก ลูบหัวใจตัวเองบ้างและบอกว่า 'ฉันรักเธอ'" ซูนิมเขียนด้วยความเห็นอกเห็นใจ
.
.
--------------------------------------
.
[ การเป็นเพื่อนกับอารมณ์ ]
.
.
บทที่น่าสนใจอีกบทหนึ่งเกี่ยวกับการจัดการกับอารมณ์ด้านลบ ซูนิมชี้ให้เห็นว่าคนที่ถามวิธีรับมือกับอารมณ์เช่นโกรธ เกลียด อิจฉา ได้ก้าวมาครึ่งทางแล้ว เพราะพวกเขามีสติพอที่จะสังเกตเห็นสภาวะจิตใจตัวเอง
.
"คนส่วนใหญ่จมอยู่ในอารมณ์โดยไม่มีการตระหนักรู้ตนเอง" ซูนิมชี้ให้เห็นว่า แรงกระตุ้นแรกเมื่อรู้สึกถึงอารมณ์ด้านลบคือการควบคุมมันเพื่อไม่ให้รู้สึกถูกครอบงำหรือคุกคาม เราอยากกำจัดมันทันทีหรือหนีจากมัน เราแทบไม่คิดว่ามันสมควรได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น
.
แทนที่จะพยายามควบคุมหรือกำจัดอารมณ์ด้านลบ ซูนิมแนะนำให้แยกพลังงานดิบของอารมณ์ออกจากป้ายกำกับทางภาษาเช่น "ความโกรธ" หรือ "ความเกลียด" และเฝ้าดูมันอย่างสงบจนกว่าพลังงานนั้นจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
.
ท่านเปรียบเทียบอารมณ์ด้านลบเหมือนโคลนที่กำลังหมุนวนในตู้ปลา วิธีที่แย่ที่สุดคือการพยายามกดโคลนลงไปที่ก้นตู้ เพราะยิ่งพยายามผลักมันลง มันจะยิ่งปั่นป่วน วิธีที่ดีกว่าคือการเฝ้าดูอย่างใส่ใจและปล่อยให้มันตกตะกอนเอง
.
"อย่าต่อสู้กับอารมณ์ด้านลบของคุณ สังเกตและเป็นเพื่อนกับมัน"
.
ซูนิมยังอ้างถึงครูทางจิตวิญญาณ จิททุ กฤษณมูรติ ที่กล่าวว่า ความใส่ใจบริสุทธิ์โดยไม่ตัดสินไม่เพียงเป็นรูปแบบสูงสุดของสติปัญญามนุษย์ แต่ยังเป็นการแสดงออกของความรัก จงสังเกตพลังงานที่เปลี่ยนแปลงทั้งอย่างตั้งใจและด้วยความรักขณะที่มันคลี่คลายในพื้นที่ของจิตใจคุณ
.
.
--------------------------------------
.
[ ลดความกระตือรือร้นลงบ้าง ]
.
.
ซูนิมเล่าถึงประสบการณ์สอนหนังสือครั้งแรกในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยในเมืองเล็กๆ ในแมสซาชูเซตส์ ท่านเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นักศึกษา แต่ความกระตือรือร้นนี้กลับสร้างปัญหา
.
"ฉันคิดว่าถ้าฉันทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อสอนนักศึกษา พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำตาม" ท่านให้การบ้านมากกว่าอาจารย์คนอื่น ขอให้นักศึกษาฝึกสมาธิทุกวันและเขียนบันทึกประสบการณ์ จัดการรวมตัวหลายครั้ง และพานักศึกษาไปเยี่ยมชมวัดพุทธในท้องถิ่น
.
เมื่อเวลาผ่านไป นักศึกษาบางคนเริ่มเหนื่อยล้าและสูญเสียความสนใจ ซูนิมเริ่มรู้สึกผิดหวังและบาดเจ็บ แต่เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ ท่านจึงเห็นว่าวิชานี้เป็นเพียงหนึ่งในสี่วิชาที่นักศึกษากำลังเรียน แม้ว่าวิชานี้จะสำคัญสำหรับท่าน แต่วิชาอื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กันสำหรับพวกเขา
.
