สรุปหนังสือ "The Psychology of Money" จิตวิทยาว่าด้วยเงิน เขียนโดย Morgan Housel
Morgan Housel เลือกซื้อบ้านหลังหนึ่งด้วยเงินสดทั้งหมด ทั้งที่เขารู้ดีว่าการตัดสินใจนี้ “ไม่คุ้มค่า” ในเชิงการเงินเลย ถ้าเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนในตลาด เขาน่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่ามหาศาล
.
แต่เขาก็ยังเลือกจะจ่ายหมดในคราวเดียวโดยไม่กู้ ไม่ผ่อน ไม่จำนอง เพราะสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ผลตอบแทนสูงสุด แต่คือ “การนอนหลับได้สนิท” โดยไม่ต้องกังวลว่าเดือนหน้าจะมีบิลหนี้ก้อนใหญ่รออยู่
.
นี่แหละเรื่องเงินมันตลกตรงนี้เอง สำหรับนักลงทุนบางคน การกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ยต่ำแล้วเอาเงินไปลงทุนคือกลยุทธ์ที่ “ฉลาดที่สุด” แต่สำหรับ Housel การจ่ายสดทั้งหมดคือการตัดสินใจที่ “ดีที่สุด” เพราะมันซื้ออิสรภาพให้เขาได้ และอิสรภาพนี่แหละคือกำไรที่สูงที่สุดในชีวิต
.
มันทำให้เห็นว่า การตัดสินใจเรื่องเงินไม่มีสูตรตายตัว ใคร ๆ ก็ชอบถามว่า “ลงทุนอะไรดี?” “เก็บเงินยังไงถึงจะรวย?” แต่คำตอบจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับว่า “คุณเป็นใคร คุณเจออะไรมาก่อน และคุณให้คุณค่าอะไรกับชีวิต”
.
ประสบการณ์ของคุณ กรอบเวลาของคุณ ความกลัว ความหวัง ความพอใจ ทั้งหมดมันไม่เหมือนใครบนโลกนี้เลย การเงินจึงไม่ใช่วิชาที่หาคำตอบเดียว แต่เป็นเหมือนบทสนทนาระหว่างคุณกับตัวเอง ว่าคุณอยากใช้ชีวิตแบบไหน และคุณจะยอมจ่าย “ราคา” แบบไหนเพื่อตัวเอง
.
Housel บอกว่า กลยุทธ์ของเขาอาจไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับคุณ และกลยุทธ์ของคุณก็อาจดู “ผิด” ในสายตาคนอื่น แต่ตราบใดที่มันทำให้คุณสบายใจ ใช้ชีวิตได้เต็มที่ และไม่ต้องเสียศักดิ์ศรีไปกับการวิ่งไล่ตามคนอื่น มันก็คือกลยุทธ์ที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
.
และนี่คือสิ่งที่ The Psychology of Money พยายามจะพาเราไปเข้าใจครับ ว่าเงินไม่ใช่เรื่องของสูตรสำเร็จ แต่คือเรื่องของพฤติกรรม ความเชื่อ และเรื่องราวชีวิตที่ทำให้คน ๆ หนึ่งเลือกในแบบที่เลือก
.
.
========================
.
0. พื้นฐานทางจิตวิทยาของเงิน
.
เงินเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คนหัวกะทิจากฮาร์วาร์ดกับภารโรงกวาดพื้น…จบชีวิตคนละแบบได้
ภารโรงตายพร้อมทรัพย์สิน 8 ล้านดอลลาร์
ส่วนคนจบไอวี่ลีกตายพร้อมหนี้ก้อนโตและบ้านใหญ่เกินเหตุ
ไม่ใช่เพราะใครฉลาดกว่า แต่เพราะใคร “ห้ามใจตัวเอง” ได้มากกว่า
.
Morgan Housel เปิดหนังสือด้วยการเล่าเรื่องราวของสองชายที่มีชีวิตตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง Ronald Read ภารโรงที่ทำงานกวาดพื้นที่ JCPenney เป็นเวลา 17 ปี เสียชีวิตในวัย 92 ปีด้วยทรัพย์สินมูลค่ากว่า 8 ล้านดอลลาร์
.
ขณะที่ Richard Fuscone ผู้บริหารการเงินที่จบการศึกษาจากฮาร์วาร์ด กลับล้มละลายหลังจากกู้เงินมหาศาลเพื่อขยายบ้านหรู 18,000 ตารางฟุตในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008
.
เรื่องราวทั้งสองแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จทางการเงินไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาหรือความฉลาด แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและจิตวิทยา Read ประสบความสำเร็จเพราะความอดทนและการใช้ชีวิตอย่างประหยัด ขณะที่ Fuscone ล้มเหลวเพราะความโลภและการใช้จ่ายเกินตัว
.
Housel อธิบายว่าการเงินไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์อย่างฟิสิกส์ที่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่เป็นเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ที่ซับซ้อนและคาดเดาได้ยาก การเงินถูกผลักดันโดยอารมณ์ ความกลัว ความโลภ และการตัดสินใจที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลเสมอไป นี่คือเหตุผลที่คนฉลาดมากมายกลับตัดสินใจทางการเงินได้แย่ และคนธรรมดาที่มีพฤติกรรมที่ถูกต้องกลับประสบความสำเร็จได้
.
.
1. ไม่มีใครบ้า
.
หนึ่งในแนวคิดหลักของหนังสือคือการยอมรับว่าทุกคนมีเหตุผลในการตัดสินใจของตนเอง แม้การตัดสินใจนั้นจะดูไร้เหตุผลในสายตาคนอื่นก็ตาม Housel ยกตัวอย่างที่น่าสนใจหลายประการ:
.
คนที่เติบโตมาในยุค Great Depression มักจะระมัดระวังในการลงทุนและใช้จ่ายมากกว่าคนรุ่นหลัง เพราะพวกเขาเคยเห็นระบบเศรษฐกิจล่มสลายต่อหน้าต่อตา John F. Kennedy ยอมรับว่าเขาไม่เคยเข้าใจ Great Depression อย่างแท้จริง เพราะครอบครัวของเขากลับร่ำรวยขึ้นในช่วงนั้น
.
การศึกษาพบว่าประสบการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงต้นของชีวิตมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการเงินตลอดชีวิต คนที่เติบโตในช่วงเงินเฟ้อสูงจะลงทุนในพันธบัตรน้อยกว่า คนที่เติบโตในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นจะลงทุนในหุ้นมากกว่า
.
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการซื้อลอตเตอรี่ ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำในอเมริกาใช้เงินเฉลี่ย 412 ดอลลาร์ต่อปีซื้อลอตเตอรี่ ซึ่งมากกว่าคนรวยถึง 4 เท่า หลายคนมองว่านี่เป็นการตัดสินใจที่โง่เขลา แต่ Housel เสนอมุมมองที่แตกต่าง: สำหรับคนจน การซื้อลอตเตอรี่คือการซื้อความหวัง การได้ฝันถึงชีวิตที่ดีขึ้นแม้เพียงชั่วครู่ มันคือการใช้จ่ายทางอารมณ์มากกว่าการลงทุน
.
นอกจากนี้ เขายังชี้ให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องการเกษียณและการลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องใหม่มาก ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คนส่วนใหญ่ทำงานจนกว่าจะเสียชีวิต Social Security เพิ่งเริ่มจ่ายเงินจริงจังในทศวรรษ 1980 401(k) เกิดในปี 1978 Roth IRA เกิดในปี 1998 เราทุกคนยังคงเป็นมือใหม่ในเรื่องการจัดการเงินระยะยาว
.
.
2. โชคและความเสี่ยง
.
Housel ใช้เรื่องราวของ Bill Gates เพื่ออธิบายบทบาทของโชคในความสำเร็จ Gates เข้าเรียนที่ Lakeside School ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนมัธยมไม่กี่แห่งในโลกที่มีคอมพิวเตอร์ในปี 1968 จากนักเรียนมัธยมปลาย 303 ล้านคนทั่วโลกในขณะนั้น มีเพียง 300 คนที่เข้าเรียนที่ Lakeside
.
แต่เรื่องราวของ Kent Evans เพื่อนสนิทของ Gates แสดงให้เห็นอีกด้านของเหรียญ Evans มีความสามารถทางคอมพิวเตอร์พอๆ กับ Gates และทั้งคู่วางแผนจะทำธุรกิจด้วยกัน แต่ Evans เสียชีวิตจากอุบัติเหตุปีนเขาก่อนจบมัธยมปลาย Gates ได้รับโชคที่หายาก Evans ได้รับความเสี่ยงที่หายากเท่ากัน
.
บทเรียนสำคัญคือการยอมรับว่าโชคและความเสี่ยงมีบทบาทมากในชีวิต เมื่อเราเข้าใจสิ่งนี้ เราจะ:
.
ไม่ตัดสินความสำเร็จหรือความล้มเหลวอย่างรุนแรงเกินไป
.
ระมัดระวังในการเลียนแบบคนสำเร็จโดยไม่พิจารณาบทบาทของโชค
.
มองหารูปแบบกว้างๆ มากกว่าการยึดติดกับเรื่องราวความสำเร็จเฉพาะราย
.
Housel ยกตัวอย่างว่า Bill Gates เองเคยกล่าวว่า "Success is a lousy teacher. It seduces smart people into thinking they can't lose."
.
.
3. ไม่เคยพอ
.
เรื่องราวของ Rajat Gupta และ Bernie Madoff แสดงให้เห็นอันตรายของการไม่รู้จักพอ Gupta เป็น CEO ของ McKinsey มีทรัพย์สิน 100 ล้านดอลลาร์ แต่ยังอยากเป็นมหาเศรษฐี เขาจึงค้าหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายในจนถูกจับและติดคุก
.
Madoff ประสบความสำเร็จอย่างมากในธุรกิจ market making ที่ถูกกฎหมาย ทำกำไรปีละ 25-50 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังไม่พอ จึงสร้าง Ponzi scheme ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
.
Warren Buffett เคยกล่าวเกี่ยวกับ Long-Term Capital Management ว่า: "To make money they didn't have and didn't need, they risked what they did have and did need. And that's foolish."
.
Housel เสนอแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับการรู้จักพอ:
.
หยุดเลื่อนเป้าหมาย: ปัญหาทางการเงินที่ยากที่สุดคือการหยุดเลื่อนเป้าหมายเมื่อประสบความสำเร็จ ถ้าความคาดหวังเพิ่มขึ้นเร็วกว่าความพึงพอใจ เราจะไม่มีวันรู้สึกว่าเรามีพอ
.
หยุดการเปรียบเทียบทางสังคม: นักเบสบอลมือใหม่ที่ได้เงินเดือน 500,000 ดอลลาร์อาจรู้สึกจนเมื่อเทียบกับ Mike Trout ที่มีสัญญา 430 ล้านดอลลาร์ แต่ Trout เองก็อาจรู้สึกจนเมื่อเทียบกับผู้จัดการกองทุนที่ทำเงินปีละหลายร้อยล้าน
.
"พอ" ไม่ใช่น้อยเกินไป: การรู้จักพอไม่ใช่การอนุรักษ์นิยม แต่เป็นการตระหนักว่าความอยากได้ไม่รู้จักพอจะผลักดันเราไปสู่จุดที่เสียใจ
.
สิ่งที่ไม่ควรเสี่ยง: ชื่อเสียง อิสรภาพ ครอบครัว และความสุข เป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาไปเสี่ยงไม่ว่าผลตอบแทนจะดูดีแค่ไหน
.
.
4. พลังของการทบต้น
.
Housel ใช้ตัวอย่างของยุคน้ำแข็งเพื่ออธิบายพลังของการทบต้น นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ายุคน้ำแข็งไม่ได้เกิดจากฤดูหนาวที่หนาวจัด แต่เกิดจากฤดูร้อนที่เย็นพอที่หิมะจากฤดูหนาวไม่ละลายหมด หิมะที่เหลือจะสะสมปีแล้วปีเล่า จนกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดมหึ่มา
.
เช่นเดียวกับการลงทุน Warren Buffett มีทรัพย์สิน 84.5 พันล้านดอลลาร์ แต่ที่น่าทึ่งคือ
.
ความลับของ Buffett คือการลงทุนมาตั้งแต่อายุ 10 ปีและไม่เคยหยุด ถ้าเขาเริ่มลงทุนตอนอายุ 30 และเกษียณตอน 60 ด้วยผลตอบแทนเท่าเดิม เขาจะมีทรัพย์สินเพียง 11.9 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าปัจจุบัน 99.9%
.
Jim Simons แห่ง Renaissance Technologies ทำผลตอบแทนเฉลี่ย 66% ต่อปีตั้งแต่ปี 1988 มากกว่า Buffett ที่ทำได้ 22% ถึง 3 เท่า แต่ Simons มีทรัพย์สินเพียง 21 พันล้านดอลลาร์ น้อยกว่า Buffett 75% เพราะเขาเริ่มช้าและมีเวลาทบต้นน้อยกว่า
.
.
5. การมั่งคั่งกับการรักษาความมั่งคั่ง
.
Jesse Livermore เป็นนักเทรดหุ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขา ในช่วง Great Depression ปี 1929 เมื่อตลาดหุ้นพังยับเยิน เขากลับทำกำไรมหาศาลเทียบเท่า 3 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบันจากการ short ตลาด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความมั่นใจเกินตัวทำให้เขาเดิมพันมากเกินไปจนสูญเสียทุกอย่างและฆ่าตัวตายในที่สุด
.
ในทางตรงกันข้าม Charlie Munger และ Warren Buffett ประสบความสำเร็จเพราะพวกเขาเข้าใจว่าการรวยและการรักษาความรวยต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน การรวยต้องการความกล้าเสี่ยงและการมองโลกในแง่ดี แต่การรักษาความรวยต้องการความถ่อมตัวและความกลัวว่าสิ่งที่เรามีอาจหายไปได้เร็วเท่าที่เราได้มา
.
Michael Moritz แห่ง Sequoia Capital เมื่อถูกถามว่าทำไมบริษัทของเขาจึงประสบความสำเร็จมานาน 40 ปี ตอบว่า: "I think we've always been afraid of going out of business."
.
การมีมุมมองเพื่อการอยู่รอด (Survival Mentality) สำคัญด้วยเหตุผลสองประการ:
.
I. ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ไม่คุ้มค่าถ้าต้องเสี่ยงจนล้มละลาย
.
II. การทบต้นต้องการเวลา และการอยู่รอดคือสิ่งที่ทำให้เรามีเวลาเพียงพอ
.
Nassim Taleb กล่าวว่า: "Having an 'edge' and surviving are two different things: the first requires the second. You need to avoid ruin. At all costs."
.
.
6. ผลกระทบที่มากพอของครั้งที่ถูก
.
Heinz Berggruen นักสะสมงานศิลปะผู้ยิ่งใหญ่ อาจซื้องานศิลปะนับพันชิ้นในชีวิต 99% อาจไม่มีมูลค่าอะไร แต่ถ้า 1% ที่เหลือเป็นผลงานของ Picasso ก็ทำให้เขาร่ำรวยมหาศาล
.
Walt Disney ผลิตการ์ตูนสั้นกว่า 400 เรื่องในช่วงทศวรรษ 1930 ส่วนใหญ่ขาดทุน แต่ Snow White and the Seven Dwarfs เพียงเรื่องเดียวทำรายได้มากพอที่จะเปลี่ยนบริษัทไปตลอดกาล
.
Warren Buffett เคยกล่าวว่าเขาถือหุ้น 400-500 ตัวในชีวิต แต่ทำเงินส่วนใหญ่จากเพียง 10 ตัว Charlie Munger เสริมว่า: "If you remove just a few of Berkshire's top investments, its long-term track record is pretty average."
.
Peter Lynch นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า: "If you're terrific in this business, you're right six times out of 10."
.
Jeff Bezos หลังจาก Fire Phone ล้มเหลวกล่าวว่า: "If you think that's a big failure, we're working on much bigger failures right now."
.
Reed Hastings CEO ของ Netflix บอกว่า: "Our hit ratio is way too high right now. We have to take more risk."
.
บทเรียนสำคัญคือการยอมรับว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญไม่ใช่การถูกทุกครั้ง แต่เป็นการทำให้ครั้งที่ถูกมีผลกระทบมากพอ
.
George Soros กล่าวว่า: "It's not whether you're right or wrong that's important, but how much money you make when you're right and how much you lose when you're wrong."
.
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมาจากการอยู่นิ่งๆ ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และตัดสินใจได้ถูกต้องในช่วงเวลาสำคัญไม่กี่ครั้ง
.
.
7. อิสรภาพ คือรูปแบบสูงสุดของความมั่งคั่ง
.
Housel เสนอว่ารูปแบบสูงสุดของความมั่งคั่งคือความสามารถที่จะตื่นขึ้นมาทุกเช้าและพูดว่า "วันนี้ฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ" นี่คือเงินปันผลที่สูงที่สุดที่เงินจ่ายให้เรา
.
นักจิตวิทยา Angus Campbell ค้นพบว่าปัจจัยที่ทำนายความสุขได้ดีที่สุดไม่ใช่รายได้ ขนาดบ้าน หรือตำแหน่งงาน แต่เป็น "การมีความรู้สึกว่าเราควบคุมชีวิตตัวเองได้"
.
Housel เล่าประสบการณ์ตอนที่เขาฝึกงานที่ InvestmentBank แม้จะได้เงินดีและงานท้าทาย แต่การต้องทำงานถึงเที่ยงคืนทุกวันและไม่มีอิสระในการควบคุมเวลาของตัวเอง ทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานจนต้องลาออกภายใน 1 เดือน
.
Derek Sivers ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ เล่าว่าเขารู้สึกว่าตัวเองรวยแล้วตั้งแต่อายุ 22 เมื่อเขาเก็บเงินได้ 12,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้เขาสามารถลาออกจากงานและเป็นนักดนตรีเต็มตัวได้ การขายบริษัทในราคาหลายล้านดอลลาร์ในภายหลังเป็นแค่ "เงินในธนาคารที่มากขึ้น" แต่ความแตกต่างที่แท้จริงเกิดขึ้นตอนอายุ 22
.
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือแม้ว่าคนอเมริกันจะรวยขึ้นมากในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา แต่ระดับความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้น เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราใช้ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นซื้อของที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้น แต่กลับสูญเสียการควบคุมเวลาของตัวเอง
.
ในอดีต John D. Rockefeller ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเงียบๆ คิด เพราะงานของเขาคือการตัดสินใจ ไม่ใช่การใช้แรงงาน วันนี้ผู้คนจำนวนมากทำงานลักษณะเดียวกัน แต่เครื่องมือของเราคือสมองที่ติดตัวไปทุกที่ ทำให้รู้สึกว่าทำงานตลอด 24/7
.
Karl Pillemer สัมภาษณ์ผู้สูงอายุชาวอเมริกัน 1,000 คนเพื่อหาบทเรียนชีวิต ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่บอกว่าควรทำงานหนักเพื่อหาเงินซื้อของ ไม่มีใครบอกว่าควรรวยเท่าหรือมากกว่าคนรอบข้าง สิ่งที่พวกเขาให้ค่าคือมิตรภาพ การเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง และการใช้เวลากับลูกหลาน
.
.
8. Paradox ของคนในรถ
.
เมื่อ Housel ทำงานเป็นพนักงานจอดรถ เขาได้ขับรถหรูมากมาย แต่สิ่งที่เขาสังเกตคือ เมื่อเห็นใครขับรถเฟอร์รารี่ เขาไม่เคยคิดว่า "คนขับรถคันนี้เจ๋งจัง" แต่คิดว่า "ถ้าฉันมีรถคันนี้ คนอื่นคงคิดว่าฉันเจ๋ง"
.
นี่คือความ Paradox คนต้องการความมั่งคั่งเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชมและนับถือ แต่ในความเป็นจริง คนอื่นมักข้ามการชื่นชมเจ้าของไป เพราะพวกเขาใช้ความมั่งคั่งของคุณเป็นมาตรฐานสำหรับความปรารถนาของตัวเอง
.
ประเด็นไม่ใช่ว่าอย่าแสวงหาความมั่งคั่งหรืออย่าซื้อรถหรู แต่ให้ตระหนักว่าการใช้เงินซื้อของแพงๆ อาจไม่ได้นำมาซึ่งความเคารพนับถือเท่าที่เราคิด ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตา และความเห็นอกเห็นใจจะนำมาซึ่งความเคารพได้มากกว่าแรงม้าของรถ
.
.
9. ความมั่งคั่งคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น
.
Housel เล่าเรื่อง Roger ที่ขับรถปอร์เช่ แต่วันหนึ่งกลับมาขับฮอนด้าเก่า เมื่อถามถึงกลับรู้ว่ารถถูกยึดเพราะผิดนัดชำระหนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าการตัดสินความมั่งคั่งจากสิ่งที่มองเห็นอาจทำให้เข้าใจผิด
.
คนที่ขับรถ 100,000 ดอลลาร์อาจจะรวย แต่ข้อมูลเดียวที่เรามีคือพวกเขามีเงินน้อยลง 100,000 ดอลลาร์ (หรือมีหนี้เพิ่มขึ้น 100,000 ดอลลาร์) หลังจากซื้อรถ
.
Bill Mann นักลงทุนเคยเขียนว่า: "There is no faster way to feel rich than to spend lots of money on really nice things. But the way to be rich is to spend money you have, and to not spend money you don't have."
.
ความแตกต่างระหว่าง "รวย" (rich) และ "มั่งคั่ง" (wealthy) สำคัญมาก รวยคือรายได้ปัจจุบัน คนขับรถแพงๆ แทบจะแน่นอนว่ารวย เพราะต้องมีรายได้ระดับหนึ่งถึงจะผ่อนได้ แต่ความมั่งคั่งซ่อนอยู่ มันคือรายได้ที่ยังไม่ได้ถูกใช้
.
ปัญหาคือเรามักหาตัวอย่างคนรวยได้ง่าย แต่หาตัวอย่างคนมั่งคั่งได้ยาก เพราะความสำเร็จของพวกเขาซ่อนอยู่ Ronald Read กลายเป็นต้นแบบทางการเงินของหลายคนหลังจากเขาเสียชีวิต แต่ตอนมีชีวิตไม่มีใครรู้เลยว่าเขามั่งคั่ง เพราะทุกเพนนีของความมั่งคั่งถูกซ่อนไว้
.
.
10. การออมเงิน
.
Housel ยกตัวอย่างวิกฤตน้ำมันในทศวรรษ 1970 โลกไม่ได้หมดน้ำมันเพราะเราขุดเจอมากขึ้น แต่เพราะเราใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สหรัฐฯ ใช้พลังงานต่อ GDP น้อยลง 60% เมื่อเทียบกับปี 1950
.
เช่นเดียวกับเงิน ผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถทำให้รวยได้ แต่มันไม่แน่นอนและอยู่นอกเหนือการควบคุม ส่วนการออมและความประหยัดอยู่ในการควบคุมของเราและมีโอกาส 100% ที่จะได้ผลในอนาคต
.
ความมั่งคั่งคือส่วนที่เหลือหลังจากใช้จ่าย และเนื่องจากเราสามารถสร้างความมั่งคั่งได้โดยไม่ต้องมีรายได้สูง แต่ไม่มีทางสร้างความมั่งคั่งได้โดยไม่มีอัตราการออมสูง จึงชัดเจนว่าอะไรสำคัญกว่า
.
ที่สำคัญกว่านั้น คุณค่าของความมั่งคั่งขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราต้องการ การเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับเงินที่น้อยลงสร้างช่องว่างระหว่างสิ่งที่เรามีกับสิ่งที่เราต้องการ เหมือนกับการเพิ่มรายได้แต่ง่ายกว่าและอยู่ในการควบคุมมากกว่า
.
Housel เสนอว่า: "Past a certain level of income, what you need is just what sits below your ego."
.
ความสามารถในการออมมีอยู่ในการควบคุมมากกว่าที่คิด:
.
I. การออมสร้างได้จากการใช้จ่ายน้อยลง
.
II. เราใช้จ่ายน้อยลงได้ถ้าเราต้องการน้อยลง
.
III. เราจะต้องการน้อยลงถ้าเราไม่สนใจว่าคนอื่นคิดอย่างไร
.
นอกจากนี้ เราไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเฉพาะเจาะจงในการออม การออมโดยไม่มีเป้าหมายการใช้จ่ายที่ชัดเจนให้ความยืดหยุ่นและตัวเลือก ความสามารถในการรอและโอกาสในการฉกฉวย มันให้เวลาคิด ให้เราเปลี่ยนเส้นทางได้ตามต้องการ
.
การออมทุกบาทคือการเอาจุดในอนาคตที่ควรเป็นของคนอื่นกลับมาให้ตัวเอง ความยืดหยุ่นและการควบคุมเวลาคือผลตอบแทนที่มองไม่เห็นของความมั่งคั่ง
.
ความฉลาดไม่ใช่ข้อได้เปรียบที่ยั่งยืน เพราะมีคนฉลาดมากมายในโลก แต่ความยืดหยุ่นเป็นข้อได้เปรียบ ถ้าเรามีความยืดหยุ่น เราสามารถรอโอกาสดีๆ ทั้งในอาชีพและการลงทุน มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่เมื่อจำเป็น รู้สึกเร่งรีบน้อยลงในการไล่ตามคู่แข่ง
.
.
11. สมเหตุสมผลดีกว่าเหตุผล
.
Julius Wagner-Jauregg แพทย์ในศตวรรษที่ 19 รักษาซิฟิลิสด้วยการฉีดเชื้อมาลาเรียให้คนไข้ เพื่อให้เกิดไข้สูงที่จะฆ่าเชื้อซิฟิลิส วิธีนี้ได้ผลและเขาได้รับรางวัลโนเบล แต่ก็อันตรายมาก
.
ปัจจุบันเรารู้ว่าไข้มีประโยชน์ในการต่อสู้กับเชื้อโรค แต่คนส่วนใหญ่ยังคงกินยาลดไข้ทันทีที่มีไข้ เพราะไข้ทำให้เจ็บปวด และคนไม่อยากเจ็บปวด นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่มีเหตุผลที่สุด แต่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล
.
Housel เสนอว่าเราควรมุ่งเป้าไปที่การตัดสินใจทางการเงินที่สมเหตุสมผลมากกว่ามีเหตุผล เพราะกลยุทธ์ที่ทำให้เรานอนหลับสนิทดีกว่ากลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดทางคณิตศาสตร์
.
Harry Markowitz ผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน กลับลงทุนเงินตัวเอง 50/50 ระหว่างหุ้นและพันธบัตร เพื่อ "ลดความเสียใจในอนาคต" ไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนสูงสุด
.
สิ่งที่มองข้ามในการเงินคือบางอย่างอาจถูกต้องทางเทคนิคแต่ไร้สาระในบริบท นักวิจัยจาก Yale เสนอให้คนหนุ่มสาวใช้ margin 2:1 ในการลงทุนหุ้น ทางคณิตศาสตร์มันได้ผล แต่มันไร้สาระอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครปกติจะดูพอร์ตเกษียณหายไป 100% แล้วยังลงทุนต่อในวันถัดไปได้
.
Housel แนะนำให้ "รักการลงทุนของคุณ" ซึ่งขัดกับคำแนะนำทั่วไปที่บอกให้ไม่มีอารมณ์กับการลงทุน แต่ถ้าการไม่มีอารมณ์ทำให้เราเดินหนีเมื่อมันยากลำบาก มันกลับเป็นข้อเสีย นักลงทุนที่สมเหตุสมผลที่รักกลยุทธ์ไม่สมบูรณ์ของตนมีข้อได้เปรียบ เพราะพวกเขามีแนวโน้มจะยึดติดกับกลยุทธ์นั้น
.
.
12. ความประหลาดใจ
.
Scott Sagan ศาสตราจารย์จาก Stanford กล่าวว่า: "Things that have never happened before happen all the time."
.
ประวัติศาสตร์คือการศึกษาเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจ แต่มักถูกใช้เป็นแนวทางที่แน่นอนสำหรับอนาคต นี่คือความขัดแย้ง
.
Richard Feynman นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวว่า: "Imagine how much harder physics would be if electrons had feelings." นักลงทุนมีความรู้สึก และนั่นทำให้ยากที่จะทำนายว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อไปจากสิ่งที่ทำในอดีต
.
ปัญหาสองประการเมื่อพึ่งพาประวัติศาสตร์การลงทุนมากเกินไป:
.
I. เราจะพลาดเหตุการณ์ผิดปกติที่สำคัญที่สุด: เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์มักเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน Great Depression, สงครามโลกครั้งที่ 2, 9/11 ล้วนไม่มีแบบอย่างมาก่อน
.
Nassim Taleb เขียนว่าชาวอียิปต์โบราณใช้ระดับน้ำสูงสุดของแม่น้ำไนล์ในอดีตเป็นตัวประมาณสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในอนาคต เหมือนกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะที่สร้างให้ทนแผ่นดินไหวที่แรงที่สุดในอดีต แต่ลืมไปว่าเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดในอดีตก็เคยเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดเช่นกัน
.
Daniel Kahneman กล่าวว่า: "บทเรียนที่ถูกต้องจากความประหลาดใจคือโลกนี้น่าประหลาดใจ"
.
II. ประวัติศาสตร์ไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง: 401(k) อายุเพียง 42 ปี Venture capital แทบไม่มีเมื่อ 25 ปีก่อน ดัชนี S&P 500 ไม่มีหุ้นการเงินจนถึงปี 1976 วันนี้หุ้นการเงินคิดเป็น 16% ของดัชนี
.
ระยะเวลาระหว่างภาวะถดถอยในสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากเฉลี่ย 2 ปีในปลายศตวรรษที่ 19 เป็น 5 ปีในต้นศตวรรษที่ 20 และ 8 ปีในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
.
Benjamin Graham ผู้เขียน The Intelligent Investor ที่ถือเป็นคัมภีร์การลงทุน เปลี่ยนสูตรการลงทุนในหนังสือ 5 ครั้งระหว่างปี 1934-1972 ก่อนเสียชีวิตเขายอมรับว่าไม่สนับสนุนการวิเคราะห์หุ้นรายตัวอย่างละเอียดอีกต่อไป เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปมาก
.
คำพูดที่ว่า "It's different this time" มักถูกนำมาล้อเลียน แต่ John Templeton ผู้คิดคำนี้ยอมรับว่ามันต่างจริงอย่างน้อย 20% ของเวลา โลกเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่ามันเปลี่ยน และการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นสำคัญที่สุด
.
.
13. ที่ว่างสำหรับความผิดพลาด
.
นักนับไพ่ blackjack ที่เก่งที่สุดเข้าใจหลักการสำคัญ: ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าไพ่ใบไหนจะออกมาต่อไป แต่การติดตามไพ่ที่ออกไปแล้วช่วยให้คำนวณความน่าจะเป็นได้ พวกเขาเดิมพันมากเมื่อมีโอกาสสูง น้อยเมื่อโอกาสต่ำ
.
Kevin Lewis นักนับไพ่ที่ประสบความสำเร็จเขียนว่า: แม้การนับไพ่จะได้ผลทางสถิติ แต่ไม่ได้การันตีว่าจะชนะทุกมือ เราต้องมีเงินพอที่จะรับมือกับช่วงโชคร้าย
.
Benjamin Graham เขียนเกี่ยวกับ margin of safety ว่า "วัตถุประสงค์ของ margin of safety คือทำให้การพยากรณ์ไม่จำเป็น" นี่คือพลังที่แท้จริง
.
Margin of safety หรือที่ว่างสำหรับความผิดพลาดเป็นวิธีเดียวที่ปลอดภัยในการนำทางโลกที่ถูกควบคุมด้วยความน่าจะเป็น ไม่ใช่ความแน่นอน และเกือบทุกอย่างเกี่ยวกับเงินอยู่ในโลกแบบนั้น
.
Bill Gates เคยกล่าวว่าเมื่อ Microsoft ยังเป็นบริษัทเล็กๆ เขาต้องการมีเงินในธนาคารพอจ่ายเงินเดือนพนักงาน 1 ปีแม้ไม่มีรายได้เข้ามาเลย Warren Buffett บอกว่าเขาจะบริหาร Berkshire ด้วยเงินสดที่มากเกินพอเสมอ แม้ต้องแลกกับกำไรที่อาจมากกว่า
.
ที่ว่างสำหรับความผิดพลาด มีความสำคัญในหลายด้าน:
.
ความผันผวน: เราอาจรับมือกับพอร์ตที่ลดลง 30% ได้ในสเปรดชีต แต่ในความเป็นจริง? มันทำลายจิตใจ ความมั่นใจอาจพังทลายในช่วงเวลาที่โอกาสดีที่สุด
.
การออมเพื่อเกษียณ: ประวัติศาสตร์บอกว่าตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.8% หลังหักเงินเฟ้อตั้งแต่ปี 1870 แต่ถ้าอนาคตให้ผลตอบแทนต่ำกว่า? ถ้าวันเกษียณของเราตรงกับตลาดหมี? Housel แนะนำให้คาดหวังผลตอบแทนต่ำกว่าอดีต 1/3 เพื่อเป็น margin of safety
.
Russian roulette syndrome: การยึดติดกับอัตราต่อรองที่ดีเมื่อผลลัพธ์ด้านลบยอมรับไม่ได้ การเล่น Russian roulette มีโอกาสชนะสูง แต่ผลแพ้ไม่คุ้มกับผลชนะที่อาจได้
.
Nassim Taleb กล่าวว่า: "You can be risk loving and yet completely averse to ruin." เราต้องเสี่ยงเพื่อก้าวหน้า แต่ไม่มีความเสี่ยงใดที่ทำให้ล้มละลายได้คุ้มค่าที่จะเอา
.
Warren Buffett เมื่อหาคนมาสืบทอดตำแหน่ง บอกว่าต้องการคนที่ "ถูกตั้งโปรแกรมทางพันธุกรรมให้รับรู้และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงร้ายแรง รวมถึงความเสี่ยงที่ไม่เคยเจอมาก่อน"
.
วิธีป้องกันความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงคือหลีกเลี่ยง single point of failure กฎง่ายๆ คือทุกอย่างที่พังได้จะพังในที่สุด ถ้าหลายอย่างพึ่งพาสิ่งเดียวและสิ่งนั้นพัง เราก็กำลังนับวันสู่หายนะ
.
Single point of failure ที่ใหญ่ที่สุดทางการเงินคือการพึ่งพาเงินเดือนเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีเงินออม การออมไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเฉพาะเจาะจง การออมสำหรับสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้มีความสำคัญพอๆ กับการออมสำหรับสิ่งที่เรารู้
.
ส่วนสำคัญที่สุดของทุกแผนคือ “การวางแผนเมื่อแผนไม่เป็นไปตามแผน”
.
.
14. คุณจะเปลี่ยน
.
Housel เล่าเรื่องเพื่อนที่ฝันจะเป็นหมอตั้งแต่วัยรุ่น ฟันฝ่าอุปสรรคมากมายจนสำเร็จ แต่พอเป็นหมอได้กลับรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่แย่มาก ความเครียดและชั่วโมงการทำงานทำให้เขาทรมาน
.
นี่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นนักพยากรณ์ตัวเองในอนาคตที่แย่มาก การจินตนาการถึงเป้าหมายเป็นเรื่องง่ายและสนุก แต่การจินตนาการถึงเป้าหมายในบริบทของความเครียดในชีวิตจริงเป็นเรื่องที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
.
End of History Illusion คือแนวโน้มที่คนตระหนักดีว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงมามากแค่ไหนในอดีต แต่ประเมินต่ำว่าบุคลิกภาพ ความปรารถนา และเป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนในอนาคต
.
Daniel Gilbert นักจิตวิทยาจาก Harvard กล่าวว่า: "At every stage of our lives we make decisions that will profoundly influence the lives of the people we're going to become, and then when we become those people, we're not always thrilled with the decisions we made."
.
ทุกคนเดินไปรอบๆ ด้วยภาพลวงตาว่าประวัติศาสตร์ส่วนตัวเพิ่งจบลง ว่าเราเพิ่งกลายเป็นคนที่เราควรจะเป็นมาตลอดและจะเป็นแบบนี้ตลอดไป งานวิจัยของ Gilbert แสดงให้เห็นว่าคนอายุ 18-68 ปีต่างก็ประเมินต่ำว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนในอนาคต
.
Charlie Munger กล่าวว่ากฎข้อแรกของการทบต้นคืออย่าขัดจังหวะมันโดยไม่จำเป็น แต่เราจะไม่ขัดจังหวะแผนการเงินได้อย่างไรเมื่อสิ่งที่เราต้องการจากชีวิตเปลี่ยนไป? มันยาก ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนอย่าง Ronald Read และ Warren Buffett ประสบความสำเร็จคือพวกเขาทำสิ่งเดียวกันมานานหลายทศวรรษ ปล่อยให้การทบต้นทำงานอย่างบ้าคลั่ง
.
แต่พวกเราหลายคนวิวัฒนาการมากในช่วงชีวิตจนไม่อยากทำสิ่งเดิมซ้ำๆ นานขนาดนั้น ดังนั้นแทนที่จะมีช่วงชีวิตเดียวยาว 80 กว่าปี เงินของเราอาจมี 4 ช่วงแยกกันช่วงละ 20 ปี
.
Housel เสนอสองแนวทางในการรับมือ:
.
A. หลีกเลี่ยงขั้วสุดโต่งของการวางแผนการเงิน: การสันนิษฐานว่าเราจะมีความสุขกับรายได้ต่ำมากหรือเลือกทำงานหนักไม่หยุดเพื่อรายได้สูง เพิ่มโอกาสที่วันหนึ่งเราจะเสียใจ ประโยชน์ของแผนสุดโต่งจะหายไป แต่ข้อเสียจะกลายเป็นความเสียใจถาวร
.
การมีความสมดุลในทุกช่วงชีวิต - การออมปานกลาง เวลาว่างปานกลาง การเดินทางไม่ไกล เวลากับครอบครัวพอประมาณ - เพิ่มโอกาสที่จะสามารถยึดติดกับแผนและหลีกเลี่ยงความเสียใจ มากกว่าการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งตกไปอยู่ขั้วสุดโต่ง
.
B. ยอมรับความเป็นจริงของการเปลี่ยนใจ: คนทำงานที่น่าสงสารที่สุดที่ Housel พบคือคนที่ยังคงภักดีต่ออาชีพเพียงเพราะเป็นสาขาที่เลือกตอนอายุสิบแปด
.
Jason Zweig เล่าเรื่องการทำงานกับ Daniel Kahneman ว่า Kahneman มีความสามารถในการ "ระเบิด" สิ่งที่เพิ่งทำไป สามารถเริ่มใหม่ราวกับไม่เคยเขียน draft แรก เมื่อ Zweig ถามว่าทำได้อย่างไร Kahneman ตอบ: "I have no sunk costs."
.
Sunk costs - การยึดติดกับความพยายามในอดีตที่เอาคืนไม่ได้ - เป็นปีศาจในโลกที่คนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันทำให้ตัวเราในอนาคตเป็นนักโทษของตัวเราในอดีต การยอมรับว่าเป้าหมายการเงินที่ตั้งไว้เมื่อเราเป็นคนละคนควรถูกทิ้งอย่างไม่ปรานี ดีกว่าการพยุงไว้และลากไปต่อ
.
.
15. ไม่มีอะไรฟรี
.
ทุกอย่างมีราคา และกุญแจสำคัญของหลายสิ่งเกี่ยวกับเงินคือการหาว่าราคานั้นคืออะไรและยินดีจ่าย ปัญหาคือราคาของหลายสิ่งไม่ชัดเจนจนกว่าเราจะเจอมันโดยตรง เมื่อบิลมาถึงแล้ว
.
Jeff Immelt อดีต CEO ของ General Electric กล่าวขณะก้าวลงจากตำแหน่งหลังบริษัทประสบปัญหาหนักว่า: "Every job looks easy when you're not the one doing it."
.
ทุกงานดูง่ายเมื่อเราไม่ใช่คนทำ เพราะความท้าทายที่คนในสนามเผชิญมักมองไม่เห็นจากคนดูข้างนอก
.
S&P 500 เพิ่มขึ้น 119 เท่าใน 50 ปีสิ้นสุดปี 2018 สิ่งที่ต้องทำคือนั่งนิ่งๆ ให้เงินทบต้น แต่การลงทุนที่ประสบความสำเร็จดูง่ายเมื่อเราไม่ใช่คนทำ
.
"ถือหุ้นระยะยาว" เป็นคำแนะนำที่ดี แต่รู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนที่จะมองการณ์ไกลเมื่อหุ้นกำลังดิ่ง?
.
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จมีราคา แต่สกุลเงินไม่ใช่ดอลลาร์และเซนต์ มันคือความผันผวน ความกลัว ความสงสัย ความไม่แน่นอน และความเสียใจ ซึ่งทั้งหมดนี้มองข้ามได้ง่ายจนกว่าเราจะเจอมันจริงๆ
.
คำถามคือ: ทำไมคนจำนวนมากที่ยินดีจ่ายราคาของรถ บ้าน อาหาร และวันหยุด กลับพยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายราคาของผลตอบแทนการลงทุนที่ดี?
.
คำตอบง่ายๆ: ราคาของความสำเร็จในการลงทุนไม่ชัดเจนในทันที มันไม่ใช่ป้ายราคาที่มองเห็น ดังนั้นเมื่อบิลมาถึง มันไม่รู้สึกเหมือนค่าธรรมเนียมสำหรับการได้สิ่งดีๆ แต่รู้สึกเหมือนค่าปรับสำหรับการทำผิด
.
การคิดว่าความผันผวนของตลาดเป็นค่าธรรมเนียมมากกว่าค่าปรับเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนากรอบความคิดที่ทำให้เราอยู่ได้นานพอให้ผลตอบแทนการลงทุนทำงานเข้าข้างเรา
.
.
16. คุณกับฉัน
.
ฟองสบู่ dot-com ต้นทศวรรษ 2000 ทำลายความมั่งคั่งของครัวเรือน 6.2 ล้านล้านดอลลาร์ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ตัดทอนมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์ มันทำลายชีวิตผู้คน
.
ทำไมสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น? และทำไมมันเกิดขึ้นซ้ำๆ? ทำไมเราไม่เรียนรู้บทเรียน?
.
คำตอบทั่วไปคือคนโลภ และความโลภเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ที่ลบไม่ออก นั่นอาจจริง แต่การโทษฟองสบู่ว่าเกิดจากความโลภและหยุดแค่นั้นทำให้พลาดบทเรียนสำคัญ
.
Housel เสนอเหตุผลหนึ่งที่มองข้าม: นักลงทุนมักรับสัญญาณจากนักลงทุนคนอื่นที่กำลังเล่นเกมคนละเกมโดยไม่รู้ตัว
.
แนวคิดที่เป็นอันตรายในการเงินคือการคิดว่าสินทรัพย์มีราคาที่สมเหตุสมผลเพียงราคาเดียวในโลกที่นักลงทุนมีเป้าหมายและกรอบเวลาต่างกัน
.
ถามตัวเอง: คุณควรจ่ายเท่าไหรสำหรับหุ้น Google วันนี้? คำตอบขึ้นอยู่กับว่า "คุณ" คือใคร:
.
มีกรอบเวลา 30 ปี? วิเคราะห์กระแสเงินสดคิดลด 30 ปี
.
ต้องการขายภายใน 10 ปี? ดูศักยภาพอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
.
ต้องการขายภายใน 1 ปี? ดูวงจรผลิตภัณฑ์ปัจจุบัน
.
เป็น Day Trader? ราคาที่จ่าย "ไม่สำคัญ" เพราะแค่ต้องการกำไรระหว่าง “ตอนนี้” กับ “มื้อกลางวัน”
.
เมื่อนักลงทุนมีเป้าหมายและกรอบเวลาต่างกัน ราคาที่ดูไร้สาระสำหรับคนหนึ่งอาจสมเหตุสมผลสำหรับอีกคน
.
สิ่งที่คุณไม่รู้คือนักเทรดที่กำหนดราคาหุ้นกำลังเล่นเกมคนละเกมกับคุณ 60 ดอลลาร์เป็นราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับนักเทรด เพราะพวกเขาวางแผนจะขายภายในสิ้นวัน แต่ 60 ดอลลาร์อาจเป็นหายนะสำหรับคุณที่วางแผนจะถือระยะยาว
.
นักลงทุนสองกลุ่มนี้แทบไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่พวกเขาอยู่ในสนามเดียวกัน วิ่งเข้าหากัน เมื่อเส้นทางชนกันอย่างมืดบอด และมีคนเจ็บ
.
เมื่อผู้บรรยายใน CNBC บอกว่า "คุณควรซื้อหุ้นตัวนี้" จำไว้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าคุณคือใคร วัยรุ่นเทรดเล่นๆ? หญิงม่ายสูงอายุงบจำกัด? ผู้จัดการกองทุนพยายามปิดบัญชีก่อนสิ้นไตรมาส? เราควรคิดว่าทั้งสามคนมีความสำคัญเดียวกันหรือ?
.
มันยากที่จะเข้าใจว่านักลงทุนอื่นมีเป้าหมายต่างจากเรา เพราะหลักจิตวิทยาคือการไม่ตระหนักว่าคนที่มีเหตุผลสามารถมองโลกผ่านเลนส์ที่ต่างจากเรา ราคาที่ขึ้นโน้มน้าวนักลงทุนทุกคนในแบบที่นักการตลาดที่ดีที่สุดอิจฉา
.
บทเรียนคือไม่มีอะไรสำคัญกับเงินเท่ากับการเข้าใจกรอบเวลาของตัวเองและไม่ถูกชักจูงโดยการกระทำและพฤติกรรมของคนที่เล่นเกมคนละเกมกับเรา
.
