สรุปหนังสือ Being and Time โดย Martin Heidegger

มีบางอย่างในโลกนี้ที่คุณไม่ควรอ่านขณะง่วง เช่น กฎจราจร, รายงานประชุม, และ Being and Time ของ Martin Heidegger
.
ใช่ครับ หนังสือเล่มนี้หนาเท่าก้อนอิฐแต่ไม่มีใครใช้สร้างบ้าน เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อทำลายบ้านแห่งความเข้าใจแบบเก่า
.
แล้วโยนผู้อ่านเข้าไปอยู่กลางป่าอันมืดมนของคำถาม
.
“ฉันเป็นใคร?”, “อะไรคือการดำรงอยู่?”, “และเราจะหากางเกงที่ไม่มีความหมายได้ที่ไหน?”
.
Heidegger ไม่ได้เขียนหนังสือให้คนอ่าน แต่เขียนให้คนหลงทางด้วยกัน
.
เพราะในโลกของเขา...
.
นาฬิกาไม่ได้บอกเวลา แต่คือความรู้สึกว่ากำลังใกล้ตาย
.
เก้าอี้ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ แต่คือการเปิดเผยของ Being ผ่านบริบทแห่งการนั่ง
.
และมนุษย์...ไม่ใช่มนุษย์ แต่คือ “Dasein” ที่รู้ว่าตัวเองจะตาย และยังต้องตอกบัตรทำงานทุกวัน
.
ดังนั้น ก่อนที่คุณจะเริ่มบทความนี้:
.
ถ้าคุณกำลังหาปรัชญาแบบ "สอนใช้ชีวิต" สไตล์ไลฟ์โค้ช
✘กดออกไปดูคลิปธรรมะได้เลยครับ
.
ถ้าคุณคิดว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่วิ่งหาความสุข
✘ Heidegger จะบอกว่าคุณเข้าใจผิดหมดตั้งแต่ยังไม่ตื่นนอน
.
แต่ถ้าคุณเคยนั่งเงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนหล่นลงไปในหลุมดำทางอารมณ์ พร้อมคำถามว่า
.
“นี่เรามีอยู่เพื่ออะไรกันแน่?” = คุณมาถูกที่แล้ว
.
ขอต้อนรับเข้าสู่การเดินทางอันยาวนาน (อันเป็นเรื่องปกติของเพจนี้)
.
ที่จะทำให้คุณไม่สามารถกลับไปใช้คำว่า “การมีอยู่” ได้อย่างเดิมอีกต่อไป
.
และบางที แม้แต่การเรียกตัวเองว่า “มนุษย์” ก็อาจรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นเล็กน้อย
.
.
หมายเหตุ: หนังสือเล่มนี้เนื้อหาค่อนข้างซับซ้อน แอดทำเวอร์ชั่นสรุปแบบอ่านง่ายๆไว้ท้ายบทความครับ
.
.
====================
.
1. เรารู้ไหมว่า “Being” คืออะไร?
.
เปิดฉากของหนังสือ Heidegger ทำสิ่งที่ปรัชญาสมัยใหม่แทบไม่ทำ: เขาย้อนกลับไปถามคำถามพื้นฐานที่แม้แต่เด็ก 5 ขวบยังกล้าถามได้ว่า
.
“การดำรงอยู่คืออะไร?”
.
และที่น่าตกใจกว่าคือ… ไม่มีใครตอบได้แม้จะใช้คำนี้ทุกวัน
.
ไฮเดกเกอร์บอกว่า คำว่า “being” (Sein) ถูกใช้งานอยู่ตลอดในทุกวิชา ทุกประโยค ทุกความเข้าใจ เช่น “หมาคือสัตว์” หรือ “โลกดำรงอยู่” แต่ไม่มีใครเคยถามอย่างจริงจังเลยว่า คำว่า “ดำรงอยู่” นั้นหมายถึงอะไรกันแน่
.
.
2. ทำไมคำถามนี้จึงสำคัญ?
.
Heidegger ยกเหตุผลสำคัญ 3 ประการว่าทำไมเราควรกลับมาคิดใหม่:
.
.
A. คำว่า “Being” กว้างที่สุด แต่ก็คลุมเครือที่สุด
.
มันไม่ใช่แนวคิดจำพวก “ประเภท” หรือ “หมวดหมู่” ที่เรานำมาแบ่งกลุ่มสิ่งของ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ “เบื้องหลัง” ทั้งหมด เป็นกรอบที่ใหญ่กว่ากรอบใดๆ ทั้งหมด
.
.
B. Being นิยามไม่ได้ (Indefinable)
.
เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เป็น “สิ่งของ” หรือ “คุณสมบัติ” ที่เราสามารถชี้จับได้ตรงๆ มันไม่อยู่ในกลุ่มเดียวกับสิ่งมีชีวิต หรือวัตถุ หรือแนวคิดอื่นใด
.
.
C. คนคิดว่ารู้ ทั้งที่ไม่รู้
.
เราใช้คำว่า "being" ได้ลื่นไหลราวกับไม่มีปัญหา แต่ความเข้าใจนั้นกลับ "คลุมเครือระดับชาติ" ซึ่งทำให้เราชะล่าใจ คิดว่าเข้าใจแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้แตะขอบเขตของคำถามด้วยซ้ำ
.
คำถามเรื่อง being จึงเป็นคำถามที่ “ลืมไปนานที่สุด” และควรถูกปลุกขึ้นมาใหม่
.
.
3. เราจะตั้งคำถามเรื่อง Being อย่างไร?
.
ไฮเดกเกอร์ให้โครงสร้างของคำถามแบบคลาสสิก:
.
สิ่งที่ถูกถามถึงคืออะไร? — Being
.
สิ่งที่ถูกถามผ่านคืออะไร? — สิ่งที่มีอยู่ (entities หรือ Seiendes)
.
สิ่งที่เราต้องการรู้คืออะไร? — ความหมายของ Being (Sinn von Sein)
.
เราต้องระวังว่า "Being" ไม่ใช่สิ่งที่เราจะ “หามาเพิ่ม” หรือ “นิยามด้วยคำอื่น” ได้เหมือนศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป เพราะมันเป็นสิ่งที่เรามีความเข้าใจคลุมเครืออยู่แล้วโดยอัตโนมัติ และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการค้นคว้า
.
.
4. แล้วเราควรเริ่มจากตรงไหน?
.
ไฮเดกเกอร์เสนอว่า ถ้าเราจะเข้าใจ “Being” ได้จริง เราควรเริ่มจากสิ่งที่ถามคำถามนี้ได้ และนั่นก็คือ “เรา” หรือในศัพท์เฉพาะคือ Dasein (ดาไซน์)
.