"ไม่ว่ายาจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน หากคุณบังคับให้ใครบางคนกิน มันอาจมีรสชาติเหมือนยาพิษ" ท่านตระหนักว่ารูปแบบการสอนของท่านกำลังกลายเป็นพิษสำหรับนักศึกษาบางคน ซูนิมจึงปรับเปลี่ยนชั้นเรียนเพื่อหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความกระตือรือร้นในการสอนและความสามารถในการเรียนรู้ของนักศึกษา
.
บทเรียนนี้เตือนเราว่า: "เมื่อเราได้รับงานเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะงานที่เราทำงานหนักมานาน เราอาจกระตือรือร้นเกินไป เพราะเราอยากพิสูจน์ตัวเอง แต่ในความตื่นเต้น เราทำผิดพลาดโดยเทียบเท่าความกระตือรือร้นของเรากับประสิทธิภาพ การทำงานให้สำเร็จลุล่วงสำคัญกว่าความรู้สึกว่าทำงานดี"
.
.
--------------------------------------
.
[ ความรักแท้ และความรักธรรมดา ]
.
.
ในบทเกี่ยวกับความรัก ซูนิมเล่าถึงประสบการณ์ความรักครั้งแรกของท่านกับมิชชันนารีชาวอเมริกัน (เรื่องที่อาจฟังดูน่าอับอายสำหรับพระรูปหนึ่ง) ท่านไม่เพียงเล่าถึงความรู้สึกที่รุนแรงและเจ็บปวด แต่ยังเชื่อมโยงประสบการณ์นี้กับงานเขียนของคาห์ลิล ยิบราน นักเขียนที่ท่านชื่นชอบ
.
"เมื่อความรักผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ มันจะครอบงำคุณ ทุกสิ่งอย่างอื่นจะกลายเป็นสิ่งไม่สำคัญ" ซูนิมเขียน อธิบายความรู้สึกถึงตัวตนที่หายไปเมื่อรักจริง "เหมือนกับว่าฉันกำลังหายไปจากโลก เหลือเพียงเธอในโลกนี้—ราวกับว่าทุกอย่างในโลกเกิดจากเธอ"
.
แม้ว่าความรักครั้งนั้นจะเป็นความรักข้างเดียวและเธอกลับประเทศสหรัฐฯ หลังจากหกเดือน แต่ซูนิมกลับรู้สึกซาบซึ้งในประสบการณ์นั้น "วันนี้ เมื่อฉันนึกถึงความรักครั้งแรกของฉัน ฉันไม่รู้สึกเศร้าอีกต่อไป ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปนานแล้ว ถูกแทนที่ด้วยความกตัญญูอย่างลึกซึ้ง ฉันรู้สึกซาบซึ้งต่อความรักครั้งแรกของฉัน ต่อยิบราน และต่อจักรวาลที่แนะนำฉันให้รู้จักความมหัศจรรย์ของความรักและความทุ่มเท"
.
ซูนิมสอนว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่เราไขว่คว้าด้วยเกณฑ์หรือเงื่อนไข แต่เป็นเหมือนแขกที่ไม่ได้รับเชิญ มาเมื่อมันต้องการ และจากไปเมื่อเราเรียกร้องมากเกินไป
.
"ถ้าคุณพยายามหาความรักที่ตรงตามเกณฑ์บางอย่าง ความรักใหม่ของคุณอาจมีข้อเรียกร้องบางอย่างกับคุณเช่นกัน ปล่อยวางข้อเรียกร้องของคุณอย่างรวดเร็วเมื่อความรักมาเคาะที่ประตูของคุณ"
.
บทที่น่าประทับใจอีกบทหนึ่งคือ "ฉันรักความธรรมดาของเธอ" ซูนิมเขียนถึงผู้หญิงขี้อายคนหนึ่งที่เข้ามาหาท่านหลังจากฟังธรรม และมอบนมถั่วเหลืองอุ่นๆ ให้ พร้อมกับบอกว่าเธอขอโทษที่ซื้อของมอบให้ได้เพียงเท่านี้
.
