50 ข้อคิดสำคัญจาก "The Let Them Theory" ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล
สองคำที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ไม่ใช่เพราะความหมายของมัน แต่เพราะความจริงที่ซ่อนอยู่ข้างใน ความจริงที่เราใช้ชีวิตทั้งชีวิตหนีมัน
.
“เราไม่มีอำนาจเหนือใคร นอกจากตัวเราเอง”
.
คืนหนึ่งที่งานพรอม เมื่อ Mel Robbins ปล่อยให้ลูกชายวิ่งฝ่าฝน เธอรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไปในตัวเธอ
.
ความตึงเครียดที่แบกมาทั้งชีวิตค่อยๆ คลายลง ความต้องการควบคุมทุกอย่างค่อยๆ ละลาย ราวกับมีใครมากระซิบว่า...
.
"เธอไม่ต้องแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า"
.
ในสัปดาห์ต่อมา เธอเริ่มสังเกตเห็นความจริงที่น่าเจ็บปวด ว่าเธอใช้เวลาและพลังงานมากแค่ไหนกับการพยายาม
.
ทำให้ทุกคนพอใจ, ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว, เปลี่ยนคนอื่นให้เป็นอย่างที่เธอต้องการ, ป้องกันไม่ให้ใครผิดหวัง
.
และผลลัพธ์คืออะไร? ความเหนื่อยล้า ความผิดหวัง และความรู้สึกว่าไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่ดีพอ
.
.
และนี่ครับคือ 50 ข้อคิดสำคัญจาก “Let Them Theory”
.
คำที่เปลี่ยนทั้งความสัมพันธ์ ชีวิต และหัวใจของคนนับล้าน
.
และอาจเปลี่ยนของคุณด้วยเช่นกัน…
.
.
1. คุณไม่สามารถควบคุมผู้อื่นได้ – นี่คือกฎพื้นฐานของธรรมชาติมนุษย์
.
ไม่ว่าคุณจะพยายามแค่ไหน คุณไม่มีวันควบคุมสิ่งที่คนอื่นคิด พูด หรือทำได้ การพยายามควบคุมผู้อื่นเท่ากับการต่อสู้กับกฎของธรรมชาติ และคุณจะแพ้ทุกครั้ง
เมลเล่าว่าเธอใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้ เธอพยายามควบคุมทุกสิ่งรอบตัว ตั้งแต่สามี ลูก เพื่อน จนถึงคนแปลกหน้าที่เจอตามท้องถนน ผลที่ได้คือความเหนื่อยล้า ความผิดหวัง และความสัมพันธ์ที่แย่ลง
.
.
2. Let Them คือการปล่อยวาง แต่ไม่ใช่การยอมแพ้
.
Let Them แตกต่างจาก "letting go" ตรงที่มันไม่ใช่การเดินหนีหรือกลืนความรู้สึก แต่เป็นการตัดสินใจอย่างมีสติว่าคุณจะไม่ให้พฤติกรรมของคนอื่นมากำหนดความสุขของคุณ
เมื่อคุณพูดว่า "Let Them" คุณกำลังยอมรับความจริงว่าผู้อื่นมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวของตัวเอง พร้อมกับปกป้องพลังงานและเวลาของคุณจากสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้
.
.
3. Let Me คือจุดที่พลังอำนาจที่แท้จริงของคุณอยู่
.
Let Them เป็นเพียงครึ่งแรกของสมการ Let Me คือส่วนที่สำคัญกว่า เพราะนี่คือจุดที่คุณใช้พลังอำนาจในการเลือกว่าจะตอบสนองอย่างไร
เมลเน้นย้ำว่าหลายคนใช้แค่ Let Them แล้วรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะพวกเขาลืมส่วน Let Me ที่เป็นการรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเองและสร้างสิ่งที่ต้องการ
.
.
4. ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์เท่ากับเด็ก 8 ขวบ
.
นักจิตวิทยาที่เมลปรึกษาบอกว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ไม่เคยได้เรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม พวกเขาจึงแสดงออกแบบเด็ก เช่น งอน เงียบ หนี หรือระเบิดอารมณ์
เมื่อคุณเข้าใจว่าคนที่คุณกำลังรับมือด้วยอาจมีความสามารถทางอารมณ์เท่ากับเด็ก 8 ขวบ คุณจะเข้าใจพฤติกรรมพวกเขาและตอบสนองด้วยความเมตตามากกว่าความหงุดหงิด
.