Dasein ไม่ใช่คำหรูหราที่ไว้เรียกมนุษย์ แต่หมายถึงสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในจักรวาลที่มีสติในการตั้งคำถามเรื่อง Being ของตัวเอง
.
Dasein คือสิ่งที่มี Being เป็นคำถามของตัวมันเอง
.
.
5. Dasein: มนุษย์ที่มี Being เป็นปัญหา
.
Dasein ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่คือมนุษย์ที่ หันกลับมาถามว่า “การดำรงอยู่ของเราคืออะไร?”
.
Heidegger เรียกลักษณะของ Dasein นี้ว่า “การดำรงอยู่อย่างมีความหมาย” (Existence)
มันไม่ใช่การอยู่เฉยๆ แต่คือ “การมีความเป็นไปได้ในการเป็น” และยังตระหนักถึงความเป็นไปได้นั้นด้วย
.
มนุษย์ไม่ได้แค่ “มีชีวิต”
แต่มนุษย์เป็น “สิ่งที่ต้องเลือกว่าจะมีชีวิตแบบไหน”
และเมื่อไม่เลือก ก็ยังถือว่าเลือกแบบไม่เลือกอยู่ดี
.
.
6. การเข้าใจ Being ผ่าน Dasein
.
หากเราต้องการเข้าใจ Being อย่างแท้จริง เราต้องเริ่มวิเคราะห์ “Dasein”
.
เพราะมันคือ “ผู้ถาม” ที่ฝังรากคำถามเรื่อง Being ไว้ในตัวเอง
.
และนี่คือที่มาของคำว่า “Analytic of Dasein” = การวิเคราะห์โครงสร้างการดำรงอยู่ของ Dasein อย่างเป็นระบบ
.
เป้าหมายของไฮเดกเกอร์จึงไม่ใช่การอธิบายโลกหรือสิ่งของในโลกก่อน
.
แต่คือ “การเข้าใจคนที่เข้าใจสิ่งของ” หรือพูดง่ายๆ คือ
.
เราต้องเข้าใจ “ผู้รับรู้” ก่อนจะพูดถึง “สิ่งที่ถูกรับรู้”
.
.
7. Ontological vs Ontical
.
Heidegger แยกความเข้าใจเป็น 2 แบบ
.
Ontical: การพูดถึงสิ่งที่มีอยู่ เช่น ประวัติศาสตร์ ฟิสิกส์ ชีววิทยา — พูดถึงสิ่งที่ “เป็น” อย่างเชิงปริมาณหรือเชิงเหตุผล
.
Ontological: การตั้งคำถามว่า “Being” ของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร — พูดถึง ลักษณะของการดำรงอยู่ ที่อยู่ลึกกว่าความรู้ใดๆ
.
และเขาชี้ว่า ความรู้แบบ Ontical ทั้งหมดในโลกจะ “หลงทิศ” หากไม่ตั้งอยู่บนฐาน ontological ที่มั่นคงก่อน
.
.
8. การวิเคราะห์ Dasein
.
เขาเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “การทำลาย (Destruction) ประวัติศาสตร์ปรัชญาแบบเดิม”
.
เพื่อปูทางสำหรับ “พื้นฐานเชิงมูลราก (fundamental ontology)” ที่จะเกิดขึ้นใหม่
.
ไฮเดกเกอร์เริ่มต้นการวิเคราะห์ Dasein โดยย้ำว่า
.
หากจะเข้าใจ "Being" ของ Dasein ได้จริง ต้องเข้าใจว่า Dasein ไม่ใช่แค่ “สิ่งที่อยู่ในโลก” แบบหิน ก้อนอิฐ หรือลูกโป่ง
.
Dasein มีลักษณะพิเศษคือมันมีความเข้าใจ “โลก” อยู่ในตัว
.
มันมีปฏิสัมพันธ์กับโลกผ่านความสัมพันธ์ ความหมาย และเป้าหมาย
.
และนั่นทำให้ “Being” ของ Dasein แตกต่างจากสิ่งอื่นๆ โดยสิ้นเชิง
.
.
9. Being-in-the-world: ไม่ใช่แค่อยู่... แต่คือ "มีโลก"
.
ไฮเดกเกอร์เสนอคำศัพท์สำคัญคือ
.
Being-in-the-world (การดำรงอยู่ในโลก)
.
ซึ่งไม่ใช่คำอธิบายเชิงภูมิศาสตร์ (แบบ “มนุษย์อยู่บนโลก”)
.
แต่คือโครงสร้างพื้นฐานที่สุดของมนุษย์
.
“Being-in-the-world” ไม่ใช่ “มนุษย์อยู่ในโลก”
.
แต่คือ “ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างการเป็น, การรับรู้, และโลก”
.
มันมีองค์ประกอบสามส่วนที่เกี่ยวพันกันแน่น:
.
1. In-the-world: โลกไม่ใช่ฉากหลัง แต่เป็นสิ่งที่เราดำรงอยู่ “ภายใน” อย่างอินทรีย์
.
2. Being: การดำรงอยู่ของ Dasein คือการมีโลกอยู่เสมอ ไม่มี Dasein ที่ไม่มีโลก
.
3. Dasein: ผู้ที่รับรู้ สื่อสาร ปฏิบัติ และอยู่กับโลกนั้นอย่างมีความหมาย
.
ไฮเดกเกอร์บอกว่า เราไม่ควรเข้าใจ “โลก” ว่าเป็นสิ่งของรวมหรือแผนที่
.
แต่ต้องเข้าใจ “โลก” ว่าเป็นระบบของความหมายที่เราดำรงอยู่ภายใน
.
.
10. การรู้จักโลก = การกระทำในโลก
.
หนึ่งในความเข้าใจผิดของปรัชญาตะวันตกคือ
.
เชื่อว่าเรารู้จักโลกผ่าน “การมอง” หรือ “การคิด” (theory-based knowledge)
.
แต่ไฮเดกเกอร์บอกว่า นั่นเป็นแค่ “ชั้นผิวบางๆ” เท่านั้น
.
เรารู้จักโลกผ่านการใช้มัน ไม่ใช่ผ่านการ “มองมัน”
.
ตัวอย่าง:
.
คุณเข้าใจ "ค้อน" ไม่ใช่จากการสังเกตว่ามันมีด้ามไม้
.
แต่จากการ “ตอกตะปู” กับมัน หรือจาก “การขาดมัน” เมื่อต้องใช้งาน
.
นี่คือสิ่งที่ไฮเดกเกอร์เรียกว่า ready-to-hand (พร้อมใช้งาน)
.
และตรงข้ามกันคือ present-at-hand (ปรากฏตรงหน้าแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา)
.