"ฉันอยากให้คุณรู้ว่า ฉันรักความธรรมดาของคุณ เพราะฉันก็ธรรมดาเช่นกัน ความจริงแล้ว พวกเราทุกคนล้วนธรรมดา"
.
ข้อความนี้สะท้อนความจริงที่ลึกซึ้ง: ไม่ว่าจะมีชื่อเสียง ความงาม เงินทอง หรือความสำเร็จมากแค่ไหน เราทุกคนต่างก็เผชิญกับความท้าทาย ความเจ็บปวด และความโดดเดี่ยว เราทุกคนต่างเดินทางบนเส้นทางชีวิตเดียวกัน
.
.
--------------------------------------
.
[ คังฟูกับศิลปะการดำเนินชีวิต ]
.
.
ซูนิมเล่าประสบการณ์การเดินทางในนิวยอร์กในชุดสงฆ์สีเทา และพบเด็กผู้ชายที่เลียนแบบบรู๊ซ ลี เมื่อเห็นท่าน เด็กคนหนึ่งถึงกับถามว่าท่านรู้คังฟูเหมือนพระจีนที่วัดเส้าหลินหรือไม่ ซูนิมเล่าด้วยอารมณ์ขันว่าอยากจะทำท่าคังฟูปลอมๆ สักสองสามท่า
.
ความสงสัยนี้ต่างจากผู้ใหญ่ซึ่งมักถามว่า "คุณฝึกสมาธิแบบไหน?" หรือ "คุณนั่งสมาธิกี่ชั่วโมงทุกเช้า? จิตใจคุณต้องสงบมากแน่ๆ" ซูนิมสังเกตว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างอยากรู้ว่าพระทำอะไร หมายความว่าคนตะวันตกมักโฟกัสที่พฤติกรรมของพระเป็นหลัก
.
เมื่ออยู่ในเกาหลี คำถามที่ท่านได้รับกลับแตกต่างออกไป คนมักถาม "วัดของท่านอยู่ที่ไหน?" สำหรับคนเกาหลี ส่วนที่กำหนดตัวตนของคนมากที่สุดคือที่ที่เขาอาศัยอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำ
.
ซูนิมตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการที่คนเกาหลีให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัยที่จบมาก จากตัวอย่างของสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งออกจากวิทยาลัยรีดโดยไม่จบปริญญา หากจ็อบส์เป็นคนเกาหลี ภูมิหลังการศึกษาของเขาจะเป็นอุปสรรคใหญ่ต่ออาชีพที่ประสบความสำเร็จ
.
"หากเราพิจารณาตัวตนของใครบางคนว่าหยั่งรากในบ้านเกิดหรือโรงเรียนที่เขาจบ เราก็จะมองเพียงอดีตของเขาและไม่ใส่ใจทักษะปัจจุบันหรือวิสัยทัศน์ในอนาคต"
.
คำถามของเด็กๆ ทำให้ซูนิมได้ไตร่ตรองชีวิตของตนเอง "ฉันกำลังประพฤติตนเหมือนครูทางจิตวิญญาณไหม? หรือฉันพอใจในตัวตนของฉันและเพิกเฉยต่องานที่ฉันถูกเรียกให้ทำ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฉันพบใครใหม่ ฉันพยายามมองว่าเขาเป็นใครภายใต้เครื่องหมายทางสังคมไหม? หรือฉันลดทอนผู้คนให้เป็นเพียงภูมิหลังของพวกเขาและไม่เห็นว่าพวกเขาเป็นใครจริงๆ?"
.
.
--------------------------------------
.
[ ศิลปะของการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี ]
.
.
ซูนิมตั้งคำถามว่าเราลงทุนเวลาและเงินทองเพื่อให้ได้บ้านดีๆ ขับรถหรู และดูอ่อนเยาว์สวยงาม แต่เราลงทุนกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างความสัมพันธ์ที่ดีแค่ไหน? แท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงทางอารมณ์และความสุข
.
ท่านเปรียบเทียบการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนการนั่งข้างเตาผิง หากนั่งใกล้เกินไปนานเกินไป เราจะร้อนและอาจถูกเผา หากนั่งไกลเกินไป เราจะไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น
.
