สรุปหนังสือ Die With Zero เขียนโดย Bill Perkins
ถ้าคุณเคยคิดว่า “จะเก็บเงินให้เยอะที่สุดก่อนตาย” คือแผนชีวิตที่ปลอดภัย…
.
บทความนี้จะมา ถีบเก้าอี้แนวคิดนั้นลงจากหอคอยอย่างสุภาพ
.
เพราะสิ่งที่ Bill Perkins กำลังบอกใน Die With Zero คือ
.
“การตายแบบมีเงินเหลือเยอะ อาจเป็นหลักฐานชิ้นสุดท้าย…ว่าคุณใช้ชีวิตพลาด”
.
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกแบบ 3 พาร์ท เนื้อๆ เน้นๆ ว่า
.
1. ทำไมคนจำนวนมากใช้ชีวิตแบบ “สะสมเงินจนพลาดความทรงจำ”
.
2. ประสบการณ์งอกได้จริงหรือเปล่า? และมันให้ “ดอกเบี้ยแห่งความสุข” ยังไง
.
3. รวมถึง…ทำไมการวางแผน “ตายแบบไม่มีเงินเหลือ” ถึงอาจเป็นแผนที่ฉลาดที่สุดที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา
.
เตรียมรับมือกับแนวคิดที่ขัดกับทุกคำสอนของการเงินดั้งเดิม
.
พร้อมหลักฐานจากชีวิตจริงของเศรษฐีพันล้าน, คนใกล้ตาย, และพนักงานเงินเดือน
.
เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตคุณจาก “มีเงินเยอะตอนตาย” → “มีชีวิตที่น่าจดจำไปจนวันตาย”
.
.
---------------------------------------
.
[ พาร์ท 1: Optimize Your Life ]
.
จงใช้พลังชีวิตให้เต็ม ไม่ใช่แค่ทำงานให้หมดวัน
“Maximize your positive life experiences.” — กฎข้อแรกจาก Bill Perkins
.
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสอนลงทุน ไม่ใช่คู่มือสะสมความมั่งคั่ง แต่เป็นการประกาศกร้าวว่า...
.
“เราควร Optimize ชีวิต ไม่ใช่ Optimize แค่บัญชีธนาคาร”
.
❖ จุดเริ่มต้น: ความตายทำให้เราตื่น
.
เรื่องเปิดของหนังสือคือเรื่องจริงสุดสะเทือนใจของ “Erin” เพื่อนของ Perkins
สามีของเธอชื่อ John เป็นทนายประสบความสำเร็จ สุขภาพดี และมีลูก 3 คน
.
แล้วอยู่ดี ๆ เขาก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็น clear-cell sarcoma
มะเร็งหายากที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว — ภายในไม่กี่เดือน ทั้งร่างกายของเขา “สว่างเหมือนต้นคริสต์มาส” บนแผ่นฟิล์มเอกซเรย์
.
Perkins โทรหาเธอแล้วพูดแบบตรง ๆ เลยว่า:
“หยุดทำงานเถอะ ใช้เวลาที่เหลือกับ John ขณะที่ยังทำได้”
.
Erin ตัดสินใจลาออกทันที
และตลอด 3 เดือนสุดท้ายก่อน John เสียชีวิต ทั้งคู่ได้ทำสิ่งเล็ก ๆ ง่าย ๆ ที่คนส่วนใหญ่ชอบผลักไว้ “ทีหลัง” —
ไปเดินเล่น, ดูหนัง, ไปรับลูกที่โรงเรียน, พา John ไปรักษาที่ยังมีหวัง แล้วแวะไปทัวร์ประวัติศาสตร์ที่บอสตันก่อนร่างกายจะทรุด
.
John ตายอย่างเจ็บปวด
แต่ Erin บอกว่าเธอไม่เสียใจเลยที่ลาออก
.
เพราะ “ความทรงจำ” คือสิ่งที่เธอมีเหลือ — และนั่นคือของขวัญที่ประเมินค่าไม่ได้
เรื่องนี้ทำให้ Perkins สะท้อนกลับมาเลยว่า...
.
❖ คนส่วนใหญ่ “รอ” มากเกินไป — จนลืมว่าเวลาคือสิ่งที่หมดแน่ๆ
“Too many people delay gratification for too long—or indefinitely.”
.
Perkins ไม่ได้บอกให้เราหยุดทำงานแล้วใช้เงินฟุ่มเฟือยเหมือนพรุ่งนี้จะตาย
แต่เขาบอกว่า...
