สรุปหนังสือ The Laws of Wealth: Psychology and the secret to investing success เขียนโดย Doctor Daniel Crosby
ในวันที่ตลาดร่วงหนักที่สุดในรอบทศวรรษ มีชายคนหนึ่งนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาไม่ได้เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีวิชาพิเศษใดๆ เขาแค่... ลืมรหัสเข้าพอร์ตหุ้นของตัวเอง
.
สิบปีต่อมา เมื่อเขานึกรหัสออกและเปิดดู พอร์ตของเขากลับโตกว่าของเพื่อนที่คอยเฝ้าดูกราฟทุกวันถึงสามเท่า
.
แน่นอนครับว่านี่เป็นนิทานที่สุดจะไม่สมจริง แต่คล้ายกับเรื่องจริงหนึ่งในนับร้อยเรื่องที่ Dr. Daniel Crosby รวบรวมมาใส่ในหนังสือ "The Laws of Wealth" เพื่อพิสูจน์ความจริงข้อเดียวว่า “บ่อยครั้งที่ความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้มาจากสิ่งที่เราทำ แต่มาจากสิ่งที่เราไม่ได้ทำต่างหาก”
.
Fidelity หนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคยทำการศึกษาว่าบัญชีลงทุนประเภทไหนให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุด คำตอบที่ได้ทำเอาพนักงานทั้งออฟฟิศนิ่งไปประมาณสามวินาที ก่อนจะระเบิดหัวเราะ
.
หนึ่ง - บัญชีของลูกค้าที่เสียชีวิตไปแล้ว (แต่ญาติยังไม่ได้มาปิด)
สอง - บัญชีของลูกค้าที่ลืมไปแล้วว่าตัวเองมีบัญชีอยู่
.
สมองมนุษย์เรานั้น ถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยมสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง - การเอาตัวรอดจากสัตว์ร้าย การสร้างสรรค์ศิลปะ การแต่งกลอน การตกหลุมรัก แต่มีอย่างหนึ่งที่สมองเราถูกออกแบบมาได้ห่วยสุดๆ นั่นคือ... การลงทุน
.
Warren Buffett เจ้าพ่อแห่งการลงทุนเคยกล่าวไว้ว่า "ตลาดหุ้นคือเครื่องมือที่ถ่ายโอนเงินจากคนใจร้อน ไปให้คนใจเย็น" แต่ปัญหาคือ DNA ของเราไม่ได้มียีน "ใจเย็น" มาให้ตั้งแต่แรก เรามีแต่ยีน "เห็นเสือแล้ววิ่ง" กับ "หิวแล้วหาของกิน" ซึ่งใช้ได้ดีมากในทุ่งหญ้าสะวันนา แต่พอมาเจอกราฟหุ้นสีแดงฉาน มันกลายเป็นหายนะทันที
.
และวันนี้เราจะได้เรียนรู้วิธีเอาชนะศัตรูที่ยากจะเอาชนะที่สุด
.
ยินดีต้อนรับสู่ "กฎแห่งความมั่งคั่ง" - คู่มือสำหรับมนุษย์ที่ต้องการเอาชนะความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
.
.
================
.
1. สมองมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการลงทุน
.
สิ่งแรกที่เราต้องรู้เกี่ยวกับลงทุนคือ “การกระทำของมนุษย์มักสวนทางกับผลลัพธ์ที่ดีในตลาดทุน” นั่นเพราะสมองของเราถูกออกแบบมาเพื่อความอยู่รอดในโลกยุคดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่เพื่อนั่งอ่านกราฟหุ้น
.
I. โฟกัสระยะสั้น (Short-Termism)
.
สมองมนุษย์ถูกฝึกมาให้ตอบสนองต่อภัยทันที เช่น ถ้าเห็นเสือวิ่งมาก็ต้องหนี ไม่ใช่นั่งคิดว่า “ถ้าอยู่เฉยๆ อีกสิบปี เสืออาจจะตายไปเอง” ความโน้มเอียงนี้ทำให้เราตัดสินใจลงทุนแบบหวังผลเร็ว ทั้งๆ ที่ความมั่งคั่งจริงๆ มักเกิดจากการรอคอยยาวนาน
.
II. อคติชอบลงมือทำ (Action Bias)
.
เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอน มนุษย์ชอบทำอะไรสักอย่างเพื่อให้รู้สึกว่าควบคุมได้ แต่ในตลาดหุ้น “การไม่ทำอะไร” อาจเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุด เช่นเดียวกับสถิติของนักฟุตบอลที่ Crosby ยกมา: ผู้รักษาประตูที่ยืนนิ่งตอนเซฟจุดโทษมีโอกาสเซฟได้มากกว่า แต่ส่วนใหญ่เลือกพุ่ง เพราะการยืนนิ่งดูเหมือนขี้เกียจหรือยอมแพ้
.
III. ความกลัวการสูญเสีย (Loss Aversion)
.
ผลการทดลองทางจิตวิทยาพบว่า การเสียเงิน 100 บาทสร้างความเจ็บปวดทางอารมณ์มากกว่าความสุขที่ได้กำไร 100 บาทหลายเท่า นี่ทำให้นักลงทุนรีบขายหุ้นเมื่อเริ่มขาดทุนเล็กน้อย ทั้งที่การทนถืออาจได้กำไรในระยะยาว
.
ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นเหตุผลว่า ทำไมนักลงทุนทั่วไปถึง “แพ้ตลาด” ทั้งๆ ที่ดัชนีหุ้นโดยเฉลี่ยชนะเงินเฟ้อเสมอในระยะยาว
.
Crosby สร้างคำว่า Wall Street Bizarro World (WSBW) เพื่อสื่อว่าตลาดหุ้นคือโลกที่ทุกอย่างตรงข้ามกับสัญชาตญาณมนุษย์
.
ในชีวิตจริง คุณถูกสอนให้ “ลงมือทำ” แต่ในตลาดการเงิน การอยู่เฉยๆ กลับได้ผลดีกว่า
.
ในชีวิตจริง คุณอยากเชื่อผู้เชี่ยวชาญ แต่ในตลาด ผู้เชี่ยวชาญก็พลาดอย่างเป็นระบบ
.
ในชีวิตจริง คุณคิดว่าอนาคตใกล้ๆ เดาทางง่าย แต่ตลาดหุ้นกลับทายรายเดือนยากกว่าทายผลในอีกสิบปี
.
การลงทุนจึงเป็นเหมือนบททดสอบว่าเราจะกล้าทำในสิ่งที่สวนทางกับสัญชาตญาณได้หรือไม่
.
.
2. ผู้หญิงกับความได้เปรียบที่ซ่อนอยู่
.
หนึ่งในงานวิจัยที่ Crosby ชอบอ้างคือผลลัพธ์ที่ว่า ผู้หญิงมักได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่าผู้ชาย ไม่ใช่เพราะพวกเธอมีข้อมูลวงใน หรือเก่งวิเคราะห์หุ้นกว่าผู้ชาย แต่เพราะ พวกเธอซื้อแล้วถือยาว ไม่หมุนหุ้นบ่อย
.
ผู้ชายจำนวนมากหมกมุ่นกับการพิสูจน์ “ฝีมือ” ของตัวเอง จึงเทรดถี่ๆ คิดว่าต้องทำอะไรตลอดเวลา ผลลัพธ์คือค่าธรรมเนียมกินกำไรไปครึ่งหนึ่ง และการตัดสินใจผิดพลาดยิ่งสะสมเรื่อยๆ ตรงกันข้าม ผู้หญิงไม่รู้สึกว่าต้องพิสูจน์อะไรให้ใครดู จึงมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในโลกการลงทุนคือ “ซื้อตามแผนและถือให้นานพอ”
.
.
3. ความนิ่งที่ชนะ
.
มีการศึกษาเปรียบเปรยที่โด่งดัง: ผู้รักษาประตูฟุตบอลที่ยืนนิ่งตอนรับจุดโทษถูกมองว่าดู “ไม่พยายาม” แต่สถิติจริงกลับบอกว่าเขามีโอกาสเซฟได้มากกว่า เพราะผู้ยิงมักเล็งไปตรงกลาง ความจริงนี้สะท้อนตลาดหุ้นโดยตรง — การไม่ทำอะไรอาจทำให้คุณได้ผลลัพธ์ดีกว่าการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
.
แต่ทำไมนักลงทุนถึงเลือก “พุ่งไปข้างใดข้างหนึ่ง” ตลอด? เพราะมนุษย์เกลียดความรู้สึกไร้อำนาจ การนั่งดูพอร์ตลดลงเฉยๆ มันทรมานเหมือนดูบ้านตัวเองถูกไฟไหม้โดยทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่บางครั้ง “อยู่เฉยๆ” คือวิธีเดียวที่จะไม่แย่หนักกว่าเดิม
.
.
4. จาก Wisdom of Crowds สู่ Madness of Markets
.
ในหลายกรณี “ปัญญาของฝูงชน” เป็นจริง เช่น การให้คนจำนวนมากเดาน้ำหนักของวัว ผลเฉลี่ยกลับใกล้เคียงความจริงอย่างน่าทึ่ง แต่ในตลาดการเงิน กลไกนี้ไม่เวิร์ก เพราะ Feedback Loop ของตลาดช้าเกินไป
.
ถ้าคุณเดาน้ำหนักวัวผิด คุณรู้คำตอบทันที แต่ถ้าคุณซื้อหุ้นผิด คุณอาจต้องรอเป็นปีๆ กว่าจะรู้ว่าพลาดแล้ว
.
ฝูงชนยังมีแนวโน้มทำสิ่งตรงข้ามกับหลักการลงทุน: ซื้อแพงเพราะกลัวตกรถ (FOMO) และขายถูกเพราะตื่นตระหนก (Panic)
.
Crosby เทียบพฤติกรรมนี้กับชาวไวกิ้งที่อพยพไปกรีนแลนด์ พวกเขายังคงพยายามเลี้ยงวัวและปลูกข้าวสาลีในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมเลยสักนิด ทั้งที่ควรจะหันมาเรียนรู้การล่าสัตว์หรือหาปลาแบบชาวเอสกิโม แต่พวกเขายึดติดในวัฒนธรรมดั้งเดิมจนล่มสลายไป นักลงทุนที่ไม่ยอมปรับตัวกับความจริงของตลาดก็ไม่ต่างอะไรเลย
.
.
5. คุณควบคุมสิ่งที่สำคัญที่สุดได้
.
เวลาพูดถึง “การลงทุน” คนส่วนใหญ่มักคิดว่ามันคือเรื่องการเลือกหุ้นเทพ จับจังหวะตลาดเก่ง หรือไม่ก็หาข้อมูลลับที่คนอื่นไม่รู้ แต่ Daniel Crosby บอกว่า กฎข้อแรกและสำคัญที่สุดคือ “คุณไม่ได้ควบคุมตลาด คุณควบคุมได้แค่ตัวเอง”
.
ปัญหาของมนุษย์คือ เราอยากแก้ปัญหาซับซ้อนมากกว่ารับความจริงง่ายๆ
.
Crosby เปรียบเทียบนักลงทุนกับชาวยิวโบราณที่ถูกเล่าขานไว้ในพระคัมภีร์ พวกเขาบ่นกับพระเจ้าว่าปัญหาของชีวิตใหญ่หลวงเกินรับไหว พระเจ้าจึงท้าทายว่า “ถ้าเจ้าไม่พอใจปัญหาของตัวเอง งั้นเลือกปัญหาของคนอื่นมาสิ” คนเหล่านั้นลองเลือกปัญหาของเพื่อนบ้าน แต่เมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว กลับพบว่าปัญหาของตัวเองจัดการง่ายที่สุด สุดท้ายก็กลับมาหยิบ “ของตัวเอง” คืนนั่นแหละ
.
นักลงทุนก็เหมือนกัน พวกเรามักรู้สึกว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ “ตลาดโลก” หรือ “การเมือง” หรือ “วอลล์สตรีท” ทั้งที่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและแก้ยากที่สุดคือ “ตัวเอง”
.
.
6. คนตายและคนลืม
.
Fidelity เคยทำการศึกษาผลตอบแทนของบัญชีลงทุน และพบสิ่งที่น่าขำปนเศร้า: กลุ่มบัญชีที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือ
.
I. บัญชีที่เจ้าของเสียชีวิต (แต่ครอบครัวยังไม่ได้ปิดบัญชี)
.
II. บัญชีที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าตัวเองมี
.
เหตุผลชัดเจน: เพราะไม่มีใครเข้าไปยุ่ง ไม่มีใครกดขายตอนตก ไม่มีใครกดซื้อเก็งกำไรตอนราคาขึ้น พอร์ตเลยโตตามธรรมชาติของตลาด
.
นี่เป็นบทเรียนที่ Crosby เน้นว่า “การจัดการพฤติกรรมสำคัญกว่าการจัดการพอร์ต”
.
.
7. กฎ 9 ข้อของการจัดการตัวเอง
.
Crosby เสนอ “กฎ 9 ข้อ” สำหรับควบคุมตัวเอง แทนที่จะพยายามควบคุมตลาด
.
เลิกพยายามเป็นอัจฉริยะการเงิน – คุณไม่ต้องฉลาดกว่าใคร แค่ต้องมีวินัยมากกว่าคนส่วนใหญ่
.
ยอมรับว่าตัวเองจะกลัวและโลภเสมอ – แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามมัน
.
อย่าเชื่อการพยากรณ์ตลาด – มันคือการเสี่ยงโชคที่หรูหรา
.
ลงทุนแบบอัตโนมัติ (Automate) – ตัดอารมณ์ออกจากสมการ เช่น DCA รายเดือน
.
วัดความก้าวหน้าตามเป้าหมายชีวิต ไม่ใช่ตามตลาด – ถ้าพอร์ตคุณทำให้ส่งลูกเรียนมหาลัยได้ นั่นแหละคือความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ชนะดัชนี
.
จงมีแผนและเขียนมันออกมา – เพราะเวลาตกใจ คุณจะลืมทุกสิ่ง ถ้าไม่มีแผนเป็นลายลักษณ์อักษร
.
อย่าหมกมุ่นกับข่าว – ข่าวการเงินรายวันคือยาพิษที่ทำให้ใจสั่น
.
อย่าเอาทั้งหมดไปวางที่เดียว – เพราะเราไม่รู้อนาคต
.
ให้อภัยตัวเอง – คุณจะทำผิดพลาดแน่ๆ แต่การโทษตัวเองหนักเกินไปจะทำให้ยิ่งพลาดซ้ำ
.
.
8. การลงทุนแบบ “ระบบอัตโนมัติ”
.
การทำให้เป็นอัตโนมัติ คือหัวใจของการตัด “สมองส่วนอารมณ์” ออกจากกระบวนการลงทุน
.
Dollar-Cost Averaging (DCA): ลงทุนจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน ไม่สนราคาขึ้นหรือลง
.
Automatic Rebalancing: ตั้งระบบให้พอร์ตกลับไปสัดส่วนเดิมทุกปี (เช่น หุ้น 70% พันธบัตร 30%) โดยไม่ต้องอาศัยอารมณ์
.
