สรุปหนังสือ Nicomachean Ethics จริยศาสตร์นิโคมาเคียน ของ Aristotle
“The brave man faces and fears the right things, for the right motive, in the right way.”
.
==========================
.
1. "ทุกการกระทำมุ่งสู่ความดี"
.
ในบรรดาผลงานทางปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตก จริยศาสตร์นิโคมาเคียนของอริสโตเติลนับเป็นหนึ่งในตำราที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อความคิดเรื่องจริยธรรม คุณธรรม และการดำเนินชีวิตที่ดี
.
หนังสือเล่มนี้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบันทึกคำบรรยายของอริสโตเติลที่ลิเคอุม และอาจตั้งชื่อตามบุตรชายของเขาคือนิโคมาคัส หรืออาจหมายถึงบิดาของเขาที่มีชื่อเดียวกัน ได้วางรากฐานแนวคิดที่ว่าจริยธรรมไม่ใช่เพียงเรื่องของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาอุปนิสัยและคุณธรรมที่ดี
.
อริสโตเติลเริ่มต้นงานชิ้นนี้ด้วยการสังเกต ที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งครับ
.
"Every art and every inquiry, and similarly every action and pursuit, is thought to aim at some good; and for this reason the good has rightly been declared to be that at which all things aim"
.
(ทุกศิลปะและทุกการสืบสวน และในทำนองเดียวกัน ทุกการกระทำและการแสวงหา ล้วนมุ่งไปสู่ความดีบางอย่าง และด้วยเหตุนี้ ความดีจึงได้รับการประกาศอย่างถูกต้องว่าเป็นสิ่งที่ทุกสิ่งมุ่งหา)
.
ประโยคเปิดนี้วางรากฐานสำหรับการสำรวจอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับธรรมชาติของความดีในชีวิตมนุษย์ การสังเกตนี้ดูเหมือนจะเป็นสากล - ไม่ว่าเราจะทำอะไร ตั้งแต่การเรียนรู้ทักษะใหม่ไปจนถึงการสร้างมิตรภาพ เราทำเพราะเราเชื่อว่ามันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีบางอย่าง
.
แต่ถ้าทุกการกระทำมุ่งสู่ความดี ความดีสูงสุดที่มนุษย์แสวงหาคืออะไร?
.
อริสโตเติลตั้งข้อสังเกตว่าในขณะที่ความดีบางอย่างเราแสวงหาเพื่อสิ่งอื่น เช่น เราแสวงหาเงินเพื่อสิ่งที่มันสามารถซื้อได้ แต่ต้องมีความดีบางอย่างที่เราแสวงหาเพื่อตัวมันเอง ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น
.
อริสโตเติลไม่ได้เล่นคำว่า “ดี” ในเชิงจริยธรรมอย่างคลุมเครือ เขาพยายามตีกรอบอย่างเป็นระบบว่า “ดี” คือจุดมุ่งหมายสุดท้าย (final cause) ของการกระทำทั้งหลาย เช่น
.
แพทย์ทำเพื่อ “สุขภาพ”
คนต่อเรือทำเพื่อ “เรือ”
นายพลทำเพื่อ “ชัยชนะ”
นักการเมืองทำเพื่อ “ชีวิตที่ดีของสาธารณะ”
.
ดังนั้น หากจะหาจุดหมายสูงสุดของมนุษย์ ก็ต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมุ่งไปเพื่อมันโดยไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่นใด อริสโตเติลเรียกมันว่า “Eudaimonia”
.
.
2. ความสุขคืออะไร?
.
“Happiness is something final and self-sufficient, and is the end of action.”
.
คำว่า Eudaimonia มาจาก “eu” (ดี) + “daimon” (จิตวิญญาณ/เทพประจำตัว) ซึ่งแปลได้ว่า “การมีจิตวิญญาณดี” หรือ “การใช้ชีวิตที่ดีตามศักยภาพของมนุษย์”
.
อริสโตเติลวิจารณ์นิยามทั่วไปของความสุข:
.
.
A. ความสุขคือความพึงพอใจ?
.
นี่คือแนวคิดของคนทั่วไป ที่เปรียบมนุษย์เหมือนสัตว์ที่เสพสุข
เขาเย้ยว่า “the many prefer a life fit for cattle.”
.
.
B. ความสุขคือเกียรติยศ?
.
ไม่จริง เพราะเกียรติขึ้นกับคนอื่นมอบให้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราโดยตรง
และคนแสวงหาเกียรติ ก็หวังให้คนยอมรับ “คุณธรรม” ของเขาอยู่ดี
.
.
C. ความสุขคือความมั่งคั่ง?
.
เป็นสิ่งใช้เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่ “final end”
.
.
D. ความสุขคือคุณธรรม (virtue)?
.
ใกล้เคียงมาก แต่ยังไม่พอ เพราะคนที่มี virtue แต่ไม่ได้ “แสดงออกผ่านการกระทำ” ก็ไม่ถือว่าสุข เช่น คนหลับทั้งวัน แม้จะมีคุณธรรมก็ไม่ได้ใช้มัน
.
.
สรุปคือ… ความสุขคือ “กิจกรรมทางจิตวิญญาณ (activity of the soul)” ที่แสดงออก “ตามหลักเหตุผล (rational principle)” และ “ตามคุณธรรม (in accordance with virtue)” และไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ตลอดชีวิต
.
.
3. ฟังก์ชันของมนุษย์ = กุญแจสู่คุณงามความดี
.
“The function of man is an activity of soul in accordance with reason.”
.
เพื่อเข้าใจความดีของสิ่งใด เราต้องเข้าใจ “หน้าที่” (function) ของมันก่อน เช่น:
.
ดาบดี = ตัดดี
ตาชั้นยอด = มองชัด
ม้าเลิศ = วิ่งไว บังคับง่าย
.
แล้วมนุษย์ล่ะ? มีฟังก์ชันเฉพาะตัวไหม?
.
อริสโตเติลเสนอว่า ฟังก์ชันของมนุษย์ คือการใช้ชีวิตที่มีเหตุผล (reasoning life) โดยไม่ใช่แค่ “มีจิตใจ” เพราะสัตว์ก็มี — แต่คือการใช้เหตุผลตัดสินใจ สร้างคุณธรรม และกระทำสิ่งที่ดี
.