.
11. Ready-to-hand vs Present-at-hand
.
ไฮเดกเกอร์เสนอว่า สิ่งของต่างๆ ในโลกไม่ได้ “ดำรงอยู่” แค่ในแบบที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่า หรือวัดผลได้ด้วยวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมี “โหมด” ของการดำรงอยู่ (Mode of Being) ที่แตกต่างกันสองแบบ ซึ่งกำหนดว่าเราจะเข้าใจโลกอย่างไร:
.
.
11.1 Ready-to-hand (Zuhandenheit):
.
สิ่งของที่เราใช้งานโดยไม่รู้ตัว เช่น ปากกาในมือ มือถือในกระเป๋า หรือเบรกในรถยนต์ เราไม่ได้ “สังเกต” ว่ามันอยู่ตรงนั้น แต่ “ใช้มัน” อย่างลื่นไหล มันคือสิ่งที่ฝังอยู่ในบริบทของการกระทำ — ไม่ได้อยู่ตรงหน้าในฐานะวัตถุ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต
.
.
11.2 Present-at-hand (Vorhandenheit):
.
สิ่งของที่เราถูกบังคับให้ย้อนกลับมาสังเกต เช่น เมื่อมือถือเสีย เราถึงจะเริ่มวิเคราะห์ว่ามันหนักแค่ไหน ทำงานยังไง มีองค์ประกอบอะไรบ้าง วัตถุถูก “วางห่าง” ออกมาให้เราดูแบบนักวิทยาศาสตร์ มันกลายเป็นวัตถุที่อยู่ตรงหน้าแบบตัดขาดจากบริบทของการใช้งาน
.
ไฮเดกเกอร์วิจารณ์ว่า โลกของปรัชญาและวิทยาศาสตร์มักเน้นแต่ present-at-hand = ลากทุกสิ่งออกมาวางบนโต๊ะ แล้ววัดมันด้วยตรรกะและกฎเกณฑ์
.
แต่ชีวิตจริงของมนุษย์ (Dasein) กลับดำเนินไปในโหมดของ ready-to-hand เกือบตลอดเวลา = เรามีชีวิตอยู่กับสิ่งของที่เรามักไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ตรงนั้น เพราะเรากำลัง “ใช้” มันอยู่ตลอด
.
การเข้าใจการดำรงอยู่จึงไม่ได้เริ่มที่การ “มอง” หรือ “วัด” แต่ที่การ “อยู่กับ” และ “ลงมือทำ” และนั่นคือโลกของเราจริงๆ ที่วิทยาศาสตร์มองข้าม
.
.
12. โลก = ระบบความหมาย (Significance Structure)
.
คำว่า “โลก” ไม่ใช่ดาวเคราะห์ แต่คือโครงสร้างของ “ความหมายและความสัมพันธ์” ที่ผูกพันกับ Dasein ตลอดเวลา
.
แก้วน้ำคือ “ของใช้” เพราะมันมี “เป้าหมาย” (ดื่ม)
.
เป้าหมายถูกโยงกับ “บริบท” (การทำงาน, การพักผ่อน)
.
ทุกสิ่งจึงมีความหมายภายในระบบที่เชื่อมโยงกันแบบเครือข่าย
.
นี่คือสิ่งที่ไฮเดกเกอร์เรียกว่า worldhood of the world (โลก-ใน-ฐานะ-โลก)
.
โลกจึงไม่ใช่สิ่งที่เราสังเกตอย่างเป็นกลาง แต่คือ “ระบบที่มีความหมายเฉพาะสำหรับเรา”
.
.
13. เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
.
Dasein ไม่ได้อยู่แบบตัวคนเดียว
.
มันอยู่กับสิ่งที่ไฮเดกเกอร์เรียกว่า “Being-with” (Mitsein)
.
ซึ่งหมายถึง การดำรงอยู่กับผู้อื่นเสมอ แม้จะอยู่ลำพังก็ตาม
.
เพราะการอยู่ลำพังเองก็เป็น "โหมด" หนึ่งของการอยู่ร่วมกับสังคม
.
นี่นำไปสู่แนวคิดที่สำคัญอีกข้อ:
.
“The They” (Das Man): “คนทั่วไป” หรือ “ใครก็ไม่รู้ที่เราทำตามอยู่ทุกวัน”
.
เช่น:
“ต้องแต่งตัวแบบนี้เพราะคนอื่นใส่กัน”
“ต้องเรียนแบบนี้เพราะเขาว่ากันว่า...”
“อย่าทำแบบนั้น เดี๋ยวคนจะมองแปลกๆ”
.
เราจึงมีแนวโน้มที่จะหลอมรวมตัวเองเข้ากับ “They” และสูญเสียความเป็นตัวเอง
.
.
14. Idle Talk, Curiosity, Ambiguity = ตกสู่โลก (Fallenness)
.
Dasein ไม่ได้อยู่ในสภาพตื่นรู้ตลอดเวลา
.
มันตกหล่นเข้าไปอยู่ใน 3 โหมดที่ทำให้เรา “กลายเป็นสิ่งของ” ของโลก:
.
Idle Talk (Gerede) = พูดตามๆ กัน โดยไม่รู้แก่น
.
Curiosity (Neugier) = อยากรู้ทุกอย่าง แต่ไม่ลึกอะไรเลย
.
Ambiguity (Zweideutigkeit) = ไม่มีความชัดเจน ทุกอย่าง “ดูเหมือน” จริงไปหมด
.
ทั้งสามอย่างทำให้เรา “ตกจากการเป็นตัวเอง” และหลงไปกับ "They"
.
.
15. ความรู้คือผลพลอยได้ของการกระทำ
.
ไฮเดกเกอร์ย้ำว่า เรารู้จักโลกผ่านการ “ใช้งาน” และ “มีเป้าหมาย” กับมันก่อน
.
ความรู้เชิงทฤษฎีเป็น “ผลพลอยได้” ไม่ใช่จุดเริ่มต้น
.
การรู้คือการตีความ และการตีความคือ “การอยู่ในโลกแบบหนึ่ง”
.
ไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่คือ “การดำรงอยู่ร่วมกับความหมาย” ตลอดเวลา
.
.
16. การดำรงอยู่คือ “ภาวะของเรา”
.
Heidegger วางรากฐานว่า Dasein ไม่ใช่แค่อยู่ในโลกแบบสิ่งของ
.
แต่คือ “อยู่ในโลกอย่างมีความหมาย” (Being-in-the-world)
.
ตอนนี้เขาเจาะลึกไปอีกว่า... แล้วภายใน Dasein นั้นประกอบด้วย “ภาวะ” อะไร?
.
สิ่งแรกที่เขาอธิบายคือ ภาวะอยู่ (state-of-mind หรือ Befindlichkeit)
.
ซึ่งไม่ใช่อารมณ์แบบ “ฉันเศร้า” หรือ “ฉันดีใจ” แต่คือ “ความรู้สึกเบื้องหลัง” ที่เปิดโลกให้เรารับรู้ได้ในแต่ละช่วงเวลา
.
Heidegger ยกตัวอย่างที่โด่งดังมาก: ความกลัว (fear)
.
เราไม่ได้กลัว “อะไรบางอย่าง” แบบเดี่ยวๆ
.
แต่ความกลัวเปิด “โลกของภัยคุกคาม” ให้ปรากฏ
.
มันโยงถึงเรา (ที่อ่อนแอ) สิ่งนั้น (ที่น่ากลัว) และความเป็นไปได้ (ที่จะเกิดอันตราย)
.
ความกลัวไม่ใช่อารมณ์ส่วนตัว แต่คือการเปิดพื้นที่ของ Being
.
และจากนั้น เขาบอกว่าความรู้สึกพื้นฐานที่สุดที่เปิด Being ได้แท้จริง คือ...
.
.
17. Anxiety (ความวิตก): อารมณ์ที่ดาไซน์แทบหนีไม่พ้น
.
ต่างจาก fear ที่มี “สิ่งที่น่ากลัว” ระบุชัดเจน
.
ความ anxiety คือ “ความไม่มั่นคงในตัว Being ของเราเอง”
.
มันไม่กลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่มันคือความรู้ว่าโลกทั้งโลกไม่มีอะไรให้ยึด
.
มันเปิดให้เรารู้ว่า เราคือตัวเราที่ไม่มีอะไรรองรับ
.
และนั่นเองคือช่วงเวลาที่ Dasein เริ่มตื่นรู้ว่าตัวเอง “มี Being”
.
ไม่ใช่เพราะสบายดี แต่เพราะตกอยู่ในภาวะที่ไม่มีความมั่นคงเหลืออยู่
.
.
18. ความเข้าใจ (Understanding) = ความสามารถในการ “เปิดความเป็นไปได้”
.
Heidegger ถอดนิยามของ “ความเข้าใจ” ออกจากการเป็นกระบวนการทางสมอง
.
เขาบอกว่า:
.
“เข้าใจ” ไม่ใช่เพราะคิดเก่ง
.
แต่เพราะ “อยู่ในโลก” อย่างที่สามารถ เห็นความเป็นไปได้ของตนเองได้
.
ยกตัวอย่าง:
.
คนใช้เครื่องมือไม่ใช่เพราะท่องคู่มือ แต่เพราะ “เห็นวิธีใช้มันในบริบทชีวิตจริง”
.
ความเข้าใจคือความสามารถของ Dasein ที่จะโยนตัวเองไปสู่อนาคต
.
.
19. การตีความ (Interpretation) = การทำความเข้าใจให้เป็นรูปธรรม
.
เมื่อเราทำความเข้าใจได้แล้ว เราจะต้องตีความ (Auslegung)
.
คือการ “ระบุ” และ “ทำให้ชัด” ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีไว้ทำอะไร อยู่ตรงไหนในโลกความหมายของเรา
.
ตัวอย่าง: “เก้าอี้” ไม่ได้แค่เป็นวัตถุสี่ขา แต่เรา “ตีความมันว่าเป็นที่นั่งพักผ่อน”
.
การตีความไม่ใช่กระบวนการคิดทางปรัชญา แต่มันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันทุกวินาที
.
ไฮเดกเกอร์บอกว่า ทุกความเข้าใจย่อมตีความ และทุกการตีความเริ่มจาก อคติ
ใช่ครับ เขาใช้คำว่า “prejudices” แต่มองว่ามันจำเป็นต่อการตีความ เพราะมนุษย์เริ่มทุกอย่างจากบริบท
.
.
20. ภาษา (Discourse)
.
Discourse ไม่ใช่แค่การ “พูด” หรือ “สื่อสาร” แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้โลกปรากฏด้วยความหมาย”
.
การตีความเกิดขึ้นได้เพราะเรามี “ภาษา” ภายใน
.
ภาษาไม่ได้มีแค่ในคำพูด แต่มันคือ “การเปิดเผย” ว่าสิ่งหนึ่งหมายถึงอะไรภายในโลกของเรา
.
การพูดออกมาเป็นคำ (Assertion) เป็นแค่รูปแบบหนึ่งที่แยกออกมาจาก Discourse และไฮเดกเกอร์มองว่า… นี่เป็นจุดที่ปรัชญาผิดทางมาเป็นพันปี
.
.
21. Heidegger vs Aristotle คำพูดไม่ใช่แค่ “บอกว่าอะไรคืออะไร”
.
Aristotle มองว่า ประโยค (logos apophantikos) คือ “การเปิดเผยว่าอะไรเป็นอะไร” เช่น “แมวเป็นสัตว์”
.
แต่ Heidegger โต้ว่า…
.
การพูดเกิดจากการอยู่-ใน-โลก ก่อนจะเกิดความหมายระดับนามธรรม
.
คำว่า “แมว” มีความหมายได้เพราะมีโลกที่เรามีแมวอยู่ด้วย
.
ไม่ใช่เพราะเรารู้จัก “คำว่าแมว”
.
.
22. การตกหล่น (Fallenness): สภาวะของความหลงลืม Being
.
เรากลับมาเจอสามปรากฏการณ์ที่ทำให้ Dasein หลงลืมตัวเองอีกครั้ง:
.
Idle Talk = การพูดตามๆ กันแบบไม่เข้าใจเชิงลึก
Curiosity = การอยากรู้แบบ “อยากเห็นไปเรื่อย” แต่ไม่อยู่กับอะไรเลย
Ambiguity = ทุกอย่างดูจริง แต่ไม่มีอะไรชัดเจน ไม่มีแก่นสาร
.
Heidegger เรียกการที่ Dasein อยู่ใน idle talk, curiosity, ambiguity ว่าเป็นสภาวะของการ “ตก” หรือ fallenness (Verfallen)
.
ซึ่งไม่ได้หมายถึงการผิดศีลธรรม แต่มันคือการ “หลุดจากการเป็นตัวเอง”
.
เราดำรงอยู่โดย: ทำตาม “They”, ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไร, เข้าใจสิ่งต่างๆ แบบบางเบาเพียงผิวเผิน
.
และนั่นคือความเป็นจริงของชีวิตประจำวัน ซึ่ง Heidgger ไม่ได้ตำหนิ แต่ชี้ให้เห็นว่าเราหลงลืมความเป็นจริงของ Being ไปเพียงใด
.