สิ่งหลักที่ Housel แนะนำคือการระบุให้ชัดว่าเรากำลังเล่นเกมอะไร ตัวอย่างเช่นเขาเขียนไว้ว่า "I am a passive investor optimistic in the world's ability to generate real economic growth and I'm confident that over the next 30 years that growth will accrue to my investments."
.
.
17. การล่อลวงของการมองโลกในแง่ร้าย
.
นักประวัติศาสตร์ Deirdre McCloskey กล่าวว่า: "For reasons I have never understood, people like to hear that the world is going to hell."
.
การมองโลกในแง่ดีเป็นการเดิมพันที่ดีที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะโลกมีแนวโน้มดีขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่เกือบตลอดเวลา แต่การมองโลกในแง่ร้ายมีที่พิเศษในใจเรา มันไม่เพียงแพร่หลายกว่า แต่ยังฟังดูฉลาดกว่า
.
การมองโลกในแง่ดีที่แท้จริงไม่ใช่การเชื่อว่าทุกอย่างจะยอดเยี่ยม นั่นคือความประมาท การมองโลกในแง่ดีคือความเชื่อว่าอัตราต่อรองของผลลัพธ์ที่ดีเอนเอียงเข้าข้างเราในระยะยาว แม้จะมีความพ่ายแพ้ระหว่างทาง
.
Hans Rosling นักสถิติผู้ล่วงลับกล่าวว่า: "I am not an optimist. I am a very serious possibilist."
.
Matt Ridley เขียนใน The Rational Optimist ว่า: "If you say the world has been getting better you may get away with being called naïve and insensitive. If you say the world is going to go on getting better, you are considered embarrassingly mad."
.
ทำไมการมองโลกในแง่ร้ายถึงมีเสน่ห์? Housel เสนอเหตุผลหลายประการ:
.
I. เงินแพร่หลาย ดังนั้นสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นมักกระทบทุกคนและดึงดูดความสนใจของทุกคน: พายุเฮอริเคนในฟลอริดาไม่มีความเสี่ยงโดยตรงต่อคนอเมริกัน 92% แต่ภาวะถดถอยอาจกระทบทุกคน
.
II. คนมองโลกในแง่ร้ายมักคาดการณ์แนวโน้มปัจจุบันโดยไม่คำนึงถึงการปรับตัวของตลาด: ในปี 2008 Lester Brown เขียนว่าภายในปี 2030 จีนจะต้องการน้ำมัน 98 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่โลกผลิตได้เพียง 85 ล้านบาร์เรล แต่เขาไม่ได้คำนึงถึงว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะกระตุ้นเทคโนโลยี fracking ทำให้สหรัฐฯ เพิ่มการผลิตจาก 5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2008 เป็น 13 ล้านบาร์เรลในปี 2019
.
III. ความก้าวหน้าเกิดขึ้นช้าเกินกว่าจะสังเกต แต่ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นเร็วเกินกว่าจะเพิกเฉย: ในปี 1889 Detroit Free Press เขียนว่าเครื่องบินเป็นไปไม่ได้ หกเดือนต่อมา พี่น้อง Wright เริ่มประดิษฐ์แท่นพิมพ์ร่วมกัน หลังจากพวกเขาบินสำเร็จ ไม่มีใครสนใจเป็นเวลาหลายปี คนไม่เชื่อว่าการบินเป็นไปได้ จนกระทั่งปี 1908 - เกือบ 5 ปีหลังการบินครั้งแรก - โลกถึงตื่นขึ้นมา
.
อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลดลงกว่า 70% ตั้งแต่ปี 1965 ช่วยชีวิตคนอเมริกันปีละครึ่งล้านคน เราอาจมีพายุแคทรีนา 5 ครั้งต่อสัปดาห์ทุกสัปดาห์และยังไม่เท่ากับจำนวนชีวิตที่รอดจากการลดลงของโรคหัวใจ
.
การลดความคาดหวังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรู้สึกประหลาดใจในทางที่ดี Stephen Hawking บอกว่า: "My expectations were reduced to zero when I was 21. Everything since then has been a bonus."
.
.
18. คุณจะเชื่ออะไรก็ได้
.
เรื่องราวเป็นพลังที่ทรงอำนาจที่สุดในเศรษฐกิจ เป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้ส่วนที่จับต้องได้ทำงาน หรือเบรกที่ยับยั้งความสามารถของเรา
.
Housel เสนอสองสิ่งที่ต้องจำเกี่ยวกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราว:
.
A. ยิ่งเราต้องการให้อะไรเป็นจริงมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีแนวโน้มจะเชื่อเรื่องราวที่ประเมินโอกาสว่ามันจะเป็นจริงสูงเกินไป
.
ในสารคดี How to Live Forever ถามหญิงอายุ 100 ปีว่าวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตคืออะไร เธอตอบว่า "วันสงบศึก" ที่ยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะ "เรารู้ว่าจะไม่มีสงครามอีกแล้ว" สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่ม 21 ปีต่อมา
.
"Appealing fiction" เกิดขึ้นเมื่อเราฉลาด ต้องการหาทางแก้ปัญหา แต่เผชิญกับการควบคุมที่จำกัดและเดิมพันสูง Daniel Defoe เขียนเกี่ยวกับ Great Plague ในลอนดอนว่าผู้คนหันไปหาคำทำนาย โหราศาสตร์ และยาวิเศษที่ไร้ประโยชน์
.
ทำไมคนถึงฟังคำแนะนำการลงทุนทางทีวีที่แทบไม่มีผลงาน? เพราะเดิมพันสูง ถ้ามีโอกาส 1% ที่คำทำนายจะเป็นจริงและมันจะเปลี่ยนชีวิตเรา มันไม่บ้าที่จะฟัง
.
B. ทุกคนมีมุมมองที่ไม่สมบูรณ์ต่อโลก แต่เราสร้างเรื่องเล่าที่สมบูรณ์เพื่อเติมช่องว่าง
.
B. H. Liddell Hart เขียนใน Why Don't We Learn From History? ว่าประวัติศาสตร์ไม่สามารถตีความได้โดยปราศจากจินตนาการ
.
Daniel Kahneman กล่าวว่า: "Hindsight, the ability to explain the past, gives us the illusion that the world is understandable."
.
เมื่อเราไม่เข้าใจบางอย่าง เรามักไม่รู้ตัวว่าไม่เข้าใจ เพราะเราสามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากมุมมองและประสบการณ์ที่จำกัดของเรา เราทุกคนต้องการให้โลกที่ซับซ้อนสมเหตุสมผล ดังนั้นเราเล่าเรื่องราวเพื่อเติมช่องว่างของจุดบอด
.
การรู้ว่าเราไม่รู้อะไรมากหมายถึงการยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกส่วนมากอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา และนั่นยากที่จะยอมรับ
.
Philip Tetlock เขียนว่า: "We need to believe we live in a predictable, controllable world, so we turn to authoritative-sounding people who promise to satisfy that need."
.
ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการสับสนระหว่างสาขาที่แม่นยำกับสาขาที่ไม่แน่นอน NASA ส่งยานอวกาศไปดาวพลูโตระยะทาง 3 พันล้านไมล์ใช้เวลา 9 ปีครึ่ง แม่นยำ 99.99998% แต่ astro physics เป็นสาขาที่แม่นยำ ไม่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์มนุษย์เหมือนการเงิน
.
ธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการลงทุนเป็นสาขาแห่งความไม่แน่นอน ขับเคลื่อนโดยการตัดสินใจที่อธิบายด้วยสูตรสะอาดๆ ไม่ได้ แต่เราอยากให้มันเป็นเหมือนการเดินทางไปดาวพลูโต เพราะแนวคิดที่ว่าวิศวกร NASA ควบคุมผลลัพธ์ได้ 99.99998% นั้นฟังดูสวยงามและน่าสบายใจ
.