เมื่อผสานเข้ากับมุมมองก่อนหน้า:
.
“The good for man is an activity of soul in accordance with virtue in a complete life.”
.
.
4. การเมืองไม่ใช่เรื่องการหาเสียง แต่คือศิลปะสูงสุด
.
อริสโตเติลยกให้ “ศาสตร์การเมือง” (politics) เป็น master science เพราะเป็นศาสตร์ที่กำหนดว่าศาสตร์อื่นจะเรียนถึงแค่ไหน และสั่งว่าอะไรควรทำในสังคม
.
ดังนั้น การเมืองไม่ใช่แค่ระบบปกครองหรือการเลือกตั้ง แต่คือการบริหาร ชีวิตดีงามของประชาชน ทั้งหมด ซึ่งเป็นเป้าหมายของมนุษย์ในฐานะสัตว์การเมือง (political animal)
.
“Even if the end is the same for one man and for a state, that of the state is something greater and more complete.”
.
.
5. อารมณ์กับเหตุผลอยู่ด้วยกันได้ไหม?
.
อริสโตเติลแบ่ง “จิตวิญญาณ” ออกเป็น 2 ส่วน:
.
1. ส่วนไร้เหตุผล (irrational) เช่น ความกลัว ความอยาก
.
2. ส่วนที่มีเหตุผล (rational)
.
เขาไม่ได้มองแบบลบว่าอารมณ์เป็นศัตรูกับเหตุผลเสมอ แต่เสนอว่า “ส่วนที่ไร้เหตุผลสามารถฟังคำสั่งของเหตุผลได้” และนี่คือจุดเริ่มต้นของ “คุณธรรมทางศีลธรรม (moral virtue)”
.
เช่น ความกล้าหาญ = ความสามารถในการควบคุมความกลัวตามเหตุผล
.
ไม่ใช่การไร้ความกลัวโดยสิ้นเชิง
.
.
6. คุณธรรมสร้างได้อย่างไร?
.
“Moral virtue comes about as a result of habit.”
.
อริสโตเติลเสนอหลักการที่พลิกแนวคิดยุคก่อนๆ: คุณธรรมไม่ได้ “ติดตัวมาแต่เกิด” แต่ “ฝึกได้” และไม่ได้ฝึกด้วยการฟังเลคเชอร์ แต่ฝึกโดยการกระทำซ้ำๆ จนเป็นนิสัย
.
“We become just by doing just acts.”
“Men become builders by building; lyre-players by playing the lyre.”
.
นี่คือรากฐานของคำว่า “Ethics” ที่มาจากคำว่า ēthos = นิสัย
.
.
7. คุณธรรมคือความพอดี (The Doctrine of the Mean)
.
“Virtue is a mean between two vices — one of excess, the other of deficiency.”
.
อริสโตเติลปฏิเสธแนวคิดสุดโต่ง คุณธรรมไม่ใช่การ “กดอารมณ์” จนเป็นพระอิฐพระปูน หรือ “ปล่อยอารมณ์” จนกลายเป็นสัตว์
.
อริสโตเติลเสนอว่า คุณธรรมคือ “ความพอดี” (mean) ที่อยู่ระหว่างสองสุดโต่งของอารมณ์ในชีวิตมนุษย์
.
.
7.1 ในเรื่องความกลัว
.
คนที่ขาดคุณธรรมคือคนขี้ขลาด ผู้หวาดกลัวเกินไปจนไม่กล้าทำสิ่งควรทำ
.
ส่วนผู้ที่เกินไปคือคนบ้าบิ่น ผู้ไม่กลัวอะไรเลย ไม่ประเมินสถานการณ์ใดๆ
.
ขณะที่คนกล้าหาญนั้น กลัวอย่างมีเหตุผล ยืนหยัดเมื่อควรยืนหยัด และกระทำในนามของสิ่งที่สูงส่ง
.
.
7.2 ในเรื่องความโกรธ
.
คนที่ขาดคือผู้ใจเย็นเกินไป (inirascible) จนไม่รู้จักเดือดดาลแม้ในความอยุติธรรม
.
ส่วนผู้ที่เกินไปคือผู้โมโหร้าย (irascible) เดือดพล่านโดยไร้เหตุผล
.
ส่วนผู้มีคุณธรรมคือคนสุขุม (good-tempered) โกรธอย่างเหมาะสม ถูกเรื่อง ถูกเวลา ถูกขอบเขต
.
.
7.3 ในเรื่องความพอใจและความสุขทางประสาทสัมผัส
.
ผู้ที่ขาดคุณธรรมคือคนเฉยชา (insensible) ไม่รู้สึกสนุกกับชีวิตเลย
.
ส่วนผู้ที่เกินคือคนเสพติด (self-indulgent) ผู้ติดรส ติดรูป ติดกลิ่น ติดโลก
.
ส่วนผู้มีคุณธรรมคือคนมัธยัสถ์ (temperate) ที่เพลิดเพลินพอประมาณ รู้จักพอในความรู้สึกที่ดี
.
“To feel them at the right times, with reference to the right objects, with the right motive, and in the right way — this is virtue.”
.
จะรู้สึกก็ต้องรู้สึกให้ถูกเวลา ถูกเรื่อง ถูกจุดมุ่งหมาย และถูกวิธี = จึงจะนับว่าเป็นคุณธรรม
.
.
8. คุณธรรมไม่ใช่แค่ “รู้” แต่ต้อง “ทำด้วยจิตใจที่มั่นคง”
.
การจะเป็นคนดีไม่ใช่แค่ทำดีเป็นครั้งคราว หรือทำเพราะโดนบังคับ แต่ต้อง:
.
ทำอย่างรู้ตัว (knowledge)
ทำด้วยความตั้งใจ (deliberate choice)
ทำด้วยจิตใจแน่วแน่ (firm character)
.
“It is not enough to do just acts; one must do them as the just man does.”
.
.
9. คุณธรรมแต่ละชนิด
.
“Virtue is concerned with passions and actions, in which excess is a form of failure, and so is defect, while the mean is praised and a form of success.”
.
เมื่อเข้าใจแล้วว่า “คุณธรรม” คือความพอดีระหว่างสองสุดขั้ว และเกิดจากการฝึกฝนผ่านการกระทำ อริสโตเติลพาเราไปรู้จัก “คุณธรรมแต่ละชนิด” อย่างเป็นระบบ
.