ท่านเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวยุโรปกับเพื่อนสนิทจากวัด หลังจากใช้เวลาด้วยกันทุกนาทีเป็นเวลาเจ็ดวัน พวกเขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะมีปัญหาในมิตรภาพ แต่เพราะพวกเขาต้องการเวลาส่วนตัวบ้าง
.
เมื่อแยกย้ายกันไปเที่ยวหนึ่งวัน ซูนิมรู้สึกเป็นอิสระในตอนแรก แต่ตลอดวันท่านได้พบว่า การเดินทางกับเพื่อนมีข้อดีมากมาย: มีคนช่วยดูกระเป๋า การกินอาหารสนุกกว่า และเมื่อพบสิ่งสวยงาม มีคนแบ่งปันความตื่นเต้น
.
บทเรียนนี้สอนว่า: ไม่ว่าจะสนิทกับใครแค่ไหน หากอยู่ใกล้ชิดกันเกินไปโดยไม่มีพื้นที่ส่วนตัว เราจะรู้สึกติดกับดักและเหนื่อยล้า แต่หากไม่พยายามรักษาการติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว เราจะไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นของความรัก การสร้างสมดุลคือกุญแจสำคัญ
.
ซูนิมยังเล่าเรื่องของม็อง ซาซ็อง (1360-1438) ขุนนางในราชวงศ์โชซอนผู้เย่อหยิ่งและหยิ่งทะนง วันหนึ่งเขาไปเยี่ยมอาจารย์เซนในท้องถิ่นและถามว่า "ข้าควรจดจำอะไรในการปกครองหมู่บ้านนี้?"
.
อาจารย์ตอบอย่างสุภาพว่า "ทั้งหมดที่จำเป็นคือหลีกเลี่ยงความชั่วและทำความดีเพื่อผู้คนจำนวนมาก"
.
ม็องตวาดด้วยความเย่อหยิ่งว่า "แม้แต่เด็กก็รู้แบบนั้น! มีแค่นี้หรือที่ท่านจะบอกข้า?" แล้วลุกขึ้นจะไป
.
อาจารย์ยืนกรานให้เขาอยู่ต่อ หลังจากชงชา อาจารย์รินน้ำชาในถ้วยของม็องแต่ไม่หยุดเมื่อถ้วยเต็ม ม็องงุนงงและเรียกร้องให้รู้ว่าอาจารย์กำลังทำอะไร
.
"ท่านดูเหมือนจะรู้ว่าชามากเกินไปจะทำให้พื้นเปียก" อาจารย์ตอบ "แต่ทำไมท่านจึงไม่รู้ว่าความรู้มากเกินไปจะทำลายอุปนิสัย?"
.
ด้วยความอับอาย ม็องกระโจนไปที่ประตูเพื่อจะออก แต่ในความรีบร้อน เขาชนศีรษะกับวงกบประตู อาจารย์ตักเตือนเบาๆ ว่า "ถ้าท่านก้มศีรษะ ท่านจะไม่ชนปัญหา"
.
ความหยิ่งทะนงมักเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง หากเราปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความถ่อมตนและเคารพ ความขัดแย้งจะหลีกเลี่ยงได้ หากเราโต้เถียงเพื่อจะชนะ ผลลัพธ์เดียวคือมีคนบาดเจ็บ แม้ว่าเราจะชนะ ผลดีอะไรจะเกิดขึ้น? อีกฝ่ายจะรู้สึกแค่พ่ายแพ้
.
.
--------------------------------------
.
[ การให้อภัย: การเดินทางแห่งการปลดปล่อย ]
.
.
ซูนิมเขียนถึงการให้อภัยด้วยความลึกซึ้ง:
.
"คนที่ทรยศต่อคุณและจากไป คนที่ขโมยจากคุณและหายไป คนที่แทงข้างหลังคุณและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น—จงให้อภัยพวกเขา ไม่ใช่เพื่อพวกเขา แต่เพื่อตัวคุณเอง—อย่างแท้จริง อย่างสมบูรณ์ เพื่อตัวคุณเอง"
.