.
23. การ “ใส่ใจ” (Care): โครงสร้างแม่บทของ Being ของ Dasein
.
โครงสร้างพื้นฐานที่สุดของ Dasein ไม่ใช่ “ความรู้” หรือ “การกระทำ”
.
แต่คือ Care (Sorge) = ความใส่ใจ, ความเป็นห่วง, ความมีส่วนพัวพัน, ความเกี่ยวข้อง
.
Care ไม่ได้แปลว่าความเมตตาหรือความรู้สึกดีๆ แต่คือโครงสร้างที่มี 3 มิติซ้อนกัน:
.
1. Thrownness (Geworfenheit) — เราไม่ได้เลือกเกิด เราถูก “โยนมา” สู่โลกนี้
.
2. Projection (Entwurf) — เราไม่หยุดอยู่กับปัจจุบัน แต่โยนตัวเองสู่อนาคต
.
3. Fallenness (Verfallen) — เราล้มลงสู่โลก เราหลงอยู่ใน The They
.
Heidegger ใช้คำว่า Geworfenheit (Thrownness)
.
ซึ่งหมายถึงว่า Dasein ไม่ได้กำเนิดตัวเอง ไม่ได้เลือกโลก ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์
.
เราถูก “โยนมา” พร้อมบริบท ภาษา สังคม ชื่อ อารมณ์
.
.
24. การรู้ว่าเราจะตาย Dasein เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้ว่ามีขีดจำกัด
.
Heidegger พาเราสู่แนวคิดอันเจ็บแสบอีกประการ
.
Dasein คือสิ่งที่ดำรงอยู่เพื่อจะตาย (Being-towards-death)
.
แต่มันไม่ใช่การคิดเรื่องความตายแบบปรัชญาหม่นๆ แต่คือการที่มนุษย์ “รู้ว่าตัวเองมีขอบเขต”
.
การรู้ว่าชีวิตมีขีดจำกัด ทำให้เราต้อง “เลือก”
.
และทำให้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ของตนเองได้อีก
.
Dasein จึงมี “ศักยภาพที่จะเป็นตัวเองอย่างแท้จริง”
.
เพราะมันรู้ว่าทุกความเป็นไปได้จะสิ้นสุด
.
และการกล้าที่จะอยู่ “อย่างตระหนักถึงความตาย” คือจุดเริ่มของ “ความแท้จริง” (Authenticity)
.
.
25. ความจริงคือ “การเปิดเผย” ไม่ใช่ความถูกต้อง
.
Heidegger พลิกแนวคิด “ความจริง” จากสิ่งที่สอดคล้องกับความจริงภายนอก
.
ไปสู่สิ่งที่เขาเรียกว่า Uncovering (Entdecktheit) = การเปิดเผยสิ่งที่มันเป็น
.
เขาวิจารณ์ความเข้าใจดั้งเดิมแบบ Aristotle ว่า
.
ความจริงไม่ใช่ “การจับคู่” ระหว่างความคิดกับโลก
.
แต่คือ “การเปิดให้บางสิ่งปรากฏในความเป็นของมัน”
.
และสิ่งที่สามารถ “เปิด” ให้โลกปรากฏได้คือ Dasein
.
เพราะมันมีความเข้าใจอยู่แล้วโดยโครงสร้างของ Being-in-the-world
.
.
26. ความจริงไม่ได้อยู่ในสมการ แต่อยู่ในการดำรงอยู่
.
Heidegger กล่าวว่าความจริง (truth) ไม่ได้เริ่มที่ภาษา หรือทฤษฎี
.
แต่มันเริ่มจาก “ความโปร่งใส” ที่ Dasein เปิดให้โลกปรากฏ
.
เมื่อเราตีความโลก เราเปิดบางสิ่งออกมา และ ซ่อนบางสิ่งไว้เสมอ
.
ทุกการเข้าใจคือการ “เปิดบางมิติ และละเลยบางมิติ” ไปพร้อมกัน
.
ดังนั้น ความจริงคือ “การอยู่กับโลกในแบบที่มันปรากฏกับเราโดยตรง” ซึ่งมีทั้ง “ความจริง” และ “การปิดบัง”
.
Dasein คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถ “พูดความจริง” ได้ เพราะมันมีโครงสร้างของการเปิดเผยและซ่อนเร้นอยู่ในตัว
.
.
27. โลกภายนอกไม่ต้องพิสูจน์ เพราะเรายืนอยู่ในมันอยู่แล้ว
.
ไฮเดกเกอร์โจมตีปัญหาคลาสสิกในปรัชญาตะวันตกว่า “เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีโลกภายนอก?” (problem of external world)
.
เขาบอกว่า คำถามนี้ผิดทิศตั้งแต่ต้น
.
เราไม่ต้อง “พิสูจน์โลก” เพราะเรากำลัง “อยู่ในโลก” อยู่แล้ว
.
Dasein มีความสัมพันธ์กับโลกอยู่ก่อนที่คำถามจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
.
ความสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว (พร้อมใช้งาน) เป็นหลักฐานของความจริงทางภววิทยา ไม่ใช่เพียงการรับรู้ทางประสาท
.
.
28. การแคร์คือหัวใจของมนุษย์ เราไม่ได้มีชีวิตเฉยๆ แต่เรา "รับผิดชอบ" ชีวิต
.
Heidegger สรุปว่าการมีอยู่ของมนุษย์ไม่ใช่แค่ “ดำรงอยู่”
.
แต่คือการ “แคร์” ต่อสิ่งต่างๆ ต่อโลก ต่อผู้อื่น ต่อความเป็นไปได้ของตนเอง
.
และการแคร์นี้ฝังอยู่ในทุกโครงสร้างของการเป็นมนุษย์
.
Care คือ:
.
การถูกโยนมา = เราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์
.
การโยนตัวสู่อนาคต = เรามีเป้าหมาย ความฝัน ความกลัว (โดยไม่ต้องพากย์เสียงแบบ Superman)
.
การตกหล่นสู่ความวุ่นวาย = เราอยู่ในสังคม-ภาษา-บริบท ที่กดทับเรา
.
และภายใต้ทั้งหมดนี้...เราคือสิ่งมีชีวิตที่ต้อง “ตัดสินใจว่าจะอยู่กับความเป็นไปได้ของตนเองอย่างไร”
.
.
29. การเผชิญหน้ากับความตาย
.
Heidegger ประกาศว่า
.
หากจะเข้าใจ Being อย่างเต็มที่ ต้องเข้าใจ “Being ของ Dasein ทั้งหมด”
.
และมันจะปรากฏขึ้นต่อเมื่อ Dasein มองเห็น “ขอบเขตสุดท้าย” ของตนเอง
.
ขอบเขตนั้นคือ “ความตาย”
.
ไม่ใช่ความตายแบบชีววิทยา
ไม่ใช่การหยุดหายใจ
.
แต่คือ ความจริงที่ว่าการดำรงอยู่ของเราเองจะ “ไม่มีอีกต่อไป”
.
และการเผชิญหน้าความตายนี้… ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นทำให้เรา
.
แต่มันคือความเป็นไปได้ที่ใกล้ที่สุด, แน่นอนที่สุด, และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
.
Heidegger ใช้คำว่า Sein-zum-Tode (Being-towards-death)
.
ซึ่งไม่ใช่แค่การ “นึกถึงความตาย” แต่คือโครงสร้างภายในของ Dasein ที่:
.
รู้ว่าตัวเองจะตาย
ดำรงอยู่ภายใต้การรู้เชิงลึกนั้นเสมอ
ต้องตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยความรู้ที่ว่า ไม่มีอะไรอยู่ตลอดไป
.
มนุษย์คือสิ่งที่มีชีวิตอยู่โดยรู้ว่า “ไม่มีอะไรที่จะมีอยู่ตลอดไป” และนั่นทำให้ Dasein แตกต่างจากสัตว์หรือวัตถุใดๆ ทั้งหมด
.
.
30. Authenticity ความแท้จริงของชีวิต เริ่มต้นที่การเผชิญหน้าความตาย
.
เมื่อ Dasein ยอมรับว่าตัวเองจะตาย มันเริ่มถามคำถามว่า
.
“ถ้าชีวิตฉันมีขอบเขต ฉันควรใช้มันอย่างไร?”
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของการเป็น authentic (eigenlich)
.
ซึ่งไม่ใช่การ “มีความคิดของตัวเอง” แบบโซเชียลมีเดีย
.
แต่คือการ “ใช้ชีวิตตามความเป็นไปได้ของตนเอง” ไม่ใช่ของ The They
.
ความแท้จริงของ Dasein คือการดึงตัวเองออกจากความสับสนในสังคม
.
และเผชิญกับชีวิตของตนในฐานะสิ่งที่ต้องรับผิดชอบและมีจุดจบ
.
.
31. การหลบหนีความตาย = การตกกลับไปสู่ The They
.
แน่นอนว่า การตระหนักถึงความตายไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ทำกันบ่อย
.
Heidegger จึงระบุว่า Dasein มักจะ:
.
ปิดบังความตายไว้ใต้พรม
พูดถึงมันแบบ The They: “คนเรามันต้องตาย” (แต่ไม่ใช่ฉัน)
สร้างกิจวัตรขึ้นเพื่อหนีจากการตระหนักถึงมัน
.
นี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า “หลงลืม Being” แบบลึกที่สุด
.
คือการอยู่กับชีวิตแต่ลืมไปว่ามันมีขอบเขต
.
.
32. Conscience มโนธรรม
.
แล้ว Dasein จะ “ปลุกตัวเอง” กลับสู่ความแท้จริงได้อย่างไร?
.
คำตอบของ Heidegger คือ มโนธรรม (Conscience)
.
ซึ่งเขาไม่ได้ใช้ในความหมายทางศีลธรรม (เช่น “รู้ผิดชอบ”)
.
แต่ในเชิงภววิทยา: เป็นเสียงเรียกของ Being ที่ตะโกนเบาๆ ว่า:
.
“เธอลืมไปหรือเปล่าว่า... ชีวิตนี้เป็นของเธอ?”
“เธอกำลังเป็นไปตามคนอื่นใช่ไหม?”
“เธอไม่ได้เลือกแบบนี้นี่”
.
เสียงของมโนธรรมทำให้เราหยุดฟัง “เสียงรบกวนทั้งหมด” แล้วเผชิญความจริงอย่างเดียวดาย
.
.
33. Resoluteness การตัดสินใจรับเอาความเป็นไปได้ของตัวเองอย่างเต็มใจ
.
การตอบสนองเสียงมโนธรรม ไม่ใช่การโต้กลับด้วยเหตุผล
.
แต่คือการ เงียบ (Reticence) ไม่ใช่ความเงียบแบบเก็บอารมณ์
.
แต่คือความสงบที่เปิดพื้นที่ให้ Being ปรากฏ
.
นี่นำไปสู่สิ่งที่ Heidegger เรียกว่า Resoluteness (Entschlossenheit)
.
คือการตัดสินใจรับเอาความเป็นไปได้ของตัวเองอย่างเต็มใจ
.
โดยไม่ผลักไปให้สังคม ครอบครัว หรือศีลธรรมจัดการแทน
.
เรารับผิดชอบ Being ของเราเอง โดยการยืนหยัดอยู่กับมันอย่างโปร่งใส
.
Resoluteness ไม่ใช่การ “คิดครั้งเดียวแล้วพอ” แต่คือกระบวนการที่ Dasein ต้องทำอยู่ตลอด เพราะโลกจะดึงเรากลับไปสู่ The They ทุกวินาที
.
.
34. Temporality (Zeitlichkeit): เวลาอยู่ใน Being ของเรา
.
Heidegger กล่าวว่าการเข้าใจ Being อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจผ่านสิ่งที่เขาเรียกว่า Temporality (Zeitlichkeit)
.
เวลาในที่นี้ไม่ใช่ “นาฬิกา” แต่คือ:
.
อดีต (Thrownness) สิ่งที่เราถูกโยนมา (ชาติ, ภาษา, อารมณ์)
.
อนาคต (Projection) สิ่งที่เรามุ่งไปหา (ความเป็นไปได้, เป้าหมาย)
.
ปัจจุบัน (Fallenness) สิ่งที่เราถูกดูดกลืนลงไป (the They, idle talk, daily life)
.
.
Dasein มนุษย์ในฐานะผู้ดำรงอยู่ ไม่ได้แค่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ “พุ่งออกไปสู่อนาคต” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่ใช่ก้อนหินที่นอนอยู่เฉยๆ กับปัจจุบัน เราคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คิดถึงสิ่งที่ยังไม่มีอยู่ ความคาดหวัง ความฝัน ความกลัว และการวางแผน ทั้งหมดนี้คือการดำรงอยู่ที่ถูก “ขับเคลื่อนด้วยอนาคต”
.
แต่ในขณะเดียวกัน อนาคตของเราไม่ได้ลอยตัวจากอดีต เราแต่ละคนมีอดีตที่หล่อหลอมเราไว้ เป็นพื้นฐานของความเข้าใจและการเลือกทุกอย่างที่เราทำ เราเลือกเพราะเราเคยล้ม เคยสำเร็จ เคยชนะ เคยสูญเสีย เราจึงไม่เคลื่อนไปหาอนาคตอย่างไร้ราก เรามี “ภาระทางอดีต” (facticity) ที่เราหอบหิ้วไปทุกหนแห่ง แม้จะไม่พูดถึงมัน แต่มันไม่เคยหายไป
.
แล้วเราก็อยู่ในปัจจุบัน…แต่ปัจจุบันก็ไม่เคยเป็นเพียง “ขณะนี้” อย่างโดดเดี่ยว ปัจจุบันของเราไม่ใช่หยดน้ำค้างที่ลอยตัวจากอดีตและอนาคต หากแต่เป็นจุดที่อดีตและอนาคตไหลมาบรรจบกัน เป็นจุดที่เรา “อยู่กับโลก” ผ่านกิจกรรม ภาษา ความสัมพันธ์ และบริบทที่ซับซ้อน มันไม่ใช่จุดหยุดนิ่ง แต่มัน “เคลื่อน” อยู่ตลอดเวลา
.
และนี่แหละครับคือ Temporality การที่ Dasein เป็นอยู่ในลักษณะ “เวลา” ที่ไม่ใช่เวลาวัตถุ ไม่ใช่เวลาฟิสิกส์ แต่คือโครงสร้างการเป็นที่ซ้อนทับและสานต่อระหว่างอนาคต อดีต และปัจจุบัน แบบที่ไม่แยกจากกันเลย
.
และสิ่งที่ลึกยิ่งกว่านั้นก็คือ ความตาย การตระหนักว่าชีวิตมีจุดจบ นั่นเองที่ทำให้เรามี “การมีอยู่ที่มุ่งสู่” (Being-towards) การรู้ว่าเราจะตาย ทำให้เรามีเป้าหมาย ทำให้เรากระหายความหมาย ทำให้เรามี “ความกังวล” (care) ในการดำรงอยู่ และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในโครงสร้างเวลา ไม่ใช่ภายนอก
.
เพราะฉะนั้น เวลาในสายตาของ Heidegger ไม่ใช่สิ่งที่เรานั่งดู แต่มันคือสิ่งที่เราเป็น มันไม่ใช่ตัวแปรหนึ่งในสมการจักรวาล แต่มันคือแก่นลึกสุดของมนุษย์ หากเราละเลยโครงสร้างของเวลาเช่นนี้ เราก็จะละเลยตัวตนที่แท้จริงของเราเองโดยไม่รู้ตัว
.
เราจึงไม่สามารถเข้าใจชีวิตได้ หากไม่เข้าใจ “เวลา” ในความหมายนี้ และการจะ “อยู่” อย่างแท้จริง ก็ไม่อาจทำได้ หากเราไม่รู้ว่าเรากำลังอยู่ในโครงสร้างของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อดีตที่แบกรับไว้ และปัจจุบันที่สั่นไหวอยู่ระหว่างทั้งสองเสมอ
.
.
.
==============================
.
[ สรุปเนื้อหาแบบอ่านง่ายขึ้น (ฉบับย่อ) ]
.
.
1. ชีวิตของเราไม่ใช่เพียงการมีอยู่เฉยๆ แต่คือ “การเป็นไปสู่บางสิ่ง” อยู่ตลอดเวลา
.
ในสายตาของ Heidegger มนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ "อยู่แบบหยุดนิ่ง" อย่างก้อนหินหรือโต๊ะ แต่คือสิ่งที่ “เป็นอยู่” อย่างมีทิศทาง—มีอดีตที่เราแบกไว้ มีปัจจุบันที่กำลังใช้ชีวิต และมีอนาคตที่เรามุ่งหน้าไป นี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า Temporality (โครงสร้างแห่งเวลา)
.
สำหรับ Heidegger การดำรงอยู่ของมนุษย์ไม่ได้มีโครงสร้างแบบตายตัว แต่เป็นการเปิดออกสู่ “ความเป็นไปได้” อยู่เสมอ เราไม่ใช่เพียงสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ แต่คือสิ่งที่ “กำลังจะเป็น” เช่น จะเป็นนักเขียน จะเป็นคนดีขึ้น หรือจะกลายเป็นคนที่หลีกเลี่ยงความจริงของตนเองก็แล้วแต่
.
มนุษย์จึงมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง เพราะเราคือ "การเป็นไปสู่บางสิ่ง" (Being-towards-something) และการมีอยู่ของเราก็เป็นสิ่งที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ - มันเป็น “project” ที่กำลังดำเนินอยู่ในกาลเวลา
.
.
2. การใช้ชีวิตแบบ “คนทั่วไป” ทำให้เราลืมว่าเราเป็นใครกันแน่
.
เรามักคิดว่าเราเป็นตัวของตัวเอง แต่ในชีวิตจริงหลายครั้ง เราแค่ทำตามสิ่งที่ “คนทั่วไป” คาดหวัง Heidegger เรียกสิ่งนี้ว่า das Man ไม่ใช่คนคนหนึ่ง แต่คือเสียงของ “พวกเขา” ที่พูดว่า “ใครๆ ก็ทำแบบนี้” หรือ “ก็คนส่วนใหญ่เขาคิดกันแบบนี้แหละ”
.
เมื่อเราใช้ชีวิตโดยอ้างอิงเสียงของ das Man เราจะเริ่มสวมหน้ากาก พูดเหมือนคนอื่น คิดตามกระแส ทำตามหน้าที่ที่ไม่ได้มาจากการเลือกของตัวเอง เรากลายเป็นเหมือนหุ่นในฉากละครของสังคม ที่เคลื่อนไหวตามบทที่ไม่ได้เขียนเอง
.
Heidegger เตือนว่า ถ้าเราไม่รู้ตัว เราจะดำรงอยู่โดยไม่เคย “เป็นตัวเองจริงๆ” เลยแม้แต่วันเดียว
.
.
3. การยอมรับ “ความตาย” คือกุญแจสู่การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
.
ในขณะที่คนส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยงความคิดเรื่องความตาย Heidegger กลับบอกว่ามันคือ “ประตูแห่งความจริง” เพราะ Dasein คือสิ่งมีอยู่ที่ “รู้ว่าตนเองจะตายได้”
.
เขาไม่ได้พูดถึง “ความตายของคนอื่น” ซึ่งเราชอบมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่พูดถึง “ความตายของตัวเราเอง” ความเป็นไปไม่ได้ที่สุดของความเป็นไปได้ทั้งปวง เพราะเมื่อมันมาถึง ทุกอย่างก็จบ
.
แต่การตระหนักว่าความตายจะมาถึงอย่างแน่นอน กลับทำให้เราหลุดจากชีวิตแบบ das Man เราจะเริ่มเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง เราจะถามว่า “เราต้องการเป็นใครก่อนที่มันจะสายไป?”
.
การดำรงอยู่จึงมีความหมาย เพราะมันมีขีดจำกัด และ Heidegger มองว่าการอยู่กับความตายอย่างมีสติ คือวิธีที่มนุษย์สามารถ “เป็นตัวของตัวเอง” ได้อย่างลึกซึ้งที่สุด
.
.
4. ความวิตกกังวล (Anxiety) คือประตูที่พาเราออกจากความหลอกลวงของชีวิตประจำวัน
.
ความกลัว (fear) มีสิ่งที่มันกลัว เช่น งู คนแปลกหน้า หรือใบแจ้งหนี้
.
แต่ความวิตกกังวล (anxiety) ของ Heidegger นั้นแปลกกว่านั้น เพราะมันไม่มีสิ่งที่เฉพาะเจาะจงให้กลัว เราแค่ “รู้สึกไม่มั่นคง” เหมือนพื้นใต้เท้าหายไป เราอยู่ในโลกเดิม แต่โลกนั้นไม่ให้ความหมายแบบเดิมอีกต่อไป
.
ในช่วงเวลานั้น เราถูกดึงออกมาจากชีวิตประจำวัน ถูกตัดขาดจากความคุ้นเคยที่เคยยึดมั่นไว้ เราเริ่มเห็นว่า สิ่งที่เราเคยคิดว่า "เป็นธรรมดา" อาจไม่ได้มีรากเหง้าอะไรเลย
.
และในความว่างเปล่านั้นเอง เราจึงเห็นว่า เราคือสิ่งมีอยู่ที่ต้อง “เลือก” จะเป็นอะไรต่อไป ไม่มีใครมาบอก ไม่มีคู่มือให้ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป
.
.
5. ความจริงคือ “การเปิดเผย” ไม่ใช่แค่การบอกว่าอะไรถูกหรือผิด
.
ในยุคของเราที่ความจริงมักถูกวัดด้วย “ข้อเท็จจริง” Heidegger เสนอนิยามที่ลึกกว่านั้น เขาเรียกความจริงว่า aletheia (จากภาษากรีก แปลว่า “การไม่ปกปิด”)
.
ความจริงสำหรับเขา จึงไม่ใช่เพียง “ชุดข้อมูลที่ถูกต้อง” แต่คือการที่บางสิ่งบางอย่างเปิดเผยตัวเองออกมาให้เรารับรู้ได้
.
เช่น เมื่อคุณยืนดูภูเขาที่ไร้คำบรรยาย และจู่ๆ ก็รู้สึกว่า “มันงดงาม” โดยไม่ต้องมีใครบอก หรือเมื่อคุณได้ยินเสียงเพลงบางท่อนแล้วรู้ว่า “นั่นแหละคือชีวิตของฉัน” นั่นคือความจริงในแบบของ Heidegger
.
เพราะในช่วงเวลานั้น สิ่งที่ซ่อนอยู่ในชีวิตก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
.
.
6. การเข้าใจชีวิต คือการเข้าใจโครงสร้างของ Being ที่เราดำรงอยู่ภายใน
.
สำหรับ Heidegger การเข้าใจ “ชีวิต” ไม่ใช่เรื่องของความสำเร็จหรือเป้าหมายภายนอก แต่คือการเข้าใจว่า เรากำลังดำรงอยู่ยังไง เราอยู่กับเวลาแบบไหน เราเปิดรับความเป็นไปได้หรือปิดกั้นมัน? เราหลอกตัวเองหรือเผชิญความจริง?
.
ชีวิตที่ดีในแบบของเขา คือชีวิตที่เข้าใจ “ความเป็นอยู่ของตนเองอย่างลึกซึ้ง” มองเห็นความกลวงของ das Man ไม่หลบเลี่ยงความตาย กล้ายอมรับความวิตกกังวล และเปิดใจกับการเปิดเผยของโลก
.
.
========================
.
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถามว่า “สิ่งต่างๆ มีอยู่หรือไม่” แต่มันถามด้วยความดื้อรั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ปรัชญาว่า “การมีอยู่คืออะไร?”
.
และคำตอบของไฮเดกเกอร์ก็น่าตกใจอยู่ไม่น้อย มันไม่ใช่คำตอบในรูปของทฤษฎีหรือสูตรสำเร็จ แต่มันคือการเชิญชวน เป็นคำเชื้อเชิญที่ไม่มีใครเตรียมใจรับได้ง่ายๆ ว่า
.
“การดำรงอยู่ไม่ใช่สิ่งที่คุณเข้าใจได้ด้วยการนั่งคิด แต่มันเป็นสิ่งที่คุณต้องลงมือใช้ชีวิตเพื่อจะเข้าใจมัน”
.
เราอาจเคยเข้าใจ “เวลา” ว่าคือสิ่งที่นาฬิกาบอกเรา แต่นาฬิกาไม่มีวันบอกเราได้ว่า “เราคือใคร” เพราะเวลาของ Dasein ไม่ได้เดินไปอย่างเรียบง่ายแบบนาฬิกาข้อมือ มันเป็นเวลาแบบ “existential” เวลาแห่งความเป็นไป เวลาแห่งความไม่สมบูรณ์ เวลาแห่งความกลัว ความหวัง และการเลือก
.
เราเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่มีบทสรุป เรารู้ว่าเราจะตาย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เรามีอิสระในการเลือก แต่ไม่อาจเลือกได้ว่าจะไม่เลือก เพราะแม้การไม่เลือกก็เป็นการเลือกนั่นเองครับ
.
.
และแล้ว… คุณก็อ่านบทความสรุป Being and Time จบโดยที่ยังไม่รู้ว่า “Being” มันคืออะไรกันแน่
.
ดีมากครับ นี่แหละคือสิ่งที่ไฮเดกเกอร์ต้องการ
.
เพราะในโลกของเขา ถ้าคุณอ่านจบแล้วเข้าใจทุกอย่างทันที...แปลว่าคุณน่าจะอ่านผิดเล่ม หรือไม่ก็คุณคือ Heidegger ที่กลับชาติมาเกิด (ซึ่งชาติที่แล้ว ประวัติเขาก็ค่อนข้าง…)
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Nicomachean Ethics จริยศาสตร์นิโคมาเคียน ของ Aristotle

Next
Next

สรุปหนังสือ Critique of Pure Reason ว่าด้วยขอบเขตของเหตุผล เขียนโดย Immanuel Kant