.
5. ความเครียดคือปัญหาที่ใหญ่กว่าที่คุณคิด
.
ดร.อดิติ เนอรูการ์ แพทย์จากฮาร์วาร์ด อธิบายว่า 7 ใน 10 คนกำลังอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง ซึ่งทำให้สมองส่วน amygdala (ที่ควบคุมการตอบสนองต่อภัยคุกคาม) ทำงานตลอดเวลา
เมื่อคุณเครียด สมองส่วนที่ช่วยวางแผนและตัดสินใจ (prefrontal cortex) จะหยุดทำงาน คุณจึงตัดสินใจแย่ พูดจาไม่ดี และทำสิ่งที่เสียใจภายหลัง
.
.
6. การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นมี 2 แบบ: ทรมานหรือเป็นครู
.
การเปรียบเทียบแบบแรกคือการทรมานตัวเอง - เมื่อคุณอิจฉาสิ่งที่คนอื่นเกิดมามี เช่น หน้าตา รูปร่าง ครอบครัว ซึ่งคุณเปลี่ยนแปลงไม่ได้
การเปรียบเทียบแบบที่สองคือครู - เมื่อคุณเห็นความสำเร็จที่คนอื่นสร้างขึ้น และตระหนักว่าคุณก็ทำได้เช่นกัน ถ้าคุณยอมลงมือทำ
.
.
7. คนเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อพวกเขาอยากเปลี่ยนเท่านั้น
.
ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลดีแค่ไหน หรือคุณรักพวกเขามากเพียงใด คุณไม่สามารถบังคับใครให้เปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งกดดัน ยิ่งสร้างแรงต้าน
เมลยกตัวอย่างเพื่อนที่พยายามให้สามีลดน้ำหนักมานานหลายปี ยิ่งเธอบ่น ยิ่งจู้จี้ สามีก็ยิ่งดื้อและไม่ยอมทำ จนกลายเป็นสงครามเย็นในบ้าน
.
.
8. มิตรภาพในวัยผู้ใหญ่เปลี่ยนจากกีฬาทีมเป็นกีฬาเดี่ยว
.
ตอนเด็ก เราใช้เวลากับเพื่อนวันละ 6-8 ชั่วโมง แต่ตอนโตขึ้น ทุกคนกระจายไปคนละทิศละทาง มีชีวิตของตัวเอง ตารางเวลาไม่ตรงกัน
การคาดหวังว่ามิตรภาพจะเหมือนเดิมคือสาเหตุที่ทำให้คนรู้สึกเหงาและผิดหวัง คุณต้องยอมรับว่านี่คือธรรมชาติของมิตรภาพวัยผู้ใหญ่
.
.
9. ถ้าเขาชอบคุณ = คุณจะรู้ , ถ้าไม่ = คุณจะสับสน
.
ในเรื่องความรัก พฤติกรรมบอกความจริงเสมอ คนที่สนใจคุณจริงจะทำให้ชัดเจน ไม่ทำให้คุณต้องเดา
เมลเน้นว่าอย่าเสียเวลากับคนที่ส่งสัญญาณคลุมเครือ นั่นไม่ใช่ "mixed signals" แต่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณไม่ใช่ความสำคัญอันดับหนึ่งของเขา
.
.
10. คุณไม่ติดอยู่ในสถานการณ์ใดๆ - นั่นเป็นคำโกหกที่คุณบอกตัวเอง
.
คุณสามารถออกจากงาน ความสัมพันธ์ สถานการณ์ หรือการสนทนาได้ทุกเมื่อ แต่คุณเลือกที่จะอยู่เพราะกลัวความไม่แน่นอน
เมลท้าทายให้คุณหยุดใช้ข้ออ้างและเริ่มรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง ถ้างานแย่ หาใหม่ ถ้าความสัมพันธ์เป็นพิษ จบมัน
.
.
11. Let Them เป็นเหมือนสวิตช์ปิดความเครียดในสมองคุณ
.
เมื่อคุณพูด Let Them คุณกำลังส่งสัญญาณให้สมองรู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่ใช่ภัยคุกคาม ไม่ต้องเปิดโหมดเครียด
ดร.เนอรูการ์ยืนยันว่า Let Them Theory ช่วยให้สมองออกจากโหมดเอาตัวรอดกลับมาสู่การทำงานปกติ ทำให้คุณคิดชัด ตัดสินใจดี
.
