สรุปหนังสือ Critique of Pure Reason ว่าด้วยขอบเขตของเหตุผล เขียนโดย Immanuel Kant

ถ้าคุณเคยคิดว่าปรัชญายาก... คุณคิดถูกครับ
.
แต่ถ้าคุณคิดว่าหนังสือของ Kant แค่ “ยาก” คุณอาจยังไม่ได้ลองเปิดเล่มนี้...
.
Critique of Pure Reason ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่ออ่านเพลินก่อนนอน
แต่มันคือคู่มือสำหรับ “วิจารณ์เครื่องมือที่เราคิดด้วย”
Kant ไม่ได้ถามว่า “โลกคืออะไร” แต่ถามว่า “เราคิดว่าโลกคืออะไรได้แค่ไหน?”
.
บทความนี้จะพาคุณฝ่าหมอกแห่ง space, time, categories, noumena, phenomena และความคิดที่ “เกินขอบเขต” อย่างสง่างาม
.
พร้อมรอยยิ้ม (บ้างบางครั้ง) และรอยขมวดคิ้ว (อาจจะบ่อยกว่า)
.
ถ้าพร้อมแล้ว... ขอเชิญคุณเข้าร่วมการผ่าตัดสมองตัวเอง ด้วยเครื่องมือของคานท์
.
ที่ไม่แน่ใจว่าคุณจะเข้าใจทุกหน้าไหม แต่รับรองว่าคุณจะไม่มอง “เหตุผล” แบบเดิมอีกต่อไป
.
.
=====================
.
1. จุดเริ่มต้น: ทำไมคานท์ต้องเขียน Critique?
.
“Two things fill the mind with ever new and increasing admiration and awe: the starry heavens above me and the moral law within me.”
— Immanuel Kant, Critique of Practical Reason
.
.
ในโลกแห่งปรัชญายุค Enlightenment หรือยุคแห่งเหตุผล มีคำถามพื้นฐานที่ยังไม่เคยถูกตอบอย่างชัดเจน:
.
เรารู้ได้อย่างไรว่า "เรารู้" อะไรบางอย่างจริงๆ?
อะไรคือความรู้แท้?
และอะไรคือสิ่งที่เหตุผล ทำได้ กับสิ่งที่มัน ทำไม่ได้?
.
อิมมานูเอล คานท์ ปรัชญาชาวเยอรมันผู้โด่งดัง เขียน Critique of Pure Reason ในปี 1781 (ฉบับแรก) และแก้ไขใหม่ในปี 1787 (ฉบับที่สอง) ด้วยภารกิจเดียว:
.
“เพื่อปฏิรูปปรัชญาทั้งระบบ ด้วยการวิจารณ์เหตุผลบริสุทธิ์” คือการตั้งคำถามว่า “เหตุผล” หรือ “ความคิดบริสุทธิ์ที่ไม่ผ่านประสบการณ์” มันรู้ได้แค่ไหน และมันแค่หลอกตัวเองหรือเปล่า?
.
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำแค่วิจารณ์อย่างเดียว แต่เสนอวิธีใหม่ในการ “สร้าง” ปรัชญาบนรากฐานที่มั่นคง แบบที่นักคณิตศาสตร์สร้างเลขคณิตจากรากฐานยุค Euclid
.
.
2. ศัตรูรอบทิศ: คานท์ออกศึกกับใครบ้าง?
.
คานท์ไม่ได้ต่อสู้แค่กับฝ่ายหนึ่ง แต่เปิดสงคราม 4 ด้านพร้อมกัน:
.
A. Dogmatism (ด็อกมาติสม์) = พวกที่เชื่อว่าเราสามารถรู้โลกภายนอกอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลล้วนๆ (เช่น Descartes, Leibniz, Wolff)
.
คานท์บอกว่า พวกนี้มั่นใจเกินไป และไม่ได้ตั้งคำถามกับเหตุผลของตัวเอง
.
.
B. Empiricism (อีมพิริซิสม์) = พวกที่บอกว่าเรารู้ได้เฉพาะจากประสบการณ์ (เช่น Locke, Hume)
.
คานท์บอกว่า พวกนี้ดูถูกความสามารถของเหตุผลเกินไป โดยเฉพาะความรู้จำพวก “คณิตศาสตร์” กับ “ฟิสิกส์” ที่ไม่เคยเห็นแต่เรารู้ได้ล่วงหน้า
.
.
C. Skepticism (สเก็ปติซิสม์) = พวกที่สงสัยทุกอย่างโดยเฉพาะความรู้แบบเหตุผล
.
คานท์บอกว่า: พวกนี้เหมือนเร่ร่อนในทะเลทราย ไม่มีจุดยืน และไม่เคยลงมือสร้างอะไรจริง
.
.
D. Indifferentism (อินดิฟเฟอเรนติซึม) = พวกที่ไม่สนปรัชญาเลย และใช้ “สามัญสำนึก” ตัดจบทุกเรื่อง
.
คานท์บอกว่า: นี่คือการเกียจคร้านทางปัญญาอย่างร้ายแรง
.
.
สิ่งที่คานท์ต้องการจึงไม่ใช่การเลือกข้าง แต่คือการ “สร้างสนามใหม่” ที่เหตุผลสามารถทำงานได้อย่างถูกที่ถูกทาง โดยรู้ขอบเขตของตัวเอง
.
.
3. โครงสร้างยิ่งใหญ่แห่ง "ป้อมคานท์"
.
หนังสือ Critique of Pure Reason ไม่ได้เรียงง่ายๆ ตามหัวข้อ แต่เป็น “สถาปัตยกรรมแห่งความคิด” ที่คานท์สร้างอย่างมีระบบแบบอาคาร Gothic: ซับซ้อน สง่า และน่ากลัวเล็กน้อย
.
โครงสร้างใหญ่แบ่งออกเป็น 2 ภาค:
.
Doctrine of Elements (ทฤษฎีองค์ประกอบ) - สิ่งที่ประกอบเป็น “ความรู้”
.
Doctrine of Method (ทฤษฎีวิธีวิทยา) - วิธีใช้เหตุผลที่ถูกต้อง
.
.