เขาไม่ได้พูดแบบนามธรรม แต่ใช้ภาษาง่ายๆ เช่น ความกลัว ความโกรธ ความมั่งคั่ง ความอาย ความอวด แล้วแสดงให้เห็นว่า “ความดี” คือทักษะในการ “ตอบสนอง” อย่างเหมาะสม
.
.
10. ความกล้าหาญ (Courage)
.
“The brave man faces and fears the right things, for the right motive, in the right way.”
.
อริสโตเติลเปิดการอภิปรายเรื่องคุณธรรมด้วย “ความกล้าหาญ” เพราะมันเกี่ยวข้องกับความตายและความกลัว ซึ่งเป็นความรู้สึกขั้นพื้นฐานที่สุด
.
อริสโตเติลจำแนกผู้คนตามท่าทีต่อความกลัวและความกล้าหาญออกเป็นสามแบบใหญ่ ๆ
.
คนขี้ขลาด (coward) คือผู้ที่กลัวมากเกินไป เขามักไม่กล้าทำในสิ่งที่ควรทำ แม้ในเวลาที่จำเป็นต้องลงมือ ความกลัวของเขาไม่สมดุลกับเหตุผล ทำให้เขาถอยหลังจากเกียรติ ศักดิ์ศรี และหน้าที่
.
ในทางตรงข้าม คนบ้าบิ่น (rash) คือผู้ที่ไม่กลัวอะไรเลย มักไม่ประเมินสถานการณ์ เขาอาจดูเหมือนกล้าหาญในสายตาคนภายนอก แต่แท้จริงแล้ว เขาเพียงไม่เข้าใจหรือไม่ใส่ใจในความเสี่ยงที่แท้จริง จึงกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี
.
ส่วนคนกล้าหาญ (courageous) คือผู้ที่กลัวในสิ่งควรกลัว และยืนหยัดเมื่อถึงเวลาที่ควรยืนหยัด เขาไม่ปฏิเสธความกลัว แต่ใช้เหตุผลนำทางอารมณ์ และเลือกลงมือกระทำ เพราะรู้ว่ามันคือสิ่งที่ดีและงดงาม
.
“The courageous man acts because it is noble to do so.”
.
.
เขายังแยก “สิ่งที่ดูเหมือนกล้าหาญแต่ไม่ใช่” เช่น:
.
ทหารที่ทำตามคำสั่งเพราะกลัวโดนลงโทษ
นักกีฬาเสี่ยงเพราะความมั่นใจเกินเหตุ
คนเมาทำอะไรไม่กลัวเพราะไร้สติ
.
.
11. ความพอประมาณ (Temperance)
.
“Temperance is a mean with regard to pleasures.”
.
หากความกล้าหาญควบคุม “ความกลัว”
.
ความพอประมาณก็คือการควบคุม “ความอยาก” โดยเฉพาะความสุขทางร่างกาย เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เพศสัมพันธ์
อริสโตเติลแยกความพอใจออกเป็น 2 แบบ:
.
Pleasures of the soul เช่น ดนตรี ภูมิปัญญา
.
Bodily pleasures เช่น กิน ดื่ม นอน
คุณธรรมของความพอประมาณ (temperance) คือความสามารถในการควบคุมความพึงพอใจทางร่างกาย โดยเฉพาะความสุขที่มาจากการกิน การดื่ม และการเสพสัมผัส ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นควบคุมเรา
.
คนที่พอประมาณไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักความสุข แต่คือคนที่รู้จักมันดี และไม่ยอมให้มันเป็นนาย
.
ในอีกสองด้านของความสุดโต่ง อริสโตเติลจำแนกผู้คนไว้เช่นนี้:
.
ผู้เสพติด (self-indulgent) คือลักษณะของคนที่ลุ่มหลงในความพอใจ เขาไม่สามารถหยุดได้เมื่อถึงเวลา ควบคุมตนเองไม่ได้ และปล่อยให้ความอยากเป็นคนขับเคลื่อนชีวิต
.
ในทางกลับกัน ผู้ไร้อารมณ์ (insensible) คือคนที่ต่อต้าน หรือไม่ตอบสนองต่อความสุขใด ๆ เลย เขาไม่เพลิดเพลินกับสิ่งที่มนุษย์ควรเพลิดเพลิน เช่น รสชาติของอาหารหรือสัมผัสแห่งความอบอุ่น เขาขาดการเชื่อมโยงกับชีวิตทางกายภาพ
.
ส่วนผู้มีคุณธรรมคือผู้ที่มีความพอประมาณ (temperate) เขารู้ว่าเมื่อใดควรพอ เมื่อใดควรหยุด และเมื่อใดควรปล่อยให้ความสุขเกิดขึ้นอย่างเหมาะสม เขาไม่กดขี่ตนเองจนตายด้าน และไม่ปล่อยตัวเองให้ไหลไปกับกระแสแห่งความอยาก
.
“The temperate man desires the right things, in the right way, at the right time.”
.
.
12. ใจกว้าง (Liberality): การให้โดยไม่ติดยึด และไม่แสดงอวด
.
“The liberal man is one who gives the right amounts, to the right people, for the right purposes.”
.
Liberality หรือ “ความเอื้อเฟื้อ” ตามแบบของอริสโตเติล
ไม่ใช่แค่การมีเงิน แล้วหว่านเงินทิ้งอย่างใจดี
แต่คือคุณธรรมในการ “จัดการทรัพย์สิน” อย่างมีวินัย มีเหตุผล และมีใจเสียสละ
.
มันคือศิลปะในการรู้ว่า… เมื่อใดควรให้, ให้แค่ไหน, และให้ไปเพื่ออะไร
.
ในด้านของความสุดโต่ง คนที่ขาดคุณธรรมเรียกว่า คนงก (meanness) = เขาไม่ยอมให้สิ่งใดเลย หรือหากให้ก็ให้แบบขี้เหนียว ตีค่าทุกอย่างเป็นต้นทุน ไม่เคยเห็นคุณค่าของการเสียสละเพื่อสิ่งดีงาม
.