.
19. ทั้งหมดรวมกัน
.
Housel รวบรวมบทเรียนสั้นๆ ที่นำไปปฏิบัติได้
.
I. หาความอ่อนน้อมเมื่อสิ่งต่างๆ ไปได้ดี และการให้อภัย/ความเห็นอกเห็นใจเมื่อผิดพลาด เพราะมันไม่เคยดีหรือแย่อย่างที่ดูเหมือนจะเป็น
.
II. อีโก้น้อยลง ความมั่งคั่งมากขึ้น การออมเงินคือช่องว่างระหว่างอีโก้กับรายได้ ความมั่งคั่งคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น
.
III. จัดการเงินในแบบที่ช่วยให้นอนหลับสนิท ต่างจากการมุ่งหาผลตอบแทนสูงสุดหรือออมเปอร์เซ็นต์เฉพาะของรายได้
.
IV. ถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น สิ่งเดียวที่ทรงพลังที่สุดคือเพิ่มกรอบเวลา เวลาเป็นพลังที่ทรงอำนาจที่สุดในการลงทุน
.
V. ยอมรับว่าหลายอย่างจะผิดพลาด เราผิดได้ครึ่งหนึ่งและยังรวยได้ เพราะส่วนน้อยสร้างผลลัพธ์ส่วนใหญ่
.
VI. ใช้เงินเพื่อควบคุมเวลา เพราะการไม่ควบคุมเวลาได้เป็นตัวดึงความสุขที่ทรงพลังและสากล
.
VII. ใจดีและไม่อวด ไม่มีใครประทับใจทรัพย์สินของเราเท่าตัวเราเอง สิ่งที่เราอาจต้องการจริงๆ คือความเคารพและการชื่นชม
.
VIII. ออม แค่ออม ไม่ต้องมีเหตุผลเฉพาะ การออมสำหรับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เป็นเหตุผลที่ดีที่สุด
.
IX. กำหนดต้นทุนของความสำเร็จและพร้อมจ่าย เพราะไม่มีอะไรที่คุ้มค่าได้ฟรี ความไม่แน่นอน ความสงสัย ความเสียใจเป็นต้นทุนทั่วไปในโลกการเงิน
.
X. บูชาที่ว่างสำหรับความผิดพลาด ช่องว่างระหว่างสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นให้ความอดทน และความอดทนทำให้การทบต้นเกิดความมหัศจรรย์
.
XI. หลีกเลี่ยงขั้วสุดโต่งของการตัดสินใจทางการเงิน เป้าหมายและความปรารถนาของทุกคนจะเปลี่ยนไป ยิ่งการตัดสินใจในอดีตสุดโต่ง ยิ่งอาจเสียใจเมื่อเราวิวัฒนาการ
.
XII. ชอบความเสี่ยงเพราะมันให้ผลตอบแทนในระยะยาว แต่ระวังความเสี่ยงที่ทำลายล้าง เพราะมันขัดขวางไม่ให้เราเสี่ยงในอนาคตที่จะให้ผลตอบแทน
.
XIII. กำหนดเกมที่เล่นและอย่าให้การกระทำถูกชักจูงโดยคนที่เล่นเกมคนละเกม
.
XIV. เคารพความยุ่งเหยิง คนฉลาด มีข้อมูล และสมเหตุสมผลสามารถไม่เห็นด้วยกันในเรื่องการเงินได้ เพราะคนมีเป้าหมายและความปรารถนาต่างกันมาก
.
.
20. คำตอบที่เป็นของ Morgan Housel
.
Sandy Gottesman นักลงทุนมหาเศรษฐีถามคำถามเดียวเมื่อสัมภาษณ์ผู้สมัครเข้าทีมลงทุน
.
"คุณลงทุนอะไร และทำไม?"
.
ไม่ใช่ "หุ้นอะไรถูก?" หรือ "เศรษฐกิจจะถดถอยเมื่อไหร่?" แค่แสดงให้เห็นว่าคุณทำอะไรกับ "เงินของตัวเอง"
.
Housel รักคำถามนี้เพราะมันแสดงช่องว่างที่กว้างมากระหว่างสิ่งที่มีเหตุผล (ซึ่งคนแนะนำให้ทำ) กับ สิ่งที่รู้สึกถูกต้องสำหรับพวกเขา (ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาทำจริง)
.
ครึ่งหนึ่งของผู้จัดการกองทุนรวมในสหรัฐฯ ไม่ลงทุนแม้แต่เซนต์เดียวในกองทุนของตัวเอง เหมือนกับที่แพทย์เลือกการรักษาช่วงท้ายชีวิตต่างจากที่แนะนำคนไข้
.
“ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสากล มีแค่สิ่งที่ใช้ได้กับคุณและครอบครัว”
.
.
Housel แบ่งปันวิธีของเขา
.
.
#เรื่องการออม
.
เป้าหมายคืออิสระ ไม่ใช่ความรวย พ่อของเขาเป็นหมอ ER ที่เลือกเกษียณกลางคันตอนเขาพร้อม นั่นติดตรึงในใจ Morgan Housel เรื่อง "ความสามารถที่จะตื่นขึ้นมาวันหนึ่งและเปลี่ยนสิ่งที่ทำตามต้องการ"
.
Housel และภรรยาใช้ชีวิตในระดับปานกลางตั้งแต่จบมหาวิทยาลัย แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นมากในทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขายังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ทุกดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นไปสู่การออม "กองทุนอิสระ"
.
พวกเขาเป็นเจ้าของบ้านโดยไม่มีหนี้ ซึ่งอาจเป็นการตัดสินใจทาง "การเงิน" ที่แย่ที่สุด แต่เป็นการตัดสินใจ "เรื่องเงิน" ที่ดีที่สุด
.
ความรู้สึกอิสระจากการเป็นเจ้าของบ้านทั้งหมดมีค่ามากกว่าผลตอบแทนทางการเงินจากการใช้ Leverage
.
พวกเขาเก็บเงินสดประมาณ 20% ของสินทรัพย์นอกเหนือจากมูลค่าบ้าน แม้จะไม่ได้ดูดีบน "หลักการ" แต่นั่นใช้ได้กับพวกเขา เงินสดคือออกซิเจนของอิสระ
.
#เรื่องการลงทุน
.
Housel ลงทุนเฉพาะ Index Fund ต้นทุนต่ำ เขาไม่ได้ต่อต้านการเลือกหุ้น แต่ความเชื่อในการลงทุนที่ส่วนตัวเขายึดมั่นคือ มีความสัมพันธ์ที่น้อยระหว่าง "ความพยายาม" กับ "ผลลัพธ์การลงทุน" เพราะโลกถูกขับเคลื่อนโดย Tail Event - ตัวแปรไม่กี่ตัวสร้างผลตอบแทนส่วนใหญ่
.
กลยุทธ์ของเขาไม่พึ่งพาการเลือกภาคธุรกิจที่ถูกต้องหรือการจับจังหวะภาวะถดถอย แต่พึ่งพาอัตราการออมสูง ความอดทน และความมองโลกในแง่ดีว่าเศรษฐกิจโลกจะสร้างมูลค่าในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
.
เขาใช้ความพยายามในการลงทุนเกือบทั้งหมดคิดเกี่ยวกับสามสิ่งนี้ โดยเฉพาะสองอย่างแรก (อัตราการออมสูง ความอดทน) ที่เขาควบคุมได้
.
เขาเคยเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในอดีต แน่นอนว่าอาจเปลี่ยนในอนาคต แต่ไม่ว่าจะออมหรือลงทุนอย่างไร เขาจะมีเป้าหมายเรื่องอิสระเสมอ และจะทำทุกอย่างที่ทำให้นอนหลับสนิทที่สุด
.
.
.
.
#SuccessStrategies