4. Doctrine of Elements แบ่งออกอีกเป็น 2 ส่วนย่อย:
.
Transcendental Aesthetic (สุนทรียภาพเชิงทรานเซนเดนทัล) กล่าวถึง “Space” และ “Time” ว่าเป็นเงื่อนไขของการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
.
Transcendental Logic (ตรรกะเชิงทรานเซนเดนทัล) กล่าวถึงการใช้เหตุผลและการเข้าใจ
.
โดยตรรกะนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย:
.
Transcendental Analytic = สร้างสิ่งที่เรารู้ได้ (สร้างความรู้แบบมีรากฐาน)
.
Transcendental Dialectic = วิจารณ์ความเข้าใจผิดของมนุษย์ที่อยากรู้มากเกินขอบเขต (เช่น อยากพิสูจน์ว่า “พระเจ้า” มีอยู่)
.
.
5. โครงการใหญ่ของคานท์: คำถามเดียว
.
คำถามสำคัญที่ Critique of Pure Reason พยายามตอบ คือ:
.
“เราจะรู้ได้อย่างไรถึงสิ่งที่เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน?”
.
คำถามนี้ฟังดูแปลก แต่มันคือหัวใจของ “synthetic a priori judgments” — หรือความรู้ที่:
.
“เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่” (synthetic)
“รู้ล่วงหน้าโดยไม่ต้องสัมผัสกับประสบการณ์” (a priori)
.
เช่น “1 + 1 = 2” เรารู้ว่าเป็นจริงโดยไม่ต้องนับนิ้ว เรารู้ว่า “เหตุการณ์ใดๆ ต้องมีสาเหตุ” โดยไม่ต้องพิสูจน์จากประสบการณ์ทุกกรณี นี่แหละคือคำถามที่ทั้ง Hume และ Descartes ยังหาคำตอบไม่ได้
.
.
6. วิธีที่คานท์ใช้
.
คานท์เสนอว่าความรู้ไม่ได้เกิดจากการที่ “จิตใจของเราสะท้อนโลกภายนอก” เหมือนกระจก
แต่กลับกัน โลกภายนอกต่างหากที่ “ต้องเดินมาตามกรอบการรับรู้ของมนุษย์”
.
เรียกสิ่งนี้ว่า Copernican Turn in Philosophy หมุนปรัชญา 180 องศา
.
"ไม่ใช่จิตใจที่ต้องปรับให้ตรงกับวัตถุ... แต่เป็นวัตถุที่ต้องตรงกับโครงสร้างของจิตใจเรา"
.
.
7. คำศัพท์ใหญ่สามคำ: Intuition, Understanding, Reason
.
เพื่อเข้าใจโลก เราใช้ 3 กลไกหลักในจิตใจ:
.
Sensibility (ประสาทสัมผัส) - รับข้อมูลเข้ามาใน “รูปแบบของ Space และ Time”
.
Understanding (ความเข้าใจ) - ใช้ "categories" เช่น เหตุและผล, ปริมาณ, คุณภาพ มาสร้างสิ่งที่เข้าใจจากข้อมูลนั้น
.
Reason (เหตุผล) - พยายามหาความจริง “สูงสุด” เช่น ความเป็นอมตะของวิญญาณ การมีอยู่ของพระเจ้า ฯลฯ
.
คานท์บอกว่า 2 ตัวแรกพอใช้ได้ และใช้ได้ดีมาก (คือวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์)
แต่ตัวที่สามนี่แหละ... คือตัวที่สร้างปัญหา เพราะมันชอบ “ฝันเกินขอบเขต”
.
.
8. เป้าหมายของคานท์คือ เพื่อช่วย "ความรู้" และ "ศีลธรรม" พร้อมกัน

สิ่งที่คานท์พยายามทำไม่ใช่แค่สร้างระบบปรัชญาใหม่
แต่เพื่อช่วยโลกออกจากกับดัก 2 อย่าง:
.
ช่วยวิทยาศาสตร์ ให้มีฐานะมั่นคงในเรื่องเหตุและผล
.
ช่วยศีลธรรม ให้ไม่โดนโลกวัตถุกลืนกิน
.
และทั้งหมดนี้ทำผ่านการสร้าง “ขอบเขตของเหตุผลบริสุทธิ์” เพื่อไม่ให้มันหลุดเข้าไปในโลกของสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจรู้ได้
.
.
9. Transcendental Aesthetic เหตุผลบริสุทธิ์รู้ได้แค่ไหน
.
“Space and time are not things in themselves. They are forms of intuition... in us.”- Kant (พื้นที่กับเวลาไม่ใช่ของที่อยู่ข้างนอก มันอยู่ในหัวคุณต่างหาก)
.
มาพบกับคำถามใหญ่เรื่อง “เหตุผลบริสุทธิ์รู้ได้แค่ไหน” กับ Transcendental Aesthetic
.
คำว่า Aesthetic ของคานท์ = ประสาทสัมผัส ไม่ใช่ภาพวาด
.
คานท์แอบขโมยคำว่า aesthetic มาจาก Baumgarten (นักปรัชญารุ่นก่อน) ที่ใช้หมายถึง “ศาสตร์แห่งรสนิยมงาม” แต่คานท์กลับบอกว่า:
.
“ไม่ๆ ผมใช้คำว่า aesthetic ในความหมายดั้งเดิมของกรีก: aisthēsis = การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส”
.
ในที่นี้ Transcendental Aesthetic หมายถึง
.
“การศึกษาว่า Space (พื้นที่) และ Time (เวลา) ซึ่งเป็นรูปแบบของประสบการณ์ เกิดจากโครงสร้างของจิตเอง ไม่ใช่จากโลกภายนอก”
.
.
10. โลกที่คุณเห็น อาจอยู่ในหัวคุณมากกว่าที่คิด
.
ถ้าถามว่า “เรารับรู้โลกได้อย่างไร?” คำตอบทั่วไปคือ “ผ่านประสาทสัมผัส”
แต่คานท์บอกว่า... แค่รับภาพเข้าไปยังไม่พอ เพราะ:
.
เราไม่ได้เห็นแค่ "จุดสี" แบบพิกเซล
เราเห็น “สิ่งของ” ที่มี “รูปร่าง ขนาด ตำแหน่ง และลำดับเวลา”
.
แล้วคำถามต่อมาคือ:
“เราเอาเครื่องมืออะไรมาแปลงจุดสีมั่วๆ ให้กลายเป็นภาพที่มีโครงสร้างแบบนั้นได้?”
.
คำตอบของคานท์คือ
.
เพราะจิตของเรามี “แม่พิมพ์” ชื่อ Space และ Time อยู่ในตัว มันคือ ‘form of intuition’
.
.
11. Space ไม่ได้อยู่ข้างนอกเรา มันอยู่ข้างใน
.
คานท์เสนอว่า: “Space” หรือ “พื้นที่” ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายนอก
.
แต่มันคือ “กรอบรับรู้” ที่จิตมนุษย์ใช้สำหรับเข้าใจ วัตถุภายนอก
.
เขาให้เหตุผลหลายข้อ เช่น:
.
เราไม่เคยมีประสบการณ์ของ “พื้นที่ว่างเปล่า” — สิ่งที่เรารู้คือ การจัดเรียงวัตถุใน space
.
ถ้า space เป็นของจริงภายนอก เราควรจะสังเกตมันได้เหมือนวัตถุ แต่เราไม่เคยสัมผัส “space” โดยตรงเลย
.
จึงสรุปว่า: “Space is the a priori form of outer sense.”
.
= มันคือ ‘แบบพิมพ์ที่เราติดตั้งมาแต่กำเนิด’ สำหรับรู้สิ่งภายนอก
.
.
12. Time ไม่ได้ไหลอยู่ภายนอก แต่มันคือภาชนะภายใน
.
ส่วน “เวลา” ยิ่งสุดโต่งไปอีก:
.
เราไม่สามารถจินตนาการถึง “ไม่มีเวลา” ได้เลย
แม้แต่ความคิดแบบ “สิ่งที่เกิดขึ้นก่อน-หลัง” ก็คือการใช้ Time เป็นแม่พิมพ์อยู่ดี
เราไม่เห็น “เวลา” เราแค่รู้ว่าบางอย่าง “เกิดก่อน” หรือ “เปลี่ยนแปลงไป”
.
คานท์จึงบอกว่า “Time is the a priori form of inner sense.”
.
เวลาไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ แต่คือเงื่อนไขภายในที่เราต้องใช้กับประสบการณ์ทุกอย่าง
.
.
13. Transcendental Idealism
.
ความจริงแบบใหม่ของคานท์ → สิ่งที่เรารู้ = phenomena (ปรากฏการณ์ใน space/time)
.
สิ่งในตัวมันเอง = noumena (ไม่มีทางรู้) | "เราทำให้โลกปรากฏ ไม่ใช่แค่สะท้อนโลก"
.
Transcendental Idealism → รู้ได้แค่ phenomena (ที่ปรากฏ) ≠ noumena (ตัวจริง) | เราสร้างการรับรู้
.
คุณอาจคิดว่า Space กับ Time คือ “คุณสมบัติของโลก”
แต่คานท์บอกว่า: ไม่ใช่
.
“มันคือ กรอบ ที่มนุษย์ต้องใช้เพื่อรับรู้โลกต่างหาก”
และเรารู้ว่ามันเป็นแบบนั้นได้ “ล่วงหน้า” โดยไม่ต้องพิสูจน์จากประสบการณ์
.
นี่คือการหักมุมครั้งใหญ่ของปรัชญายุคใหม่
.
มันไม่ใช่ “เรารับรู้โลก” แต่เป็น “โลกปรากฏในแบบที่เรารับรู้ได้เท่านั้น”
.
ทำไมมันสำคัญ?
.
แนวคิดนี้ของคานท์ไม่ใช่แค่ลูกเล่นเชิงปรัชญา
แต่มันมีผลกระทบ 3 ด้านใหญ่:
.
A. ช่วยให้คณิตศาสตร์มีฐานมั่นคง
เพราะ space กับ time เป็นโครงสร้างภายในที่แน่นอน
เราจึงสามารถใช้เรขาคณิตและคณิตศาสตร์พยากรณ์โลกได้แม่น
.
B. ตอบ Hume อย่างแยบยล
Hume เคยบอกว่า “เราไม่มีเหตุผลที่มั่นคงว่าทำไม A ต้องทำให้ B”
แต่คานท์บอกว่า “เพราะเราติดตั้งระบบเหตุ-ผลในหัวไว้แล้ว” เราเห็นมันในทุกประสบการณ์
.
C. จำกัดการมโนของปรัชญา
ใครที่ชอบพิสูจน์พระเจ้าจากแนวคิดล้วนๆ (เช่น Descartes) จะเจอข้อจำกัดจากระบบของคานท์
คุณไม่สามารถ “ข้าม” โลกแห่งประสาทสัมผัสไปยังโลกแห่ง noumena ได้
.
.
14. การผลิตความรู้โดย “หมวดแห่งความเข้าใจ”
.
“Thoughts without content are empty, intuitions without concepts are blind.”- Kant
.
ตอนนี้เราจะเดินเข้าสู่โรงงานผลิตความรู้ลึกสุดของมนุษย์ คือ “ความเข้าใจ” (understanding) ตรงนี้แหละครับ ที่คานท์เปิดเผยว่า
.
ความรู้แท้ๆ ไม่ได้เกิดจากประสาทสัมผัสอย่างเดียว และก็ไม่ได้มาจากเหตุผลล้วนๆ
.
แต่คือ “การร่วมมือกันของความรู้สึกและโครงสร้างความคิด”
.
“เมื่อมีข้อมูลจาก Space และ Time เข้ามาในใจแล้ว... เราทำยังไงถึงจะเข้าใจมันเป็น ‘สิ่งของ’ ได้?”
.
คำตอบคือเรามี “หมวดแห่งความเข้าใจ” (Categories of Understanding) ที่เปรียบเสมือนแม่พิมพ์อีกชั้น
คอยจัดการข้อมูลมั่วๆ จากโลกภายนอก ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่มีความหมาย
.
.
15. ตารางแห่งหมวดความเข้าใจ (Table of Categories)
.
คานท์เสนอว่า “ความเข้าใจ” ของมนุษย์ไม่ได้ว่างเปล่า แต่มันมีโครงสร้าง 12 หมวดหลักๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในจิตของเรา
.
เปรียบได้กับ “แม่พิมพ์” หรือ “template” ที่จิตใช้จัดระเบียบประสบการณ์ให้มีความหมาย
.
หมวดเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ โดยแต่ละกลุ่มมี 3 หมวดย่อย ดังนี้:
.
.
กลุ่มที่หนึ่ง: ปริมาณ (Quantity)
.
ได้แก่ Unity (เอกภาพ), Plurality (พหุภาพ), และ Totality (ความสมบูรณ์รวม)
ใช้เมื่อเราต้องเข้าใจว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว หลายสิ่ง หรือทั้งหมดของสิ่งต่างๆ
.
.
กลุ่มที่สอง: คุณภาพ (Quality)
.
ได้แก่ Reality (ความเป็นจริง), Negation (การปฏิเสธ), และ Limitation (ข้อจำกัด)
ใช้เมื่อต้องตัดสินว่าอะไรมีอยู่จริง อะไรไม่เป็นจริง หรืออะไรมีอยู่ในระดับใด
.
.
กลุ่มที่สาม: ความสัมพันธ์ (Relation)
.
ได้แก่ Inherence/Subsistence (การตั้งอยู่ในบางสิ่ง), Causality (เหตุและผล), และ Reciprocity (ความสัมพันธ์แบบปฏิสัมพันธ์)
ใช้เพื่อเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ สัมพันธ์กันอย่างไร เช่น A ทำให้ B เกิดขึ้น หรือ A กับ B มีผลกระทบซึ่งกันและกัน
.
.
กลุ่มที่สี่: วิธีการเป็น (Modality)
.
ได้แก่ Possibility (สิ่งที่เป็นไปได้), Existence (สิ่งที่มีอยู่), และ Necessity (สิ่งที่จำเป็น)
ใช้ตัดสินสถานะของสิ่งต่างๆ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ หรือจำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นไหม
.
หมวดหมู่ทั้ง 12 นี้รวมกันเป็นสิ่งที่คานท์เรียกว่า ตารางแห่งหมวดความเข้าใจ (Table of Categories)
ซึ่งเปรียบได้กับชุดเครื่องมือสากลที่มนุษย์ทุกคนใช้ตีความโลก
.
ไม่ว่าคุณจะพิจารณาเรื่อง “เหตุผล” “เวลา” “สิ่งของ” หรือแม้แต่ “ตัวตน” ทั้งหมดนี้ล้วนต้องผ่านแม่พิมพ์ทางความคิดเหล่านี้ก่อนเสมอ
.
.
16. Transcendental Apperception — “ฉันที่เป็นหนึ่งเดียวในทุกประสบการณ์”
.
คานท์เริ่มจากคำถามว่า “ทำไมเรารู้สึกว่า ประสบการณ์ของเราทั้งหมด เป็นของ ‘ฉัน’ คนเดียว?”
.
คำตอบคือ
.
เรามีสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกถึงตนเองแบบทรานเซนเดนทัล (Transcendental Apperception) คือ “ฉัน” ที่ไม่ได้รู้สึกแค่เฉพาะตอนนี้ แต่รวม “ฉันที่เห็นเมื่อวาน ฉันที่เคยคิดเรื่อง A ฉันที่จำได้ว่ากำลังทำ B”
.
ถ้าขาด “ฉันที่รวมประสบการณ์ทั้งหมดเป็นหนึ่ง” เราจะไม่สามารถ “เข้าใจ” อะไรได้เลย เพราะแต่ละภาพ เสียง กลิ่น จะลอยลำแยกจากกันเหมือนจุดสีบนหน้าจอเสียบสายหลวม
.
.
17. การรู้ = การสังเคราะห์: รวมสิ่งที่ประสาทสัมผัสให้มา ด้วยหมวดความเข้าใจในตัวเรา
.
คานท์เรียกกระบวนการสร้างความรู้ว่า “synthesis” = การรวมกัน
.
การรวมสิ่งที่เห็นได้ ว่าเป็น “ของชิ้นหนึ่ง” → เราใช้หมวด Unity
การเข้าใจว่า “A เกิดก่อน B” → เราใช้หมวด Causality
การบอกว่า “สิ่งนี้เป็นไปได้” → เราใช้หมวด Possibility
และสิ่งที่ทำให้การรวมนี้เป็นหนึ่งเดียวได้คือ "ฉันที่รู้ตัว" — Apperception
.
.
18. ความรู้แท้ต้องผ่านทั้งประสาทสัมผัส + หมวดความเข้าใจ
.
คานท์สรุปแบบคมๆ ว่า:
.
“Intuitions without concepts are blind; concepts without intuitions are empty.”
.
แปลว่า:
.
ถ้ามีแต่ประสาทสัมผัส (ภาพ เสียง กลิ่น) แต่ไม่มีหมวดความเข้าใจ → เหมือนคนตาบอด ลูบๆ โลก
.
ถ้ามีแต่แนวคิด (concept) ล้วนๆ แต่ไม่มีอะไรให้มันจับ → เหมือนพูดถึง “ยูนิคอร์นในอวกาศ”
.
.
19. Principle of Pure Understanding: หลักการสังเคราะห์ทั้งหมด
.
เมื่อคานท์รวมหมวดความเข้าใจ กับประสาทสัมผัส และการรู้ตนเองเข้าไว้ด้วยกัน
เขาได้ผลลัพธ์เป็น “กฎสากล” ที่เราต้องใช้ทุกครั้งที่เข้าใจโลก
.
เช่น:
.
กฎแห่งการดำรงอยู่ของ substance
กฎแห่งเหตุและผล
กฎแห่งปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ
.
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ “โลกบอกเรา” แต่คือสิ่งที่ “จิตของเราใส่ลงไปในโลก เพื่อให้เรารับรู้มันได้”
.
คานท์พยายามสร้างสิ่งที่เรียกว่า “อภิปรัชญาแห่งประสบการณ์” หรือ “metaphysics of experience” ซึ่งต่างจากอภิปรัชญาแบบเก่าที่พยายามพูดเรื่อง “พระเจ้า” หรือ “จิตวิญญาณ” โดยไม่มีประสบการณ์รองรับ
.
เขาบอกว่า
.
“อภิปรัชญาที่ดี ต้องอธิบายโลกแห่งประสบการณ์
โดยอาศัยโครงสร้างที่แน่นอนและพิสูจน์ได้
ไม่ใช่มโนโดยไม่มีราก”
.
.
20. จาก Category สู่ Principle
.
Kant แยกอย่างชัดเจนว่า:
.
Categories = แม่พิมพ์ทางความคิด เช่น “เหตุและผล”, “สิ่งตั้งอยู่”, “สิ่งที่จำเป็น” ฯลฯ
Principles = กฎการใช้แม่พิมพ์เหล่านั้นกับประสบการณ์จริง
.
ดังนั้น Analytic of Principles คือการอธิบายว่า
“เราจะเอา categories มาใช้กับประสบการณ์อย่างไร เพื่อสร้างความรู้ที่ถูกต้อง?”
.
.
21. ปัญหาแรก: จะเอา Categories ไปใช้กับประสาทสัมผัสได้ยังไง?
.
สมมติว่าเรามี category “เหตุและผล”
เราจะรู้ได้ยังไงว่า A ทำให้ B เกิดขึ้นจริงๆ
และไม่ใช่แค่เราคิดไปเอง?
.
Kant ตอบว่า ต้องมี “สื่อกลาง” ที่เชื่อมความคิดเข้ากับประสบการณ์
.
ซึ่งเขาเรียกว่า “schemata” (พหูพจน์ของ schema)
หรือ “ภาพในจินตนาการ” ที่เป็นเหมือน shadow ของ category
.
ตัวอย่างเช่น:
.
Category: เหตุและผล
Schema: การต่อเนื่องของเวลาอย่างมีระเบียบ เช่น “ฟ้าร้องหลังฟ้าแลบ”
ผลลัพธ์: เราจึงเข้าใจว่า การแลบฟ้าทำให้เกิดฟ้าร้อง
.
Schema เป็นเหมือนแว่นสายตาสั่งตัดเฉพาะบุคคลระหว่างความคิดกับประสบการณ์
.
.
22. ตารางแห่งกฎ: System of All Principles
.
Kant ได้จัดหมวด “กฎแห่งความเข้าใจ” ที่เราใช้ในการสร้างความรู้จากประสบการณ์ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ โดยแต่ละกลุ่มสอดคล้องกับหมวดหมู่ (categories) ที่เราใช้ในจิตใจ และมีหลักการเฉพาะที่สัมพันธ์กันดังนี้:
.
.
กลุ่มที่หนึ่ง: ปริมาณ (Quantity) = หลักการที่ใช้คือ Axioms of Intuition
.
ซึ่งหมายถึง การที่สิ่งของหรือปรากฏการณ์ใดๆ จะถูกรับรู้ได้ ต้องมีโครงสร้างที่สามารถวัดได้ในมิติของพื้นที่หรือเวลา เช่น การรับรู้ว่าก้อนหินก้อนหนึ่ง “กินที่” หรือ “อยู่ตรงหน้าเรานานแค่ไหน”
.
.
กลุ่มที่สอง: คุณภาพ (Quality) = หลักการคือ Anticipations of Perception
.
ซึ่งหมายถึง คุณสมบัติต่างๆ เช่น สี กลิ่น หรือความหนาวเย็น ล้วนมีระดับความเข้ม/เบา และเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ผ่านการรับรู้ที่ไล่เฉด ไม่ใช่ขาวดำ เช่น น้ำแข็ง “เย็นกว่า” น้ำธรรมดา
.
.
กลุ่มที่สาม: ความสัมพันธ์ (Relation) = หลักการคือ Analogies of Experience
.
ซึ่งหมายความว่า เหตุการณ์ทั้งหลายในโลกที่เราประสบจะต้องมีโครงสร้างที่เป็นลำดับ เช่น สิ่งที่ “ตั้งอยู่” อย่างต่อเนื่อง (Substance), สิ่งที่ “เปลี่ยนแปลง” ตามเหตุและผล (Causality), และสิ่งที่ “ปฏิสัมพันธ์กัน” (Reciprocity) การเข้าใจโลกจึงไม่ใช่แค่ภาพนิ่ง แต่คือภาพเคลื่อนไหวที่มีตรรกะของเวลา
.
.
กลุ่มที่สี่: วิธีการเป็น (Modality) = หลักการคือ Postulates of Empirical Thought
.
ซึ่งว่าด้วยการตัดสินว่าสิ่งหนึ่ง “เป็นไปได้” หรือ “มีอยู่จริง” หรือ “จำเป็นต้องมีอยู่” โดยความเข้าใจเช่นนี้จะต้องอิงกับประสบการณ์ทั้งสิ้น เช่น เราจะไม่พูดว่าสิ่งใด “จำเป็น” โดยไม่มีการสังเกตว่ามันเป็นเช่นนั้นเสมอ
.
.
หลักการทั้ง 4 กลุ่มนี้ รวมกันเป็นระบบที่ Kant เรียกว่า System of All Principles ซึ่งเป็นรากฐานของความเข้าใจในโลกทุกมิติ และเป็นสิ่งที่จิตเรา “ต้องใช้” เพื่อทำให้ประสบการณ์ใดๆ กลายเป็น “ความรู้” ได้จริง
.
.
23. Analogies of Experience: สามกฎทองแห่ง “ประสบการณ์ต่อเนื่อง”
.
ในบรรดาหลักการทั้งหมด Kantเน้นหนักที่สุดที่หมวด “Relation” ซึ่งมี 3 กฎสำคัญ:
.
.
23.1 First Analogy: ความคงที่ของสาร (Substance)
.
“สิ่งที่ตั้งอยู่ ไม่หายไปโดยง่าย มันแค่เปลี่ยนสถานะ”
.
เวลาคุณเห็นถ้วยน้ำเปลี่ยนจากเต็ม → ครึ่ง → ว่าง
คุณไม่ได้คิดว่า “มันเกิดใหม่ทุกวินาที”
คุณเชื่อว่ามีบางอย่าง “อยู่ตลอดเวลา” (คือ substance) และแค่เปลี่ยนแปลง
.
.
23.2 Second Analogy: กฎแห่งเหตุและผล
.
“ถ้า B เกิดหลัง A อย่างแน่นอนและเสมอ → A คือสาเหตุของ B”
.
เราจะไม่สามารถแยกความคิด “ก่อน-หลัง” ในประสบการณ์ได้เลย ถ้าเราไม่มีหมวด Causality
Kant โต้กลับ Hume ว่า ไม่ใช่เพราะเห็นซ้ำๆ แต่เพราะจิตเรามี “แม่พิมพ์ของเหตุผล” ตั้งแต่ต้น
.
.
23.3 Third Analogy: การมีอยู่ร่วมกันและปฏิสัมพันธ์
.
“วัตถุที่อยู่ต่างตำแหน่งกันใน space มีผลกระทบต่อกันได้”
.
คุณเห็นเสียงนาฬิกาตีในห้อง กับแมวกระโดดหนีเสียงนั้น
คุณสรุปว่า “ของที่อยู่ต่างตำแหน่งกัน มีผลต่อกัน”
นี่คือ principle ของ Reciprocal Interaction
.
.
24. Anticipations of Perception: ทุกคุณสมบัติมี “ระดับ”
.
Kant เสนอแนวคิดแหลมคมมากว่า:
.
“แม้สิ่งที่คุณรู้สึกอย่างหนาวหรือร้อน... ต้องมี ระดับที่เปลี่ยนแปลงได้ เพราะมันถูกวัดผ่าน ‘ความเข้มของความรู้สึก’ ไม่ใช่มีหรือไม่มี”
.
ความคิดนี้ทำให้ Kant ปูทางให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่ขาว/ดำ แต่ “ไล่เฉด” เช่น:
.
แสงจ้า สลัว
หนาว เย็น อุ่น ร้อน
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรารับรู้โลกแบบ "ต่อเนื่อง" ได้ — ไม่ใช่แบบ on/off
.
.
25. Refutation of Idealism
.
Kant รู้ว่าระบบของเขาอาจถูกหาว่า “ตกเป็นเหยื่อของอุดมคติ” แบบ Berkeley ที่บอกว่า
“โลกมีอยู่เพราะเรารู้สึกถึงมัน — ถ้าไม่มีใครรู้ โลกก็หายไปสิ!”
.
Kant ตอบโต้ด้วยหมัดเด็ดชื่อ Refutation of Idealism ในฉบับ B (1787) โดยบอกว่า:
“ตรงกันข้าม: เราจะรู้ว่า ‘เรามีอยู่’ ในฐานะสิ่งคิดได้ ก็เพราะว่า เราต้องมี ‘สิ่งภายนอก’ ให้รับรู้ก่อน”
.
ยิ่งไปกว่านั้น...
“การตระหนักรู้ตนเองแบบต่อเนื่อง ต้องใช้วัตถุภายนอกเป็น anchor เพื่อให้ประสบการณ์ไหลได้”
.
พูดง่ายๆ คือ "ฉันรู้ว่าฉันเป็นตัวฉัน เพราะฉันรู้ว่าตัวเองกำลังดูนาฬิกาอยู่"
.
.
26. Phenomena vs. Noumena (อีกรอบ) ความจริง 2 ชั้น
.
หลังจากแจกแจงหลักการทั้งระบบ Kant ปิดท้าย Analytic of Principles ด้วยการย้ำว่า:
.
Phenomena = สิ่งที่ปรากฏผ่าน space/time + category → รู้ได้
.
Noumena = สิ่งในตัวมันเอง (thing-in-itself) → คิดได้ แต่รู้ไม่ได้
.
หมวดความเข้าใจจะมีพลังก็ต่อเมื่อใช้กับ “ข้อมูลที่รับรู้ได้”
ถ้าคุณเอา concept อย่าง “เหตุผล” หรือ “ตัวตน” ไปใช้กับสิ่งที่อยู่นอกประสบการณ์ → มั่วแน่นอน
.
.
27. Dialectic ของ Kant = เวทีจับผิด "เหตุผลเพ้อเจ้อ"
.
คำว่า Dialectic ในบริบทของ Kant ไม่ได้แปลว่า “โต้วาที” แบบโสเครติส
แต่หมายถึง “การใช้อำนาจของเหตุผลเกินขอบเขต” จนไปสร้าง “ภาพลวง” ทางปรัชญา
.
ตัวอย่างเช่น:
.
มีพระเจ้าไหม?
วิญญาณเป็นอมตะหรือเปล่า?
โลกมีจุดเริ่มต้นหรือไม่มี?
.
คำถามพวกนี้ Kant บอกว่า ไม่สามารถมีคำตอบในเชิง “รู้” ได้เลย
เพราะ “ข้อมูล” ที่จำเป็นต่อการพิสูจน์มันไม่สามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสได้เลย
.
แต่เพราะเหตุผลอยากหาความสมบูรณ์ อยากหาจุดจบของทุกเรื่อง
มันเลย “ลื่นไถล” จากการใช้เหตุผลอย่างเหมาะสม → ไปสู่ ความคิดลวง
.
.
28. ความผิดพลาดของเหตุผล: จากไวยากรณ์ → สารพัดบทสรุปที่เกินตัว
.
Kant บอกว่า เหตุผลมีหน้าที่ในเชิง "ตรรกะ" มันเอาสิ่งต่างๆ มาเชื่อมโยงเป็นลำดับ
.
แต่เมื่อมันพยายาม "หาต้นตอที่ไม่มีใครถาม" หรือ "หาคำตอบให้สิ่งที่ไม่เคยปรากฏในประสบการณ์"
.
มันจะเกิด "ภาพลวง" (transcendental illusion) ตัวอย่างเช่น:
.
“ต้องมีสิ่งแรกสุดที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น”
“ต้องมีเหตุผลว่าทำไมโลกถึงมีอยู่”
“ถ้ามีความคิดเรื่องพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบได้ → แปลว่าพระเจ้าต้องมีจริง”
.
.
29. สามบทหมัดต่อยปรัชญา: วิภาคเหตุผลในจิต, จักรวาล, และพระเจ้า
.
Kant วิเคราะห์ความเพ้อของเหตุผลออกเป็น 3 บทหลัก
.
.
29.1 Paralogisms of Pure Reason (การอนุมานผิดของเหตุผลบริสุทธิ์)
.
→ ว่าด้วย “จิตวิญญาณ” หรือ “ตัวตน”
.
นักอภิปรัชญาชอบบอกว่า:
ฉันรู้สึกตัวเองตลอดเวลา
ฉันไม่มีขอบเขต ไม่มีการแบ่งแยก → ฉันต้องเป็น “จิตอมตะ”
.
Kant ตบกลับว่า:
“คุณมีแค่ ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งเดียว (unity of apperception)
ไม่ได้แปลว่าคุณมี ‘จิตอมตะ’ อะไรทั้งนั้น
คุณแค่ผูกประสบการณ์เข้าด้วยกัน ไม่ได้มีวิญญาณล่องลอยอยู่นอกกาย”
.
.
29.2 Antinomies of Pure Reason (ความขัดแย้งภายในของเหตุผล)
.
→ ว่าด้วย “โลกทั้งโลก”
.
Kant เสนอว่า เมื่อเราพยายามใช้เหตุผลบริสุทธิ์เข้าไปในเรื่องที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์โดยตรง เช่น “จักรวาลทั้งหมด” หรือ “ความไม่มีที่สิ้นสุด”
.
เราจะเจอกับสิ่งที่เรียกว่า antinomy ซึ่งหมายถึง “ข้อขัดแย้งของเหตุผล” คือกรณีที่ทั้งสองด้านของคำโต้แย้งต่างก็ใช้ตรรกะอย่างถูกต้อง แต่กลับสรุปไปคนละทาง และขัดแย้งกันโดยตรง
.
ตัวอย่างของ antinomy ที่ Kant ยกขึ้นมีหลายชุด เช่น
.
ข้อแรก
Thesis: โลกมีจุดเริ่มต้นในกาลเวลา และมีขอบเขตในพื้นที่
Antithesis: โลกไม่มีจุดเริ่มต้นในเวลา และไม่มีขอบเขตในพื้นที่ = มันไม่สิ้นสุด
.
ข้อที่สอง
Thesis: ทุกสิ่งในโลกต้องมี “สาเหตุแรกสุด” ที่เป็นต้นตอของทุกอย่าง
Antithesis: ไม่มีสิ่งใดเป็นต้นตอสุดท้าย = ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงต่อเนื่องแบบไม่สิ้นสุด
.
ข้อที่สาม
Thesis: ทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบย่อมมี “หน่วยเล็กสุดท้าย” ที่ไม่อาจแบ่งต่อได้
Antithesis: ไม่มีหน่วยเล็กสุด เพราะองค์ประกอบสามารถแบ่งย่อยได้เรื่อยๆ ไปจนถึงอนันต์
.
Kant บอกว่า ทั้งสองฝ่ายในแต่ละชุดใช้ตรรกะได้ถูกต้องตามรูปแบบ
แต่สิ่งที่ผิดคือ “การเอาหมวดความเข้าใจของมนุษย์ไปใช้กับสิ่งที่อยู่เหนือประสบการณ์ (noumena)”
.
Kant แก้ปัญหานี้ด้วยการย้ำว่า:
“โลกที่เรารับรู้คือ ปรากฏการณ์ (phenomena)
การพยายามพูดถึงมันในฐานะ สิ่งในตัวมันเอง (noumena) คือการเกินขอบเขตของเหตุผล”
.
.
29.3 Ideal of Pure Reason (อุดมคติแห่งเหตุผลบริสุทธิ์)
.
→ ว่าด้วย “พระเจ้า”
.
Kant วิเคราะห์ สามการพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่ ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น:
.
Ontological Argument - ถ้าเราคิดถึงสิ่งที่สมบูรณ์แบบได้ พระเจ้าต้องมีจริง (Descartes)
.
Cosmological Argument - ต้องมีสิ่งที่เริ่มต้นทุกสิ่ง (Leibniz/Wolff)
.
Teleological Argument - โลกซับซ้อนเกินจะบังเอิญ ต้องมีผู้ออกแบบ (Paley)
.
Kant ตบทั้งสามแบบเรียบๆ
.
Ontological: "การมีอยู่" ไม่ใช่คุณสมบัติ → แค่คุณคิดถึง “สิ่งสมบูรณ์” ไม่ได้แปลว่ามัน มีอยู่จริง
.
Cosmological: ใช้เหตุผลผิด - แค่เห็นว่ามีโลก ไม่ได้แปลว่าต้องมี “ผู้เริ่มต้น”
.
Teleological: การออกแบบไม่แปลว่าผู้ออกแบบต้อง “สมบูรณ์แบบสูงสุด”
.
เขาบอกว่า: “ทั้งหมดนี้คือความเข้าใจผิดของเหตุผลที่พยายาม จับต้องสิ่งที่ไม่มีทางรู้ได้จริง”
.
เขาบอกว่า:
.
“ในทางเหตุผลบริสุทธิ์ (pure reason) → เราไม่มีทางพิสูจน์หรือปฏิเสธมันได้เลย”
.
ดังนั้น:
.
ความคิดเรื่องพระเจ้า, ความอมตะ, อิสรภาพ = Idea of Reason
แต่ไม่ใช่ ความรู้ (knowledge)
เป็นสิ่งที่ “เราคิดได้” แต่ “รู้ไม่ได้” ถ้าใช้ตรรกะอย่างเดียว
.
.
.
30. ใช้เหตุผลในแบบ “Regulative” แทน “Constitutive”
.
Kant เสนอว่า “แนวคิดเหล่านี้” ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปหมด
แต่เราควรใช้มันแบบ regulative (เป็น “แนวทาง” หรือ “เป้าหมาย”) ไม่ใช่แบบ constitutive (เป็น “ความจริง”)
.
ยกตัวอย่าง:
.
ความคิดเรื่อง “โลกทั้งใบคือระบบเดียวกัน” → ทำให้เราสร้างฟิสิกส์แบบ Newton ได้
ความคิดเรื่อง “พระเจ้า” → ทำให้เรามองโลกแบบมีระเบียบ มีเป้าหมาย
.
.
31. Doctrine of Method วิธีการใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง
.
Kant ตั้งคำถามกับตัวเอง:
.
“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเหตุผลมีขีดจำกัด
แล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่รู้ว่า ‘ควรใช้มันอย่างไร’?”
.
เขามีจุดประสงค์หลัก 4 อย่าง:
.
1. แยกความรู้แบบต่างๆ ออกจากกัน
.
2. วางมาตรฐานความเข้มงวดของ “ปรัชญา” ให้ใกล้เคียง “คณิตศาสตร์”
.
3. สอนให้เราไม่หลงประเด็น หรือพูดง่ายๆ ว่า “อย่าคิดเกินขอบเขตของเหตุผล”
.
4. วางพื้นฐานให้ “อภิปรัชญาใหม่” ที่ไม่เพ้อฝัน
.
.
32. ความรู้แบบใดที่นับว่า “วิทยาศาสตร์”?
.
Kant แยกประเภทความรู้ไว้ 3 แบบ:
.
Analytic knowledge = ความรู้ที่วิเคราะห์จากแนวคิด (เช่น “สามเหลี่ยมมีสามด้าน”)
.
Synthetic a posteriori = ความรู้ที่เพิ่มเนื้อหา และอิงจากประสบการณ์ (เช่น “หิมะเย็น”)
.
Synthetic a priori = ความรู้ที่เพิ่มเนื้อหา แต่ไม่ต้องพึ่งประสบการณ์ (เช่น “1 + 1 = 2”)
.
ความรู้แบบที่ 3 นี่แหละ ที่ Kant ต้องการให้ “อภิปรัชญา” เอาเป็นแบบอย่าง เหมือนที่เรขาคณิตและฟิสิกส์ใช้มันได้อย่างมั่นคง
.
อภิปรัชญาก็ควร “ยึดหลักเงื่อนไขของประสบการณ์” ไม่ใช่เดาแบบอิทธิฤทธิ์อีกต่อไป
.
Kant เตือนว่า: “ความขัดแย้งในอภิปรัชญา เกิดจากการใช้เหตุผลแบบไม่มีข้อมูลมาสนับสนุน”
.
เขาแนะนำให้ใช้หลักที่เรียกว่า discipline of pure reason คือการควบคุมเหตุผลให้ทำหน้าที่แค่ในสิ่งที่มัน สามารถทำได้จริง
.
ในทางปฏิบัติ เขาเสนอกฎง่ายๆ เช่น:
.
ห้ามใช้ hypothesis (สมมติฐาน) ถ้าไม่มีข้อมูลประสบการณ์รองรับ
.
ห้ามใช้ ontological argument เพราะ “การมีอยู่” ไม่ใช่คุณสมบัติ
.
ห้ามสร้างระบบอภิปรัชญา โดยไม่มีรากจากประสบการณ์
.
.
33. ความแตกต่างของ “ความเชื่อ”
.
Kant แบ่ง “ความเชื่อ” ออกเป็น 3 ประเภทหลักตามระดับความมั่นใจ และความสัมพันธ์กับเหตุผลหรือประสบการณ์ ดังนี้:
.
.
ประเภทแรกคือ Opinion (ความคิดเห็น)
.
เป็นความเชื่อที่ยังไม่มั่นคง ไม่มีหลักฐานมากพอ และเจ้าของความเชื่อยังไม่กล้า “เสี่ยงชีวิต” หรือยืนยันอย่างเต็มตัว เช่น พูดว่า “ผมว่าอาจจะมีพระเจ้านะ แต่ยังไม่มั่นใจ” ก็เป็นความเห็นที่ยังลอยๆ อยู่
.
.
ประเภทที่สองคือ Belief (ความเชื่อ)
.
เป็นความเชื่อที่มีเหตุผลรองรับในระดับหนึ่ง อาจยังพิสูจน์ไม่ได้เชิงวิทยาศาสตร์หรือประสบการณ์ แต่ก็มีน้ำหนักพอให้ยึดถือในชีวิตได้ เช่น “ผมเชื่อในเสรีภาพ ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้ในทางวิทย์” นี่คือ belief ที่ใช้ได้ในเชิงปฏิบัติ
.
.
ประเภทที่สามคือ Knowledge (ความรู้)
.
เป็นความเชื่อที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ด้วยเหตุผลและ/หรือประสบการณ์ จนแน่นอน เช่น “น้ำเดือดที่ 100 องศา” เป็นสิ่งที่สามารถทดสอบ ซ้ำ และยืนยันได้ในโลกจริง
.
.
34. บทสรุปสุดท้ายของหนังสือทั้งเล่ม (แบบเข้าใจได้ภายใน 1 นาที)
.
เรารู้ได้เฉพาะ “สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาในเงื่อนไขของประสบการณ์”
.
เหตุผลมี “แม่พิมพ์” ที่แปลงข้อมูลจากโลกให้กลายเป็นความรู้
.
แต่ถ้าเราใช้เหตุผลไปคิดเรื่อง “ที่ไม่มีประสบการณ์ประกอบ” → เราจะหลงเชื่อภาพลวง
.
Kant ไม่ได้ห้ามคิดเรื่องพระเจ้า วิญญาณ หรืออิสรภาพ
.
เขาแค่บอกว่าห้ามอ้างว่า “รู้”
.
เหตุผลต้องมีวินัย เหมือนพลทหารที่รู้หน้าที่ของตัวเอง
.
และจากจุดนี้... เราจึงสามารถสร้างจริยธรรม วิทยาศาสตร์ และอภิปรัชญาในแบบใหม่ได้อย่างมั่นคงครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Being and Time โดย Martin Heidegger

Next
Next

สรุปหนังสือ The Phenomenology of Spirit โดย Georg Wilhelm Friedrich Hegel