ท่านตระหนักว่าการให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย และจะรู้สึกไม่ยุติธรรม ความโกรธและความขมขื่นอาจพุ่งขึ้นมา แต่ซูนิมแนะนำให้ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นผุดขึ้นมา และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยความเมตตา
.
จากนั้นให้ถามตัวเองอย่างนุ่มนวล: "ฉันต้องการแบกความแค้นนี้ในใจต่อไปหรือไม่? ฉันต้องการใช้ชีวิตเป็นเหยื่อตลอดไปหรือไม่?"
.
ซูนิมยังชี้ให้เห็นว่า เมื่อเราเกลียดใคร เราคิดถึงเขามาก ไม่สามารถปล่อยวาง เราค่อยๆ เริ่มทำตัวเหมือนเขา:
.
"อย่าให้เขากลายเป็นผู้เช่าระยะยาวในหัวใจคุณ ขับไล่เขาทันทีด้วยประกาศแห่งการให้อภัย คนที่คุณเกลียดสมควรได้รับการแบกพามาในหัวใจคุณหรือ? เก็บไว้ในใจเฉพาะคนที่รักคุณ หากคุณแบกคนที่คุณเกลียดไว้กับคุณ มันก่อให้เกิดเพียงความทุกข์และซึมเศร้า"
.
.
--------------------------------------
.
[ ความคิดลึกซึ้งที่ปลดปล่อย ]
.
.
บทที่น่าสนใจอีกบทเกี่ยวกับสามความเข้าใจที่ปลดปล่อย ซึ่งซูนิมค้นพบในวันหนึ่งเมื่ออายุ 30 ปี:
.
หนึ่ง: ผู้คนไม่ได้สนใจเราอย่างที่เราคิด — เราจำไม่ได้ว่าเพื่อนสวมเสื้อผ้าอะไรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แล้วทำไมเธอจะจำรายละเอียดเกี่ยวกับเราได้? แม้เราจะคิดถึงคนอื่นเป็นครั้งคราว แต่แทบไม่เกินไม่กี่นาที เมื่อเราเลิกคิดถึงคนอื่น จิตใจเรากลับไปสู่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง ทำไมเราจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงในชีวิตกังวลว่าเราจะปรากฏต่อผู้อื่นอย่างไร?
.
สอง: ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องชอบเรา — เราเองก็ไม่ชอบทุกคน แน่นอนว่าสำหรับเราทุกคน มีนักการเมือง เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และสมาชิกครอบครัวที่เราทนไม่ได้ แล้วทำไมทุกคนต้องชอบเรา? ไม่จำเป็นต้องทรมานตัวเองเพราะมีคนไม่ชอบคุณ ยอมรับมันเป็นความจริงของชีวิต คุณไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของผู้อื่นที่มีต่อคุณได้ หากมีคนไม่ชอบคุณ ปล่อยให้เธอมีความเห็นของเธอ แล้วเดินหน้าต่อไป
.
สาม: หากซื่อสัตย์กับตัวเอง สิ่งที่เราทำเพื่อคนอื่นส่วนใหญ่แท้จริงแล้วทำเพื่อตัวเอง — เราสวดมนต์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวเพราะเราต้องการให้พวกเขาอยู่รอบข้าง เราหลั่งน้ำตาเมื่อคู่ครองเสียชีวิตเพราะความเหงาที่กำลังจะมา เราเสียสละเพื่อลูกด้วยความหวังว่าพวกเขาจะเติบโตอย่างที่เราต้องการ เว้นแต่เราจะบรรลุธรรมเหมือนพระพุทธเจ้าหรือพระเยซู เป็นเรื่องยากที่จะละทิ้งการหมกมุ่นกับตัวเองที่ฝังรากลึก
.
"หยุดกังวลว่าคนอื่นคิดอย่างไร และทำในสิ่งที่ใจคุณปรารถนา อย่าทำให้ชีวิตคุณซับซ้อนด้วยคำถาม 'จะเกิดอะไรขึ้นถ้า...?' ทำให้ชีวิตคุณไม่ซับซ้อนและยอมรับความปรารถนาของคุณ เพียงเมื่อคุณมีความสุข คุณจึงจะช่วยทำให้โลกมีความสุขขึ้นได้"
.
.
--------------------------------------
.
[ การค้นหาเส้นทางของคุณ ]
.
.
ซูนิมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการค้นหาจุดหมายในชีวิต ท่านระบุเหตุผลที่ทำให้ยากในการหาเส้นทางของตนเอง:
.
หนึ่ง เราไม่รู้ว่ามีงานอะไรบ้างในโลก นอกเหนือจากที่เรารู้จักผ่านครอบครัวและเพื่อน วิธีง่ายที่สุดในการเปิดรับประสบการณ์ทางอ้อมคือการอ่าน คุณได้อ่านเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การเดินทาง แฟชั่น ศิลปะ หรือการเมืองหรือไม่? คุณอาจอ่านชีวประวัติของคนที่คุณชื่นชมและหวังจะเลียนแบบ
.
สอง หลายคนเชื่อผิดๆ ว่าพวกเขาต้องมองเพียงภายในเพื่อค้นพบความหลงใหลของพวกเขา แม้ว่าจะเป็นความจริงที่เรามีความสนใจและพรสวรรค์โดยกำเนิด แต่เรามักไม่รู้ว่ามันคืออะไรจนกว่าจะมีประสบการณ์ชีวิตจริง ลองทำงานพาร์ทไทม์ต่างๆ ฝึกงาน หรืออาสาสมัคร อย่ากลัวที่จะลงมือทำ
.
สาม เป็นเรื่องยากที่จะค้นหาจุดหมายของคุณโดยไม่มีการตระหนักรู้ในตนเองที่เพียงพอ คุณรู้หรือไม่ว่าคุณเฟื่องฟูในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไหน? คุณดึงพลังงานจากการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนหรือไม่? คุณทำงานได้ดีภายใต้ความกดดันหรือไม่? อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ?
.
สุดท้าย อย่าเลือกอาชีพโดยอิงจากสิ่งที่คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับตัวเลือกของคุณ ความจริงก็คือคนอื่นไม่ได้คิดถึงคุณมากนัก หากคุณคิดว่าคุณจะสนุกกับอะไร อย่าคิดมากเกินไป แค่ทำมันซะ แม้ว่ามันจะไม่เป็นไปตามที่คุณจินตนาการไว้ คุณยังคงชื่นชมมันสำหรับสิ่งที่มันสอนคุณ
.
.
--------------------------------------
.
[ ความเชื่อทางจิตวิญญาณที่แตกต่าง ]
.
.
ซูนิมในฐานะพระของพุทธศาสนามีมุมมองที่น่าประทับใจเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่าง ท่านเริ่มด้วยการอ้างถึงข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล:
.
"อย่าตัดสินเพื่อคุณจะไม่ถูกตัดสิน เพราะตามวิธีที่คุณตัดสิน คุณจะถูกตัดสิน และด้วยมาตรฐานการวัดของคุณ มันจะถูกวัดกับคุณ" —มัทธิว 7:1-2
.
ท่านรู้สึกว่าข้อความนี้คล้ายกับกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา ซึ่งมักถูกอธิบายในตะวันตกว่า "คุณเก็บเกี่ยวในสิ่งที่คุณหว่าน" หรือ "วิบากกรรมย่อมตามสนอง" แม้ว่าท่านจะเป็นพุทธ แต่ท่านได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากข้อความหลายตอนในพระคัมภีร์ไบเบิล
.
"ผมตระหนักว่าสัจธรรมไม่ใช่ทรัพย์สินเฉพาะของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง มันมีคุณสมบัติสากลที่ช่วยให้ผู้คนจากประเพณีศาสนาที่แตกต่างกันยอมรับและเคารพกัน"
.
ท่านเล่าถึงการเยี่ยมชมชุมชนสงฆ์คริสต์ชื่อไทเซ่ในฝรั่งเศส ซึ่งท่านรู้สึกเหมือนได้พบ "ญาติห่างๆ ที่พลัดพรากไปนาน" ท่านสังเกตเห็นความคล้ายคลึงระหว่างชีวิตสงฆ์คริสต์และชีวิตสงฆ์พุทธ: การภาวนาเงียบๆ, วงแหวนที่เปรียบเสมือนรอยแผลเป็นจากธูปของพระพุทธ, และความสุขในชีวิตเรียบง่าย
.