.
12. การหายใจลึกๆ คือวิธีรีเซ็ตระบบประสาทที่ได้ผลทันที
.
เมื่อคุณพูด Let Them แล้วตามด้วย Let Me take a breath การหายใจลึกๆ จะกระตุ้น vagus nerve ส่งสัญญาณให้สมองใจเย็นลง
เมลแนะนำให้ใช้เทคนิคนี้ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ไม่ว่าจะเป็นการรอคิวนาน การจราจรติด หรือเมื่อเจอคนหยาบคาย
.
.
13. อย่าเป็นผู้ใหญ่ที่โยนความผิดให้เด็ก 8 ขวบในตัวคนอื่น
.
เมื่อคนอื่นแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะโกรธ ให้นึกภาพเด็ก 8 ขวบติดอยู่ในตัวพวกเขา คุณจะรู้สึกสงสารมากกว่าหงุดหงิด
เมลเล่าว่าเทคนิคนี้ช่วยให้เธอรับมือกับคนที่ชอบเป็นศูนย์กลางความสนใจในครอบครัวได้ดีขึ้น เธอเห็นความไม่มั่นคงของเด็กในตัวผู้ใหญ่
.
.
14. การตัดสินใจที่ถูกต้องมักรู้สึกผิดเสมอ
.
เมื่อคุณต้องทำสิ่งที่ถูกต้องแต่จะทำร้ายความรู้สึกคนอื่น เช่น ยกเลิกงานแต่งงาน ลาออกจากงาน หรือจบความสัมพันธ์ มันจะรู้สึกแย่มาก
แต่เมลเตือนว่าการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดชั่วคราวด้วยการไม่ตัดสินใจ จะนำไปสู่ความทุกข์ระยะยาวที่มากกว่า
.
.
15. อารมณ์คือสารเคมีในสมองที่ขึ้นลงภายใน 90 วินาที
.
ถ้าคุณไม่ตอบสนอง อารมณ์ส่วนใหญ่จะผ่านไปภายใน 90 วินาที นี่คือเหตุผลที่ Let Them rise, Let Me not react ได้ผลดี
เมลแนะนำว่าเมื่อรู้สึกโกรธหรือเสียใจ อย่ารีบส่งข้อความ อย่ารีบตัดสินใจ รอให้คลื่นอารมณ์ผ่านไปก่อน
.
.
16. ความเครียดที่ไม่จัดการจะกลายเป็นความวิตกกังวล การหลีกเลี่ยง และการติดสิ่งต่างๆ
.
ดร.ดามัวร์อธิบายว่าคนที่ไม่เคยเรียนรู้การจัดการอารมณ์มักจะหนีด้วยการติดเหล้า ติดงาน ติดโซเชียล หรือแม้แต่ติดการช่วยเหลือคนอื่น
เมลสารภาพว่าเธอเคยใช้การทำงานหนักเป็นวิธีหนีจากการเผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิต จนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว
.
.
17. คุณสร้างความเครียดให้ตัวเองมากกว่าที่โลกสร้างให้คุณ
.
เมลยกตัวอย่างการเครียดเรื่องคนไอบนเครื่องบิน แทนที่จะยอมรับว่าควบคุมไม่ได้ เธอเสียเวลาและพลังงานไปกับการหงุดหงิด
พอเธอใช้ Let Them และใส่ผ้าพันคอปิดจมูก ปัญหาจบ เธอได้บทเรียนว่าเราเลือกได้ว่าจะให้อะไรมากระทบเรา
.
.
18. การช่วยเหลือที่มากเกินไปคือการทำร้ายแบบใจดี
.
เมลเล่าว่าเธอเคยให้ลูกสาวที่มีความวิตกกังวลมานอนห้องพ่อแม่ทุกคืนนาน 6 เดือน คิดว่ากำลังช่วย แต่จริงๆ กำลังทำให้ลูกอ่อนแอลง
นักบำบัดอธิบายว่าการปกป้องคนจากผลของการกระทำของพวกเขาคือการขัดขวางการเติบโต คนจะแข็งแกร่งได้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว
.
.
19. Rock Bottom ของคนที่คุณรักคือ Rock Bottom ของคุณด้วย
.
เมื่อคนที่คุณรักกำลังดิ่งสู่ก้นบึ้ง คุณจะมี rock bottom moment ของคุณเอง - จุดที่คุณตระหนักว่าการช่วยแบบผิดๆ กำลังทำให้ทุกคนจมลึกลง
เมลแชร์ว่าพี่ชายของสามีเธอปฏิเสธการให้ยืมเงินช่วยธุรกิจที่กำลังจะล้ม นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สามีเธอตัดสินใจเลิกทำธุรกิจที่ทำให้ทุกข์
.
.
20. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่บังคับให้เปลี่ยน
.
แทนที่จะบอกให้คนทำอะไร จงสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น เช่น ซื้ออาหารเพื่อสุขภาพมาเติมตู้เย็น ชวนไปออกกำลังกายด้วยกัน
เมลเล่าว่าตอนเธอเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด ครอบครัวไม่ได้ถามว่าต้องการอะไร แต่ทำสิ่งที่จำเป็นให้ เช่น ทำความสะอาดบ้าน ทำอาหาร พาออกไปข้างนอก
.
.
21. มิตรภาพมี 3 เสาหลัก: ความใกล้ชิด จังหวะชีวิต และพลังงาน
.
ความใกล้ชิด (Proximity) - คุณต้องใช้เวลา 200 ชั่วโมงกับใครสักคนเพื่อกลายเป็นเพื่อนสนิท ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งมีโอกาสสร้างมิตรภาพลึกซึ้ง
จังหวะชีวิต (Timing) - ถ้าอยู่คนละช่วงชีวิต เช่น คนหนึ่งมีลูก อีกคนยังโสด จะยากที่จะเชื่อมต่อกันลึกซึ้ง
พลังงาน (Energy) - บางคนเราคลิก บางคนไม่ ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แต่ต้องเชื่อความรู้สึก
.
.
22. "The Great Scattering" - ปรากฏการณ์ที่ทุกคนต้องเจอ
.
หลังจบการศึกษา เพื่อนๆ จะกระจายไปคนละทิศละทาง นี่คือ "The Great Scattering" ที่เมลตั้งชื่อให้
เธออธิบายว่านี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้หลายคนรู้สึกเหงาและสับสน เพราะโครงสร้างที่เคยทำให้เจอเพื่อนทุกวันหายไป
.
.
23. การ "Go First" คือกุญแจสร้างมิตรภาพวัยผู้ใหญ่
.
อย่ารอให้คนอื่นทักก่อน คุณต้องเป็นคนเริ่ม ทักทาย ชวนไปกินกาแฟ สร้างกิจกรรม
เมลแชร์ว่าเธอใช้เวลา 1 ปีในการสร้างชุมชนใหม่หลังย้ายบ้าน โดยเริ่มจากการจำชื่อบาริสต้า ทักทายคนในร้านกาแฟ จนกลายเป็นเพื่อน
.
.
24. Weak Ties มีพลังมากกว่าที่คุณคิด
.
คนที่คุณเจอเป็นประจำแต่ไม่สนิท เช่น บาริสต้า เพื่อนบ้าน คนในยิม คือ "weak ties" ที่วิจัยบอกว่ามีผลต่อความสุขมาก
เมลแนะนำให้จำชื่อ ทักทาย สร้างการเชื่อมต่อเล็กๆ เหล่านี้ เพราะมันสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
.
.
25. ให้มิตรภาพ 1 ปีก่อนตัดสิน
.
เมลบอกลูกสาวที่บ่นว่าไม่มีเพื่อนในมหาวิทยาลัยให้ "Give it a year" เพราะการสร้างมิตรภาพที่แท้จริงต้องใช้เวลา
ลูกสาวเธอเจอเพื่อนกลุ่มที่คลิกจริงๆ ในสัปดาห์สุดท้ายของปีแรก หลังจากพยายามมาทั้งปี
.
.
26. อย่าใช้ Let Them ระเบิดมิตรภาพเพราะเขาไม่ตอบข้อความ
.
เมลเตือนว่าอย่ารีบสรุปว่าเพื่อนไม่แคร์เพราะไม่ตอบข้อความ คนมีชีวิตยุ่ง มีปัญหาที่คุณไม่รู้
เธอยอมรับว่าตัวเองก็เคยหายไปจากเพื่อนเก่า 3-4 ปี เพราะชีวิตวุ่นวาย ไม่ได้หมายความว่าไม่แคร์
.
.
27. ABC Loop สำหรับการขอให้คนเปลี่ยนแปลง
.
