สรุปหนังสือ The Four Pillars of Investing : เสาหลักทั้งสี่แห่งการลงทุน เขียนโดย Dr. William Bernstein

"The Best Way to Win the Game is to Not Play Stupid Games with Stupid Prizes"
.
นี่คือประโยคที่แอดอยากให้คุณจำ ก่อนจะอ่านหนังสือ The Four Pillars of Investing ของ Dr. William Bernstein
.
เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้คุณเล่น "เกมโง่ๆ" ให้เก่งขึ้น แต่สอนให้คุณเลิกเล่นเสียที
.
Bernstein ใช้เวลาหลายสิบปีในวงการการเงิน และสิ่งที่เขาค้นพบคือ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่หลีกเลี่ยงการกระทำที่ไม่ฉลาดได้ดีที่สุด
.
หนังสือเล่มนี้แบ่งความรู้ที่จำเป็นออกเป็น 4 เสาหลัก
.
เสาที่ 1: ทฤษฎีการลงทุน = ความจริงพื้นฐานที่ว่า "No Guts, No Glory" แต่ Bernstein จะสอนให้คุณแยกแยะระหว่าง "ความกล้าที่ฉลาด" กับ "ความบ้าบิ่นที่โง่เขลา"
.
เสาที่ 2: ประวัติศาสตร์การลงทุน = จากฟองสบู่ดอกทิวลิปถึงวิกฤติ Subprime ทุกครั้งที่มีคนบอกว่า "ครั้งนี้ต่างออกไป" ประวัติศาสตร์จะตอบกลับด้วยการซ้ำรอยเดิม
.
เสาที่ 3: จิตวิทยาการลงทุน = สมองของเราถูกออกแบบมาเพื่อหนีเสือในป่า ไม่ใช่เพื่อถือหุ้นในพอร์ต Bernstein จะสอนวิธี "แฮ็ก" สมองตัวเองให้เป็นนักลงทุนที่ดี
.
เสาที่ 4: ธุรกิจการลงทุน = ความจริงที่ไม่สบายหูว่า "Your Broker Is Not Your Buddy" ธุรกิจการเงินทำงานเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคุณ
.
.
============================
.
1. พื้นฐานทฤษฎีการลงทุน (No Guts, No Glory)
.
ถ้ามีใครเดินมาหาคุณแล้วกระซิบว่า “ลงทุนกับผมสิ ได้กำไรสูง แต่ไม่ต้องเสี่ยงเลย” มีอยู่สองเหตุผล
.
A. คุณกำลังจะถูกหลอก
B. คุณกำลังฟังนิทานก่อนนอน ไม่ใช่คำแนะนำการเงิน
.
William Bernstein เปิดบทแรกด้วยประโยคเชิงประชดว่า ถ้าเราอยากได้ “Glory” (ความรุ่งเรืองทางการเงิน) ก็ต้องมี “Guts” (ความกล้า) เสียก่อน
.
และไม่ใช่ความกล้าแบบบ้าระห่ำที่กระโดดเข้าหาหุ้นร้อน ๆ ตามกลุ่มไลน์หุ้น แต่คือความกล้าที่จะยอมรับความจริงที่ขมขื่นว่า ผลตอบแทนและความเสี่ยงนั้นคือเหรียญสองด้านที่ไม่มีใครพลิกให้เป็นด้านเดียวได้
.
ความจริงข้อแรก = ตลาดให้รางวัลกับคนที่กล้าเจ็บปวด
.
ในโลกการลงทุน ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนไม่ใช่เรื่องทฤษฎีในห้องเรียน แต่มันถูกพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเลือด น้ำตา และบางครั้งกระทั่งชีวิตการเงินของผู้คนนับล้าน
.
หุ้นบริษัทใหญ่มั่นคง เช่น Johnson & Johnson ให้ผลตอบแทนดี แต่ไม่หวือหวา เพราะใคร ๆ ก็อยากถือ ความเสี่ยงจึงต่ำ
.
หุ้นบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักกลับถูกบังคับให้มอบ “รางวัล” สูงขึ้น มิฉะนั้นก็ไม่มีใครกล้าซื้อ
.
นี่คือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Risk Premium” ถ้าคุณยอมแบกความเสี่ยง ตลาดจะจ่ายผลตอบแทนชดเชยให้คุณ แต่ถามจริง ๆ คนส่วนใหญ่ทนความเสี่ยงได้จริงไหม?
ลองนึกภาพปี 2008 ตอน Lehman Brothers ล้ม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงไปเกือบ 40% ภายในปีเดียว คุณกล้าที่จะถือหุ้นต่อไหม ในขณะที่ข่าวพาดหัวทุกวันบอกว่าระบบทุนนิยมอาจพังพินาศ? คนส่วนใหญ่ขายหนี แต่คนส่วนน้อยที่ “มี Guts” อยู่กับแผน กลับได้ “Glory” เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
.
.
2. หุ้น vs. พันธบัตร
.
Bernstein วาดภาพง่าย ๆ ว่า การลงทุนมีสนามใหญ่สองสนามคือ หุ้น (Equities) และ พันธบัตร (Bonds)
.
หุ้นคือบัตรผ่านเข้าเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณได้สิทธิ์ในกำไรและการเติบโต แต่ก็ต้องทนกับความผันผวนเหมือนนั่งรถไฟเหาะ
.
พันธบัตรคือการปล่อยกู้ คุณได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยแน่นอน (ถ้าไม่ผิดนัด) แต่ไม่มีทางรวยจากมันได้
.
ในรอบ 200 ปีที่ผ่านมา หุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 6–7% ต่อปีเหนือเงินเฟ้อ ในขณะที่พันธบัตรอยู่แถว ๆ 2–3% เท่านั้น แต่ราคาที่คุณต้องจ่ายเพื่อผลตอบแทนสูงกว่าคือ “คืนที่นอนไม่หลับ” ที่มาพร้อมกับวิกฤติรอบแล้วรอบเล่า
.
.
3. ค่าเฉลี่ยระยะยาว กับ ความเจ็บปวดระยะสั้น
.
จุดที่ Bernstein อยากเน้นคือ คนจำนวนมากถูกหลอกด้วยกราฟ “ค่าเฉลี่ยระยะยาว” เช่น “ถ้าคุณลงทุนหุ้น 30 ปี คุณจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี” ฟังดูง่ายเหมือนแค่รอเวลา แต่ความจริงคือเส้นทางเต็มไปด้วยหุบเหว
.
สมมติคุณเริ่มด้วย $100,000 ตลาดร่วงลง 50% พอร์ตเหลือ $50,000 คุณไม่ได้ต้องการผลตอบแทน +50% เพื่อกลับมาเท่าเดิม แต่ต้องการ +100% นี่คือคณิตศาสตร์โหดร้ายที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่มักพังทลาย เพราะพวกเขาลืมไปว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวต้องแลกกับความเจ็บปวดเฉพาะหน้า
.
.
4. ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์
.
วิกฤติ 1929–1932: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงเกือบ 90% นักลงทุนรุ่นนั้นหลายคนสาบานว่าจะไม่แตะหุ้นอีกตลอดชีวิต แต่ผู้ที่ซื้อเพิ่มในช่วงนั้นได้ผลตอบแทนมหาศาลในอีก 50 ปี
.
วิกฤติเอเชีย 1997: ค่าเงินบาทล่ม หุ้นไทยร่วง 75% นักลงทุนที่หนีทันอาจรอดจากการขาดทุน แต่คนที่ถือยาวและกลับมาใหม่ในทศวรรษถัดมา กลายเป็นผู้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนสูงสุด
.
นี่แหละครับคือสิ่งที่ Bernstein เรียกว่า No Guts, No Glory ใครที่กลัวแล้วหนีตลอด จะไม่มีวันได้เห็น “ค่าเฉลี่ยระยะยาว” ที่ตำราเขียนไว้
.
.
5. ความกล้าแบบผิด vs. ความกล้าแบบถูก
.
Bernstein พยายามแก้ความเข้าใจผิดเรื่อง “ความกล้า”
.
ความกล้าแบบผิด: กระโดดใส่หุ้นปั่น, ลงทุนตามข่าวลือ, หรือเล่นคริปโตเพราะเพื่อนบอกว่ารวยเร็ว
.
ความกล้าแบบถูก: ยอมทนถือหุ้นตามสัดส่วนที่วางไว้ แม้พอร์ตจะขาดทุนชั่วคราว, ปฏิเสธแรงกระตุ้นให้ขายหนีตอนตลาดตื่นตระหนก
.
เขาย้ำว่า นักลงทุนที่สำเร็จไม่ใช่คนที่ “กล้าบ้าบิ่นที่สุด” แต่คือคนที่ “กล้ายึดมั่นในหลักการ”
.
.
6. คณิตศาสตร์ที่ทำให้เรามีสติ
.
Bernstein ให้สูตรคำนวณผลตอบแทนระยะยาวแบบง่าย:
.
ผลตอบแทน ≈ การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Earnings Growth) + อัตราปันผล (Dividend Yield)
.
ตัวอย่าง: ถ้าตลาดหุ้นประเทศหนึ่งโตเฉลี่ย 4% ต่อปี และจ่ายปันผล 2% คุณคาดหวังได้ประมาณ 6% ต่อปี ไม่มากไม่น้อย นี่คือวิธี “ตัดเพ้อฝัน” ให้เหลือความจริงที่จับต้องได้
.
ในขณะที่พันธบัตรไม่มีการเติบโต ผลตอบแทนก็แทบจะเท่ากับดอกเบี้ยที่คุณซื้อเข้าไปเท่านั้นเอง
.
.
7. การวัดสัตว์ร้าย (Measuring the Beast)
.
เราได้รู้แล้วว่าความเสี่ยงคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกผลตอบแทน แต่ปัญหาคือ…ความเสี่ยงมันเป็นนามธรรม คล้าย ๆ กับ “ความรัก” คุณรู้ว่ามันมีอยู่จริง แต่บอกไม่ถูกว่ามันหนักกี่กิโล กว้างกี่เมตร ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องหาวิธี “วัด” ความเสี่ยงให้เป็นตัวเลข เพื่ออย่างน้อยจะได้รู้ว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในป่าที่มีเสือโคร่ง หรือแค่เจอแมวจรจัด
.
William Bernstein เรียกกระบวนการนี้ว่า Measuring the Beast การหาวิธีมองสัตว์ร้ายที่ชื่อว่า “ความเสี่ยง” ให้ชัดขึ้น ไม่ใช่เพื่อจะกำจัดมัน (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) แต่เพื่อจะรู้ว่าจะอยู่กับมันอย่างไร
.
.
8. ทำไมต้องวัดความเสี่ยง?
.
“ลองนึกภาพว่าคุณไปชั่งน้ำหนัก
.
แล้วเครื่องบอกว่า… ‘คุณหนักนะครับ’ …จบ”
.
การลงทุนก็เช่นเดียวกัน หากคุณบอกตัวเองแค่ว่า “หุ้นมันเสี่ยง” มันไม่ช่วยอะไรเลย แต่ถ้าคุณรู้ว่าความผันผวนเฉลี่ยของหุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 20% ต่อปี คุณก็พอจะเตรียมใจได้ว่า พอร์ต $100,000 ของคุณอาจแกว่งไปมา $20,000 ได้ทุกปีโดยไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
.
Bernstein ชี้ว่า การวัดความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องของการทำนายอนาคต แต่คือการสร้าง “กรอบความคาดหวังที่สมจริง” ให้เราควบคุมอารมณ์ได้
.
.
9. เครื่องมือแรก ความผันผวน (Volatility)
.
คำว่า “ความเสี่ยง” ในการเงิน มักถูกแทนด้วยคำว่า ความผันผวน วัดด้วย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ของผลตอบแทน
.
หุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Apple หรือ Microsoft มีความผันผวนราวปีละ 15–20%
.
หุ้นขนาดเล็กหรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) อาจผันผวนปีละ 30–40%
.
พูดง่าย ๆ หุ้นตลาดเกิดใหม่ก็เหมือนการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาหลายรอบ ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลเปรียบเหมือนนั่งเรือหางยาวในคลอง ถึงแม้บางทีน้ำจะแรง แต่โดยรวมถือว่าค่อนข้างนิ่ง
.
Bernstein เตือนว่า นักลงทุนที่บอกว่าตัวเอง “รับความเสี่ยงได้” มักเข้าใจผิด เพราะการเห็นพอร์ตติดลบในกระดาษกับการเห็นเงินหายไปจริง ๆ ในชีวิตจริงนั้น “ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย”
.
.
10. เครื่องมือสอง ค่าเบต้า (Beta)
.
เบต้า (β) วัดว่าหุ้นหรือกองทุนหนึ่งเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับตลาดโดยรวมแค่ไหน
.
เบต้า = 1 หมายถึง ขึ้นลงพอ ๆ กับตลาด
เบต้า > 1 หมายถึง ผันผวนแรงกว่าตลาด (ตลาดลง 10% คุณอาจลง 15%)
เบต้า < 1 หมายถึง ผันผวนเบากว่าตลาด (ตลาดลง 10% คุณอาจลง 5%)
.
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ Bernstein ชี้ว่าปัญหาของเบต้าคือ มันวัด “การแกว่งตามตลาด” เท่านั้น ไม่ได้วัดความเสี่ยงจากปัจจัยอื่น เช่น ความเสี่ยงที่บริษัทจะโกงบัญชีหรือล้มละลาย ดังนั้นอย่าหลงเชื่อว่า “หุ้นเบต้า 0.8 ปลอดภัยกว่าเสมอ” เพราะมันอาจไม่เกี่ยวอะไรเลยถ้าบริษัทเจ๊งจริง
.
.
11. เครื่องมือสาม ความสัมพันธ์ (Correlation)
.
เครื่องมือที่ทำให้แนวคิด “การกระจายความเสี่ยง (Diversification)” ทำงานได้คือ ความสัมพันธ์ของผลตอบแทนสินทรัพย์
.
ถ้าคุณถือหุ้น 10 บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น ธนาคารไทย ความเสี่ยงก็ยังสูง เพราะเวลาวิกฤติการเงินมา หุ้นเหล่านี้จะลงพร้อมกัน
.
แต่ถ้าคุณกระจายไปที่หุ้นสหรัฐฯ, พันธบัตรเยอรมนี, และกองทุนอสังหาฯ ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์จะต่ำลง ทำให้พอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้น
.
Bernstein ชอบเปรียบว่า: “อย่าเอาไข่สิบฟองใส่ตะกร้าเดียว แต่ก็อย่าเอาไข่สิบฟองไปใส่ตะกร้าที่ผูกเชือกติดกัน” เพราะถ้าตะกร้าล้ม ไข่ทั้งหมดก็แตกอยู่ดี
.
.
12. กรณีศึกษา Black Monday 1987
.
Bernstein ยกตัวอย่าง Black Monday (19 ตุลาคม 1987) วันที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วง 22% ในวันเดียว เพื่อชี้ให้เห็นข้อจำกัดของการวัดความเสี่ยง
.
ตามทฤษฎี ความผันผวนเฉลี่ยของตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 20% ต่อปี เหตุการณ์แบบ Black Monday จึงมีโอกาสเกิดขึ้น “หนึ่งครั้งในหลายล้านปี” … แต่ในความจริง มันเกิดขึ้นแล้วในชีวิตคนจริง ๆ
.
นี่คือจุดที่ Bernstein ย้ำว่า “สถิติเป็นเพียงการมองกระจกหลัง” ช่วยให้เรารู้ว่าอะไรเคยเกิดขึ้น แต่ไม่สามารถรับประกันว่าอนาคตจะไม่ร้ายแรงกว่านั้น
.
.
13. ความเสี่ยง vs. ความไม่แน่นอน (Risk vs. Uncertainty)
.
เศรษฐศาสตร์การเงินแยกสองคำนี้ไว้ชัด
.
Risk (ความเสี่ยง) = สิ่งที่เราพอคำนวณโอกาสได้ เช่น การโยนเหรียญออกหัวก้อย
.
Uncertainty (ความไม่แน่นอน) = สิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความน่าจะเป็นคือเท่าไร เช่น จะมีสงครามโลกครั้งใหม่ไหม, จะมีโรคระบาดใหญ่หรือเปล่า
.
นักลงทุนส่วนใหญ่พังเพราะสับสนสองคำนี้ พวกเขาคิดว่าถ้าวัด Risk ได้ ก็เข้าใจอนาคตหมดแล้ว แต่จริง ๆ แล้วตลาดเต็มไปด้วย Uncertainty ที่แบบจำลองทางสถิติไม่สามารถสะท้อนออกมาได้
.
.
14. ตัวอย่าง: Long-Term Capital Management (LTCM)
.
LTCM คือกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่รวมมันสมองทางการเงินและนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล แต่กลับล้มพังในปี 1998 เพราะเชื่อมั่นในแบบจำลองสถิติที่บอกว่า “ความเสี่ยงระดับนี้จะไม่เกิดขึ้นในหลายพันปี”
.
แต่แล้ววิกฤติค่าเงินรัสเซียทำให้ทุกสมมติฐานพังทลายในพริบตา และกองทุนต้องได้รับการกู้ชีพจากธนาคารกลางสหรัฐฯ
.
Bernstein เล่าเรื่องนี้เพื่อเตือนว่า “การวัดความเสี่ยงไม่ได้ทำให้มันหายไป” มันแค่ทำให้คุณหลงคิดว่าตัวเองปลอดภัย ซึ่งบางครั้งอันตรายยิ่งกว่าความไม่รู้
.
.
15. ความเสี่ยงที่วัดได้ vs. ความเสี่ยงที่รู้สึก
.
Bernstein ยังพูดถึงความต่างระหว่าง “ความเสี่ยงเชิงคณิตศาสตร์” และ “ความเสี่ยงเชิงจิตวิทยา”
.
ตัวเลขอาจบอกว่าหุ้นมีโอกาสร่วง 20% ภายในปีหนึ่ง ซึ่ง “ไม่มาก” ในเชิงสถิติ
.
แต่สำหรับคนที่พอร์ต 10 ล้านบาทแล้วเห็นเงินหายไป 2 ล้านบาท มันคือฝันร้ายที่ทำให้นอนไม่หลับ
.
นี่คือเหตุผลที่การลงทุนต้องผสมทั้ง “สมอง” และ “หัวใจ” การรู้จักวัดความเสี่ยงช่วยให้เรามีข้อมูล แต่การยอมรับได้ต่างหากที่ทำให้เราอยู่รอด
.
.
16. วิธีใช้การวัดความเสี่ยงอย่างฉลาด
.
Bernstein สรุปแนวทางไว้ดังนี้
.
ใช้ความผันผวนเป็นตัวบอก “ระดับความเจ็บปวด” ที่คุณต้องทน
.
ใช้ค่าเบต้าเพื่อเข้าใจว่าคุณกำลังลงทุนในสินทรัพย์ที่แกว่งแรงกว่าหรือน้อยกว่าตลาด
.
ใช้ความสัมพันธ์เพื่อสร้างพอร์ตที่ไม่พังทั้งก้อนเมื่อเกิดวิกฤติ
.
แต่จงจำไว้เสมอว่า ตัวเลขทั้งหมดคืออดีต ไม่ใช่อนาคต
.
.
17. ตลาดที่ฉลาดกว่าคุณ (The Market Is Smarter Than You Are)
.
William Bernstein กระชากหน้ากากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า “คนเก่งสามารถชนะตลาดได้เสมอ” เขาบอกว่า ตลาดนั้นฉลาดกว่าคุณเสมอ เพราะมันคือผลรวมของข้อมูล ความคาดหวัง และเงินทุนของผู้เล่นนับล้านคน การจะ “ฉลาดกว่าตลาด” จึงแทบเป็นไปไม่ได้
.
ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis)
.
จุดตั้งต้นคือ ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ (EMH) ที่ Eugene Fama เสนอไว้ ทฤษฎีนี้บอกว่า ราคาหุ้นสะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว
.
ถ้าบริษัทประกาศผลประกอบการดี ราคาหุ้นจะปรับขึ้นแทบจะทันที
.
ถ้ามีข่าวร้าย ราคาก็จะร่วงลงก่อนที่คุณจะกดซื้อขายทัน
.
ดังนั้นโอกาสที่จะ “หาหุ้นถูก ๆ ที่ตลาดยังไม่รู้จัก” แทบไม่มีอยู่จริง เพราะข้อมูลกระจายไปทั่วอยู่แล้ว
.
“ถ้าคุณคิดว่าตลาดโง่ มีโอกาสสูงกว่าที่ความโง่นั้นอยู่ที่คุณเอง”
.
.
18. กองทุนแอคทีฟส่วนใหญ่แพ้ตลาด
.
หนึ่งในหลักฐานชิ้นใหญ่ที่ Bernstein ยกมาคือ สถิติการลงทุนของกองทุนรวม
.
กองทุนแอคทีฟ (ที่มีผู้จัดการพยายามเลือกหุ้น) ส่วนใหญ่แพ้กองทุนดัชนี (index funds) ในระยะยาว
.
แม้แต่กองทุนที่ชนะได้ในบางปี ก็แทบไม่มีใครชนะได้ต่อเนื่อง
.
สาเหตุไม่ใช่แค่ตลาดฉลาดเกินไป แต่เพราะค่าธรรมเนียมและต้นทุนการซื้อขายทำให้กองทุนเหล่านี้เสียเปรียบตั้งแต่เริ่ม พูดง่าย ๆ คือ คุณจ่ายแพงกว่าเพื่อผลลัพธ์ที่แย่กว่า
.
.
19. Market Timing อีกหนึ่งมายาคติ
.
อีกวิธีที่นักลงทุนพยายามเอาชนะตลาดคือ การจับจังหวะ (Market Timing) เช่น ขายออกตอนคิดว่าตลาดจะตก แล้วซื้อกลับตอนคิดว่าตลาดจะขึ้น
.
แต่ Bernstein ยกข้อมูลมาชี้ว่า ถ้าคุณพลาดแค่ 10 วันดีที่สุดในรอบ 30 ปี ผลตอบแทนรวมของคุณจะหายไปเกือบครึ่ง ซึ่งบอกเราว่า ความพยายาม “เดาเวลา” แทบไม่ต่างจากการเดาสภาพอากาศล่วงหน้าหนึ่งเดือน มีโอกาสผิดมากกว่าถูก
.
.
20. กรณีศึกษา Warren Buffett
.
มีคนแย้งว่า “แต่ Warren Buffett ก็ชนะตลาดมาโดยตลอด!”
.
Bernstein ตอบว่า จริงอยู่ที่ Buffett คือปรมาจารย์ แต่…
.
Buffett เป็นข้อยกเว้นที่หายากระดับหนึ่งในล้าน
.
สิ่งที่เขาทำจริง ๆ ไม่ใช่การเดาตลาด แต่คือการลงทุนในธุรกิจคุณภาพที่มี “Moat” (คูเมืองป้องกันการแข่งขัน) และถือยาวหลายสิบปี ซึ่งใกล้เคียงกับหลักการ “ลงทุนทั้งตลาด” มากกว่าที่หลายคนคิด
.
พูดอีกอย่างคือ คนที่พยายามเลียนแบบ Buffett ส่วนใหญ่กลับล้มเหลว เพราะพวกเขาโฟกัสที่ “เลือกหุ้น” มากเกินไป แต่ไม่เลียนแบบ “วินัย” และ “กรอบคิดระยะยาว” ของเขา
.
.
21. พลังของการลงทุนแบบดัชนี (Indexing)
.
Bernstein เชียร์การลงทุนแบบดัชนีเต็มที่ เพราะมันคือการยอมรับว่า “ตลาดฉลาดกว่าคุณ” และคุณควรถือทั้งตลาดแทนที่จะพยายามเลือกบางส่วน
.
Index Funds มีต้นทุนต่ำ
คุณไม่ต้องกังวลว่าจะเลือกผิด
ผลลัพธ์ระยะยาวดีกว่ากองทุนส่วนใหญ่
.
เขาเปรียบการลงทุนแบบดัชนีกับ “การซื้อทั้งฟาร์ม” แทนที่จะพยายามเดาว่าไก่ตัวไหนจะไข่ทองคำ คุณอาจไม่รวยชั่วข้ามคืน แต่คุณจะได้ผลผลิตเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง
.
.
22. ตลาดคือสนามแข่งขันที่โหดที่สุด
.
อีกเหตุผลที่ Bernstein บอกว่าตลาดฉลาดกว่าคุณ คือผู้เล่นในตลาดเต็มไปด้วยคนที่มีทรัพยากรเหนือกว่าคุณทุกด้าน
.
บริษัทกองทุนยักษ์ใหญ่มีทีมนักวิเคราะห์นับร้อยที่ทำงานเต็มเวลา
มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำ High-Frequency Trading ในเสี้ยววินาที
มีข้อมูลเชิงลึกที่คุณไม่มีทางเข้าถึงได้
.
การที่คุณคิดว่าจะ “ชนะตลาด” ด้วยการอ่านข่าวเช้าหรือดูกราฟเทคนิคในมือถือจึงเป็นความมั่นใจที่เกินจริง (Overconfidence Bias) ล้วน ๆ
.
.
23. ตลาดไม่โง่ แต่ตลาดก็ไม่สมบูรณ์แบบ
.
อย่างไรก็ตาม Bernstein ไม่ได้บอกว่าตลาด “สมบูรณ์แบบ” เสมอไป เขายอมรับว่าตลาดมีฟองสบู่ มีความโลภ และความกลัวที่ทำให้ราคาผันผวนเกินจริง
.
แต่ประเด็นคือคุณไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อไร ฟองสบู่จะพองสุด หรือเมื่อไรความกลัวจะถึงจุดต่ำสุด นักลงทุนที่พยายามเล่นเกมนี้มักเจ็บหนัก เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกยังผิดพลาดเป็นประจำ
.
.
24. พอร์ตที่สมบูรณ์แบบ (The Perfect Portfolio)
.
ทุกครั้งที่มีคนถามนักการเงินว่า “พอร์ตที่สมบูรณ์แบบควรเป็นแบบไหน?” มักได้คำตอบที่สวยหรู เช่น “ต้องมีสมดุลระหว่างหุ้นกับพันธบัตร” หรือ “กระจายไปทั่วโลก” แต่ Bernstein แกล้งยิ้มแล้วตอบว่า…
.
“ไม่มีพอร์ตที่สมบูรณ์แบบตลอดไปหรอกครับ”
.
นี่แหละคือใจความของประเด็นนี้ – ความพยายามสร้างพอร์ตการลงทุนที่ “สมบูรณ์แบบ” อาจเป็นเพียงการไล่จับเงา สิ่งที่เราทำได้จริงคือ “สร้างพอร์ตที่เหมาะสมกับเรา ณ ช่วงเวลานั้น” และรู้จักปรับตามสถานการณ์ชีวิตและความเสี่ยงที่รับได้
.
Bernstein เปิดด้วยข้อสังเกตว่า นักลงทุนทุกยุคพยายามหาสูตรตายตัว เช่น
.
สัดส่วนหุ้น 60% พันธบัตร 40%
.
หรือ 70/30 สำหรับคนหนุ่มสาว
.
หรือ “พอร์ตถาวร” (Permanent Portfolio) ของ Harry Browne ที่แบ่งหุ้น ทองคำ พันธบัตร และเงินสดเท่า ๆ กัน
.
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความจริงก็ปรากฏว่า “ไม่มีพอร์ตไหนที่ทำงานได้ดีทุกยุค” เช่น พอร์ต 60/40 ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นมาตรฐานทองคำ กลับเจ็บหนักในยุคที่ทั้งหุ้นและพันธบัตรร่วงพร้อมกัน
.
.
25. การกระจายความเสี่ยง (Diversification)
.
การกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด แต่เพื่อไม่ให้พังทั้งก้อนเวลาวิกฤตมา
.
หุ้น: ให้ผลตอบแทนสูง แต่เสี่ยงผันผวน
.
พันธบัตร: เสถียรกว่า แต่ให้ผลตอบแทนต่ำ
.
อสังหาริมทรัพย์/REITs: สร้างรายได้จากค่าเช่า และบางครั้งเคลื่อนไหวไม่เหมือนหุ้น
.
ทองคำ/สินค้าโภคภัณฑ์: เป็นกันชนเวลาวิกฤติ
.
.
26. หุ้น
.
แม้จะผันผวน แต่หุ้นยังคงเป็นเครื่องจักรสร้างความมั่งคั่งที่ทรงพลังที่สุด
.
หุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ~6–7% เหนือเงินเฟ้อ
หุ้นประเทศเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
.
Bernstein แนะนำว่าหุ้นควรเป็นแกนหลักของพอร์ต แต่ต้องผสมทั้ง หุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap), ขนาดเล็ก (Small Cap), หุ้นคุณค่า (Value Stocks) และ หุ้นต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง
.
.
27. พันธบัตร
.
พันธบัตรมักถูกมองว่า “น่าเบื่อ” แต่ในยามวิกฤติ พวกมันคือเพื่อนแท้
.
ตอนหุ้นร่วงหนัก พันธบัตรคุณภาพสูงมักจะขึ้นหรืออย่างน้อยคงที่
มันช่วยให้คุณมีสภาพคล่องเพื่อซื้อหุ้นเพิ่มในราคาถูก (rebalancing)
.
Bernstein เตือนว่าอย่าไปเสี่ยงกับพันธบัตรเกรดต่ำหรือระยะยาวเกินไป เพราะคุณอาจเจ็บจากดอกเบี้ยผันผวนได้ พันธบัตรรัฐบาลคุณภาพสูงระยะสั้น–กลางคือ “กันชน” ที่ดีที่สุด
.
.
28. สินทรัพย์ทางเลือก
.
บางคนถามว่าควรเพิ่มอะไรนอกจากหุ้นและพันธบัตรไหม Bernstein ตอบว่า:
.
REITs (กองทุนอสังหาฯ): ดีต่อการกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้สม่ำเสมอ
.
ทองคำ: ไม่สร้างกระแสเงินสด แต่เป็นที่พึ่งในวิกฤติ (เช่น ช่วงเงินเฟ้อสูง)
.
แต่เขาย้ำว่า สิ่งเหล่านี้ควรเป็น “เครื่องปรุง” ไม่ใช่ “อาหารหลัก” อย่าเทหนักจนพอร์ตบิดเบี้ยว
.
.
29. หลักการ Rebalancing: ศิลปะแห่งวินัย
.
พอร์ตที่ดีไม่ใช่พอร์ตที่คุณจัดครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องปรับสมดุล (Rebalance) เป็นระยะ
.
ตัวอย่าง
.
สมมติคุณวางหุ้น 60% พันธบัตร 40%
.
หลังหุ้นพุ่งแรง สัดส่วนกลายเป็นหุ้น 75% พันธบัตร 25%
.
ถึงเวลาที่คุณต้องขายหุ้นบางส่วนแล้วซื้อพันธบัตรเพิ่ม เพื่อกลับไปที่ 60/40
.
ฟังดูขัดใจ เพราะคุณต้องขายของที่กำลังขึ้นและซื้อของที่ไม่เซ็กซี่ แต่ Bernstein บอกว่านี่แหละคือวินัยที่ช่วยให้คุณซื้อถูก–ขายแพงโดยอัตโนมัติ
.
.
30. พอร์ตต้องเข้ากับ “ชีวิต” ของคุณ
.
สิ่งที่ทำให้พอร์ตสมบูรณ์แบบสำหรับ A อาจเป็นหายนะสำหรับ B เพราะชีวิตและเป้าหมายต่างกัน
.
คนหนุ่มสาวมีเวลาอีกหลายสิบปี สามารถทนความผันผวนได้ → จัดหุ้นเยอะหน่อย
.
คนใกล้เกษียณต้องการความมั่นคง → ควรเพิ่มพันธบัตรและสินทรัพย์เสถียร
.
คนที่ทำงานมั่นคง อาจรับความเสี่ยงได้มากกว่า เพราะรายได้แน่นอน
.
คนทำธุรกิจที่รายได้ผันผวน ควรถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่า
.
Bernstein ย้ำว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว มีแต่ “พอร์ตที่เหมาะกับคุณ” เท่านั้น
.
.
31. กรณีศึกษา ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
.
เพื่อย้ำประเด็นว่าไม่มีพอร์ตที่สมบูรณ์ Bernstein ยกตัวอย่าง:
.
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (1990s): หลังฟองสบู่แตก ตลาดหมีลากยาวกว่าสองทศวรรษ ใครที่ทุ่มหุ้นญี่ปุ่น 100% อาจหมดหวังไปแล้ว
.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (2000s): หลัง Dot-com Bubble ตลาดใช้เวลานานหลายปีกว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ พอร์ตที่มีแต่หุ้นเทคโนโลยีแทบไม่เหลืออะไร
.
.
32. ประวัติศาสตร์การลงทุน ฟองสบู่และหุบเหว (Tops & Bottoms)
.
ถ้าคุณอยากเข้าใจอนาคตของตลาดการเงิน Bernstein บอกว่า อย่ามัวแต่มองบทวิเคราะห์ล้ำ ๆ จากวอลล์สตรีท แต่ให้เปิดตำราประวัติศาสตร์ เพราะตลาดหุ้นไม่เคยมี “ของใหม่” จริง ๆ สิ่งที่เราเห็นวันนี้ หุ้นปั่น คริปโต ล้วนเป็นการรีรันของละครที่เคยฉายมาแล้วหลายร้อยปี เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเวที และเพิ่มเทคโนโลยีให้ดูทันสมัย
.
I. ฟองสบู่แรก ๆ Tulip Mania (ศตวรรษที่ 17)
.
หนึ่งในเรื่องราวที่ Bernstein หยิบมาเล่าคือ Tulip Mania ในเนเธอร์แลนด์ราวปี 1630s ที่หัวดอกทิวลิปบางสายพันธุ์มีราคาสูงกว่าบ้านทั้งหลัง คนทุกชนชั้นตั้งแต่พ่อค้าไปจนถึงช่างไม้ ต่างเข้ามาเก็งกำไร จนท้ายที่สุดฟองสบู่แตกและราคาทิวลิปแทบไร้ค่า
.
II. South Sea Bubble (1711–1720)
.
ถัดมาคือ South Sea Bubble ที่อังกฤษ รัฐบาลออกหุ้นของบริษัท South Sea Company โดยสัญญาว่าจะผูกขาดการค้ากับอเมริกาใต้ ผลคือคนอังกฤษแห่ซื้อหุ้นจนราคาพุ่งเป็นสิบเท่า ก่อนจะร่วงลงและทำให้คนจำนวนมากล้มละลาย
.
Bernstein แซวว่า แม้แต่ Sir Isaac Newton ก็ยังตกเป็นเหยื่อ เขาซื้อหุ้น South Sea แล้วขายทำกำไร แต่พอเห็นราคาพุ่งต่อก็กลับไปซื้ออีกครั้ง และสุดท้ายสูญเสียมหาศาล จนเขากล่าวประโยคอมตะว่า:
.
“I can calculate the motions of the heavenly bodies, but not the madness of people.”
.
III. The Great Depression (1929–1932)
.
ฟองสบู่ครั้งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 คือ Great Depression ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงเกือบ 90% จากจุดสูงสุดในปี 1929 ไปสู่จุดต่ำสุดในปี 1932
.
ผู้คนจำนวนมากกู้เงินเพื่อซื้อหุ้น (margin trading)
เมื่อราคาหุ้นเริ่มตก พวกเขาถูกบังคับขายจนเกิดหายนะต่อเนื่อง
ธนาคารล้มเป็นพันแห่ง เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำยาวนาน
.
Bernstein บอกว่า เหตุการณ์นี้สอนเราว่า “หายนะของตลาดหุ้นสามารถทำลายเศรษฐกิจจริงได้” และนักลงทุนที่อยู่รอดได้คือคนที่ไม่ลืมกระจายความเสี่ยงและไม่กู้ยืมเกินตัว
.
IV. Nifty Fifty และฝันร้ายทศวรรษ 1970
.
ในทศวรรษ 1960s–70s นักลงทุนสหรัฐฯ เชื่อว่ามีหุ้น “Nifty Fifty” คือ 50 บริษัทชั้นนำที่ “ไม่มีวันล้ม” เช่น Xerox, IBM, Coca-Cola คนเชื่อว่าซื้อแล้วถือไปตลอดชีวิตได้เลย
.
แต่เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงและเศรษฐกิจซบเซา หุ้นเหล่านี้ก็ร่วงหนักหลายสิบเปอร์เซ็นต์ หลายบริษัทไม่เคยฟื้นกลับมารุ่งเรืองอีก
.
Bernstein ใช้กรณีนี้เตือนว่า “ไม่มีหุ้นไหนที่ปลอดภัยตลอดกาล” แม้แต่บริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็อาจเจอคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง
.
V. Black Monday (1987)
.
วันที่ 19 ตุลาคม 1987 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วง 22% ในวันเดียว เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า Black Monday และถือเป็นการร่วงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
.
สาเหตุยังถกเถียงกัน บางคนชี้ไปที่โปรแกรมซื้อขายอัตโนมัติ (portfolio insurance) ที่เร่งการขายออกอัตโนมัติเมื่อราคาลดลง แต่ไม่ว่าต้นเหตุจริงจะเป็นอะไร บทเรียนคือ ตลาดสามารถทำสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” ได้เสมอ
.
VI. ฟองสบู่ดอทคอม (1995–2000)
.
ในปลายศตวรรษที่ 20 โลกตื่นเต้นกับอินเทอร์เน็ต หุ้นบริษัทเทคโนโลยีพุ่งขึ้นมหาศาลโดยไม่สนว่ามีกำไรจริงหรือไม่ เว็บไซต์เล็ก ๆ ที่แทบไม่มีรายได้สามารถมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
.
เมื่อฟองสบู่แตกในปี 2000–2002 หุ้นเทคโนโลยีร่วงลงกว่า 70% นักลงทุนที่คิดว่าตัวเองกำลังซื้อตั๋วสู่อนาคต กลับพบว่าตัวเองซื้อตั๋วสู่ฝันร้าย
.
VII. วิกฤติ Subprime (2008)
.
ปี 2008 โลกการเงินเจอวิกฤติครั้งใหญ่จากการแตกของฟองสบู่ที่อยู่อาศัยสหรัฐฯ สินเชื่อที่ปล่อยกู้โดยไม่ตรวจสอบความสามารถในการชำระ ถูกบรรจุรวมเป็นตราสารทางการเงินที่ดู “ปลอดภัย” จนขายไปทั่วโลก
.
เมื่อบ้านเริ่มถูกยึด ราคาตราสารเหล่านี้ก็พังตาม และระบบการเงินทั้งโลกเกือบล่มสลาย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วง 37% ในปีเดียว
.
วิกฤติครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความโลภและความเชื่อผิด ๆ ในความปลอดภัย สามารถสร้างหายนะระดับโลกได้
.
.
33. Misbehavior & Behavioral Therapy
.
ถ้าตลาดการเงินคือสนามประลอง ความรู้สึกของเราก็คือคู่ต่อสู้ตัวจริง ไม่ใช่ตลาด ไม่ใช่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ แต่คือ “สมองมนุษย์” ที่ถูกวิวัฒนาการออกแบบมาเพื่อเอาตัวรอดในป่า ไม่ใช่เพื่อจัดพอร์ตหุ้น William Bernstein ใช้พาร์ทนี้เปิดโปงความจริงที่โหดร้ายว่า ความผิดพลาดในการลงทุนส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากข้อมูลที่ขาดหาย แต่มาจากจิตใจที่เล่นตลกกับเราเอง
.
ทำไมสมองมนุษย์ไม่เหมาะกับการลงทุน?
.
วิวัฒนาการสร้างสมองเราให้เก่งเรื่องเอาตัวรอดจากสิงโต แต่ไม่เก่งเรื่องทนรอผลตอบแทนระยะยาว
.
เมื่อเห็นภัย เรามีสัญชาตญาณ “หนีให้เร็ว” → ในตลาดแปลว่า “ขายทิ้งทันทีที่ราคาตก”
.
เมื่อเห็นโอกาส เรามีสัญชาตญาณ “รีบคว้า” → ในตลาดแปลว่า “ซื้อทันทีเพราะกลัวตกรถ”
.
Bernstein บอกว่า นี่คือรากของพฤติกรรมการลงทุนที่ผิดพลาด แทบทุกวิกฤตในประวัติศาสตร์มีสาเหตุร่วมคือ มนุษย์ไม่อาจควบคุมสมองสัตว์ดึกดำบรรพ์ของตัวเองได้
.
.
34. อคติที่ทำให้นักลงทุนเจ๊ง
.
Loss Aversion - กลัวขาดทุนมากกว่าดีใจตอนได้กำไร
Kahneman และ Tversky พบว่ามนุษย์รู้สึก “เจ็บปวด” จากการเสียเงิน 100 ดอลลาร์มากกว่าความสุขที่ได้กำไร 100 ดอลลาร์ สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนขายหุ้นกำไรเร็วเกินไป แต่ทนถือหุ้นขาดทุนเพราะ “ยังไม่อยากรับความจริง”
.
Overconfidence - มั่นใจเกินเหตุ
นักลงทุนมักคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าค่าเฉลี่ย แต่ความจริงคือ ถ้าทุกคนเชื่อว่าตัวเองเก่งกว่าเพื่อนครึ่งหนึ่ง โลกนี้ก็คงเต็มไปด้วย “นักลงทุนเหนือมนุษย์” ไปแล้ว
.
Herd Behavior - พฤติกรรมฝูง
มนุษย์วิวัฒนาการมาเพื่ออยู่เป็นกลุ่ม เวลาเจอสถานการณ์ไม่แน่ใจ เรามักลอกเลียนพฤติกรรมคนอื่น → ในตลาดแปลว่า “ซื้อเมื่อทุกคนซื้อ” และ “ขายเมื่อทุกคนขาย”
.
Recency Bias - หลงเชื่อเหตุการณ์ล่าสุด
ถ้าหุ้นขึ้นติดต่อกัน 5 วัน นักลงทุนจะเชื่อว่า “มันจะขึ้นต่อ” ทั้งที่ความจริงไม่ได้เกี่ยวกันเลย
.
Confirmation Bias - เลือกฟังแต่สิ่งที่อยากฟัง
ถ้าคุณเชื่อว่าหุ้น A จะขึ้น คุณจะหาข่าวที่สนับสนุน และเมินข้อมูลที่บอกว่ามันจะร่วง
.
.
35. ทำไมข้อมูลไม่ช่วยอะไร
.
คุณอาจคิดว่า “โอเค งั้นฉันจะเอาชนะอารมณ์ด้วยข้อมูล” แต่ Bernstein แสดงให้เห็นว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น
.
ช่วงปี 2008 นักลงทุนทุกคนรู้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นในที่สุด แต่ตอนเห็นพอร์ตติดลบ 40% หลายคนก็ขายหนี เพราะความเจ็บปวดตรงหน้าแรงกว่าตรรกะในหนังสือ
.
หลักฐานทางวิชาการบอกชัดว่า Index Funds ชนะกองทุนแอคทีฟส่วนใหญ่ แต่คนก็ยังวิ่งไปหากองทุนแอคทีฟใหม่ ๆ เพราะเชื่อว่า “คราวนี้ต่างออกไป”
.