Direct Debit Investment: หักเงินจากบัญชีทันทีที่เงินเดือนเข้า ไม่ต้องรอให้ “เหลือแล้วค่อยลงทุน”
.
ทั้งหมดนี้ทำให้การลงทุนเปลี่ยนจาก “เรื่องของอารมณ์” เป็น “เรื่องของกลไก”
.
Crosby บอกว่าการลงทุนเหมือนกับการลดน้ำหนัก: ทุกคนรู้สูตรสำเร็จ (กินให้น้อยกว่าที่ใช้, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ) แต่น้อยคนทำได้จริง เพราะ รู้ ≠ ทำ
.
นักลงทุนก็เช่นกัน ทุกคนรู้ว่าซื้อกองทุนดัชนีแล้วถือยาวคือทางที่ดีที่สุด แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ทำ? เพราะ “อารมณ์” เข้ามาแทรก: เห็นหุ้นขึ้นก็อยากซื้อเพิ่ม เห็นลงก็อยากหนีออก
.
9. วิทยาศาสตร์สมองช่วยอธิบายว่าทำไมกฎนี้ถึงจำเป็น:
.
สมองส่วน Amygdala ตอบสนองต่อความกลัว ทำให้เราขายหุ้นทิ้งเร็วเกินไป
.
สมองส่วน Nucleus Accumbens ตอบสนองต่อรางวัล ทำให้เราซื้อหุ้นตามข่าวร้อน
.
สมองส่วน Prefrontal Cortex (ซึ่งใช้เหตุผล) มักถูกสองส่วนแรกกดข่มเวลาตลาดผันผวน
.
ดังนั้นนักลงทุนต้องสร้าง “ระบบ” ที่ลดบทบาทสมองสองส่วนแรก และบังคับใช้เหตุผลโดยอัตโนมัติ
.
.
10. Warren Buffett และการควบคุมตัวเอง
.
Buffett ไม่ใช่แค่คนที่เก่งวิเคราะห์งบการเงิน แต่คือคนที่ ควบคุมตัวเองได้อย่างเหนือมนุษย์
.
เขาไม่สนใจตลาดรายวัน — ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านหนังสือมากกว่าดูราคาหุ้น
.
เขามีกฎที่เรียบง่ายแต่เข้มงวด เช่น “อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ” และ “ถ้าคุณไม่อยากถือหุ้นนั้น 10 ปี ก็อย่าถือแม้แต่ 10 นาที”
.
ที่สำคัญคือ เขาสามารถนั่ง “ไม่ทำอะไร” ได้เป็นปีๆ ซึ่งตรงข้ามกับธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป
.
.
11. จากนักพนันสู่เจ้าของคาสิโน
.
Crosby ใช้การเปรียบเทียบที่คมมาก: ถ้าคุณพยายามทำนายตลาดรายวัน คุณกำลังเล่นบท “นักพนัน” แต่ถ้าคุณลงทุนตามระบบที่สร้างความได้เปรียบเล็กๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณกำลังเล่นบท “เจ้าของคาสิโน”
.
เจ้าของคาสิโนไม่ต้องรู้ว่าใครจะชนะในแต่ละตา พวกเขาแค่มั่นใจว่าระบบมี House Edge ที่ทำให้ในระยะยาวพวกเขาชนะเสมอ การลงทุนที่ควบคุมพฤติกรรมตัวเองก็เช่นกัน คุณไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ตลาดจะขึ้นหรือลง แต่คุณรู้ว่าถ้าไม่พลาดเพราะอารมณ์ คุณจะชนะในระยะยาว
.
.
12. You Cannot Do This Alone – คุณไม่ได้พิเศษ และคุณทำคนเดียวไม่ได้
.
มนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะคิดว่า “ฉันเป็นข้อยกเว้น” คนอื่นอาจจะผิดพลาด แต่ไม่ใช่กับฉัน ฉันมีข้อมูลมากกว่า ฉันฉลาดกว่า ฉันวิเคราะห์เก่งกว่า
.
แต่ความจริงแล้ว ความมั่นใจเกินเหตุแบบนี้คือสูตรลับของหายนะ
.
งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า 80% ของนักขับรถเชื่อว่าตัวเองขับดีกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะค่าเฉลี่ยคือค่ากลาง ความเชื่อแบบนี้สะท้อนชัดในโลกการลงทุน นักลงทุนจำนวนมหาศาลคิดว่าตัวเอง “เหนือกว่าตลาด” ทั้งที่โดยสถิติแล้ว 90% ของกองทุน Active ยังแพ้ดัชนีในระยะยาว แล้วนักลงทุนรายย่อยจะเหลือโอกาสสักแค่ไหน?
.
Crosby จึงบอกตรงๆว่า คุณทำคนเดียวไม่ได้
.
.
13. ที่ปรึกษาทางการเงิน คนที่คุณควรมีแต่คนมักดูถูก
.
คนส่วนใหญ่คิดว่าที่ปรึกษาการเงินมีหน้าที่ “เลือกหุ้น” หรือ “หากองทุนเจ๋งๆ” ให้ลูกค้า แต่ความจริงแล้ว งานสำคัญที่สุดของที่ปรึกษาคือการทำ Behavioral Coaching = คอยกันลูกค้าไม่ให้ตัดสินใจพลาดตอนตลาดตก
.
ช่วงวิกฤต 2008 นักลงทุนจำนวนมากเทขายพอร์ตเพราะกลัวโลกจะแตก ที่ปรึกษาที่เก่งจะบอกว่า: “อย่าเพิ่งทำอะไร รีบหายใจลึกๆ แล้วมาดูว่าเป้าหมายระยะยาวคืออะไร”
.
Vanguard เคยทำการศึกษาและพบว่า การมีที่ปรึกษาช่วยเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวได้ ประมาณ 3% ต่อปี ไม่ใช่เพราะที่ปรึกษาเลือกหุ้นเทพ แต่เพราะเขาช่วย “ป้องกันลูกค้าจากการทำลายตัวเอง”
.
.
14. ความจริงอันโหดร้าย = ตลาดไม่ต้องการ “คุณ”
.
อีกหนึ่งความจริงที่นักลงทุนมักไม่อยากยอมรับคือ ตลาดไม่ได้สนใจคุณเลย คุณไม่ใช่พระเอกของเรื่อง แต่เป็นเพียงตัวประกอบที่ง่ายต่อการถูกหลอก
.
คนที่พยายามเล่นหุ้นเก็งกำไร “แข่งกับวอลล์สตรีท” ก็เหมือนคนธรรมดาที่พกดาบไม้ไปสู้กับกองทัพติดเกราะครบชุด ข้อมูล, อัลกอริทึม, คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ล้วนอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณอาจจะชนะบ้างในบางจังหวะ แต่ในระยะยาวคุณไม่มีทางสู้ได้
.
Crosby เลยสรุปแบบตรงไปตรงมา ยอมรับว่าคุณไม่พิเศษ และใช้ประโยชน์จากระบบ (กองทุนดัชนี, แผนอัตโนมัติ, ที่ปรึกษา) แทนที่จะพยายามสู้ลำพัง
.
.
15. Trouble Is Opportunity – ปัญหาคือโอกาส
.
ถ้ามีประโยคทองที่นักลงทุนควรสลักใส่สมอง มันคือ:
.
“ตลาดหมี (Bear Market) ไม่ใช่วิบัติ แต่มันคือโอกาสซ่อนอยู่ในชุดของความกลัว”
.
Sir John Templeton ตำนานการลงทุนเคยพูดไว้ว่า
.