A = Apologize และ Ask คำถามปลายเปิด B = Back off และสังเกต Behavior C = Celebrate ความก้าวหน้าและ Continue เป็นตัวอย่างการ Change
เมลอธิบายว่านี่คือวิธีเดียวที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าอาจช่วยให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงได้ โดยที่ไม่ใช่การบังคับ
.
.
28. Motivational Interviewing - ศาสตร์แห่งการถามคำถาม
.
ดร.คาโนเจียอธิบายว่าการถามคำถามปลายเปิดช่วยให้คนรู้สึกถึงความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่เขาต้องการกับพฤติกรรมปัจจุบัน
เช่น "รู้สึกยังไงกับสุขภาพตอนนี้?" "อะไรทำให้รู้สึกโอเค?" "มีอะไรที่อยากเปลี่ยนไหม?"
.
.
29. การให้เงินโดยไม่มีเงื่อนไขคือการ Enabling
.
ดร.วอลดิงเกอร์เน้นว่าการให้เงินช่วยผู้ใหญ่โดยไม่มีเงื่อนไขคือการขัดขวางการเติบโต ถ้าจะให้ ต้องมีข้อตกลงชัดเจน
เช่น จ่ายค่าเช่าถ้าไปบำบัด จ่ายค่าเรียนถ้าเกรดถึงเกณฑ์ ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไข ต้องยอมตัดการสนับสนุนทางการเงินทั้งหมด
.
.
30. Deal Breaker หรือ End Your Bitching
.
ถ้าคนที่คุณรักไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากคุณใช้ ABC Loop และรอ 3 เดือน คุณมี 2 ทางเลือก:
ยอมรับเขาอย่างที่เป็นและหยุดบ่น
หรือยอมรับว่านี่คือ deal breaker และจบความสัมพันธ์
.
.
31. Dating คือกระบวนการคัดออก ไม่ใช่คัดเข้า
.
เมลอธิบายว่าการหาคู่ที่ถูกต้องคือการกล้าพูด "ไม่" กับคนที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่พยายามทำให้ทุกคนชอบคุณ
ยิ่งคุณปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเร็วเท่าไหร่ ยิ่งเจอคนที่ใช่เร็วเท่านั้น
.
.
32. พฤติกรรมบอกความจริงเสมอ คำพูดอาจโกหก
.
อย่าฟังสิ่งที่เขาพูด ให้ดูสิ่งที่เขาทำ คนที่สนใจคุณจริงจะหาเวลาให้คุณ จะติดต่อสม่ำเสมอ จะทำให้คุณรู้สึกเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง
เมลเน้นว่า "mixed signals" ไม่ใช่สัญญาณผสม แต่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณไม่ใช่ priority ของเขา
.
.
33. ถ้าคุณมีรูปแบบการเลือกคนผิดซ้ำๆ คุณต้องอยู่คนเดียว 1 ปี
.
วิจัยจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตาพบว่าคนมักเลือกคู่ที่มีปัญหาแบบเดิมซ้ำๆ ถ้านี่คือคุณ การมีแฟนใหม่จะไม่ช่วย
เมลแนะนำให้โสด 1 ปีเต็ม ไปพบนักบำบัด หาต้นตอของรูปแบบนี้ ไม่งั้นจะวนลูปความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อไป
.
.
34. The Commitment Conversation - วิธีคุยเรื่องความมุ่งมั่นโดยไม่เสียพลังอำนาจ
.
แมทธิว ฮัสซีย์แนะนำให้เน้นที่คุณค่าของเวลาของคุณ ไม่ใช่ความต้องการของคุณ:
"ฉันชอบใช้เวลากับคุณมาก แต่ฉันรู้ตัวเองว่าต้องการความมุ่งมั่น ถ้าเราเห็นอนาคตไม่ตรงกัน นี่ก็สนุกดี แต่ฉันต้องเลือกใช้เวลากับคนที่ต้องการสิ่งเดียวกับฉัน"
.
.
35. 69% ของปัญหาในความสัมพันธ์แก้ไม่ได้
.
ดร.กอตต์แมนค้นพบว่าคู่รักทะเลาะเรื่องเดิมๆ ที่ไม่มีทางแก้ เช่น คนหนึ่งตรงเวลา อีกคนสาย หรือใครเรื่องมาก ใครชอบอยู่บ้าน
เมลยอมรับว่า ADHD ของเธอทำให้สามีหงุดหงิดมา 30 ปี แต่เขาเลือกที่จะยอมรับเพราะข้อดีอื่นๆ มากกว่า
.