"บางคนอาจคิดว่าชีวิตในชุมชนเช่นนั้นถูกกดขี่ เคร่งครัด และยากลำบาก แต่ไม่ใช่เช่นนั้น ชีวิตสงฆ์มีลักษณะของความงามเรียบง่ายและความสุขที่ไม่คาดคิด พระพบความสุขในสิ่งที่อาจดูเล็กน้อยสำหรับผู้ที่แสวงหาความสำเร็จทางวัตถุ"
.
ซูนิมยังได้อ้างถึงศาสตราจารย์คังนัม โอ ที่แบ่งผู้ศรัทธาเป็นสองกลุ่ม: คนที่มี "ศรัทธาแบบผิวเผิน" ติดอยู่กับสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณและมักโต้แย้งสัญลักษณ์ของศาสนาอื่น และคนที่มี "ศรัทธาเชิงลึก" เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งกว่าสัญลักษณ์ และสามารถพบความหมายที่คล้ายคลึงกันในประเพณีทางจิตวิญญาณที่หลากหลาย
.
ท่านยังแนะนำการรับมือกับความเชื่อทางจิตวิญญาณที่แตกต่างในครอบครัวเดียวกัน:
.
"สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกเครียดและอึดอัดไม่ใช่จิตวิญญาณเอง แต่เป็นแรงกดดันจากครอบครัวให้ปฏิบัติตาม" วิธีแก้ที่ดีคือการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเส้นทางจิตวิญญาณอื่น หาหนังสือโดยสมาชิกที่ได้รับความเคารพของเส้นทางนั้นและศึกษา
.
"หากคุณเปิดใจและเต็มใจที่จะเรียนรู้ คุณจะค้นพบบางแง่มุมของเส้นทางนั้นที่สอดคล้องกับของคุณ แม้ว่าสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณภายนอกจะแตกต่างกัน แต่ความหมายเบื้องหลังอาจฟังดูคุ้นเคยสำหรับคุณอย่างแปลกประหลาด"
.
.
--------------------------------------
.
[ ใบหน้าแท้จริงของคุณ ]
.
.
ในบทส่งท้าย ซูนิมแนะนำให้เราชะลอชีวิตลงเมื่อรู้สึกเร่งรีบ วิตกกังวล หรือเจ็บปวด แม้จะเพียงชั่วขณะ ให้นำความตระหนักรู้ทั้งหมดมาอยู่ในปัจจุบันและหายใจลึกๆ
.
"คุณได้ยินอะไร? ร่างกายคุณรู้สึกอย่างไร? ท้องฟ้าเป็นอย่างไร?"
.
ท่านชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราชะลอตัวลง เราจะเห็นความสัมพันธ์ ความคิด และความเจ็บปวดของเราได้อย่างชัดเจน เราไม่พัวพันอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป เราสามารถก้าวออกมาและชื่นชมสิ่งเหล่านั้นตามที่เป็น
.
"ใบหน้าของครอบครัวและเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือเสมอ ทัศนียภาพที่เราผ่านทุกวันแต่ไม่สังเกต เรื่องราวของเพื่อนที่เราไม่ตั้งใจฟัง—ในความเงียบของการหยุดพัก ความเป็นทั้งหมดของเราถูกเปิดเผยอย่างเงียบๆ"
.
"ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่เราต้องพยายามแสวงหา แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อเราชะลอตัวลงและสังเกตสิ่งที่มีอยู่แล้ว"
.
.
.
หากคุณกำลังรู้สึกว่าชีวิตเร่งรีบเกินไป ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา แล้วเดินช้าๆ ไปสู่จุดที่คุณสามารถมองเห็นสิ่งที่มักถูกมองข้าม: ความงามของชีวิตธรรมดาครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ The Anxious Generation เขียนโดย Jonathan Haidt

Next
Next

50 ข้อคิดสำคัญจาก "The Let Them Theory" ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล