สรุปหนังสือ Either/Or เขียนโดย Søren Kierkegaard ว่าด้วยประเด็น “Equilibrium Between the Aesthetic and the Ethical in the Development of Personality”

ลองจินตนาการดูครับ…
.
คุณนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ พร้อมไวน์หนึ่งแก้ว เทียนหนึ่งเล่ม ฟังเพลงคลาสสิกเบาๆ
คุณกำลังคิดเรื่องความรัก ชีวิต และการมีอยู่ พร้อมเขียนอะไรบางอย่างลงไดอารี่ที่ไม่มีใครอ่าน
คุณรู้สึกเศร้า...เห็นหมาก็เศร้า, เห็นแมว…ก็เศร้ากว่า
แต่มันเป็นเศร้าแบบ “คูลๆ” คุณวางปากกา ถ่ายรูปลงสตอรี่ พร้อมแคปชั่นว่า
"ความเศร้าคือบทกวีของคนเข้าใจโลก"
.
ยินดีด้วยครับ คุณอยู่ใน ฝ่าย Aesthetic
.
แต่แล้วพอตกดึก…
.
คุณก็นั่งล้างจานที่หมักไว้สามวัน
เปิดพอดแคสต์ชื่อ “Minimalist Mindset for Maximum Results”
จากนั้นก็จัดลิสต์ ‘Weekly Energy Review’ ใน Notion พร้อมตั้ง habit tracker ว่า
“พรุ่งนี้จะนอนก่อนเที่ยงคืน, วิ่ง 3 กม., และอ่าน Atomic Habits รอบที่สี่
พร้อมไฮไลต์ว่า “ชีวิตคือผลลัพธ์ของนิสัยเล็กๆ ที่เราสะสมทุกวัน”
.
ใช่ครับ คุณเพิ่งข้ามมาฝั่ง Ethical Life โดยไม่รู้ตัว
.
และนั่นแหละครับ… Kierkegaard วางกับดักไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว
.
หนังสือ Either/Or ไม่ได้ถามคุณว่าจะเลือกอะไร
แต่มันทำให้คุณรู้ว่า…คุณหนีจากการเลือกไม่ได้
.
ไม่ใช่เพราะชีวิตคือทางแยก
แต่เพราะทุกวินาทีที่คุณไม่เลือกอะไรเลย
คุณก็กำลังเลือกที่จะไม่เลือกอยู่ดี
.
และมันไม่ใช่ทางเลือกแบบ “จะกินก๋วยเตี๋ยวหรือลาบ”
แต่มันคือทางเลือกที่อาจเปลี่ยนรูปทรงของตัวตนคุณทั้งชีวิต
และการวางแผนว่าจะ aesthetic ต่อไป หรือจะ ethical สักที
.
.
==========================
.
1. จุดกำเนิดแห่ง Either/Or
.
อย่างที่บอกไปครับว่า Either/Or ไม่ได้หมายถึงตัวเลือกธรรมดาแบบ “จะกินก๋วยเตี๋ยวหรือกิบลาบ”
.
แต่มันคือการเผชิญหน้ากับความสุดโต่งของสองวิถีชีวิต:
.
Aesthetic life ชีวิตที่มองโลกผ่านแว่นแห่งรสนิยม ความรู้สึก และประสบการณ์เฉพาะหน้า
.
กับ
.
Ethical life ชีวิตที่ตั้งอยู่บนหลักศีลธรรมและความรับผิดชอบ
.
สิ่งที่ Kierkegaard เสนอไม่ใช่ “คำตอบ” แต่มันคือ “เครื่องมือ” ที่จะทำให้คุณไม่มีวันมองชีวิตแบบเดิมอีก
.
.
2. ชีวิตของ Søren Kierkegaard
.
Søren Aabye Kierkegaard เกิดในโคเปนเฮเกน ค.ศ. 1813 ในครอบครัวลูเธอรันที่เคร่งศาสนา
พ่อของเขาเป็นคนเคร่งศีลธรรมแบบที่มีบาดแผลทางจิตวิญญาณลึกจากวัยเด็ก
บาดแผลนั้นถูกส่งต่อมายังลูกชายในรูปแบบของความรู้สึกผิด ความหวาดกลัวบาป และการตั้งคำถามต่อพระเจ้า
.
Kierkegaard เติบโตมาในบรรยากาศของความเศร้า ภาระศีลธรรม และความฉลาดที่หนักเกินวัย
.
ชีวิตวัยรุ่นของเขาคือการแกว่งไปมาอย่างรุนแรงระหว่างโลกของการเสพความงามและโลกของศาสนา
.
เขาเดินทางไปเบอร์ลิน... เพื่อเขียนหนังสือที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์แห่งความคิด
.
Either/Or ถูกตีพิมพ์ในปี 1843 ในนามของบรรณาธิการสมมติชื่อ Victor Eremita (แปลว่า “ผู้ชนะที่สันโดษ”)
ซึ่งอ้างว่าเขาพบบันทึก 2 กองในลิ้นชักโต๊ะ:
.
1. บันทึกจาก “A” – ตัวแทนแห่ง Aesthetic Life
.
2. จดหมายจาก “B” (หรือ Judge Vilhelm) – ตัวแทนของ Ethical Life

.
Kierkegaard ไม่ได้ใส่ชื่อจริงของเขาลงในหนังสือ
เขาไม่อยากให้ผู้อ่านมองงานของเขาผ่านสายตาของ “ผู้แต่ง”
แต่ต้องการให้มันทำงานในใจของผู้อ่านโดยไม่ต้องผ่านการกรองใด ๆ
.
นี่คือการเลิกยึดติดกับ “ผู้พูด” เพื่อให้ “คำพูด” ทำงาน
มันเป็นยุทธศาสตร์แห่งความซื่อสัตย์อย่างสุดขั้ว
.
.
3. ความตั้งใจของหนังสือ
.
Kierkegaard ไม่ได้เขียน Either/Or เพื่อให้ผู้อ่าน “เข้าใจปรัชญา”
.
เขาเขียนมันเพื่อทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าพวกเขากำลังหลอกตัวเอง
.
ทั้ง A และ B ต่างใช้ถ้อยคำงดงาม รื่นรมย์ ลึกซึ้ง
.
แต่เบื้องหลังของทั้งสองเสียงนั้นคือแรงขับทางจิตวิญญาณที่พยายามจะทำให้ผู้อ่านไม่สามารถ "นั่งนิ่ง" ได้อีกต่อไป
.
“จงเลือกระหว่าง Either หรือ Or — หรือคุณจะไม่เป็นอะไรเลย” = แนวคิดของตัวตนในสายตา Kierkegaard
.
แนวคิดนี้เป็นการต่อต้าน Philosophy as System อย่างชัดเจน
.
Kierkegaard ปฏิเสธ Hegelianism ที่พยายามจัดวางทุกอย่างไว้ในโครงสร้างความรู้แบบสามัญสำนึก
.
เขาเชื่อว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้อยู่ในระบบ
.
แต่มันอยู่ในการมีอยู่ที่ตัดสินใจไม่ได้ และเจ็บปวดแต่ต้องเลือก
.
หนังสือ Either/Or เกิดขึ้นในยุคที่ “เหตุผล” กำลังถูกยกย่องให้เป็นราชา
Hegel, Schelling, Fichte ต่างพยายามสร้างระบบที่ “อธิบายโลกทั้งหมดได้”
.
แต่ Kierkegaard เชื่อว่านั่นคือมายาอันหรูหรา
การใช้เหตุผลสร้าง “ระบบ” คือการหลบหลีกความจริงที่ว่า...
.
มนุษย์แต่ละคนต้องตัดสินใจแบบไร้หลักประกัน
ไม่มีหลักประกันว่าทางที่เราเลือกจะดี
แต่เราไม่มีทางไม่เลือก
.
นี่จึงเป็น “ภาวะทางจริยธรรม” ที่ Kierkegaard ยกให้เป็นหัวใจของความเป็นมนุษย์
ไม่ใช่สิ่งที่สามารถนิยามได้ด้วยปรัชญาเชิงทฤษฎี แต่ด้วยการดำรงอยู่แบบเลือกเสมอ
.
.
4. โลกคู่ขนานของตัวละคร A กับ Judge Vilhelm ( B )
.
ทีนี้เรามาเข้าสู่สนามจริง สองเสียงที่เหมือนต่างกันสุดขั้ว แต่จริง ๆ แล้วเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อนราวกับภาพเงาสะท้อนในกระจก
.
.
A: ตัวแทนแห่ง Aesthetic Life : ผู้ไม่ต้องการพันธะ
.
A คือชายหนุ่มผู้ไม่อยากเติบโต
เขาใช้ชีวิตเสมือนมันคือศิลปะ: ต้องงดงาม ต้องซับซ้อน และที่สำคัญ = ต้องไม่มีพันธะ
.
เขาไม่ใช่คนไม่ฉลาด เขาเฉียบแหลม ลุ่มลึก และบางครั้งเกือบจะปลงตกอย่างงดงาม
.
แต่ลึก ๆ แล้ว เขากลัว
.
กลัวพันธะ, กลัวความรับผิดชอบ, กลัวการเป็น “ใครบางคน” ที่ต้องยืนหยัดในโลกแห่งความจริง
.
“ความเบื่อ” (boredom) คือศัตรูหลักของเขา
และ “ความรู้สึก” คือยาเสพติดที่ทำให้ชีวิตยังรู้สึกว่า ‘มีอะไร’
.
ในมุมมองของ A ความรักไม่ใช่การผูกพัน แต่คือการล่องลอย
ความสัมพันธ์ไม่ใช่การเติบโต แต่คือการคัดเลือกประสบการณ์
ชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่า แต่คืออัลบั้มภาพที่เรียงอย่างมีรสนิยม
.
เขามองชีวิตแบบ aesthetic คือชีวิตที่ไม่ยอมถูกตีตรา
เขาจะรักได้ตราบใดที่ยังสามารถจากมาได้อย่างสวยงาม
จะเชื่อในอะไรได้ตราบใดที่มันไม่ต้องลงมือทำจริง
.
เขาคือคนที่ยืนอยู่ที่ประตูของโลก และปฏิเสธจะเข้าไป
.
.
B (Judge Vilhelm) : ตัวแทนแห่ง Ethical Life : จงเลือก และรับผิดชอบการเลือกนั้น
.
B หรือที่รู้จักในชื่อ Judge Vilhelm คือบุรุษผู้เขียนจดหมายถึง A ด้วยความเอ็นดู เจ็บปวด และตรงไปตรงมา
เขาเคยผ่านชีวิตแบบ aesthetic มาก่อน และรู้ดีว่ามันงดงามเพียงใด
แต่เขายืนอยู่ในอีกฟากหนึ่ง = ฟากของคนที่ “เลือกจะเป็นใคร” แล้วไม่หันหลังกลับ
.
“บุคคลไม่ได้เกิดมาเป็นตัวตน เขาต้องเลือกจะเป็นตัวตน”
.
เขาไม่ปฏิเสธศิลปะ ไม่ต่อต้านความงาม
แต่เขาเห็นว่าความงามที่ไม่ถูกโอบไว้ด้วยพันธะ จะกลายเป็นความว่างเปล่า
.
Vilhelm เสนอแนวคิด ethical life ไม่ใช่ในฐานะชีวิตที่มีศีลธรรมอย่างเคร่งครัด
แต่ในฐานะชีวิตที่มีความต่อเนื่องในตนเอง
ไม่ล่องลอย ไม่ปฏิเสธอดีต ไม่ขัดขืนอนาคต
.
ชีวิตแบบนี้ต้องมี “การเลือก”
และที่สำคัญคือ ต้อง รับผิดชอบการเลือกนั้น
.
.
5. การเผชิญหน้าระหว่าง Aesthetic กับ Ethical
.
Kierkegaard ไม่เคยเขียนอะไรเป็น “ระบบ”
และใน Either/Or เขายิ่งไม่เสนอว่าชีวิตแบบไหน “ดีกว่า” อย่างชัดเจน
เพราะเขาอยากให้ผู้อ่านรู้สึกถึง “แรงเสียดทาน” ในจิตใจตนเอง
.
แต่เมื่อเราวาง A กับ B ไว้เคียงกัน
เราจะเห็นว่าทั้งคู่ต่างก็มองโลกด้วยสายตาที่ลึกแต่ไม่เหมือนกัน
.
.
5.1 ความรัก
.
ฝ่าย A มองความรักว่าเป็นเพียงความลุ่มหลงชั่วคราว เสน่ห์ของสิ่งที่ไม่แน่นอน เป็นความงามของอะไรบางอย่างที่พร้อมจะหายไปได้เสมอ
.
ในขณะที่ฝ่าย B มองความรักว่าเป็นพื้นที่ของการเติบโต การผูกพัน และการเปิดเผยตัวตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
.
.
5.2 เวลา
.
สำหรับ A เวลาเป็นเพียงปัจจุบันชั่วขณะ เป็นภาพถ่ายที่สวยแต่ไม่มีเรื่องเล่า เป็นการอยู่ใน “ตอนนี้” อย่างพยายามไม่สนใจว่ามีอดีตหรืออนาคตรออยู่
.
แต่ B เห็นเวลาเป็นความต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตให้กลายเป็นชีวิตที่มีโครงสร้าง
.
.
5.3 ตัวตน
.
A มองตัวตนของมนุษย์เหมือนเงาที่เคลื่อนไหวไปมา ไม่ยอมถูกตรึงหรือกำหนดให้ชัดเจน เขาอยากลื่นไหล อยากคลุมเครือ เพราะการนิยามตัวเองเท่ากับการสูญเสียเสรีภาพ
.
ขณะที่ B เชื่อว่าตัวตนคือสิ่งที่ต้อง “เลือก” และ “ยืนหยัด” ตัวตนจึงไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบ แต่เป็นสิ่งที่เราสร้างผ่านการกระทำซ้ำ ๆ และรับผิดชอบต่อมัน
.
.
5.4 ความทุกข์
.
A มองความทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องหลบหลีก หลบด้วยรสนิยม ด้วยบทกวี ด้วยการเสพความงาม เขาไม่อยากเจ็บ เขาอยากเปลี่ยนความเจ็บให้กลายเป็นงานศิลป์
.
แต่ B มองความทุกข์ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ เป็นวัสดุของการเติบโต เป็นดินที่รากของตัวตนจะหยั่งลึกลงไป
.
.
5.5 เสรีภาพ
.
สำหรับ A เสรีภาพคือการไม่ถูกผูกมัด คือการหนีออกจากพันธะให้ได้มากที่สุด คือการไม่เป็นอะไรเลยอย่างมีสไตล์
.
แต่สำหรับ B เสรีภาพที่แท้จริงเกิดจากการเลือก และการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เลือก — เสรีภาพที่ไม่ได้อยู่ในความว่างเปล่า แต่เกิดในพื้นที่ที่มีพันธะและความหมาย
.
.
6. “Despair” = จุดร่วมของทั้ง A และ B
.
Kierkegaard ใช้คำว่า despair อย่างหนักแน่น
.
และน่าสนใจว่า... ทั้ง A และ B ต่างก็พูดถึง despair แต่ในคนละความหมาย
.
A สิ้นหวังแบบ “ไม่รู้ตัวว่าตัวเองสิ้นหวัง”
เขาหนีความจริงด้วยรสนิยม หนีความเบื่อด้วยบทกวี หนีชีวิตด้วยการมองมันเป็นละคร
.
B สิ้นหวังในแบบ “กล้ายอมรับมัน” และ “เลือกเผชิญหน้า”
เขาเรียกความสิ้นหวังนั้นว่า “ทางผ่าน” สู่การเป็นมนุษย์เต็มรูปแบบ
.
ดังนั้น ความต่างไม่ใช่เพียงในระดับ “มีหรือไม่มี despair”
แต่คือความต่างระหว่าง “สิ้นหวังอย่างหลบซ่อน” กับ “สิ้นหวังอย่างกล้าหาญ”
.
Vilhelm จึงไม่ได้ตำหนิ A อย่างผิวเผิน
เขาเชื้อเชิญ A ให้ “เลือกชีวิตใหม่” ผ่านการเผชิญกับ despair
และนี่เองที่นำไปสู่หัวข้อสำคัญของเรา = สมดุลระหว่าง aesthetic กับ ethical
.
.
7. พื้นหลังของแนวคิด “สมดุล” (Equilibrium)
.
เมื่อเราเข้าสู่ “Equilibrium Between the Aesthetic and the Ethical in the Development of Personality”
Vilhelm กำลังทำมากกว่าการโน้มน้าวให้ A เลิกใช้ชีวิตแบบ aesthetic
เขากำลังเสนอว่า… การมีบุคลิกภาพที่แท้จริง ต้องผ่าน “สมดุลในความตึงเครียด” ระหว่างสองฝั่งนี้
.
เขาไม่ได้บอกให้ A เลิกเป็น aesthete และกลายเป็นนักบวช
แต่เขาบอกว่าจงเอาความลึกของ aesthetic มาหล่อหลอมให้กลายเป็นชีวิตที่ ethical
.
“ศิลปะจะสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อมันถูกห่อหุ้มด้วยศีลธรรม”
.
.
8. บุคลิกภาพไม่ใช่สิ่งที่ “ค้นพบ” แต่เป็นสิ่งที่ “สร้าง”
.
Judge Vilhelm เปิดฉากด้วยแนวคิดที่กลายเป็นเสาหลักของประเด็นนี้: บุคลิกภาพ (personality) ที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เราพบเจอเหมือนขุมทรัพย์ในถ้ำมืด หากเป็นสิ่งที่เราต้อง สร้างขึ้น ด้วยมือของเราเอง ผ่านการเลือก การรับผิดชอบ และการยืนหยัดในตัวตนของเรา
.
“Personality is not something ready-made... it is something to be achieved.”
.
ในแง่นี้ บุคลิกภาพจึงไม่ใช่รสนิยม ไม่ใช่ลักษณะนิสัย ไม่ใช่แค่ “ความเป็นตัวของตัวเอง” ตามความเข้าใจของยุคสมัย แต่มันคือ ความสามารถในการรวมทั้งอารมณ์ ความคิด และจิตสำนึกให้เป็นหนึ่งเดียว อย่างมีโครงสร้าง
.
แนวคิดนี้เองที่ทำให้ Vilhelm ไม่ได้โจมตี aesthetic life ด้วยอารมณ์ แต่เขากลับพยายาม “เชิญ” ผู้ที่ยังอยู่ในเส้นทางแห่งความงามให้เริ่มพิจารณาว่า ชีวิตนั้นไม่ได้แค่ต้องรู้สึกให้ลึก แต่ยังต้อง ยืนให้มั่น ด้วย
.
.
9. ความงามและประสาทสัมผัสนั้นสำคัญ…แต่ไม่เพียงพอ
.
Vilhelm ไม่เคยกล่าวว่าความงามคือสิ่งผิด ตรงกันข้าม เขาให้เกียรติพลังของ aesthetic life อย่างลึกซึ้ง เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์ไม่กลายเป็นเครื่องจักร มันคือความสามารถในการสัมผัสเสียงเพลงในความเงียบ และมองเห็นประกายระยิบในสิ่งเล็กน้อย
.
“The aesthetic is the incitement, the ethical is the resolution.”
.
แต่ปัญหาของ aesthetic อยู่ตรงที่ มันคือแรงบันดาลใจที่ไม่มีปลายทาง เป็นการไหลที่ไม่ยอมรวมตัวเป็นแม่น้ำ เป็นชีวิตที่ไม่ยอม “ลงหลักปักฐาน” เพราะกลัวการเปลี่ยน aesthetic ให้กลายเป็นความรับผิดชอบ
.
Vilhelm มองว่า aesthetic ช่วยเปิดหัวใจ แต่ ethical ต่างหากที่ช่วยเปิดเส้นทางชีวิต aesthetic ช่วยให้เรารู้สึกกับโลก แต่ ethical ช่วยให้เรามีที่ยืนในโลก
.
.
10. เวลาและความรับผิดชอบในสายตาของ Aesthetic กับ Ethical
.
หนึ่งในจุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ “มโนทัศน์เรื่องเวลา”
.
สำหรับ aestheticist เวลาเป็นเพียงชั่วขณะ เป็น “ตอนนี้” ที่ไม่มีเงาของอดีต หรือภาระของอนาคต เขาอยากมีชีวิตที่ล่องลอยในความงามเหมือนฝุ่นแดดที่ปลิวผ่านหน้าต่าง
.
แต่สำหรับ Vilhelm การพัฒนาบุคลิกภาพต้องอาศัย “ความต่อเนื่อง” (continuity) และ “การยอมรับเวลา” เขาเชื่อว่า คนคนหนึ่งจะไม่มีวัน “เป็นตัวตน” ได้เลย หากเขาไม่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงของอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในชีวิตตนเอง
.
“The ethical individual does not forget his past, but integrates it into his existence.”
.
ความทรงจำในแง่นี้ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ควรเก็บไว้เป็นอารมณ์ซึ้ง ๆ แต่มันคือรากฐานของตัวตน คนที่หนีอดีตไม่พ้นคือคนที่ไม่มีอนาคต เพราะเขาไม่เคย “รวม” ตนเองให้เป็นเรื่องเล่าที่มีความหมาย
.
Vilhelm ชี้ว่า aesthetic life แม้จะเปี่ยมด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง แต่กลับ ไม่ต้องการรับผิดชอบ ต่อสิ่งที่รู้สึก มันเป็นการ “รักโดยไม่ยอมผูกพัน” เป็นการ “เข้าใจโดยไม่ต้องลงมือ” และเป็นการ “อยู่กับความจริงโดยไม่ต้องเลือก”
.
“The aesthetic life wants to enjoy life, not to choose it.”
.
aesthetic จึงหลบเลี่ยงพันธะด้วยความเก๋ไก๋ มันแปลงความเจ็บปวดเป็นศิลปะ แปลงความล้มเหลวเป็นบทกวี และแปลงความกลัวเป็นบทเพลง แต่มันไม่เคย “ยืนอยู่กับมัน” จริง ๆ มันสวย แต่มันหนี
.
.
11. เสรีภาพในพันธะ ความย้อนแย้งของผู้เป็นมนุษย์
.
ในที่สุด Vilhelmเสนอว่า aesthetic life เข้าใจเสรีภาพในฐานะ “การไม่ถูกผูกมัด”
แต่ ethical life มองเสรีภาพว่าเกิดขึ้นได้ เพราะ “เรายอมรับพันธะ”
คือเสรีภาพที่เลือก ไม่ใช่เสรีภาพที่ไม่เลือก
.
“The highest freedom lies not in avoiding commitment, but in choosing it.”
.
นี่คือการหักมุมทางปรัชญาที่เจ็บแสบที่สุด
.
เสรีภาพของ aestheticist คือการไม่ลงมือทำอะไรจริง
.
แต่เสรีภาพของ ethicist คือการเลือกจะยืนหยัด
.
สมดุลที่แท้จริงในความหมายของ Vilhelm
คือภาวะที่เราสามารถรักได้ลึก รู้สึกได้จริง แต่นำมันมาวางบนโต๊ะของพันธะ
ไม่ใช่เพื่อฆ่าสุนทรียศาสตร์ แต่เพื่อให้สุนทรียะนั้นมี “น้ำหนัก” และ “ความหมาย”
.
.
12. ตัวตนไม่ใช่สิ่งที่ค้นพบจากภายนอก แต่คือสิ่งที่เลือกจากภายใน
.
ในสายตาของ Vilhelm การ “เลือกตัวตน” (choosing oneself) คือจุดหักเหสำคัญที่แยก aesthetic ออกจาก ethical อย่างชัดเจน เพราะสำหรับ aestheticist ตัวตนคือสิ่งที่พัดตามแรงลมของความรู้สึก พรุ่งนี้อาจเศร้า มะรืนอาจเบื่อ อีกวันอาจลุ่มหลง ทุกอย่างคือประสบการณ์ที่ไม่ถูกจัดเรียง ไม่มีราก ไม่มีร่องรอย
.
แต่การเลือกตัวตนในแบบ ethical ไม่ใช่การเลือกสไตล์ หรือบทบาทในละครชีวิต หากคือการเลือก จะมีอยู่ แบบเต็มที่ เลือกจะกลายเป็น “ใครบางคน” ที่ไม่ใช่แค่ผลรวมของอารมณ์
.
“He who chooses himself chooses not something accidental, but chooses himself eternally.”
.
Vilhelm ต้องการให้ผู้อ่านรู้ว่า เราไม่ได้เป็นใครเพราะโชคชะตากำหนด แต่เพราะเราเลือกจะเป็น และการเลือกนี้คือจุดที่จริยธรรมแทรกตัวเข้ามา = เพราะทันทีที่เราเลือก เราก็ต้องรับผิดชอบ
.
.
13. การเลือกไม่ใช่แค่การ “ตัดสินใจ” แต่คือการ “กระทำต่อเนื่อง”
.
Vilhelm เตือนว่า คนจำนวนมากเข้าใจ “การเลือก” แบบผิวเผิน คิดว่ามันคือการชี้นิ้วไปที่เส้นทาง แล้วเรื่องทั้งหมดก็จบ แต่ความจริงคือ การเลือกที่แท้จริงต้อง “ยืนยันซ้ำ” ด้วยการกระทำในแต่ละวัน
.
“The ethical choice is not a moment; it is a continuity, a becoming.”
.
เขาเปรียบเปรยการเลือกเป็นเหมือนการแต่งงานกับตนเอง ไม่ใช่เพียงพิธี แต่คือคำสัตย์ที่ต้องรักษาในทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีอารมณ์ แม้ในวันที่ตนเองไม่น่ารัก มันคือ commitment ต่อชีวิตที่ตนเองเลือกเดิน ไม่ใช่การเปลี่ยนฉากตามอารมณ์ aesthetic
.
.
14. การยอมรับความผิดพลาด = ความกล้าของผู้มีจริยธรรม
.
จุดที่น่าสนใจคือ aestheticist มักมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงความผิดพลาด โดยอ้างอิงว่า “ฉันแค่ลองใช้ชีวิต” หรือ “ไม่มีอะไรผิดหรอก แค่มันไม่ใช่” เขายังอยู่ในระนาบของ รสนิยม มากกว่าคุณค่า เขาไม่ยอมรับความผิดพลาด เพราะไม่ต้องการรับว่าตนมีความตั้งใจจริง
.
Vilhelm โต้กลับว่า ความผิดพลาดคือหลักฐานว่าคุณได้ ลงมือเลือก จริง ไม่ใช่เพียงเล่นบทบาท
.
“To err is human; to own the error ethically is divine.”
.
ในสายตาของเขา ความผิดไม่ใช่สิ่งที่ควรหลบ แต่คือดินเหนียวที่สามารถปั้นเป็นบุคลิกภาพได้ ถ้าเรายอมรับมันอย่างมีจริยธรรม
.
.
15. การกล้าสื่อสารและใบหน้าที่แท้จริง
.
อีกสิ่งหนึ่งที่แยก aestheticist ออกจาก ethicist อย่างรุนแรงคือความสัมพันธ์กับผู้อื่น
aestheticist มักดำรงอยู่ในความลับ เขาชอบความไม่แน่นอน ความไม่สามารถอธิบายได้ ความงามของสิ่งที่เข้าไม่ถึง การรักในแบบไม่ต้องเปิดเผย
.
“The aesthetic life seduces with secrecy; the ethical life commits with clarity.”
.
แต่ Vilhelm ยืนยันว่า บุคลิกภาพที่แท้จริงคือการกล้าสื่อสารตนเอง
กล้ายอมรับว่า “ฉันคือคนที่มีอดีต”
“ฉันเคยทำผิด”
“ฉันกำลังเลือกอยู่ และยอมให้คุณเห็น”
.
ความงามของ ethical คือความจริงที่ไม่ได้แสร้ง ความโปร่งใสที่ไม่มีฉากหลัง ความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อนเพื่อหลบหนี แต่ลึกซึ้งเพราะกล้าเปิดเผย
.