.
36. Compatibility vs Commitment - ความแตกต่างที่สำคัญ
.
คุณอาจรักใครสุดหัวใจแต่ไม่เข้ากัน เช่น คนหนึ่งอยากมีลูก อีกคนไม่อยาก หรือคนหนึ่งอยากย้ายประเทศ อีกคนอยากอยู่ใกล้ครอบครัว
เมลอธิบายว่านี่คือเมื่อความรักอย่างเดียวไม่พอ ต้องตัดสินใจว่าจะประนีประนอมหรือยอมรับว่าไม่เข้ากัน
.
.
37. วิธีรักษาใจตัวเองหลัง Heartbreak
.
เอาของที่ระลึกออกจากสายตา
จัดห้องนอนใหม่เพื่อส่งสัญญาณว่าเริ่มบทใหม่
วางแผนกิจกรรมให้ตัวเองยุ่ง
ตั้งเป้าหมายใหม่ที่ภูมิใจในตัวเอง
No contact 30 วัน เพื่อให้ระบบประสาทปรับตัว
.
.
38. คุณคือคนรักของชีวิตคุณเอง
.
ความสัมพันธ์ไม่ได้ทำให้คุณมีค่า การมีชีวิตอยู่ต่างหากที่ทำให้คุณมีค่า คุณจะอยู่กับตัวเองตั้งแต่เกิดจนตาย
เมลเน้นว่าวิธีที่คุณปฏิบัติต่อตัวเองเป็นมาตรฐานที่บอกคนอื่นว่าควรปฏิบัติกับคุณอย่างไร
.
.
39. Frame of Reference – เครื่องมือเข้าใจมุมมองของคนอื่น
.
ลิซ่า บิลยูแนะนำแนวคิดนี้ เมลใช้เพื่อเข้าใจว่าทำไมแม่เธอถึงไม่ชอบคริส สามีเธอตอนแรก
เมื่อเธอมองจากมุมแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกไกลบ้านเกิด เธอเข้าใจว่าแม่กลัวเธอจะไม่กลับบ้าน ไม่ได้ตัดสินคริส แต่กำลังเศร้ากับการสูญเสีย
.
.
40. ทุกการจบคือการเริ่มต้นที่สวยงาม
.
แม้การเลิกรากันจะเจ็บปวด แต่มันคือก้าวหนึ่งที่พาคุณเข้าใกล้คนที่ใช่ เมลเชื่อว่ารักแท้ของทุกคนรออยู่ข้างหน้า ไม่ใช่อดีต
เธอแนะนำให้ใช้เวลาโสดอย่างมีความหมาย พัฒนาตัวเอง ทำสิ่งที่ภูมิใจ เพื่อเมื่อเจอคนที่ใช่ คุณจะเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเอง
.
.
41. Let Them ไม่ใช่ข้ออ้างหยุดพูดคุยหรือหนีปัญหา
.
เมลเตือนว่า Let Them ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ ghosting ให้ silent treatment หรือหลีกเลี่ยงการสนทนาที่จำเป็น
มันคือการเลือกว่าอะไรสมควรได้รับเวลาและพลังงานของคุณ แล้วจัดการอย่างสร่างสรรค์
.
.
42. พลังอำนาจของคุณอยู่ที่การตอบสนอง ไม่ใช่การควบคุม
.
คุณควบคุมไม่ได้ว่าฝนจะตก แต่คุณเลือกได้ว่าจะพกร่ม เต้นรำกลางสาย หรือหาที่หลบ
เมลใช้อุปมานี้เพื่ออธิบายว่าชีวิตเหมือนสภาพอากาศ - เปลี่ยนแปลงตลอด แต่คุณเลือกได้ว่าจะรับมืออย่างไร
.
.
43. คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้พิเศษ แค่ไม่ยอมให้โลกหยุดพวกเขา
.
เมลย้ำว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคุณกับคนที่ทำสิ่งพิเศษได้ พวกเขาแค่เบื่อกับข้อแอ้างของตัวเองและลงมือทำ
Tom Brady บอกว่า "คุณไม่ต้องพิเศษ แค่ต้องเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เป็น: สม่ำเสมอ มุ่งมั่น และเต็มใจทำงานเพื่อมัน"
.
.
44. Small Consistent Action Changes Everything
.
การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากการทำสิ่งใหญ่ครั้งเดียว แต่เกิดจาก 5-4-3-2-1 ลุกจากเตียงทุกเช้า แม้ไม่อยากลุก
เมลใช้เวลา 15 ปีสร้างชีวิตที่ฝัน ด้วยการทำสิ่งเล็กๆ ทุกวัน แม้จะรู้สึกท้อ กลัว หรือไม่มั่นใจ
.
.
45. อย่าให้ความกลัวคนอื่นคิดหยุดคุณจากการโพสต์ ทำธุรกิจ หรือแชร์ความคิด
.
เมลสารภาพว่าเธอเสียเวลา 2 ปีกลัวโพสต์เรื่องงานพูดบนโซเชียล กลัวเพื่อนจะคิดว่าหลงตัวเอง
พอเริ่มโพสต์ กลายเป็นวิทยากรที่ถูกจองมากที่สุดในโลก ถ้าเธอให้ความกลัวชนะ จะไม่มีวันนี้
.
.
46. Your Let Me Era Is Here - ยุคของคุณมาถึงแล้ว
.
ไม่มีใครมาช่วยคุณ ไม่มีใครจ่ายบิลให้ ไม่มีใครสร้างชีวิตที่ดีให้ ไม่มีใครรักษาแผลใจให้
ชีวิต สุขภาพ มิตรภาพ ความสำเร็จ ความสุขของคุณเป็นความรับผิดชอบของคุณ 100%
.
.
47. เวลาและพลังงานคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของคุณ
.
ทุกวินาทีที่ใช้กังวลเรื่องไร้สาระ หงุดหงิดเรื่องเล็กน้อย หรือพยายามเปลี่ยนคนอื่น คือการปล้นตัวเอง
เมลท้าทายให้คุณคิดว่าถ้าเอาเวลาและพลังงานทั้งหมดที่เสียไปมาใช้กับสิ่งสำคัญ ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร
.
.
48. การให้เสรีภาพคนอื่นคือการให้เสรีภาพตัวเอง
.
ยิ่งคุณ Let Them เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งมีพื้นที่ให้คุณเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งปล่อยวาง ยิ่งได้มากขึ้น
เมลอธิบายว่านี่คือความขัดแย้งที่สวยงาม - การยอมสูญเสียการควบคุมที่ไม่เคยมีกลับให้การควบคุมที่แท้จริง
.
.
49. ไม่มีอะไรหยุดคุณได้นอกจากตัวคุณเอง
.
ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในจุดที่อยากอยู่ ข่าวดีคือมันเป็นความผิดของคุณทั้งหมด ข่าวที่ดีกว่าคือคุณเปลี่ยนได้ทันทีที่ตัดสินใจ
เมลเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพเหนือจินตนาการ แค่ต้องหยุดให้คนอื่นและสถานการณ์มาขวางทาง
.
.
50. Two Simple Words That Will Change Everything: Let Me
.
ทุกอย่างเริ่มต้นที่ Let Them เพื่อปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่พลังที่แท้จริงอยู่ที่ Let Me
Let Me รับผิดชอบชีวิตตัวเอง Let Me สร้างความสุขของตัวเอง Let Me ไล่ตามความฝัน Let Me เป็นคนที่ภูมิใจในตัวเอง Let Me ใช้ชีวิตอย่างไม่เสียใจครับ
.
.
============================
.
และถ้าบทความนี้ทำให้คุณปาดน้ำตาเบาๆ หรือเผลอพยักหน้าอย่างเข้าใจชีวิตครั้งแรกในรอบสัปดาห์
.
อย่าเก็บไว้คนเดียวครับ
.
แชร์ให้เพื่อนที่ชอบเก็บความเครียดไว้ใต้พรม
.
แชร์ให้คนที่ยังพยายามอธิบายตัวเองในกรุ๊ปไลน์ที่ไม่มีใครอ่าน
.
หรืออย่างน้อย แชร์ให้ “คนที่คุณพยายามเปลี่ยน” แล้วแปะคำว่า Let Them ไปเลย
.
.
ชีวิตจะเบาขึ้นทันที
เมื่อคุณเลิกจับทุกอย่างไว้แน่น และเลือกจับแค่สิ่งที่มีความหมาย
.
ปล่อยให้เขาเป็นในแบบของเขา
แล้วคุณ... จงเป็นในแบบที่คุณภูมิใจ
.
Let Them, Let Me and Let Life Begin
.
.
.
.
#SuccessStrategies