.
คนส่วนใหญ่รอวันหยุด รอเกษียณ รอเวลาที่ “เหมาะ” จนวันนั้นไม่เคยมาถึง
.
เขาบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปรัชญา แต่มันคือ “ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของชีวิต” เลยทีเดียว
.
ในฐานะอดีตวิศวกร และคนที่รวยจากการวิเคราะห์ตัวเลขในวงการพลังงานและการเงิน
Perkins มองปัญหานี้แบบนักแก้สมการ:
.
เราควรหาวิธีใช้พลังชีวิต (life energy) ให้คุ้มที่สุด โดยให้ “เสียของ” น้อยที่สุด
.
แต่ปัญหาคือ…
.
คนจำนวนมากกลับ “เก็บเงิน” มากเกินไป
ทั้งที่คุณไม่สามารถย้อนเวลาเพื่อ “ซื้อคืน” โอกาสที่หลุดลอยไปในวัยหนุ่มสาวได้เลย
.
.
❖ ประสบการณ์บางอย่าง “มีอายุขัย”
.
Perkins บอกชัด:
“Some experiences can be enjoyed only at certain times.”
.
คุณอาจมีเงินปีนเขาในวัย 60...แต่ร่างกายไม่ให้แล้ว
คุณอาจเที่ยวรอบโลกตอนเกษียณ...แต่หัวใจไม่เต้นแรงแบบวัย 25 อีกแล้ว
.
ในต้นฉบับ เขายกตัวอย่างง่าย ๆ เลย:
“Most people can’t go water-skiing in their nineties.”
.
แนวคิดนี้คือ “เวลา” มีค่าและความสามารถในการใช้ชีวิตมัน “เสื่อมถอย”
ถ้าคุณเก็บเงินจนเยอะ แต่ใช้ตอนที่ร่างกายไม่ตอบสนอง = คุณเสียพลังชีวิตไปฟรีๆ
.
❖ จงใช้เงินเพื่อซื้อ “ชีวิตที่คุณอยากจำ” ไม่ใช่แค่ของที่คุณอยากมี
.
Perkins พูดแบบตรง ๆ เลยว่า...
“Squandering our lives should be a much greater worry than squandering our money.”
.
เขาบอกว่าเราไม่ควรกลัวการเสียเงิน
แต่ควรกลัวการ “เสียชีวิตไปโดยไม่ได้ใช้มันให้คุ้ม”
.
และความน่ากลัวคือ…
คนมากมายตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนัก สะสมเงิน แบบอัตโนมัติ
โดยไม่เคยหยุดถามตัวเองเลยว่า “เพื่ออะไร?”
.
เขายกตัวอย่างคน 60 ที่ยังทำงานหนักเพื่อเก็บเงินเพิ่มอีก ทั้งที่ตอนนี้เขาก็รวยพอจะใช้ชีวิตสุด ๆ ได้แล้ว
“Life is not a game of Space Invaders—you don’t get points for all the money you rack up in the game.”
.
ชีวิตไม่มี leaderboard
ไม่มีการจัดอันดับว่าใครมีเงินคงเหลือมากที่สุดตอนตาย
.
เพราะร่างของทุกคนก็จบลงเหมือนกันหมด
.
.
❖ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า “ใช้ชีวิตได้คุ้มแล้ว”?
.
เขาแนะนำหลักคิดสำคัญ:
คุณควรถามตัวเองว่า “สิ่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ ใช้พลังชีวิตแลกกับอะไร?”
.
เพราะทุกชั่วโมงที่คุณใช้ไป = คือพลังชีวิตที่หายไป
และคำถามจริง ๆ ควรเป็น...
“เวลาที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ มีค่ามากพอที่จะแปลงเป็นความทรงจำมั้ย?”
.
ถ้าไม่ — คุณอาจจะกำลัง "ใช้ชีวิตอย่างขาดทุน" อยู่โดยไม่รู้ตัว
.
.
❖ ตัวอย่างชีวิตจริงของ Perkins: จากเด็กเงินเดือนแสนประหยัด สู่บทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต
.
ในช่วงแรกของชีวิตทำงาน
.
Perkins เป็นเด็กจบใหม่ที่ทำงานในวงการการเงิน ได้เงินเดือน $16,000 ต่อปี — จนต้องย้ายกลับไปอยู่กับแม่ และแชร์ห้องสตูดิโอกับเพื่อน
.
เขาภูมิใจมากที่สามารถ “เก็บเงินได้ถึง $1,000” ด้วยความประหยัดสุด ๆ
.
แต่วันหนึ่งเจ้านายชื่อ Joe Farrell กลับด่ากลางออฟฟิศว่า:
“Are you a f***ing idiot? To save that money?”
.
Joe พูดตรง ๆ ว่า
“นายมาที่นี่เพื่อหาเงินเป็นล้าน แล้วจะเก็บเศษเงินไว้ทำไม? นายควรใช้มันตอนที่ยังไม่มีอะไรเลยสิ!”
.
Perkins บอกว่านั่นเป็น “การตบหน้า” ที่เปลี่ยนทัศนคติทั้งชีวิตของเขา
เพราะเขารู้ตัวว่า...
.
เขากำลัง “ขโมยชีวิตจากตัวเองในวัยหนุ่ม เพื่อไปให้กับตัวเองในอนาคตที่รวยกว่าและแก่กว่า”
.
และนั่นเป็นการใช้ชีวิตแบบไร้ประสิทธิภาพสุดๆ
.
.
.
สรุปพาร์ท 1
คนจำนวนมากกำลังทำงานหนักเพื่ออนาคตที่ตัวเองอาจไม่มีวันได้ใช้
สิ่งที่ควรกลัวไม่ใช่การ “ใช้เงินมากเกินไป” แต่คือการ “เก็บมากเกินไปจนชีวิตมันผ่านไปฟรี ๆ”
บางคน “ใช้ชีวิตเหมือนจะไม่มีวันตาย” แต่พอใกล้ตาย...กลับรู้ว่าพลาดหมดแล้ว
และที่เจ็บที่สุดคือ: คุณไม่มีวันเอา “โอกาสในวัยหนุ่มสาว” กลับคืนมาได้ด้วยเงิน
.
.
---------------------------------
.
พาร์ท 2: ประสบการณ์คือสินทรัพย์ และ "ดอกเบี้ยแห่งความทรงจำ" คือกำไรที่แท้จริง
.
“Your life is the sum of your experiences.” — Bill Perkins
Perkins บอกว่า ถ้าชีวิตของเราคือการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
.
คำถามสำคัญคือ...
คุณจะเอา “เวลา” และ “เงิน” ไปลงทุนกับอะไร?
.
คำตอบของเขาคือ:
ลงทุนในประสบการณ์ — ยิ่งเร็ว ยิ่งได้กำไร
.
.
❖ ประสบการณ์มัน "งอกได้" จริงเหรอ?
เขาตอบว่า ใช่
และเขาเรียกสิ่งนั้นว่า…
.
Memory Dividend
.
ทุกครั้งที่คุณมีประสบการณ์ดี ๆ
ไม่ว่าจะเป็นทริปยุโรป
เล่นดนตรีกับเพื่อน
กอดลูกครั้งแรก
กระโดดบันจี้จัมป์
.
มันจะ “ไม่จบแค่ตอนนั้น”
เพราะมันจะตามมาในรูปของความทรงจำ ที่คุณสามารถ “เรียกใช้ซ้ำ” ได้ตลอดชีวิต
.
เขาเขียนว่า:
“Experiences yield dividends because we humans have memory.”
.
เหมือนคุณเอาเงิน 1 ก้อน ไปลงทุนหุ้นดี ๆ แล้วได้ปันผลทุกปี
ประสบการณ์ก็เช่นกัน
แถมไม่ต้องเสียภาษี ไม่ต้องเสี่ยงขาดทุนด้วย
.
และในหลายกรณี — ความทรงจำมัน “ดีกว่า” ตอนที่เกิดเหตุการณ์จริงด้วยซ้ำ
“Some of these memories, upon repeat reflection, may actually bring more enjoyment than the original experience itself.”
.
.
❖ ตัวอย่างที่ชัดที่สุด: Trip ยุโรปของ Jason
.
Perkins ยกเรื่องเพื่อนสนิทของเขาชื่อ Jason ที่ตัดสินใจ “หยุดงาน 3 เดือน” เพื่อไป Backpack ทั่วยุโรป
.
ทั้งที่เงินเดือนแค่ $18,000 ต่อปี
และถึงขั้นไปกู้เงินจาก... loan shark ด้วยซ้ำ
.
Perkins ตอนนั้นถึงกับถามเพื่อนว่า:
.
“Are you crazy? Borrowing money from a loan shark? You’ll get your legs broken!”
.
แต่ Jason ไป
กลับมาพร้อมประสบการณ์แบบที่ไม่มีทางหาได้จากการทำงานงก ๆ ในห้องเทรด
ได้เจอค่ายนรก Dachau ที่เยอรมนี
ได้นั่งกินบาแกตกับไวน์ในสวนที่ปารีสกับเพื่อนใหม่
ได้ฟังเรื่องเล่าของชีวิตในยุคคอมมิวนิสต์ที่เช็ก
ได้ “sex on the beach”
.
และเมื่อเวลาผ่านไป
Perkins ไปยุโรปตอนอายุ 30
.
มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว — เขาเริ่ม “แก่เกินจะนอนโฮสเทล” และไม่ใช่จังหวะของความบ้าบิ่นแบบวัย 20s
.
“It was too late: I was already a tad too old and too bougie to stay in youth hostels and hang out with a bunch of 24-year-olds.”
.
Jason กลับกลายเป็น “นักลงทุนที่ได้กำไรคุ้มเกินคาด”
เพราะประสบการณ์ในทริปนั้น ยังคง “จ่าย Memory Dividend” มาถึงทุกวันนี้
.
เขาบอกกับ Perkins แบบชัด ๆ:
“Whatever I paid, I feel it was a bargain because of the life experiences I gained.”
.
.
❖ ทำไมเราถึงไม่ลงทุนในประสบการณ์แบบนี้ตั้งแต่แรก?
.
เพราะเรา “ไม่รู้จักคิดแบบนี้”
Perkins บอกว่า คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบ Default — ไหลไปตามระบบ
“Without deliberate planning, you’re bound to just follow our culture’s well-trodden, default path through life—to coast on autopilot.”
.
เขายกเปรียบเทียบโคตรคม:
“Imagine pumping water into a cup… until it overflows, and you never take a sip.”
.
ใช่ครับ...
คุณใช้ชีวิตแบบ "ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน" จนหมดชีวิต
แต่ไม่ได้ใช้แม้แต่นิดเดียวกับประสบการณ์ที่คุณอยากมี
.
.
❖ การวัดผลที่แท้จริง: แผนภูมิชีวิต = กราฟของ “Experience Points”
.
Perkins เสนอให้เราคิดเหมือนเกม:
แต่ละปีของชีวิต = ได้แต้มจากประสบการณ์ (Experience Points)
ปีที่คุณมีทริปดี ๆ / ความรักดี ๆ / ความกล้าลองอะไรใหม่ ๆ = ได้แต้มสูง
ปีที่คุณหมกตัวทำแต่งาน = ได้แต้มต่ำ
.
“If you take all of your positive experiences from a given year and add up their point values, you get a number. You can represent this number as a bar on a bar chart.”
.
เขาบอกว่าจงใช้ชีวิตให้มี “กราฟของความพึงพอใจ” ที่สวยงาม
และอย่าลืมว่า…
“The older you get, the fewer experience points you can accumulate.”
.
.
❖ ทำไมต้องรีบเริ่ม? เพราะเวลา “งอกความทรงจำ” ให้คุณ
.
Perkins บอกว่า...
“It pays to invest early.”
.
เขาเปรียบการลงทุนในประสบการณ์ เหมือนการลงทุนในหุ้นที่ดี:
ยิ่งเริ่มเร็ว
ยิ่งได้ Memory Dividend ยาวนาน
ยิ่งมีโอกาสที่ “ผลตอบแทนจากความทรงจำ” จะคุ้มเกินเงินที่ใช้
.
และที่เด็ดคือ เขาบอกว่า...
.
“I’m not saying to spend money you don’t have — but to invest your time and money deliberately, even when you don’t have much.”
เพราะช่วงที่คุณยังหนุ่ม ยังสาว ยังไหว
แม้ประสบการณ์จะ “ถูก” — แต่มันกลับ “คุ้ม” ที่สุดในเชิงผลตอบแทนระยะยาว
.
เขาพูดตรง ๆ ว่า...
“When you’re young, healthy, and unjaded, you can get a huge amount of enjoyment even from experiences that don’t cost a lot.”
.
.
❖ เลิกคิดแบบ “ผลตอบแทนทางการเงิน” แล้วเริ่มคิดแบบ “Return on Experience”
.
Perkins เล่าถึงเพื่อนคนหนึ่งชื่อ Paulie ที่กำลังจะซื้อบ้านพักตากอากาศ
.
เพื่อนคนนี้ถามเขาแบบนักลงทุนคลาสสิกว่า:
“มันคุ้มไหมในแง่ ROI (Return on Investment)?”