นี่คือปัญหา “การรู้ไม่เท่ากับการทำ”
.
.
36. การบำบัดพฤติกรรม (Behavioral Therapy)
.
Bernstein เสนอวิธี “รักษาโรคจิตวิทยาการลงทุน” หลายอย่าง
.
I. การลงทุนแบบอัตโนมัติ
.
ตั้งระบบลงทุนรายเดือนอัตโนมัติ (Dollar-Cost Averaging) เพื่อให้คุณไม่ต้องตัดสินใจเองทุกครั้ง การเอาการตัดสินใจออกจากมือเรา คือการเอาอารมณ์ออกจากสมการ
.
II. การเขียน Investment Policy Statement (IPS)
.
เอกสารที่คุณเขียนล่วงหน้า กำหนดว่าจะลงทุนอะไร สัดส่วนเท่าไร และจะทำอย่างไรเมื่อเกิดวิกฤติ → เพื่อให้เวลาจิตใจปั่นป่วน คุณยังมี “สัญญากับตัวเอง” คอยเตือน
.
III. Rebalancing อย่างมีวินัย
.
ปรับสมดุลพอร์ตตามแผน ไม่ใช่ตามอารมณ์ แม้จะรู้สึกขัดใจที่ต้องขายหุ้นที่กำลังขึ้น แต่การ rebalance ทำให้คุณซื้อถูก–ขายแพงโดยอัตโนมัติ
.
IV. เพิกเฉยต่อข่าว
.
Bernstein บอกตรง ๆ ว่า “ข่าวการเงินส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อขายโฆษณา ไม่ใช่เพื่อทำให้คุณรวย” การเพิกเฉยต่อเสียงรบกวนช่วยลดโอกาสตัดสินใจผิด
.
กรณีศึกษา: นักลงทุนที่ “หนีไม่พ้นจิตใจ”
.
Dot-com Bubble (1999): นักลงทุนมือใหม่ทุ่มซื้อหุ้นเทคโนโลยีโดยไม่ดูงบการเงิน เพราะกลัวพลาดโอกาส → สุดท้ายเจ็บหนัก
.
วิกฤติ COVID-19 (2020): ตลาดหุ้นร่วงเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ นักลงทุนจำนวนมากขายหนีเพราะกลัวโลกจบ แต่ไม่ถึงหนึ่งปี ตลาดกลับทำจุดสูงสุดใหม่
.
สิ่งที่เหมือนกันคือ คนที่ตัดสินใจด้วยอารมณ์มักเสียหายหนักที่สุด
.
“พอร์ตที่ดีต้องปกป้องคุณจากตัวเอง”
.
การสร้างพอร์ตที่ดีไม่ใช่แค่การเลือกสินทรัพย์ แต่คือต้องออกแบบให้มัน “กันคุณออกจากการตัดสินใจผิด ๆ” เช่น การลงทุนแบบอัตโนมัติและการกำหนดกฎล่วงหน้า
.
.
37. โบรกเกอร์ไม่ใช่เพื่อนคุณ (Your Broker Is Not Your Buddy)
.
เวลาคุณเดินเข้าไปในธนาคารหรือนั่งฟังที่ปรึกษาการเงินพูดคำหวาน ๆ ว่า “เราอยากเห็นอนาคตที่มั่นคงของคุณ” คุณอาจเผลอคิดว่าพวกเขาคือ “เพื่อน” ที่อยากช่วยให้คุณร่ำรวย แต่ Bernstein สาดน้ำเย็นใส่หน้าตรง ๆ เลยว่า
.
“ธุรกิจการเงินไม่ได้มีหน้าที่ทำให้คุณรวย หน้าที่ของมันคือทำให้ตัวเองรวยจากเงินของคุณ”
.
หัวใจของปัญหาคือ แรงจูงใจของธุรกิจการลงทุนไม่ตรงกับนักลงทุนรายย่อย พวกเขามีผลประโยชน์ที่ขัดแย้ง (Conflict of Interest)
.
โบรกเกอร์ได้เงินจากค่าคอมมิชชั่น → ยิ่งคุณซื้อขายบ่อย เขายิ่งรวย
บริษัทจัดการกองทุนได้เงินจากค่าธรรมเนียม → ไม่ว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุน เขายังเก็บเงินอยู่ดี
นักวิเคราะห์หุ้นทำรายงานบวก ๆ → เพราะบริษัทของเขามีดีลธุรกิจกับบริษัทนั้น
.
Bernstein พูดชัดเจนว่า อย่าคิดว่าคนเหล่านี้ทำงานเพื่อคุณจริง ๆ เขาทำงานเพื่อระบบที่เลี้ยงชีพพวกเขา
.
ในโลกอุดมคติ โบรกเกอร์ควรเป็น “ที่ปรึกษา” ที่ให้คำแนะนำตามผลประโยชน์ของลูกค้า แต่ในความจริง พวกเขาทำตัวเหมือน “เซลส์แมน” ที่มีสินค้า (หุ้น, กองทุน, ประกัน) ต้องขายให้ได้
.
คุณโทรไปถามว่า “ควรซื้อหุ้นตัวไหนดี?” คำตอบที่ได้อาจขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นบริษัทโบรกเกอร์มีสต็อกอะไรค้างอยู่
.
ผลการวิจัยในสหรัฐฯ ชี้ว่า หุ้นที่โบรกเกอร์แนะนำบ่อย มักไม่ใช่หุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่คือหุ้นที่บริษัทต้องการให้คนซื้อ
.
.
38. กองทุนรวมและหลุมพรางค่าธรรมเนียม
.
อีกขุมทรัพย์ของวอลล์สตรีทคือ กองทุนรวมแอคทีฟ
.
ค่าธรรมเนียมการจัดการอาจดูเหมือนน้อย (1–2% ต่อปี) แต่เมื่อคำนวณทบต้น 30–40 ปี คุณจะพบว่ามันกินกำไรคุณไปมหาศาล
.
ที่แย่กว่านั้นคือ กองทุนส่วนใหญ่ “แพ้ดัชนีตลาดในระยะยาว”
.
Bernstein ยกงานวิจัยที่แสดงว่า 70–80% ของกองทุนแอคทีฟแพ้กองทุนดัชนีในระยะ 10 ปี และใน 20 ปีแทบไม่มีใครรอด
.
เขาสรุปสั้น ๆ ว่า “คุณจ่ายแพงกว่าเพื่อผลลัพธ์ที่แย่กว่า”
.
.
39. Wall Street กับเครื่องจักรการตลาด
.
ธุรกิจการลงทุนรู้วิธีใช้การตลาดหลอกนักลงทุนได้เก่งที่สุด
.
สร้างกองทุนใหม่ ๆ ทุกปี เช่น “กองทุนเทคโนโลยีแห่งอนาคต”, “กองทุนพลังงานสะอาด”, “กองทุน AI”
.
ถ้ากองทุนล้มเหลวก็ปิดเงียบ ๆ ไป แต่ถ้ากองทุนไหนบังเอิญโชคดีได้ผลตอบแทนสูงก็จะเอามาโฆษณา
.
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Survivorship Bias – คุณเห็นแต่กองทุนที่รอดและรุ่ง แต่ไม่เห็นสุสานกองทุนที่ตายอย่างเงียบๆ
.
.
40. การวิเคราะห์หุ้น
.
คุณอาจเคยเห็นรายงานวิเคราะห์หุ้นที่เต็มไปด้วยกราฟสวย ๆ และตัวเลขซับซ้อน แต่ Bernstein เตือนว่า:
.
นักวิเคราะห์มีแรงจูงใจให้เขียนเชิงบวก เพราะบริษัทหลักทรัพย์ต้องการรักษาความสัมพันธ์กับบริษัทที่ออกหุ้น
คำว่า “ถือ” ในรายงานวิเคราะห์ อาจแปลจริง ๆ ได้ว่า “เรายังไม่กล้าพูดว่าขาย”
สถิติชี้ว่า คำแนะนำส่วนใหญ่ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุน Outperform ตลาด
.
พูดอีกแบบคือ รายงานเหล่านี้มีไว้เพื่อสร้างภาพความเชี่ยวชาญ มากกว่าจะทำให้คุณรวยจริง
.
.
41. สื่อการเงินและข่าวเพื่อเรตติ้ง ไม่ใช่เพื่อคุณ
.
Bernstein ยังแฉสื่อการเงินที่ชอบเสนอข่าวใหญ่โตทุกวัน
.
“ตลาดร่วงแรง! นักลงทุนควรทำอย่างไร?”
“หุ้นตัวนี้อาจเป็นดาวรุ่งแห่งอนาคต”
.
แต่ความจริงคือ ข่าวเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อเรียกยอดวิวและขายโฆษณา ไม่ใช่เพื่อช่วยคุณลงทุนให้ดีขึ้น
.
.
42. คำแนะนำของ Bernstein “จงระวัง”
.
Bernstein ไม่ได้บอกว่าคุณต้องเลิกใช้บริการทางการเงิน แต่แนะนำว่าอย่าหลงเชื่อว่าโบรกเกอร์หรือกองทุนคือเพื่อนคุณ
.
ถ้าใช้กองทุน → เลือกกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ
.
ถ้าต้องการคำปรึกษา → เลือกที่ปรึกษาแบบ fee-only ที่คิดค่าธรรมเนียมเป็นเงินตายตัว ไม่ใช่คอมมิชชั่น
.
จงตั้งคำถามเสมอว่า “เขาได้อะไรจากการแนะนำครั้งนี้?”
.
.
43. การประกอบเสาหลักทั้งสี่ (Assembling the Four Pillars)
.
เราผ่านทั้งทฤษฎีการลงทุน (Theory), ประวัติศาสตร์ (History), จิตวิทยา (Psychology), และธุรกิจการเงิน (Business) มาแล้ว เหมือนเราเรียนวิชาเอกทั้ง 4 แขนงในคณะการเงิน Bernstein จึงพาเรามาสู่ขั้นสุดท้าย: การประกอบเสาหลักเหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้งานได้จริงในชีวิต
.
เขาบอกว่า การลงทุนไม่ได้ต้องการความซับซ้อนแบบสมการคณิตศาสตร์บนกระดานดำ แต่มันคือการเอาสี่เสามาหลอมรวมเป็น “บ้าน” ที่คุณอยู่ได้โดยไม่ถล่มเวลามีพายุ
.
แต่ก่อนจะเริ่มจัดพอร์ต Bernstein เตือนว่า คุณต้องกล้ายอมรับความจริง 3 ข้อ
.
I. คุณไม่สามารถทำนายอนาคตได้ – ตลาดฉลาดกว่าคุณเสมอ
.
II. คุณต้องทนความเจ็บปวดได้ – ผลตอบแทนสูงมาพร้อมความผันผวน
.
III. ระบบการเงินไม่ได้อยู่ข้างคุณ – โบรกเกอร์และกองทุนทำงานเพื่อตัวเอง
.
เมื่อยอมรับสามข้อนี้ได้ คุณถึงจะเริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนที่มี “ภูมิคุ้มกัน” ได้จริง
.
Bernstein เปรียบเสาหลักทั้งสี่เหมือน ระบบภูมิคุ้มกันทางการเงิน
.
I. Theory (ทฤษฎี): ทำให้คุณเข้าใจกลไกความเสี่ยง–ผลตอบแทน
.
II. History (ประวัติศาสตร์): เตือนใจว่าฟองสบู่และวิกฤติจะเกิดซ้ำ
.
III. Psychology (จิตวิทยา): ทำให้คุณรู้จักศัตรู (ตัวเอง) และมีวิธีรับมือ
.
IV. Business (ธุรกิจ): ปกป้องคุณจากค่าธรรมเนียมและแรงจูงใจที่บิดเบือน
.
.
44. “ความพอ”
.
ถามตัวคุณเองว่า “ฉันต้องการเงินเท่าไรถึงจะพอ?”
.
Bernstein เสนอแนวทางเรียบง่าย
.
คำนวณค่าใช้จ่ายต่อปีที่คุณต้องการในวัยเกษียณ
.
คูณด้วย 25 → ได้จำนวนเงินที่คุณต้องสะสม (เทียบกับกฎ 4% rule)
.
เช่น ถ้าคุณอยากใช้ 1,000,000 บาทต่อปี → คุณต้องมีอย่างน้อย 25,000,000 บาทในพอร์ต ถึงจะถอนใช้ปีละ 4% ได้โดยไม่เสี่ยงหมดก่อนตาย
.
.
45. บทสรุปจาก The Four Pillars of Investing
.
Bernstein เปรียบว่า “ความโลภ” และ “ความกลัว” เป็นเหมือนสองปีศาจที่จะมาทดสอบคุณตลอดเวลา มันจะกระซิบข้างหูให้คุณ
.
"ขายเถอะ ก่อนที่จะสายเกินไป" (ตอนตลาดตก)
"ซื้อเถอะ ก่อนที่จะตกรถ" (ตอนตลาดพุ่ง)
.
แต่ถ้าคุณสร้างเสาหลักทั้งสี่ไว้แล้ว
.
“ทฤษฎี” บอกคุณว่าความผันผวนคือเรื่องปกติ
“ประวัติศาสตร์” ย้ำเตือนว่าวิกฤติมาและผ่านไปเสมอ
“จิตวิทยา” ช่วยให้คุณรู้ทันอารมณ์ตัวเอง
“ความรู้เรื่องธุรกิจ” ป้องกันไม่ให้คุณถูกหลอก
.
เสาทั้งสี่นี้จะเป็นเหมือนกำแพงที่กั้นไม่ให้ความโลภและความกลัวเข้ามาทำลายแผนการลงทุนของคุณ
.
"เสาหลักทั้งสี่จะไม่ทำให้คุณร่ำรวยในชั่วข้ามคืน แต่มันจะปกป้องคุณจากการล่มสลายในชั่วข้ามคืน"
.
นี่คือความแตกต่างระหว่างนักพนันกับนักลงทุน
.
นักพนันรอปาฏิหาริย์
.
นักลงทุนสร้างอนาคต
.
นักพนันอาจได้ชัยชนะครั้งใหญ่
.
นักลงทุนได้ชัยชนะทั้งชีวิต
.
สร้างบ้านของคุณด้วยเสาทั้งสี่ รักษาเสาหลักให้มั่นคง แล้วอยู่รอดให้นานกว่าพายุ
.
“Build your house. Guard your pillars. Outlast the storm.”
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ "The Psychology of Money" จิตวิทยาว่าด้วยเงิน เขียนโดย Morgan Housel