“The time of maximum pessimism is the best time to buy,
.
and the time of maximum optimism is the best time to sell.”
.
ช่วงที่คนสิ้นหวังที่สุดคือตอนที่ของดีราคาถูกที่สุด แต่ปัญหาคือ “อารมณ์เราไม่ยอมให้ทำ”
.
.
16. ทำไมเราหนีจากปัญหาแทนที่จะหันหน้าเข้าหามัน
.
มนุษย์ถูกโปรแกรมมาให้หนีภัย ไม่ใช่กอดภัยพิบัติไว้แน่น แต่ตลาดหุ้นคือโลกกลับหัว — ถ้าคุณหนีตอนกลัว คุณจะขายถูกที่สุด และถ้าคุณพุ่งเข้าไปตอนโลภ คุณจะซื้อแพงที่สุด
.
ตัวอย่างชัดเจนคือวิกฤตปี 2008
.
หุ้น S&P 500 ตกลงไปกว่า 50% จากจุดสูงสุด คนแห่ถอนเงินออกจากตลาด
.
แต่ถ้าใครซื้อหุ้นตอนนั้น ภายใน 5 ปีพอร์ตจะโตขึ้นกว่าสองเท่า
.
Crosby เปรียบเทียบกับธรรมชาติอีกครั้ง ชีวิตที่ปรับตัวเก่งที่สุดคือชีวิตที่อยู่รอด ไม่ใช่ชีวิตที่แข็งแรงที่สุด
.
ไดโนเสาร์ครองโลก แต่สูญพันธุ์เพราะไม่สามารถปรับตัวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
.
สัตว์เล็กๆ อย่างหนูและแมลงสาบกลับอยู่รอด เพราะปรับตัวได้กับแทบทุกสิ่ง
.
นักลงทุนที่อยู่รอดในระยะยาวไม่ใช่คนที่เก่งสุด แต่คือคนที่ ยอมรับปัญหา และใช้มันเป็นโอกาสเรียนรู้
.
.
ตอนตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย Lehman Brothers ล้ม, สถาบันการเงินใกล้ล้มละลาย
.
แต่ Buffett เขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้นว่า “Be fearful when others are greedy, and be greedy when others are fearful.”
.
เขาใช้ช่วงเวลาที่โลกกำลังตื่นตระหนกซื้อหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ เช่น Goldman Sachs และ General Electric ที่ราคาลดฮวบ สุดท้ายผลตอบแทนมหาศาลก็ตามมา
.
.
17. If You’re Excited, It’s a Bad Idea – ถ้าคุณรู้สึกตื่นเต้นเกินไป มันคือสัญญาณอันตราย
.
มนุษย์เรามีปัญหาคลาสสิกคือ เราสับสนระหว่างความตื่นเต้นกับโอกาส พอได้ยินเพื่อนเล่าเรื่องหุ้นที่พุ่ง 200% หรือข่าว IPO ที่ทุกคนแห่ซื้อ เรารู้สึก “ว้าว!” แล้วก็รีบเข้าไปแบบไม่คิด ทั้งที่นั่นแหละคือตอนที่เสี่ยงที่สุด
.
อารมณ์ = ศัตรูตัวจริงของการลงทุน
.
การลงทุนที่ดีมักจะ “น่าเบื่อ”
.
ซื้อกองทุนดัชนีเดือนละครั้ง
รอเป็นสิบปีโดยแทบไม่ต้องทำอะไร
อ่านข่าวการเงินน้อยกว่าดูดอกไม้บานในสวน
.
แต่มนุษย์เกลียดความน่าเบื่อ เราชอบ “เรื่องราว” (Narrative) และเราถูกกระตุ้นจากความตื่นเต้น หุ้น IPO ที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงขายง่าย เพราะมันเหมือนขายความฝัน
.
แต่สถิติของ IPO พูดตรงกันข้าม หุ้น IPO ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดใน 3–5 ปีหลังเข้าตลาด เพราะราคาช่วงแรกมักสูงเกินพื้นฐาน
.
นักวิทยาศาสตร์การเงินพฤติกรรมอธิบายว่า เมื่อเราตื่นเต้น สมองส่วน Dopamine Pathway จะถูกกระตุ้น มันคือสารเคมีเดียวกับที่ทำงานเวลาเราเล่นการพนันหรือติดโซเชียลมีเดีย สมองจึงผลักดันให้เราต้อง “เข้าไปมีส่วนร่วม” โดยไม่สนเหตุผล
.
ยิ่งไปกว่านั้น สมองยังสร้าง Narrative Bias เราชอบเล่าเรื่องให้ตัวเองฟังว่า “นี่แหละคือโอกาสครั้งเดียวในชีวิต” ทั้งที่โอกาสแบบนี้เกิดขึ้นทุกไม่กี่ปีและผลลัพธ์ก็มักเลวร้าย
.
.
18. วิธีสกัดกั้นความตื่นเต้น
.
Crosby เสนอเทคนิคเล็กๆ แต่ทรงพลังในการหยุดตัวเองเวลาอารมณ์ขึ้น:
.
Pause – หยุดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนตัดสินใจลงทุนใหญ่ๆ
.
Exercise – การออกกำลังช่วยปรับเคมีสมอง ลดความกระวนกระวาย
.
Talk – เล่าให้เพื่อนที่ไม่อินเรื่องหุ้นฟัง ถ้าพอเล่าแล้วฟังดูงี่เง่า แสดงว่าคุณกำลังโดนอารมณ์หลอก
.
Caffeine Check – ลดคาเฟอีนลง เพราะคาเฟอีนทำให้สมองตื่นตัวเกินจำเป็นและเพิ่มความเร่งรีบ
.
ช่วงปี 1999 ถ้าคุณได้ยินคำว่า “อินเทอร์เน็ต” คุณแทบอยากโยนเงินทั้งหมดเข้าไปในหุ้นบริษัท ดอทคอม โดยไม่สนว่าบริษัทนั้นมีรายได้จริงหรือไม่ บางบริษัทแค่มีเว็บไซต์ธรรมดาก็ระดมทุนได้เป็นร้อยล้านดอลลาร์
.
ความตื่นเต้นครอบงำจนตลาดลืมความจริง สุดท้ายฟองสบู่แตก หุ้นตกลงกว่า 70% นักลงทุนขาดทุนย่อยยับ
.
นี่คือภาพสะท้อนของ If You’re Excited, It’s a Bad Idea อย่างแท้จริง ถ้าคุณรู้สึกตื่นเต้นจนอยากเข้าไปเดี๋ยวนี้ แสดงว่าคุณควรถอยออกมาก่อน
.
.
19. You Are Not Special คุณไม่ใช่ข้อยกเว้น
.
หนึ่งในอคติที่แข็งแรงที่สุดของมนุษย์คือ ความมั่นใจเกินเหตุ (Overconfidence Bias) ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ สมองจะบอกเสมอว่า “ฉันพิเศษ”
.
งานวิจัยที่โด่งดังคือการให้กลุ่มนักศึกษา MBA ประเมินทักษะการขับรถของตัวเอง ผลคือ 93% เชื่อว่าตัวเองขับเก่งกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
.
ในโลกการเงิน นักลงทุนก็คิดว่าตัวเองฉลาดพอจะ “เอาชนะตลาด” ทั้งที่ตัวเลขชี้ว่ากว่า 90% ของกองทุน Active ยังแพ้ดัชนีในระยะยาว แล้วนักลงทุนรายย่อยที่นั่งหน้าจอหุ้นหลังเลิกงานจะเหลือโอกาสสักกี่เปอร์เซ็นต์?
.
Crosby เลยพูดตรงๆว่า “เลิกคิดว่าคุณคือข้อยกเว้น”
.
Illusion of Control = ภาพลวงของการควบคุม
.
มนุษย์เกลียดความไม่แน่นอน เราจึงสร้างภาพลวงว่าตัวเอง “ควบคุม” ได้ เช่น เวลาเขย่าลูกเต๋าแรงๆ เราคิดว่าจะเพิ่มโอกาสให้ได้แต้มสูง ทั้งที่ความจริงโอกาสเท่ากัน
.
ในตลาดหุ้น ภาพลวงนี้อันตรายกว่า: นักลงทุนเชื่อว่าตัวเองวิเคราะห์ข่าวเก่ง เห็นสัญญาณกราฟชัด หรืออ่านใจผู้บริหารออก แต่ทั้งหมดคือ ภาพลวงที่สมองสร้างขึ้นเพื่อให้รู้สึกปลอดภัย
.
แล้วความมั่นใจเกินเหตุฆ่าเราอย่างไร ?
.
I. Overtrading: นักลงทุนมั่นใจว่าตัวเองเดาถูก เลยซื้อขายถี่ๆ สุดท้ายค่าธรรมเนียมกินหมด
.
II. Illusory Skill: นักวิเคราะห์จำนวนมากคิดว่าทักษะตัวเองสำคัญกว่าความจริงที่ตลาดคือ Random Walk ผลลัพธ์เลยไม่ต่างจากการเดาเหรียญ
.
III. Ignoring Base Rates: นักลงทุนคิดว่า “ครั้งนี้ต่างออกไป” (This time is different) จนละเลยสถิติระยะยาวที่บอกว่าฟองสบู่แตกเสมอ
.
ตัวอย่าง Long-Term Capital Management (LTCM)
.
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ก่อตั้งโดยคนที่เก่งที่สุดในโลกการเงิน มีทั้งรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ มีทั้งคณิตศาสตร์การเงินระดับเทพ แต่ก็ล้มเหลวในปี 1998 เพราะ มั่นใจเกินเหตุ เชื่อว่าโมเดลของตัวเอง “เอาชนะทุกความเสี่ยงได้” สุดท้ายขาดทุนมหาศาลจนเกือบลากทั้งระบบการเงินโลกลงไปด้วย
.
บทเรียน = ต่อให้คุณเก่งขนาดไหน คุณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
.
.
20. Your Life Is the Best Benchmark – ชีวิตคุณคือตัววัดผล ไม่ใช่ S&P 500
.
อีกหนึ่งกับดักของนักลงทุนคือการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับ Benchmark ผิดๆ เช่น S&P 500 หรือดัชนีตลาดโลก แล้วก็รู้สึกแย่ถ้าพอร์ตตัวเองโตน้อยกว่า ทั้งที่เป้าหมายชีวิตคุณอาจไม่จำเป็นต้องโตเท่าดัชนีเลยด้วยซ้ำ
.
ลองคิดดู:
.
คุณลงทุนเพื่อส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยในอีก 15 ปี
.
เพื่อนคุณลงทุนเพื่อเกษียณในอีก 40 ปี
.
ถ้าคุณเอาพอร์ตไปเปรียบกับเพื่อน ทั้งที่เป้าหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณจะตัดสินใจผิด เพราะแผนการเงินของคุณไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงเท่าเพื่อน
.
การเปรียบเทียบผลตอบแทนกับคนอื่นจึงเหมือนการเอานักวิ่ง 100 เมตรไปแข่งกับนักวิ่งมาราธอน แล้วบอกว่าคนที่วิ่งมาราธอนแพ้เพราะเข้าเส้นชัยช้ากว่า
.
.
21. Benchmark ที่แท้จริงคืออะไร?
.
Crosby บอกชัดว่า Benchmark ที่แท้จริงมีแค่คำถามเดียว:
.
“เงินของคุณพอสำหรับเป้าหมายชีวิตหรือเปล่า?”
.
ถ้าพอร์ตคุณโตช้ากว่า S&P 500 แต่คุณยังส่งลูกเรียนจบตามแผนได้ → คุณชนะ
.
ถ้าพอร์ตคุณชนะตลาดทุกปี แต่คุณเครียดจนสุขภาพพังและครอบครัวแตกแยก → คุณแพ้
.
Warren Buffett ไม่ได้วัดตัวเองกับดัชนี แต่กับ “เสถียรภาพ” และ “ความมั่งคั่งระยะยาว”
.
เขายอมไม่ลงทุนในเทคโนโลยีเป็นสิบปี ทั้งที่หุ้นกลุ่มนี้โตเร็วมาก เพราะมันไม่เข้ากับ Circle of Competence ของเขา
.
ผลคือเขาอาจพลาดการโตระยะสั้น แต่เขายังคงบรรลุเป้าหมายชีวิตนั่นคือ การสร้างอาณาจักรการลงทุนที่ยั่งยืน
.
.
22. Forecasting Is For Weathermen – การพยากรณ์ตลาดไม่ต่างอะไรจากการทำนายฝน
.
มนุษย์เรามีความต้องการตามธรรมชาติ: อยากรู้อนาคต ถ้าเรารู้ว่าฝนจะตกพรุ่งนี้ เราจะพกร่ม ถ้าเรารู้ว่าตลาดจะตก เราจะขายก่อน แต่นี่แหละคือต้นกำเนิดของอุตสาหกรรม “พยากรณ์ตลาด” ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ส่วนใหญ่ “ไร้ค่า”
.
Tetlock ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาการเมือง ศึกษานักพยากรณ์กว่า 20 ปี และพบว่า “นักพยากรณ์ตลาดส่วนใหญ่ โอกาสทายถูกไม่ต่างจากการโยนเหรียญ”
.
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ คนที่มั่นใจเสียงดังสุดในทีวี มักทายผิดบ่อยสุด แต่คนก็ยังเชื่อเพราะเราติดกับ “ความมั่นใจ” ของเขา ไม่ใช่ “ความถูกต้อง”
.
ทำไมการพยากรณ์ตลาดถึงล้มเหลว
.
I. ตลาดคือระบบซับซ้อน (Complex Adaptive System): มีผู้เล่นนับล้านที่โต้ตอบกันตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อาจทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนมหาศาล (Butterfly Effect)
.
II. ข้อมูลมีมากเกินไป: สมองมนุษย์ชอบหาลวดลาย แต่ตลาดเต็มไปด้วย “เสียงรบกวน” ที่ไม่มีความหมาย เราจึงมักเห็น pattern ที่ไม่มีจริง
.
III. Incentive Bias: นักพยากรณ์มีแรงจูงใจจะพูดอะไรที่ extreme เพื่อเรียกคนดู มากกว่าพูดความจริงที่น่าเบื่อ
.
.
23. วิธีคิดที่ถูกต้องคือ Scenario, ไม่ใช่ Prediction
.
Crosby บอกว่าแทนที่จะคาดเดาอนาคต ให้ใช้การวาง Scenario Planning แทน เช่น
.
ถ้าเศรษฐกิจโต → หุ้นอาจขึ้น แต่คุณก็เตรียมพันธบัตรไว้
.
ถ้าเศรษฐกิจถดถอย → หุ้นตก แต่คุณยังมีเงินสดรองรับ
.
มันคือการเตรียมพร้อมกับทุกความเป็นไปได้ มากกว่าพยายามเดาหนึ่งคำตอบที่แน่นอน
.
.
ตัวอย่างคลาสสิกคือ Black Swan 2008
.
ไม่มีใครคาดการณ์ได้จริงว่า Lehman Brothers จะล้ม ไม่มีใครบอกล่วงหน้าว่า Subprime จะระเบิด แต่คนที่รอดคือคนที่ เตรียมพอร์ตให้ทนทานต่อความไม่แน่นอน (Antifragile) ไม่ใช่คนที่เดาตรงเป๊ะ
.
แล้วทำไม Crosby ถึงใช้คำว่า “Forecasting Is For Weathermen”? เพราะแม้นักอุตุนิยมวิทยายังพยากรณ์แม่นได้ไม่เกิน 7 วัน แล้วคุณจะหวังให้นักวิเคราะห์ตลาดบอกอนาคตอีก 7 เดือน หรือ 7 ปี ได้ยังไง?
.
สิ่งที่คุณทำได้คือ “พกร่มเสมอ” มากกว่ารอให้ใครมาบอกว่าฝนจะตกเมื่อไหร่
.
.
24. Excess Is Never Permanent – ความสุดโต่งไม่เคยยั่งยืน
.
มนุษย์เรามีแนวโน้มจะเชื่อว่า “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ” ถ้าตลาดกำลังพุ่งแรง เราคิดว่ามันจะพุ่งตลอดไป ถ้าตลาดกำลังดิ่ง เราก็รู้สึกว่าโลกกำลังจะแตกจริงๆ แต่กฎข้อนี้ตอกย้ำว่า “ทุกสิ่งที่เกินพอดีไม่มีทางอยู่ถาวร”
.
Mean Reversion = แรงดึงดูดกลับสู่ค่าเฉลี่ย
.
ในโลกการลงทุน มีสิ่งที่เรียกว่า Mean Reversion คือเมื่อราคาหรือผลตอบแทนเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยไปมากๆ สุดท้ายมันจะกลับมาสู่ระดับปกติ
.
หุ้นที่พุ่งเกินพื้นฐาน สุดท้ายก็ต้องปรับลง
.
หุ้นที่ร่วงจนเกินเหตุ สุดท้ายก็มักฟื้นตัว
.
Crosby ยกกรณีที่โด่งดังในวงการกีฬา นักกีฬาที่ขึ้นปก Sports Illustrated มักมีผลงานตกลงในปีถัดมา ไม่ใช่เพราะนิตยสารสาป แต่เพราะตอนเขาได้ขึ้นปกคือจุดที่ฟอร์มพุ่งสุดโต่งแล้ว หลังจากนั้นมีแนวโน้มสูงว่าจะถดถอยกลับสู่ค่าเฉลี่ย
.
ในตลาดหุ้นก็ไม่ต่างกัน หุ้นที่ร้อนแรงที่สุดมักกลายเป็นผู้แพ้ในระยะต่อมา และหุ้นที่ถูกทิ้งก็อาจกลายเป็นม้ามืด
.
ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยตัวอย่าง “สิ่งสุดโต่ง” ที่ผู้คนคิดว่าจะอยู่ตลอดไป
.
Tulip Mania (ศตวรรษที่ 17): หัวทิวลิปบางพันธุ์แพงกว่าบ้านหนึ่งหลัง คนคิดว่ามันจะไม่มีวันตก
.
Dot-com Bubble (ปลาย 1990s): หุ้นบริษัทที่มี “.com” ต่อท้ายราคาทะยานขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในไม่กี่เดือน ก่อนจะดิ่งลง 70–80%
.
Cryptocurrency Boom (2017 & 2021): ช่วงที่เหรียญหลายตัวพุ่งแรงจนคนเชื่อว่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดกาล ก่อนจะร่วงฮวบจนหลายคนพังพินาศ
.
ทุกครั้งล้วนสะท้อนกฎเดียวกัน “สิ่งสุดโต่งไม่เคยยั่งยืน”
.
วิธีคิดที่ถูกต้องคือ แทนที่จะถามว่า “สิ่งนี้จะดำเนินต่อไปตลอดไปไหม?”
.
ให้ถามว่า “สิ่งนี้เบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยไปไกลแค่ไหน?”
.
เพราะยิ่งไกลมากเท่าไหร่ แรงดึงกลับก็ยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น
.
.
25. Diversification Means Always Having to Say You’re Sorry – การกระจายการลงทุนคือการยอมเสียใจเล็กๆอยู่เสมอ
.
การกระจายการลงทุน (Diversification) มักถูกเรียกว่า “ของฟรีเพียงอย่างเดียวในโลกการเงิน” เพราะมันช่วยลดความเสี่ยงโดยไม่ลดผลตอบแทนมากนัก แต่ปัญหาคือมันทำให้คุณ “ไม่มีวันชนะทุกสนามพร้อมกัน”
.
ความเจ็บปวดของคนที่กระจายพอร์ต
.
ปีที่หุ้นเทคโนโลยีพุ่งแรง คุณจะเสียใจเพราะพอร์ตคุณไม่ได้ใส่เทคโนโลยีทั้งหมด
.
ปีที่ทองคำขึ้น คุณก็จะบ่นว่าทำไมไม่ลงหนักๆ ในทอง
.
ปีที่หุ้นตลาดเกิดใหม่โต คุณก็รู้สึกว่าพลาดโอกาส
.
การกระจายความเสี่ยงคือการยอมเสียใจเล็กๆ ตลอดเวลา เพื่อแลกกับการ “ไม่เสียใจครั้งใหญ่จนชีวิตพัง”
.
Markowitz ผู้คิดค้นทฤษฎีพอร์ตสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory) เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ใช้สูตรซับซ้อนที่ตัวเองคิดค้นด้วยซ้ำ แต่เขาแค่กระจายเงินลงทุนระหว่างหุ้นกับพันธบัตร เพราะเขารู้ว่าตัวเองก็ไม่รู้อนาคต
.
นั่นคือความจริงอันเรียบง่าย ไม่มีใครรู้ว่าสินทรัพย์ไหนจะชนะในปีหน้า ดังนั้นจงกระจาย
.
ถ้าคุณเคยเห็นตารางผลตอบแทนสินทรัพย์ในแต่ละปี (เรียงเป็นสีๆ) คุณจะรู้สึกเหมือนดูแพทเทิร์นสุ่ม ไม่มีสินทรัพย์ไหนชนะติดต่อกันยาวๆ ทุกปี นี่คือหลักฐานชัดเจนว่า การพยายามเลือกผู้ชนะล่วงหน้าแทบเป็นไปไม่ได้
.
Diversification = การป้องกัน “Unknown Unknowns”
.
Nassim Taleb พูดถึง Black Swan เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดแต่ส่งผลกระทบมหาศาล การกระจายพอร์ตคือการยอมรับว่าเราจะไม่มีวันรู้ล่วงหน้า และสร้างระบบที่ “ทนทานต่อความไม่รู้”
.
.
26. Risk Is Not a Squiggly Line – ความเสี่ยงไม่ใช่เส้นกราฟโยกเยก แต่คือการเสียเงินต้นถาวร
.
วอลล์สตรีทชอบสอนว่า “ความเสี่ยง = ความผันผวน (Volatility)” ถ้าเส้นกราฟขึ้นลงแรงๆ แปลว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ Crosby บอกว่ามันคือความเข้าใจผิด
.
ถ้าคุณลงทุนแล้วพอร์ตแกว่งไปมา แต่ 20 ปีต่อมามันโตจนพอเกษียณได้ → นั่นไม่ใช่ความเสี่ยง
.
ถ้าคุณลงทุนในกิจการที่ “ดูนิ่ง” แต่สุดท้ายเจ๊งจนเงินต้นหาย → นั่นแหละคือความเสี่ยงจริงๆ
.
ความเสี่ยงที่แท้จริงคือ การสูญเสียถาวรของเงินต้น (Permanent Loss of Capital) ไม่ใช่การแกว่งระยะสั้น
.
Warren Buffett เคยพูดว่า
.
“Risk comes from not knowing what you’re doing.”
.
สำหรับเขา ความเสี่ยงไม่ใช่เส้นกราฟ แต่คือการไม่เข้าใจธุรกิจที่ตัวเองลงทุน ถ้าคุณลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ ต่อให้ราคานิ่ง คุณก็เสี่ยงมหาศาล
.
ตัวอย่าง Enron กับ Lehman Brothers
.
Enron: ราคาหุ้นเคยดูดีมาก กราฟดูนิ่งมั่นคง แต่ความจริงบริษัทเต็มไปด้วยบัญชีโกง สุดท้ายล้มละลาย นักลงทุนเสียเงินต้นเกือบหมด
.
นี่คือตัวอย่างว่าความเสี่ยงไม่ใช่ “เส้นกราฟโยกเยก” แต่คือ “ความเป็นไปได้ที่คุณจะเสียเงินต้นทั้งหมด”
.
วิธีคิดที่ถูกต้อง = เวลาคุณลงทุน ให้ถามตัวเองว่า “โอกาสที่เงินต้นฉันจะสูญถาวรมีแค่ไหน?”
.
ถ้าคุณกระจายพอร์ตดีและถือยาวพอ ความเสี่ยงจริงๆ จะลดลงเรื่อยๆ เพราะตลาดโลกโดยเฉลี่ยเติบโตเสมอในระยะยาว
.
.
27. Knowing–Doing Gap ช่องว่างระหว่าง “รู้” กับ “ทำ”
.
ลองถามตัวเองตรงๆ: มีใครบ้างที่ “ไม่รู้” ว่าการออกกำลังกายดีต่อสุขภาพ? หรือว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดกับน้ำอัดลมทำให้สุขภาพพัง? คำตอบคือแทบไม่มี ทุกคนรู้ทั้งนั้น แต่ทำไมเรายังนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์กับเฟรนช์ฟรายอยู่หน้าทีวี?
.
นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Knowing–Doing Gap = ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรารู้ว่าควรทำ กับสิ่งที่เราทำจริง
.
Crosby ชี้ว่าการลงทุนก็เป็นแบบเดียวกันเป๊ะ
.
ทุกคน “รู้” ว่าการลงทุนระยะยาวในกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำคือวิธีที่ดีที่สุด
.
ทุกคน “รู้” ว่าห้ามซื้อแพงขายถูก
.
ทุกคน “รู้” ว่าไม่ควรเชื่อข่าวลือในตลาด
.
แต่พอเจอสถานการณ์จริง… นักลงทุนนับล้านคนก็ยังทำตรงกันข้าม
.
ทำไมนักลงทุนถึงตกหลุม Knowing–Doing Gap?
.
I. อารมณ์ชนะเหตุผล
.
เวลาตลาดตก 30% การรู้ว่าควร “ถือยาว” มันสู้ความกลัวที่จะสูญเงินทั้งชีวิตไม่ได้
.
II. ระบบรางวัลระยะสั้นของสมอง
.
สมองมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อแสวงหาความสุขทันที เช่น การเห็นกำไรสั้นๆ ทำให้เราขายเร็วเกินไป
.
III. แรงกดดันจากสังคม
.
เวลาเพื่อนเล่าให้ฟังว่าซื้อหุ้นตัวนั้นได้กำไร 200% เราจะรู้สึก “ฉันพลาด” แล้วรีบเข้าไปตาม ทั้งที่รู้ว่าความโลภแบบนี้พังเสมอ
.
IV. ข้อมูลล้นเกิน
.
เรารู้มากเกินไปแต่กลับไม่ลงมือจริง เพราะสมองติดกับดัก “คิดมากไปจนไม่ทำอะไร”
.
.
28. Rule-Based Behavioral Investing (RBI)
.
Crosby เสนอทางออกที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังคือ สร้างกฎ (Rules) แล้วทำตามโดยอัตโนมัติ
.
เพราะเวลาที่อารมณ์พุ่งสูง สมองส่วนเหตุผลจะถูกปิด คุณไม่สามารถใช้ “ความตั้งใจดี” มาสู้ได้ จำเป็นต้องมี “กฎตายตัว” มาครอบพฤติกรรมแทน
.
ลักษณะของ RBI
.
I. ชัดเจน – กฎต้องเป็นภาษาที่ไม่เปิดช่องให้ตีความ เช่น “ลงทุน 10,000 บาทในกองทุนดัชนีทุกวันที่ 1 ของเดือน”
.
II. ตัดอารมณ์ออก – กฎไม่ถามว่า “คุณรู้สึกยังไง” แต่บังคับทำเหมือนเครื่องจักร
.
III. ทำได้ซ้ำๆ – กฎต้องง่ายพอที่จะทำต่อเนื่อง ไม่ใช่ซับซ้อนจนคุณเลิกกลางทาง
.
ตัวอย่าง RBI
.
ลงทุน DCA เดือนละ 5,000 บาทในกองทุนดัชนี โดยไม่สนใจว่าตลาดขึ้นหรือลง
.
ถ้าสัดส่วนหุ้นเกิน 75% ให้ขายออกกลับมา 70% โดยอัตโนมัติ (Rebalancing)
.
ไม่ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เข้าใจภายใน 2 หน้ากระดาษ (หลักการของ Buffett)
.
ทำไมกฎชนะ “ความเก่ง” ?
.
Crosby อ้างถึงงานวิจัยของ Paul Meehl ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา: การใช้ “สูตรเชิงสถิติ” ที่เรียบง่าย (เช่น อัลกอริทึมแบบพื้นฐาน) มักให้ผลดีกว่าการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ
.
Crosby ชอบเปรียบการลงทุนกับคาสิโน ความต่างคือคุณต้องเลือกเป็น “เจ้าของคาสิโน” ไม่ใช่นักพนัน
.
นักพนันหวังแจ็กพอต ก้าวเข้าสู่ Knowing–Doing Gap ตลอดเวลา
.
เจ้าของคาสิโนสร้างระบบที่ให้ House Edge เล็กๆ แต่แน่นอน เมื่อทำซ้ำหลายครั้งก็ได้กำไรเสมอ
.
การลงทุนแบบ RBI คือการสร้างระบบที่ให้คุณได้ “Edge” เล็กๆ ตลอดเวลา โดยไม่ต้องทำนายว่ามือหน้าจะออกอะไร
.
.
29. Behavioral Asset Management จัดการพอร์ตต้องจัดการ “ใจ”
.
Crosby ใช้คำว่า Behavioral Asset Management (BAM) เพื่อบอกว่า “การบริหารสินทรัพย์ที่แท้จริงไม่ใช่การจัดการหุ้น พันธบัตร หรือทองคำ แต่คือการจัดการพฤติกรรมของเจ้าของเงิน”
.
ทำไม BAM จึงสำคัญกว่าพอร์ตโฟลิโอ ?
.
ถ้าคุณมีพอร์ตดีแค่ไหนแต่ panic ขายตอนตลาดตก → ทุกอย่างจบ
.
ถ้าคุณถือหุ้นเก่งสุดในโลกแต่ทนความผันผวนไม่ได้ → คุณก็แพ้
.
ถ้าคุณเข้าใจทฤษฎี Markowitz แต่ไม่เข้าใจอารมณ์ตัวเอง → คุณก็ยังพลาดอยู่ดี
.
ขั้นตอนของ BAM
.
I. Identify Biases – ระบุว่าอคติไหนที่คุณมี เช่น Loss Aversion, Overconfidence
.
II. Build Rules – สร้างกฎเฉพาะเพื่อตัดปัญหา เช่น “จะไม่ดูพอร์ตเกินเดือนละครั้ง”
.
III. Automate – ใช้ระบบให้ทำงานแทน เช่น หักบัญชีอัตโนมัติ, Auto Rebalance
.
IV. Review – ประเมินซ้ำเป็นระยะ แต่ไม่บ่อยเกินไปเพื่อไม่ให้อารมณ์เข้ามาแทรก
.
เหมือนกับการลดน้ำหนัก คุณรู้ว่าควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง แต่ถ้าคุณไม่มีตารางหรือไม่สมัครฟิตเนสล่วงหน้า คุณก็จะล้มเลิก การมี “ระบบ” (เช่นจองคลาสล่วงหน้า) คือการใช้ BAM กับสุขภาพ
.
.
30. Four Cs เสาหลักทางพฤติกรรม
.
Crosby บอกว่าหากจะนิยามนักลงทุนที่ดีในสี่คำ ก็คือ Consistency, Clarity, Courageousness, Conviction
.
.
30.1 Consistency – ความสม่ำเสมอ
.
การลงทุนไม่ใช่เรื่องของ “การตัดสินใจครั้งใหญ่” แต่คือเรื่องของการทำสิ่งเล็กๆ ซ้ำๆ ให้ถูกทาง
.
Dollar-Cost Averaging: ลงทุนเท่าเดิมทุกเดือนเหมือนการวางอิฐทีละก้อน
.
การทบทวนพอร์ตปีละครั้ง: ไม่ใช่เปิดพอร์ตทุกวัน
.
การทำตามแผนที่เขียนไว้: ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์
.
Crosby ยกงานวิจัยที่บอกว่า การ “ลงทุนเรื่อยๆ อย่างโง่ๆ” ให้ผลดีกว่าการ “ลงทุนอัจฉริยะเป็นครั้งคราว” ความสม่ำเสมอคือพลังที่ชนะทุกสิ่ง
.
.
30.2 Clarity – ความชัดเจน
.
หลายคนลงทุนแต่ไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร เขาอยาก “รวย” แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไรถึงจะ “พอ” ผลคือวิ่งตาม Benchmark ผิดๆ
.
Clarity คือการถามคำถามว่า:
.
ฉันอยากใช้ชีวิตแบบไหนหลังเกษียณ?
ค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้าง?
ฉันยอมรับความเสี่ยงได้ระดับไหนจริงๆ?
.
การมีความชัดเจนทำให้ทุกการตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะคุณไม่ได้ถามว่า “ตลาดจะไปทางไหน” แต่ถามว่า “สิ่งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตฉันหรือเปล่า”
.
.
30.3 Courageousness – ความกล้าหาญ
.
การลงทุนต้องใช้ “ความกล้า” ที่ตรงข้ามกับสัญชาตญาณ
.
ตอนตลาดพัง → กล้าถือ กล้าซื้อเพิ่ม
.
ตอนตลาดร้อนแรง → กล้าถอยออก ไม่ตามฝูงชน
.
ตอนเพื่อนอวดหุ้นโต 300% → กล้าพูดว่า “ฉันยังพอใจกับกองทุนดัชนีของฉัน”
.
Crosby บอกว่าความกล้าหาญในการลงทุนไม่ได้หมายถึงการ “เสี่ยงสุดโต่ง” แต่คือการกล้าทำสิ่งที่น่าเบื่อ ซ้ำๆ และสวนทางกับฝูงชน
.
.
30.4 Conviction – ความเชื่อมั่นที่มั่นคง
.
สุดท้าย คือต้องมีความเชื่อมั่นในระบบที่คุณสร้าง เพราะถ้าคุณไม่เชื่อ คุณจะเปลี่ยนใจทุกครั้งที่ตลาดสั่นไหว
.
Conviction สร้างจาก
.
การศึกษาและเข้าใจหลักการ
.
การเห็นผลจริงในระยะยาว
.
การมีที่ปรึกษาหรือชุมชนที่คอยเสริมกำลังใจ
.
.
31. Five Ps: หลักในการเลือกการลงทุน
.
นอกจาก Four Cs แล้ว Crosby ยังเสนอ Five Ps เป็นหลักการประเมินการลงทุนแบบง่ายแต่ทรงพลัง Price, Properties, Pitfalls, People, Push
.
.
I. Price – ราคา
.
ราคาคือจุดเริ่มต้นเสมอ ต่อให้บริษัทดีแค่ไหน ถ้าคุณซื้อแพงเกินไป มันก็ไม่คุ้ม นักลงทุนที่เก่งที่สุดอย่าง Buffett ก็ยังพูดว่า
.
“It’s far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price.”
.
.
II. Properties – คุณสมบัติของสินทรัพย์
.
ถามว่าสินทรัพย์นี้มีคุณสมบัติอย่างไร?
.
หุ้นเติบโตเร็ว → เสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง
พันธบัตรรัฐบาล → เสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ
ทองคำ → ป้องกันเงินเฟ้อ แต่ไม่สร้างกระแสเงินสด
.
คุณสมบัติพวกนี้ต้องตรงกับเป้าหมายชีวิต ไม่ใช่แค่ “กำไรสูงสุด”
.
.
III. Pitfalls – หลุมพราง
.
ทุกการลงทุนมีหลุมพราง เช่น
.
อสังหาริมทรัพย์ → ค่าใช้จ่ายซ่อนเร้น, การจัดการยุ่งยาก
หุ้น IPO → ราคามักสูงเกินพื้นฐาน
กองทุน Active → ค่าธรรมเนียมสูงและแพ้ตลาดระยะยาว
.
Crosby ย้ำว่าคุณต้องรู้ “ข้อเสีย” ก่อน ไม่ใช่แค่ “ข้อดี”
.
.
IV. People – คน
.
การลงทุนเกี่ยวพันกับ “คน” เสมอ เพราะเบื้องหลังตัวเลขคือตัวผู้บริหาร กองทุน หรือแม้แต่นักวิเคราะห์ ถ้าคนที่ขับเคลื่อนองค์กรไม่น่าเชื่อถือ ต่อให้สินทรัพย์ดูดี ก็คือหายนะ
.
กรณีคลาสสิกคือ Enron บริษัทที่มีงบการเงินสวยหรู แต่ผู้บริหารเต็มไปด้วยการโกงและปกปิดข้อมูล
.
.
V. Push – แรงผลักดัน
.
ถามว่า “แรงผลัก” ของการลงทุนนี้คืออะไร? มีแนวโน้มระยะยาวที่รองรับไหม? เช่น
.
เทรนด์เทคโนโลยี → Cloud, AI, Green Energy
เทรนด์ประชากร → สังคมสูงวัย, เมืองขยายตัว
.
การมี “แรงผลักโครงสร้าง” ช่วยให้การลงทุนมีฐานรองรับมากกว่าเก็งระยะสั้น
.
.
===============================
.
“The Laws of Wealth” ไม่ได้พยายามสอนให้คุณกลายเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ แต่มันกระซิบเบา ๆ ว่าให้คุณ “อยู่รอดในฐานะมนุษย์ธรรมดาที่มีกฎดี ๆ ครอบตัวเองไว้”
.
เกมนี้ไม่ได้มอบรางวัลให้คนที่วาดกราฟสวยที่สุดหรือท่องงบการเงินได้คล่องที่สุด
.
สิ่งที่ Crosby ต้องการบอกเราก็คือ ให้เลิกพยายามเป็นฮีโร่ในเกมที่ไม่ต้องการฮีโร่ แล้วใช้ระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังในการสร้างความมั่งคั่ง
.
.
.
.