.
Perkins ตอบแบบไม่มีลังเล:
“Forget the money… what are you going to get out of it in terms of life?”
.
เขาย้ำกับเพื่อนว่า:
“If you’re going to have irreplaceable moments with your family and friends there… that’s the greatest deal on planet Earth.”
.
ไม่ใช่แค่คุ้ม — แต่มันคือการซื้อ “ชีวิตที่คุณอยากมี”
.
.
สรุปพาร์ท 2
ชีวิตคือ “กราฟของประสบการณ์” ไม่ใช่กราฟของทรัพย์สิน
ประสบการณ์ที่ดี = จ่ายปันผลเป็นความทรงจำไปทั้งชีวิต
การลงทุนในประสบการณ์ตอนหนุ่ม = ได้ “Memory Dividend” ยาวนานที่สุด
ทุกบาทที่ใช้กับความทรงจำดี ๆ คือกำไรที่งอกไม่หยุด แม้เวลาจะผ่านไป
จงคิดแบบ Return on Experience ไม่ใช่แค่ Return on Capital
.
.
-------------------------------------
.
พาร์ท 3: Die With Zero
.
ตายแบบไม่มีเงินหลงเหลือ = ใช้ชีวิตได้คุ้มที่สุด
.
“If you die with $1 million left, that’s $1 million of experiences you didn’t have.”
.
นี่คือหัวใจของหนังสือ — แนวคิดที่หลายคนอาจสะดุ้ง และระบบการเงินอาจไม่อยากให้คุณเชื่อ…
.
แต่ Perkins บอกว่า:
“ถ้าคุณตายแล้วยังเหลือเงินเยอะมาก นั่นแปลว่าคุณ ‘พลาด’ โอกาสใช้ชีวิตเต็มที่ไปเยอะมากเช่นกัน”
.
.
❖ เราใช้ชีวิตแบบอัตโนมัติเกินไป — จน “ทำงานโดยไม่ได้วางแผนจะหยุด”
.
Perkins บอกว่า เราเข้าสู่โหมด autopilot แบบไม่รู้ตัว
ทำงาน → สะสมเงิน → สะสมเพิ่มอีก → แล้วก็เพิ่มอีก...
.
โดยลืมถามตัวเองว่า
“เก็บเงินไว้ทำไม?”
“จะใช้มันเมื่อไหร่?”
“แล้วจะใช้ ‘ยังไง’ ให้คุ้มจริง ๆ?”
.
.
❖ เคสจริง: John Arnold มหาเศรษฐีพันล้านที่ “ทำงานเลยจุดที่ควรหยุด”
.
Perkins เล่าเรื่องเพื่อนของเขาชื่อ John Arnold
.
ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Centaurus
ชายผู้มีชื่อเสียงในฐานะ "King of Natural Gas" — ทำเงินได้มหาศาลจากการเทรดพลังงาน
.
ตอนเริ่มทำงานกัน
John เคยพูดกับเขาว่า:
“Once I make $15 million, if I’m still trading, punch me in the face.”
.
Perkins ไม่ได้ต่อย...
และ John ก็ยังไม่หยุด
.
เพราะเมื่อถึง $15 ล้าน...
John เปลี่ยนเป้าหมายเป็น $25 ล้าน
.
จากนั้นเป็น $100 ล้าน
สุดท้ายคือ $4,000 ล้าน
.
“The numerical target kept shifting.”
และถึงแม้เขาจะมีบ้านหรู ใช้ชีวิตสบาย แต่สิ่งที่ Perkins สังเกตคือ...
.
“As his wealth grew, his leisure time seemed to diminish.”
เพราะแทนที่จะหยุด — เขากลับทำงานหนักกว่าเดิม
ทำเหมือนเกมชีวิตมี score board ให้ทำลายสถิติตัวเองไปเรื่อย ๆ
.
สุดท้าย John ก็เลิกทำงานตอนอายุ 38 พร้อมมูลค่าทรัพย์สิน 4 พันล้านเหรียญ
ซึ่ง Perkins บอกว่า “Too late แล้ว”
.
ทำไม?
เพราะ...
1.เขาเสีย “ช่วงเวลาที่ดีที่สุด” ในการใช้เงินไปกับประสบการณ์ที่เหมาะกับวัย
2.ตอนนี้ เขามีลูก — และไม่อยากใช้เงินแบบบ้าคลั่งเพื่อไม่ให้ลูกเสียคน
3.เขาใช้เวลาไปกับการหาเงินมากกว่าการ ใช้ชีวิต เสียอีก
.
“Once you’re in the habit of working for money to live, the thrill of making money exceeds the thrill of actually living.”
.
.
❖ แล้วคนธรรมดาอย่างเราเกี่ยวอะไรกับมหาเศรษฐี?
.
Perkins พูดชัดว่า:
“แม้คุณจะไม่ใช่เศรษฐีพันล้าน แต่รูปแบบชีวิตแบบ ‘ทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย’ นั้นเกิดกับคนทุกระดับ”
.
เขาเตือนว่า...
“If you spend hours of your life acquiring money and then die without spending all of that money, then you’ve needlessly wasted too many precious hours of your life.”
.
เวลาชีวิต = ต้นทุน
เงินที่คุณยังไม่ได้ใช้ตอนตาย = ความสูญเปล่าของต้นทุนชีวิต
.
เขาพูดแบบคมๆ ว่า:
“You have taken from your younger, more able self, and gifted your older, less capable self.”
.
แต่ปัญหาคือ...
“Your older self might not be able to enjoy it anymore.”
.
.
❖ ความมั่งคั่งมีประโยชน์แค่ “ตอนยังมีแรงใช้” เท่านั้น
.
Perkins ไม่ได้บอกให้ผลาญเงิน
แต่เขาบอกให้วางแผนให้ดีว่า จะใช้เงิน “ตอนไหน” ให้ได้ความพึงพอใจสูงสุด
.
เขาเสนอให้ทุกคน “คิดให้เหมือน optimization problem”:
ไม่ใช่แค่ มีเงินมากที่สุดตอนตาย
แต่ต้อง ใช้เงินในเวลาที่เหมาะที่สุด เพื่อให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นจริง
.
นั่นคือที่มาของเป้าหมาย:
“Die With Zero”
ซึ่งเขานิยามชัดมาก:
.
“You should aim to die with zero—not zero dollars today, but zero dollars on the day you die, because you’ve converted it all into memories.”
.
.
❖ แล้วลูกหลานล่ะ? จะให้เงินตอนไหน?
.
Perkins โยนระเบิดลูกโตใส่ความเชื่อเรื่อง “การทิ้งมรดก”:
.
“Why wait until you die to give money to your kids?”
.
เขาอธิบายว่า ลูกคุณต้องการเงิน ตอนเริ่มต้นชีวิต — ไม่ใช่ตอนพวกเขาอายุ 60 แล้วมีลูกมีบ้านอยู่แล้ว
.
เขายกตัวอย่างง่าย ๆ:
“Give $1 million to your kid at age 60 and they’ll likely bank it. Give it to them at 30 and they’ll live with it.”
.
เพราะฉะนั้น เขาเสนอว่า...
ถ้าคุณอยากช่วยลูกหลาน: ให้ตอนที่เขายังใช้มันเพื่อเปลี่ยนชีวิตได้
ถ้าคุณให้ตอนแก่ เขาแค่รับมรดกแบบ passive และไม่เกิดประสบการณ์ใหม่ ๆ อะไรเลย
.
.
❖ ไม่มีใครสามารถ “วางแผนสมบูรณ์แบบ” ได้ — แต่คุณต้องกล้าคิดเรื่องนี้
.
Perkins ยอมรับว่า:
.
“There are many ways to be suboptimal and only one way to be perfectly optimal. But even if you don’t get it perfect, you can avoid the worst mistakes.”
.
เขายืนยันว่าไม่มีใครใช้ชีวิตได้แบบเป๊ะๆ 100%
แต่สิ่งที่คุณต้องหลีกเลี่ยงคือ...
.
การเสียเวลาเก็บเงินมากเกินไป
การไม่กล้าหยุด
การปล่อยให้ “ชีวิตอัตโนมัติ” พาคุณไปจนตาย
.
.
สรุปของพาร์ทสุดท้าย
.
“You can always earn more money—but you can never earn more time.”
.
.
สุดท้ายแล้ว...
.
เราทุกคนล้วนจากไปเหมือนกัน
.
แต่ไม่ใช่ทุกคน…จะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง
.
เพราะบางที “ศิลปะแห่งความมั่งคั่ง”
.
ไม่ใช่การเหลือเยอะที่สุด จนลมหายใจสุดท้าย
.
แต่คือการจากไป...โดยไม่มีอะไรหลงเหลือ
.
นอกจากรอยยิ้มของคนที่ยังคิดถึงเรา
.
.
.
.
#SuccessStrategies