Vilhelm กล่าวถึงสิ่งที่ aestheticist แสวงหาอย่างเงียบๆ คือ “ความน่าจดจำ” เขาอยากให้โลกจำเขาในฐานะศิลปิน ผู้เจ็บปวด ผู้เปลี่ยวเหงา ผู้มีอารมณ์ลึกซึ้ง - แต่ไม่อยากให้โลก “เข้าใจ” เขา เพราะการถูกเข้าใจคือการถูกตีความ การถูกตีความคือการถูกจำกัด
.
“He who lives ethically does not ask to be remembered, but to remember rightly.”
.
ในทางกลับกัน ผู้มีบุคลิกภาพตามแบบ ethical ไม่ได้แสวงหาชื่อเสียงหรือภาพจำ หากแต่แสวงหาความสอดคล้องระหว่างชีวิตภายนอกและจิตสำนึกภายใน
.
เขาอยากมีชีวิตที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว สามารถยอมรับว่า “ฉันอยู่ในโลกด้วยความตั้งใจ”
ไม่ใช่ด้วยแรงบันดาลใจชั่ววูบ
.
Vilhelm เปรียบ aestheticist ว่าเป็นนักแสดง เขาเล่นบทต่างๆ ได้ดี มีอารมณ์ มีศิลปะ มีรสนิยม
.
แต่เขา “ไม่ใช่” ตัวละครไหนจริงๆ ทั้งหมดคือบทชั่วคราว
.
ในขณะที่ ethicist คือคนที่เลือกบทเดียวและใช้ชีวิตกับมัน
.
เขาไม่ต้องสวมหน้ากากหลายชั้น เพราะเขายอมรับว่าใบหน้าแท้จริงของตัวเองคือสิ่งที่ต้องฝึกให้มีเกียรติ
.
“The actor disappears behind the mask; the ethical man shapes his own face.”
.
.
16. การตื่นรู้ของจิตสำนึก จุดเริ่มต้นของชีวิตที่แท้จริง
.
Vilhelm มองว่าการเปลี่ยนผ่านจาก aesthetic สู่ ethical ไม่ใช่การเปลี่ยนข้างแบบโยนทิ้งทันที
แต่คือการตื่นรู้ของจิตสำนึก ที่ค่อยๆ คืบคลานมาด้วยคำถามง่ายๆ ว่า
.
“นี่หรือคือชีวิตทั้งชีวิตของฉัน?”
.
ความรู้สึกนี้อาจเกิดจากความเบื่อหน่ายแบบไร้ชื่อ หรือจากเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ aestheticist รู้สึกว่าเขา “ไม่สามารถอยู่ต่อแบบนี้ได้อีกแล้ว” ไม่ใช่เพราะมันเลวร้าย แต่เพราะมันว่างเปล่า
.
“Despair is the sickness of the aesthetic life—the silent acknowledgment that one’s existence lacks unity.”
.
ความสิ้นหวังของ aesthetic ไม่ได้มาจากความล้มเหลว แต่จากการไม่มีทิศ ไม่มีเนื้อ ไม่มีความเชื่อมโยง มันคือชีวิตที่ลื่นไหลจนไม่เหลือจุดยึดเกาะ จึงเกิดภาวะสิ้นหวังแบบเงียบงันที่กลืนกินตัวตนทีละน้อย
.
.
17. ความเจ็บปวดจากการเลือก เสียงแห่งการเติบโต
.
การเข้าสู่เส้นทาง ethical ไม่ใช่เส้นทางที่โรยกลีบกุหลาบ
Vilhelm ไม่เคยบอกว่าการ “เลือกตัวตน” คือความสุข แต่เขาเรียกมันว่า “การเติบโต” และการเติบโต ย่อมเจ็บ
.
“To choose oneself is to accept pain as part of one’s structure.”
.
การเลือกจะมีชีวิตแบบมีจุดยืนคือการเปิดประตูให้ความเจ็บปวดเดินเข้ามาอย่างเป็นทางการ
.
เพราะทันทีที่คุณเลือก คุณก็เลิกมีข้ออ้าง
ทันทีที่คุณตัดสินใจ คุณก็ต้องตอบคำถามของชีวิต
ทันทีที่คุณยืนอยู่ตรงใดตรงหนึ่ง คุณก็ต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากทุกทิศทาง
.
แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นมนุษย์จริงๆ
.
ไม่ใช่ภาพเบลอในหมอกความรู้สึก แต่เป็นร่างชัดเจนในแสงสว่างของความรับผิดชอบ
.
.
18. การบูรณาการสุนทรียะเข้าสู่จริยธรรม
.
ในช่วงท้ายของจดหมายอันยาวเหยียด Vilhelm ไม่ได้โยน aesthetic life ทิ้ง
แต่กลับยกมันขึ้นวางบนฐานของ ethical ให้สูงขึ้น
.
เขาเสนอว่า aesthetic ไม่ใช่ศัตรูของ ethical แต่คือ “เชื้อเพลิง” ที่หากจัดวางให้ดีจะทำให้ ethical กลายเป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยสีสัน ความหมาย และความลึก
.
“The aesthetic becomes beautiful when it is sustained by the ethical.”
.
ความรู้สึก ความลุ่มหลง ความละเมียดละไม ความเข้าใจในศิลปะและรายละเอียด ไม่ได้สูญหายไป
.
แต่ถูก “บูรณาการ” ให้เป็นความดีที่มีเนื้อแท้ ไม่ใช่ความดีแบบกลวงๆ ที่ทำตามหน้าที่
.
ไม่ใช่ความดีที่แข็งกระด้าง
.
แต่เป็นความดีที่มีชีวิต ความรู้สึก และจังหวะของมนุษย์
.
.
19. ความรักในกรอบของจริยธรรม
.
Vilhelm เสนอว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุดเมื่อเราก้าวจาก aesthetic สู่ ethical คือ “วิธีที่เรารัก”
.
aestheticist รักเหมือนนักกวี = หลงใหลในความไม่แน่นอน
แต่ ethicist รักเหมือนผู้กล้า = ยอมเปลือยตัวเองให้ถูกเข้าใจและรับผิดชอบต่อความรักนั้น
.
“To love ethically is not to lose passion, but to ground it in eternity.”
.
ความรักแบบ ethical คือการยืนอยู่เคียงกันในพายุ ไม่ใช่แค่เขียนบทกวีถึงกันในคืนที่อากาศดี
.
คือการรับรู้ว่าความรักต้องเติบโต และการเติบโตย่อมมีอุปสรรค
.
คือการเปิดเผยตนเองทั้งหมด แม้ในส่วนที่น่าอาย เพราะการรักอย่างมีจริยธรรมคือการให้โอกาสแก่กันในการเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่
.
.
20. สมดุลไม่ใช่การประนีประนอม แต่คือการรวมศูนย์
.
Vilhelm ย้ำว่า “สมดุล” ที่เขาเสนอไม่ใช่การเฉลี่ยระหว่างความรู้สึกกับหน้าที่
.
ไม่ใช่การเอาสุนทรียศาสตร์มาผสมกับความดีให้พอดีๆ
.
แต่มันคือการรวมทุกองค์ประกอบเข้าเป็น ชีวิตที่มีศูนย์กลาง
.
คือการที่ aesthetic ไม่ได้กลายเป็นเศษเสี้ยวที่ต้องทิ้ง แต่กลายเป็นโทนเสียงของ ethical ที่สมบูรณ์
.
“True equilibrium is not compromise, but integration.”
.
การมีบุคลิกภาพคือการที่คุณกล้าใช้ทั้งความรู้สึก ความคิด ความดี และความงาม เป็นวัตถุดิบ แล้วค่อยๆ หลอมรวมมันทีละชั้น ด้วยการกระทำทีละวัน
.
.
21. ประเด็นอื่นในหนังสือ Either/Or
.
ก่อนจะลงลึกในรายละเอียด จำเป็นต้องกล่าวถึงโครงสร้างของ Either/Or อีกครั้ง: หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การเสนอทฤษฎี หากคือการจำลอง “สมรภูมิภายในจิตใจ” ด้วยรูปแบบที่ซ้อนซับและหลอกล่อความคิดผู้อ่านให้รู้ตัวว่าเขาเองก็กำลังเลือก
.
เล่มหนึ่งคือเสียงของ ชายหนุ่มแบบ aesthetic
อีกเล่มคือเสียงของ Judge Vilhelm ผู้แทนฝั่ง ethical
.
แต่สิ่งที่ Kierkegaard ไม่พูดชัด คือ “ใครถูก”
.
เพราะเป้าหมายของเขาไม่ใช่การบอกความจริง แต่คือการกระตุ้นให้คุณไล่ล่าความจริงด้วยตัวเอง
.
“What I really need is to get clear about what I am to do, not what I am to know.”
.
สไตล์ที่ไม่เหมือนใครของ Kierkegaard คือปรัชญาไม่ใช่การบรรยายเชิงวิชาการ แต่คือกระบวนการมีส่วนร่วมทางจิตใจ
.
.
21.1 บทความ “The Diary of a Seducer” = ด้านสุดโต่งของ aestheticism
.
หนึ่งในส่วนที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดจากฝั่ง aesthetic คือบท “The Diary of a Seducer” หรือ “บันทึกของนักล่าหญิง”
ในนั้น เราจะได้พบ Johannes – บุรุษที่สามารถทำให้ศิลปะของการล่าหญิงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เขาไม่ได้ลุ่มหลงเพราะอารมณ์ แต่เพราะความพิถีพิถันในการควบคุมเกมแห่งเสน่ห์
.
“I do not love her; I enjoy the possibility of loving her.”
.
Johannes เป็นตัวอย่างของ aestheticism ที่มีชั้นเชิงที่สุดในโลกของ Kierkegaard
เขารักเพียงความรู้สึก “ก่อนจะรัก” — เขาต้องการบรรยากาศก่อนรักจะเกิด แต่ไม่ต้องการผลลัพธ์ของรัก
เพราะผลลัพธ์มีพันธะ แต่บรรยากาศมีอิสระ
.
บันทึกนี้สะท้อนความซับซ้อนของ aesthetic life ได้อย่างหมดจด:
มันงดงาม แต่มันก็เย็นชา, มันลึกซึ้ง แต่ไม่เคยแตะถึงหัวใจ
.
.
21.2 ความเบื่อหน่าย (Boredom) – ปีศาจเงียบของชีวิตสมัยใหม่
.
ใน “Diapsalmata” หรือบทความสั้นๆ ที่กระจัดกระจายเต็มเล่ม A ผู้เขียน (ซึ่งหลายคนตีความว่าเป็น “ตัวตนแรกๆ” ของ Kierkegaard เอง) ได้สำรวจหัวข้อที่ดูเล็กน้อยแต่น่ากลัว: ความเบื่อหน่าย
.
“Boredom is the root of all evil—the gods were bored; therefore, they created man.”
.
ประโยคนี้ไม่ใช่เล่นมุก แต่คือปรัชญา: aestheticist ไม่ได้กลัวความทุกข์ แต่กลัวความไม่มีอะไร
.
และเพื่อหลบความเบื่อ เขาจึงกระโจนเข้าสู่กิจกรรม กระตุ้นอารมณ์ ไล่ตามแรงบันดาลใจแบบไม่หยุดพัก
แต่ยิ่งวิ่งหนีจากเบื่อ เขาก็ยิ่งกลายเป็นเหยื่อของมัน
.
ความเบื่อจึงเป็นกลไกทางศีลธรรมที่แฝงตัวอยู่ใน aesthetic เพราะมันบอกคุณว่า ถึงเวลา “เลือก” แล้วหรือยัง?
.
.
21.3 การแต่งงาน สัญลักษณ์ของความผูกพันกับชีวิต
.
Vilhelm ใช้ “การแต่งงาน” ไม่ใช่แค่ในฐานะความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
.
แต่ในฐานะรูปแบบหนึ่งของการตกลงกับชีวิต
.
การแต่งงานในเชิง ethical คือการประกาศว่า “ฉันเลือกจะใช้ชีวิตนี้ร่วมกับใครสักคน”
.
และนั่นสะท้อนมิติของความรับผิดชอบ ความต่อเนื่อง และความกล้าหาญ
.
“Marriage is and remains the most important voyage of discovery a man can make.”
.
สำหรับ aestheticist ความรักคือสิ่งลึกลับที่ปล่อยให้ล่องลอย
.
แต่สำหรับ ethicist ความรักคือสิ่งที่ต้องสร้าง ต้องปกป้อง และต้องต่อสู้เพื่อมัน
.
.
22. Kierkegaard และ Pseudonyms ทำไมเขาไม่พูดในนามตนเอง?
.
หนึ่งในปริศนาใหญ่คือ: ทำไม Kierkegaard ไม่เขียนในนามตัวเอง?
.
ทำไมต้องมี A, B, Johannes, Vilhelm ฯลฯ?
.
เกี่ยวกับโครงสร้างของ Either/Or หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การเสนอทฤษฎี หากคือการจำลอง “สมรภูมิภายในจิตใจ” ด้วยรูปแบบที่ซ้อนซับและหลอกล่อความคิดผู้อ่านให้รู้ตัวว่าเขาเองก็กำลังเลือก
.
เล่มหนึ่งคือเสียงของ ชายหนุ่มแบบ aesthetic
.
อีกเล่มคือเสียงของ Judge Vilhelm ผู้แทนฝั่ง ethical
.
แต่สิ่งที่ Kierkegaard ไม่พูดชัด คือ “ใครถูก”
.
สไตล์ที่ไม่เหมือนใครของ Kierkegaard คือปรัชญาไม่ใช่การบรรยายเชิงวิชาการ แต่คือกระบวนการมีส่วนร่วมทางจิตใจ
.
“My pseudonyms are not me. They are poetic-existential possibilities.”
.
เขาไม่ได้ให้คำตอบ แต่ให้ “ประสบการณ์ของการแสวงหาคำตอบ”
.
.
=====================
.
สุดท้ายครับ
.
ลองจินตนาการว่าคุณคือหญิงสาวหน้าตาดี มีไหวพริบ และมีกระเป๋าหนังสือที่เต็มไปด้วยโน้ตสรุปงานของ Kierkegaard
.
วันหนึ่งคุณมีชายหนุ่มสองคนมาขอคบหาดูใจ
.
.
คนแรกเป็นศิลปินผู้มีเสน่ห์ปานเทพเจ้ากรีก
.
เขาเชิญคุณไปดื่มไวน์ตอนบ่ายวันพฤหัสฯ พูดประโยคเด็ดว่า
.
“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน… ยกเว้นความงามของรอยยิ้มคุณ”
.
เขาเปิดบทรำพึงของ Don Giovanni ให้นั่งฟังใต้แสงเทียน
.
ใส่เสื้อเชิ้ตลินินพับแขน และสามารถเล่าเรื่องความเศร้าจากการจ้องพระจันทร์ได้นาน 4 ชั่วโมง
.
แต่เขาไม่เคยล้างแก้วไวน์หลังใช้เลยสักครั้ง
.
.
คนที่สองเป็นนักบัญชีหนุ่มสุดเนิร์ดจากบริษัท Big 4
.
เขาเชิญคุณไปห้องสมุดตอนเช้าวันเสาร์
.
เปิดอ่านเอกสารเรื่อง "หน้าที่แห่งชีวิตแต่งงานตามหลักคุณธรรม" พร้อมขีดเส้นใต้ด้วยปากกาสีพาสเทล
.
เขาพูดว่า
.
“การแต่งงานคือการยอมให้เราเติบโตในความจริงร่วมกัน ไม่ใช่แค่การหนีไปหาความโรแมนติก"
.
เขาจัดกล่องข้าวกลางวันให้คุณอย่างเป็นระบบ
.
แต่เขาไม่เข้าใจมุกตลกของคุณแม้แต่เรื่องเดียว
.
.
คุณจะเลือกใคร?
.
คนแรกทำให้คุณเหมือนอยู่ในบทกวี แต่ลืมวันเกิดคุณทุกปี

คนที่สองจำทุกอย่างของคุณได้เป๊ะ…แต่จูบเหมือนเซ็นเอกสาร
.
.
แต่ถ้า Kierkegaard มาเห็นฉากนี้ เขาคงไม่บอกให้คุณเลือก A หรือ B หรอกครับ
.
เขาจะถามว่า: “แล้วคุณล่ะ? จะเป็นแบบ Or… หรือกล้าจะเป็น Either?”
.
“To Choose is to Exist.”
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Beyond Good and Evil : ความดีและความชั่วคือประดิษฐกรรม เขียนโดย Friedrich Nietzsche

Next
Next

สรุปหนังสือ Nicomachean Ethics จริยศาสตร์นิโคมาเคียน ของ Aristotle