ในอีกด้านหนึ่งคือ คนฟุ่มเฟือย (prodigality) = เขาให้โดยไม่คิด ใช้จ่ายแบบไร้เหตุผล บ่อยครั้งให้เพื่อโอ้อวด หรือใช้เพื่อความบันเทิงส่วนตัวจนเกินตัว ท้ายที่สุด ความใจกว้างกลายเป็นกับดักของความว่างเปล่า
.
ตรงกลางคือ คนใจกว้าง (liberal) = ผู้ที่รู้ว่าเงินทองไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่เจ้านาย แต่เป็นเครื่องมือที่จะใช้เพื่อเป้าหมายที่สูงกว่า เขาให้เมื่อควรให้ เสียสละโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน และรู้จักหยุดเมื่อ “พอดี” กำลังจะกลายเป็น “มากเกินไป”
.
“The liberal man gives for the sake of the noble, not for repayment or praise.”
.
.
13. ความโอ่อ่า (Magnificence)
.
“Magnificence is like liberality, but on a grander scale.”
.
อริสโตเติลแยก magnificence ออกจาก liberality เพราะในขณะที่ liberality ว่าด้วยการให้โดยทั่วไป
.
magnificence นั้นว่าด้วย “การใช้จ่ายครั้งใหญ่” เช่น การสร้างวิหาร การเลี้ยงงาน การจัดพิธีทางรัฐ หรือของขวัญใหญ่แก่ส่วนรวม
.
ผู้ที่มีคุณธรรมในข้อนี้คือผู้ที่รู้จักใช้จ่าย “ก้อนโต” อย่างมีรสนิยม มีเหตุผล และมีความเหมาะสม
.
ในด้านที่ขาดคุณธรรม คือคนที่ ขี้เหนียวในเรื่องใหญ่ (parsimony)
เขาอาจดูมีเหตุผลในสายตาบางคน แต่ในสถานการณ์ที่สมควรแสดงออก เขากลับหดมือ ไม่ยอมจ่ายแม้จำเป็น
ไม่ใช่เพราะจน แต่เพราะไม่เข้าใจว่า “บางจังหวะในชีวิต ต้องยิ่งใหญ่พอสมควร”
.
ในทางตรงข้าม คนที่เกินไปคือ คนโอ้อวดเกินงาม (vulgarity)
เขาใช้เงินเพื่อแสดง ไม่ใช่เพื่อความดีงาม
ความฟุ่มเฟือยของเขาขาดรสนิยม และมักสร้างความอึดอัดให้ผู้อื่น
.
แต่คนสง่างาม (magnificent) คือผู้ที่รู้จักบริหารเงินก้อนใหญ่ด้วยความรู้สึกงาม
เขารู้ว่าอะไรเหมาะกับกาลเทศะ รู้ว่าเมื่อใดควรจัดงานใหญ่ และเมื่อใดควรถอย
การใช้ของเขาไม่เพียงเหมาะสม แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจ
.
“It is the mark of magnificence to know how to spend large sums with taste.”
.
.
14. ความภูมิใจอย่างเหมาะสม (Proper Pride) มองคุณค่าตัวเองอย่างพอดี
.
“The man who is proud in the right way is the greatest man.”
ในบรรดาคุณธรรมทั้งหมด อริสโตเติลยกย่อง “megalopsychia” ว่าเป็นคุณธรรมที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุด” (the crown of the virtues)
.
มันคือความภาคภูมิใจในระดับสูงสุด ไม่ใช่ในเรื่องรูปลักษณ์หรือชื่อเสียง แต่ในแง่การรู้คุณค่าของตนเอง
.
คนที่มี megalopsychia รู้ว่าตนมีค่า และกล้ายืนหยัดในคุณค่าของตน
.
เขาไม่เรียกร้องคำชม ไม่โหยหาเสียงปรบมือ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ spotlight หากมันมาถึง
เขาไม่โกหกตัวเองว่า “ผมไม่เก่งหรอกครับ” เพื่อให้ดูถ่อมตัว
แต่ก็ไม่ตะโกนว่า “ดูฉันสิ ฉันคือที่สุด!” เหมือนคนหลงตัวเอง
.
ผู้ที่ขาดคุณธรรมในด้านนี้เรียกว่า ถ่อมเกินไป (undue humility)
คือผู้ที่มองไม่เห็นคุณค่าตนเอง พยายามปฏิเสธเกียรติที่สมควรได้รับ
ไม่ใช่เพราะอ่อนน้อม แต่อาจเพราะกลัว spotlight หรือกลัวความรับผิดชอบ
.
ในทางกลับกัน ผู้ที่เกินไปคือ คนหลงตน (vanity)
เขาคิดว่าตนยิ่งใหญ่เกินจริง คาดหวังคำชมเกินสมควร และมักใช้คำพูดหรือท่าทีโอ้อวดเพื่อดึงดูดความสนใจ
.
ตรงกลางคือคนที่มี Proper Pride = ผู้ที่เห็นคุณค่าในตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี
.
เขารู้ว่าเขามีความสามารถ และไม่อายที่จะยอมรับมัน
เขาไม่ใช่คนเย็นชา แต่เลือกเงียบในเวลาที่คนอื่นจะตะโกน
เขาอดทนต่อคำวิจารณ์ ยืนนิ่งเมื่อถูกกล่าวร้าย และยังคงเป็นตัวเองท่ามกลางสายตาคนอื่น
.
“The proud man claims much and deserves much.”
.
.
15. การเข้าสังคมด้วยความสุขุม
.
อริสโตเติลยังพูดถึงอีกหลายคุณธรรมที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่สะท้อนความกลมกล่อมของชีวิต
.
อารมณ์โกรธ (Anger)
คนดีควรควบคุมความโกรธ ไม่ใช่ไม่โกรธเลย แต่โกรธเป็น
.
การพูดจริง (Truthfulness)
ไม่อวดเกิน (Boastfulness) และไม่ดูแคลนตนเอง (Self-deprecation)
.
การเป็นคนน่ารื่นรมย์ (Wittiness, Friendliness)
การพูดจาตลกในเวลาและวิธีเหมาะสม
.
ทั้งหมดนี้อยู่ในแก่นของ “moderation” การรู้ว่าเมื่อไรควรหยุด และเมื่อไรควรกล้า
.
.
16. ความละอาย (Shame) คือคุณธรรมหรือไม่?
.
“Shame is not a virtue… it is more like a feeling than a state of character.”
.
อริสโตเติลเสนอว่า “ความละอาย” ไม่ใช่คุณธรรมจริงๆ เพราะมันเป็นการตอบสนองต่อสิ่งที่เราทำผิด จึงเหมาะกับ “เด็ก” ที่ยังต้องถูกสั่งสอน
.
คนดีจริงจะไม่ทำสิ่งน่าละอายตั้งแต่แรก เขาไม่ต้องอาย เพราะเขามีวินัยพอที่จะไม่ทำสิ่งที่ผิด
.
.
17. ความยุติธรรม (Justice): คุณธรรมที่สมบูรณ์แบบที่สุด
.
“Justice is complete virtue — not in an unqualified sense, but complete in relation to others.”
.
อริสโตเติลเรียก justice ว่าเป็น “คุณธรรมทั้งหมดรวมกัน” เมื่อเรานำไปใช้กับ “ผู้อื่น” เพราะคนยุติธรรมต้อง:
.
มีคุณธรรมของตนเอง
รู้จักแบ่งปันความดีนั้นให้ผู้อื่นอย่างเที่ยงธรรม
และไม่ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายเดียว
.
เขาแยกความยุติธรรมออกเป็น 2 แบบหลัก:
.
.
17.1 ยุติธรรมทั่วไป (General Justice)
คือการกระทำทุกอย่างที่ “ถูกต้อง” ต่อผู้อื่น
เป็นเหมือน “รูปแบบชีวิตที่ดีร่วมกันในสังคม”
คนที่มีคุณธรรมนี้ “ครบถ้วน” จะไม่โกง ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใคร
“The just man is lawful and fair.”
.
.
17.2 ยุติธรรมจำเพาะ (Particular Justice)
.
แยกย่อยออกอีกเป็น 2 แบบ:
A. การแจกจ่าย (Distributive Justice) = การแบ่งสรรผลประโยชน์ เช่น เงิน รางวัล เกียรติ
.
ต้อง จัดสรรตามสัดส่วน เช่น คนที่มีผลงานมากก็ควรได้มาก
ไม่ใช่ “เท่าเทียมกันทุกคน” แต่คือ “ให้ตามสมควร”
“The just is that which is proportionate, and the unjust is that which violates the proportion.”
.
B. การแลกเปลี่ยน / แก้ไข (Corrective or Rectificatory Justice) = การชดเชยความเสียหาย เช่น การคืนทรัพย์ การลงโทษ ฯลฯ
.
ไม่ใช่ให้ “เท่ากัน” แต่ต้อง “ทำให้สมดุล” กลับมาใหม่
ใช้ “เลขคณิต” มากกว่า “ความยุติธรรมทางสังคม”
.
.
18. ความยุติธรรมกับเงิน
.
“Money is a measure… it makes things commensurable.”
.
อริสโตเติลเสนอว่า “เงิน” เกิดขึ้นเพราะคนต้องการเครื่องมือกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน และที่น่าทึ่งคือ เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ 2,300 ปีก่อนว่า:
.
เงินมีค่าเพราะสังคม “ตกลง” ให้มันมีค่า
ถ้าไม่มีคนเชื่อถือ เงินก็ไร้ค่า
จึงเป็น “ธรรมชาติผสมสัญญา” อย่างสมบูรณ์
.
“Money is not a product of nature but of law.”
.
.
19. คุณธรรมทางปัญญา (Intellectual Virtues)
.
“Virtue makes the aim right; practical wisdom makes the means right.”
.
เมื่ออริสโตเติลพูดถึง “ความดี” (virtue) เขาไม่ได้หมายถึงแค่ความน่ารักในจิตใจ หรือความตั้งใจดีแบบคลุมเครือ
แต่เขาแยกมันออกมาอย่างชัดเจนว่า คุณธรรมแท้จริงประกอบด้วยสองส่วน = ฝั่งของจิตใจ และฝั่งของเหตุผล
.
.
เขาเรียกด้านแรกว่า “จริยธรรม” (ethical virtue)
.
ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “จิตใจ” และความรู้สึก ความกลัว ความโกรธ ความอยาก ความละอาย
.
คือคุณธรรมที่ช่วยให้เราควบคุมอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่ถูกลากจูงโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ทื่อเหมือนหุ่นยนต์
.
.
ด้านที่สองคือ “ปัญญา” (intellectual virtue)
.
ซึ่งเกี่ยวกับ “เหตุผล” และการคิดอย่างถูกต้อง
.
คือความสามารถในการใช้สมองในการตัดสินใจ — ไม่ใช่แค่รู้ว่าอยากทำดี แต่ต้อง รู้ว่าดีคืออะไร และจะทำดี “อย่างไร” ในแต่ละสถานการณ์ที่ซับซ้อนของชีวิตจริง
.
.
อริสโตเติลยืนยันว่า การเป็นคนดี ไม่ใช่แค่มีเจตนาดี
แต่ต้องมีความสามารถในการใช้เหตุผลที่ถูกต้องด้วย
.
คนที่รู้สึกว่าอยากช่วยคน แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร อาจทำร้ายมากกว่าช่วย
ในขณะเดียวกัน คนที่ฉลาดแต่ไร้หัวใจ ก็อาจใช้เหตุผลไปในทางที่บั่นทอนชีวิตผู้อื่น
.
เพราะฉะนั้นการเป็นคนดี ไม่ใช่แค่ “คิดดี” หรือ “รู้สึกดี”
แต่คือการประสานทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน
มีใจที่เที่ยงธรรม และมีเหตุผลที่เท่าทันอารมณ์
.
.
20. รายชื่อคุณธรรมทางปัญญา 5 ประเภท
.
.
20.1 Techne (ศิลปะ / เทคนิค)
.
ความรู้ในการสร้างสิ่งของ เช่น ช่างไม้ ช่างเหล็ก
“การผลิต” (production) ไม่ใช่ “การกระทำทางศีลธรรม”
.
.
20.2 Episteme (ความรู้ทฤษฎี)
.
ความรู้ที่แน่นอน เช่น คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์
ใช้หลักการสากล ไม่เปลี่ยนแปลง
“Scientific knowledge is demonstrative knowledge of causes.”
.
.
20.3 Phronesis (ปรีชาญาณ / ปัญญาปฏิบัติ)
.
ความสามารถในการ “ตัดสินใจ” อย่างดีในชีวิตจริง
ต้องรู้กฎ, บริบท, จังหวะเวลา, และมนุษย์
“Practical wisdom is concerned with things human and variable.”
“It is not knowledge of universals, but of particulars.”
.
นี่คือคุณธรรมที่เชื่อม “ความรู้” กับ “การกระทำ” และจำเป็นสำหรับนักการเมือง ผู้นำ ครู พ่อแม่ และ “คนดีที่ใช้งานได้จริง”
.
.
20.4 Nous (ความเข้าใจ / ญาณทัศนะ)
.
ความสามารถในการ “เข้าใจแก่นแท้” โดยไม่ต้องอธิบายยืดยาว
คล้ายการหยั่งรู้ หรือเซนส์ต่อ “first principles”
.
.
20.5 Sophia (ปรีชาญาณสูงสุด / ความรู้ระดับเทพ)
.
รวมทั้ง Nous + Episteme
เป็นความเข้าใจในความจริงของจักรวาล เช่น นักปรัชญา ผู้หยั่งรู้
มุ่งแสวงหา “ความดีสูงสุด” (theoria) ไม่ใช่เพื่อใช้งาน แต่เพื่อเข้าใจ
.
“Wisdom is the most precise and complete of the virtues of the intellect.”
.
.
21. ความสัมพันธ์ระหว่างคุณธรรมทั้งสองกลุ่ม
.
“It is impossible to be practically wise without moral virtue; and impossible to be virtuous without practical wisdom.”
.
อริสโตเติลมองว่า moral virtue กับ phronesis เหมือน “ดาบสองคม” — ต้องใช้ร่วมกัน:
.
มีคุณธรรม แต่ไม่มีปรีชาญาณ → กลายเป็นคนซื่อเกินไป ทำดีผิดเวลา
.
มีปรีชาญาณ แต่ไม่มีคุณธรรม → กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ ใช้เหตุผลไปเพื่อเล่ห์กล
.
เขายกตัวอย่างว่า:
.
เด็กอาจมีคุณธรรมบางอย่าง แต่ยังขาดการตัดสินใจที่แม่นยำ เพราะยังไม่มี phronesis
.
คนฉลาดบางคน (เช่น นักวิจัย) อาจมี episteme แต่ขาดปรีชาญาณในชีวิตจริง
.
.
22. มิตรภาพ ความดีที่งอกงามระหว่างมนุษย์
.
“Without friends, no one would choose to live, though he had all other goods.”
.
นี่ไม่ใช่คำพูดของนักกวีโรแมนติก แต่ของนักปรัชญาผู้เคร่งครัดอย่างอริสโตเติล
.
เขาเห็นว่ามิตรภาพคือแก่นของชีวิตที่ดี เป็นทั้งความสุข การกระทำทางจริยธรรม และเป็นรากฐานของรัฐที่มั่นคง
.
มนุษย์ไม่ได้ต้องการเพื่อนเพราะเหงา แต่เพราะ “การใช้ชีวิตที่ดี” ต้องมีผู้อื่นอยู่ด้วย
.
ทำไมเราจึงต้องมีเพื่อน?
.
เพราะมนุษย์คือสัตว์การเมือง (political animals)
.
เพราะการกระทำคุณธรรม ต้องมี “ผู้รับ” (เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความยุติธรรม)
.
เพราะแม้แต่ผู้มีปรีชาญาณก็ต้องการ “ผู้ร่วมรับรู้ความดีงาม”
.
เพราะความสุขสมบูรณ์ ต้องแบ่งปันได้
.
“The friend is another self.”
.
.
23. มิตรภาพ 3 ประเภท
.
เพราะอริสโตเติลเป็นนักตรรกะ เขาจึงหยิบมีดโกนตรรกะออกมาแล่ให้เห็นชัดว่ามี “สามแบบหลัก” ว่าทำไมมนุษย์จึงรักกัน
.
.
23.1 มิตรภาพแบบผลประโยชน์ (Friendship of Utility)
.
นี่คือความสัมพันธ์แบบ “เพื่อนร่วมธุรกิจ” หรือ “พันธมิตรทางผลประโยชน์”
แต่ละฝ่ายมีบางสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ = อำนาจ เงิน เส้นสาย การสนับสนุน หรือแม้แต่ความสะดวก
.
เมื่อผลประโยชน์หมดลง มิตรภาพก็มักหมดอายุไปพร้อมกัน
.
อริสโตเติลไม่ได้บอกว่ามิตรภาพแบบนี้เลวร้าย
เขาเพียงเตือนว่า มันเปราะบาง เพราะมันผูกอยู่กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงง่ายที่สุดในโลก: ผลประโยชน์
.
.
23.2 มิตรภาพแบบความเพลิดเพลิน (Friendship of Pleasure)
.
นี่คือเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้ว “สนุก” เพื่อนเที่ยว เพื่อนคุย เพื่อนแชร์มีม เพื่อนดื่มเบียร์
เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความสบายใจ คลายเครียด หรือความชอบคล้ายกัน
.
แต่เมื่อความสนุกหมด หรือความชอบเปลี่ยน ทิศทางของมิตรภาพก็แปรตาม
.
มิตรภาพแบบนี้มักเกิดในวัยหนุ่มสาว
มีไฟแรง มีเวลามาก แต่ยังไม่เสถียร
เป็นของจริงในขณะหนึ่ง แต่ไม่รับประกันอายุการใช้งาน
.
.
23.3 มิตรภาพแบบคุณธรรม (Friendship of Virtue)
.
นี่คือระดับสูงสุดของมิตรภาพ
ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่อีกฝ่ายมี แต่จากสิ่งที่อีกฝ่าย “เป็น”
.
ทั้งสองฝ่ายรักกัน เพราะต่างชื่นชมในคุณธรรมของกันและกัน
ไม่ใช่เพราะได้อะไร ไม่ใช่เพราะสนุก
.
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนดี และทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นเช่นกัน
.
“Perfect friendship is the friendship of men who are good, and alike in virtue.”
.
มิตรภาพแบบนี้เกิดช้า ต้องใช้เวลาในการรู้จักกันอย่างแท้จริง
ต้องเกิดในผู้ที่มีคุณธรรมจริง ไม่ใช่แค่คนที่ “อยากดูดี”
แต่มันมั่นคง ลึกซึ้ง และเติบโตได้แม้เงื่อนไขรอบข้างจะเปลี่ยน
.
.
อริสโตเติลไม่ได้บอกว่ามิตรภาพแบบที่ 1 กับ 2 ไม่ควรมี
เขาแค่บอกว่า เราต้องรู้ว่า เรากำลังรักใคร ด้วยเหตุผลใด
และไม่ควรเอา “รักเพื่อผลประโยชน์” ไปคาดหวังให้ได้ความลึกซึ้งระดับ “รักเพราะคุณธรรม”
เพราะนั่นคือสูตรแห่งความเจ็บปวด
.
.
24. มิตรภาพจบลงได้ไหม?
.
ได้แน่นอน โดยเฉพาะประเภทที่เกิดจากประโยชน์หรือความเพลิดเพลิน
.
แต่ในกรณี “มิตรภาพแท้”:
.
ถ้าอีกฝ่ายกลายเป็นคนชั่วจริงๆ → เราสามารถเลิกคบได้
ถ้าอีกฝ่ายยังดีอยู่ แต่เราคิดว่าเขาเปลี่ยน = ต้องใช้ “การทบทวนเจตนา” ก่อนตัดสินใจ
.
“It is not the same man, and one should not expect to love him as before.”
.
.
25. มิตรภาพคือการรู้จักตนผ่านผู้อื่น
.
“In loving a friend, a man loves what is good for himself.”
.
อริสโตเติลเสนอว่ามิตรภาพเปรียบเหมือน “กระจก” ที่สะท้อนตัวตนของเรา:
.
เราเห็นคุณธรรมของตนผ่านการปฏิบัติต่อเพื่อน
เราเรียนรู้ความหมายของการกระทำที่ดีผ่านการใส่ใจผู้อื่น
และเมื่อเรามีเพื่อนที่ดี = เขาทำให้เราดีขึ้น
.
.
26. คนดีจะรักตนเองมากกว่าผู้อื่น?
.
“The good man is a lover of self in the truest sense.”
.
อริสโตเติลกลับมาที่ประเด็นลึก:
.
คนดี “รักตัวเอง” ไม่ใช่ในทางเห็นแก่ตัว
แต่คือรัก “ในสิ่งที่ดีในตนเอง” เช่น ความยุติธรรม ความกล้าหาญ
.
และเพราะรักสิ่งดีงามในตนเอง
เขาจึงยินดีแบ่งปันความดีนั้นแก่ผู้อื่นโดยไม่ลังเล
.
.
27. ชีวิตแห่งการใคร่ครวญ และความสุขสูงสุดของมนุษย์
.
“Happiness is an activity of the soul in accordance with virtue… in a complete life.”
.
ในตอนต้นของหนังสือ อริสโตเติลตั้งคำถามว่า “ความสุข” (eudaimonia) คืออะไร
.
ในตอนจบ เขาพาเรากลับมาหาคำถามเดิม — แต่คราวนี้มีความเข้าใจที่ลึกขึ้น
.
.
ความสุขแบบไหน “ดีที่สุด”?
.
เมื่อพูดถึง “ความสุข” (eudaimonia) อริสโตเติลไม่ได้แปลว่ามันคือการนอนอาบแดด ดูซีรีส์ และกินเค้ก
.
เขาไม่มองความสุขเป็นแค่เรื่องของอารมณ์ชั่วคราว แต่คือสภาวะการมีชีวิตที่ดี
.
ชีวิตที่ “สมบูรณ์” “เต็มศักยภาพ” และ “งดงามในตัวมันเอง”
.
เขาเสนอว่า ความสุขมีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ จากล่างสุดที่ผูกกับร่างกาย ไปจนถึงระดับสูงสุดที่เชื่อมกับปัญญา
.
.
ระดับที่ 1: Pleasure ความสุขทางกาย
.
คือความสุขที่เกิดจากประสาทสัมผัส = การกินอาหารอร่อย การได้พักผ่อน การมีเซ็กส์ การหัวเราะกับมุกในกลุ่มเพื่อน
มันง่าย เข้าถึงได้ทุกคน และเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์
.
แต่ปัญหาคือ...
.
มัน “ไม่มั่นคง” และ “พึ่งพาภายนอกสูงมาก”
เราต้องการสิ่งเร้าจากภายนอก และเมื่อสิ่งนั้นหายไป ความสุขก็หายไปด้วย
.
ความสุขแบบนี้ดีในขณะหนึ่ง แต่หากชีวิตทั้งชีวิตวนเวียนกับ pleasure
อริสโตเติลบอกว่า เรากำลังมีชีวิตแบบทาสของสิ่งเร้า
.
.
ระดับที่ 2: Practical life ชีวิตพลเมืองที่มีคุณธรรม
.
นี่คือความสุขจากการทำสิ่งที่ดี มีคุณธรรม มีจุดยืน มีเกียรติในฐานะสมาชิกสังคม
มันคือชีวิตของนักปกครองที่ยุติธรรม ทหารที่กล้าหาญ พลเมืองที่เสียสละเพื่อส่วนรวม
.
ความสุขระดับนี้มั่นคงกว่าระดับแรก
.
เพราะมันเกิดจาก ลักษณะนิสัย และ การกระทำที่มีเหตุผล ไม่ใช่สิ่งเร้าชั่วคราว
แต่มันยังคง “พึ่งพาผู้อื่น” อยู่บ้าง เช่น เราอาจต้องมีสังคมที่ยุติธรรมให้เราทำดีได้ หรือมีผู้คนให้เราช่วยเหลือ
.
อย่างไรก็ตาม นี่คือระดับที่อริสโตเติลบอกว่าเหมาะกับมนุษย์ทั่วไป และเป็นเป้าหมายของรัฐที่ดี
.
.
ระดับที่ 3: Contemplation การพิจารณาอย่างมีปัญญา
.
นี่คือระดับที่สูงสุด และใกล้เคียงกับ “เทพเจ้า” มากที่สุดในมนุษย์
.
คือการใช้เหตุผลสูงสุดเพื่อใคร่ครวญในสิ่งที่เป็นอมตะ ไม่เปลี่ยนแปลง และดีงามโดยตัวมันเอง
.
อริสโตเติลเรียกกิจกรรมนี้ว่า theoria = การพิจารณาที่ลึกซึ้งแบบปราศจากผลประโยชน์
.
“Of all the activities, the activity of contemplation is the highest.”
.
ความสุขระดับนี้แทบไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นเลย
.
มันเกิดจากภายใน เป็นกิจกรรมของวิญญาณตามเหตุผล (soul in accordance with reason)
.
และเพราะมันมีเป้าหมายในตัวมันเอง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง จึงมั่นคงกว่าทุกแบบ
.
.
28. ทำไม “ชีวิตแห่งการใคร่ครวญ” ถึงดีที่สุด?
.
เพราะ
.
28.1 เป็นกิจกรรมของสิ่งที่สูงสุดในมนุษย์
เราไม่ใช่แค่สัตว์ที่กินนอน
สิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ คือ “ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล” (nous)
.
.
28.2 เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อมันเอง
เราไตร่ตรอง เพราะมันดีงาม ไม่ใช่เพื่อได้เงินหรือคำชม
เป็นความสุขที่ “self-sufficient” อย่างแท้จริง
.
.
28.3 มั่นคงที่สุด
ความรู้ไม่เสื่อมถอยง่าย ไม่เหมือนร่างกายหรือชื่อเสียง
ไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก
.
.
28.4 ใกล้เคียงกับ “พระเจ้า” ที่สุด
อริสโตเติลกล่าวถึง “เทพผู้คิดถึงตนเอง” (theos noēsis noēseōs)
และบอกว่าเราจะเป็นเหมือนเทพมากที่สุด เมื่อ “คิดด้วยเหตุผลบริสุทธิ์”
.
.
ความสุข = กิจกรรมที่ดีที่สุดของจิตวิญญาณ
.
จิตวิญญาณที่ดีที่สุด = ส่วนที่ใช้เหตุผล (rational soul)
.
กิจกรรมของมัน = การใคร่ครวญ
.
และสรุปว่า… “Therefore, happiness must be a kind of contemplation.”
.
.
แล้วชีวิตปกติแบบเราๆ ยังนับว่า “ดี” ไหม?
.
นับ เพราะแม้ theoria จะสูงสุด แต่ bios praktikos (ชีวิตการกระทำ) ก็ยัง “ดี” และ “จำเป็น”
.
อริสโตเติลจึงเสนอว่า:
.
คนดีไม่ต้อง “หลบโลกไปคิดในถ้ำ”
แต่ควรสร้าง “ชีวิตที่ดี” ในโลกจริง
และเมื่อทำได้ ก็จะสามารถ “ขึ้นไปถึงระดับสูงสุด” ด้วยการพิจารณาความจริงอย่างมีคุณภาพ
.
.
29. บทบาทของการศึกษา (Education)
.
“The legislator must make the citizens good by forming habits in them.”
.
อริสโตเติลหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น:
.
หน้าที่ของรัฐ = สร้างคนดี
.
ผ่าน “กฎหมาย” ที่ส่งเสริมคุณธรรม
ผ่าน “ระบบการศึกษา” ที่ฝึกจิตใจตั้งแต่เยาว์วัย
และ “ปฏิบัติการซ้ำๆ” ที่ฝังคุณธรรมไว้ในนิสัย
.
เขาย้ำว่า “การศึกษา” ไม่ใช่แค่เรื่องท่องจำ แต่เป็น “การหล่อหลอมจิตใจให้ชอบในสิ่งดี”
.
“For education must make us take delight in what is noble and be pained by what is base.”
.
.
30. สรุป Nicomachean Ethics ของอริสโตเติล
.
1. มนุษย์ทุกคนแสวงหา “ความดี”
.
2. ความดีสูงสุดคือ “ความสุข” (eudaimonia)
.
3. ความสุข = กิจกรรมของจิตวิญญาณตามคุณธรรม ตลอดชีวิต
.
4. คุณธรรมต้องฝึกฝนผ่านการกระทำซ้ำๆ
.
5. คุณธรรมต้องควบคู่กับปรีชาญาณ (phronesis)
.
6. มิตรภาพคือสนามแห่งคุณธรรมในชีวิตจริง
.
7. ความสุขสูงสุดคือ “ชีวิตแห่งการใคร่ครวญ” (theoria)
.
8. รัฐมีหน้าที่ฝึกฝนจิตใจประชาชนให้เข้าถึงคุณธรรมนั้น
.
.
“To be happy is to live well and to act well.”
.
“We must not listen to those who advise us to think human thoughts, since we are human… but to the one who tells us to think as immortal.”
.
“The energy of the soul in accordance with reason is the highest good for man.”
.
.
=========================
.
ความดีตามแบบของอริสโตเติลไม่ใช่การเป็นนักบุญติดปีก
.
แต่คือการเป็นมนุษย์ที่ไม่ไหลไปตามความอยากเหมือนหมูที่เจอรำข้าว
.
ไม่ฝืนเหมือนหุ่นยนต์ที่ตั้งค่าให้ใจเย็น
.
และไม่ตื่นตูมเหมือน influencer ที่ยอดไลก์ตก
.
ความดีไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง มันคือ “ทางสายกลาง” ที่ต้องฝึกฝนด้วยการกระทำซ้ำๆ จนกลายเป็นนิสัย คือการกลัวในสิ่งที่ควรกลัว โกรธในเวลาที่ควรโกรธ ใช้เงินในโอกาสที่เหมาะสม และยอมลำบากเพื่อสิ่งที่ควรลำบาก
.
คุณธรรมไม่ได้สำเร็จในวันเดียว และไม่ได้เป็นแค่ของตกแต่งในชีวประวัติ แต่มันคือกระดูกสันหลังของการใช้ชีวิตที่ดี ชีวิตที่ไม่ไหลไปตามอารมณ์ ไม่ฟุ้งไปกับเป้าหมายเทียม แต่ตั้งมั่นอยู่กับการ “ทำดีให้ถูก” ในทุกวัน ด้วยสติ เหตุผล และความรู้ว่าเราคือมนุษย์ผู้มีศักยภาพจะเป็นมากกว่าแค่ผู้เสพความสุขนั่นเองครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies