สรุปหนังสือ The Phenomenology of Spirit โดย Georg Wilhelm Friedrich Hegel

คุณนั่งเปิดหนังสือ The Phenomenology of Spirit ด้วยความหวังเล็ก ๆ ว่า
.
“อยากเข้าใจตัวเองมากขึ้นอีกซักนิดก็พอ”
.
ผ่านไปสามหน้า…
คุณไม่แน่ใจแล้วว่าคุณเป็นคน
หรือเป็น “ตัวกลางทางตรรกะระหว่างเจตจำนงกับความจริงสัมบูรณ์”
.
ผ่านไปหกหน้า…
คุณเริ่มสงสัยว่า “เก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่นี่ เป็น object ในฐานะ object จริง ๆ หรือเป็นแค่ความรู้เชิงสำนึกที่กำลังกำหนดขอบเขตของประสบการณ์ตัวมันเอง?”
.
ผ่านไปยี่สิบหน้า…
คุณปิดหนังสือ หายใจเข้า แล้วพูดกับตัวเองว่า:
.
“โอเค… ฉันไม่รู้แล้วว่าฉันคือใคร
แต่ฉันรู้แล้วว่าแม้แต่ความไม่รู้ของฉัน… ก็เป็นกระบวนการแห่งการรู้เชิงจิตวิญญาณที่ยังไม่สมบูรณ์”
.
ใช่ครับ Hegel ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้คำตอบ แต่เขาให้คุณทะเลาะกับทุกคำถามที่คุณเคยมี
.
Phenomenology of Spirit ไม่ได้สอนให้คุณ “เข้าใจ”
แต่มันจะลากคุณไปล้างสมองด้วยถังความคิด 400 หน้า
.
หมุนคุณผ่านห้องแห่ง “สำนึกรู้”, “เหตุผล”, “จิตใจ”, “ศาสนา”, และ “ความรู้สัมบูรณ์”
จนคุณไม่แน่ใจว่าตัวคุณคือ “คุณ” หรือแค่ “Geist” ที่ยังไม่มีใครต้มบะหมี่ให้กิน
.
.
ขอเชิญพบกับสรุป Phenomenology of Spirit
.
หนังสือที่เริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆ แต่จบด้วยการที่คุณกลายเป็นพระเจ้า (ที่งงกับตัวเองอยู่ดี)
.
.
============================
.
.
1. คำปรารภ
.
หากคุณหวังจะได้ข้อสรุปสั้น ๆ จาก “คำปรารภ” ของ Hegel คุณอาจต้องผิดหวัง เพราะ Hegel ประกาศชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า “คำปรารภ” ที่มักเอาไว้สรุปประเด็นหลักของหนังสือ… ใช้ไม่ได้กับงานของเขา! แถมเขาก็ใช้เวลาร้อยกว่าหน้าเพื่ออธิบายว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้
.
สิ่งที่ Hegel พยายามจะอธิบายคือ ความรู้เชิงปรัชญาที่แท้จริงต้อง “สร้างตัวมันเอง” ผ่านการเคลื่อนผ่านประสบการณ์ ไม่สามารถสรุปได้ล่วงหน้าแบบสูตรสำเร็จเหมือน “วิชาสำเร็จรูป” ในร้านหนังสือ เขาวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงปรัชญายุค Enlightenment ที่เน้นระบบคิดแบบตายตัว อิงเหตุผลบริสุทธิ์ (pure reason) โดยไม่ได้มองว่า "จิต" และ "โลก" มีพลวัตและวิวัฒน์ร่วมกันตลอดเวลา
.
Hegel จึงเสนอว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่ “คัมภีร์ความรู้” แต่คือ “การเดินทางของจิตวิญญาณ” ที่ค่อย ๆ พัฒนาและเข้าใจตัวมันเองผ่านชุดของ “ประสบการณ์” (Erfahrung) แบบเป็นระบบ เขาเรียกมันว่า “วิทยาศาสตร์แห่งประสบการณ์ของสำนึก” (science of the experience of consciousness) และในระหว่างทางนั้น จิตเองจะเปลี่ยนแปลง และเราจะกลายเป็นสิ่งใหม่ทุกครั้งที่เข้าใจมัน
.
.
2. ทำไม “สำนึกรู้” จึงไม่ใช่ของตาย
.
ในบทนำ Hegel โจมตีสมมุติฐานแบบ Descartes ที่มองว่า “ความรู้เริ่มจากความแน่นอนในตนเอง” (certainty) เช่น “ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่” Hegel มองว่าสิ่งนี้เป็นเพียง "ความแน่นอนเชิงประสบการณ์" (certainty) ไม่ใช่ “ความจริง” (truth)
.
Hegel เสนอว่า หากเราจะเข้าใจ “จิต” (spirit, หรือ Geist) เราต้องเข้าใจว่า “สำนึกรู้” (consciousness) ไม่ได้อยู่โดด ๆ มัน “เปลี่ยนแปลง” และ “เคลื่อนไปข้างหน้า” ผ่านการปะทะกับโลกภายนอก และผ่านการสะท้อนกลับมายังตัวมันเอง
.
สำนึกรู้ ไม่ใช่กล่องเก็บข้อมูล แต่คือกระบวนการที่ทำให้ข้อมูลมีความหมาย
.
และสิ่งที่เราจะได้เห็นในหนังสือของเขาก็คือ “การเดินทางของสำนึกรู้” จากขั้นแรกสุด จนถึงขั้นที่มันกลายเป็น “จิตวิญญาณสัมบูรณ์” (Absolute Spirit) ผ่านการทดสอบ การล้มเหลว การแตกสลาย และการรวมตัวใหม่
.
.
3. ความรู้แบบรู้สึก = ความมั่นใจที่กลวงเปล่า (Sensuous Certainty)
.
Hegel เริ่มบทแรกของส่วน “สำนึกรู้” (Consciousness) ด้วยสิ่งที่ดูธรรมดาที่สุด: การรับรู้โดยตรงผ่านประสาทสัมผัส เช่น “นี่คือต้นไม้”, “ฉันเห็นสีแดง”, “ตอนนี้คือปัจจุบัน”
.
เขาเรียกขั้นนี้ว่า “ความมั่นใจจากประสาทสัมผัส” (sensuous certainty) ซึ่งดูเผิน ๆ เป็นพื้นฐานของความจริง เพราะมันตรงไปตรงมาและจับต้องได้ แต่นั่นแหละคือกับดัก
.
เมื่อคุณบอกว่า “นี่คือสีแดง” คำว่า “นี่” คืออะไร? เมื่อเวลาผ่านไป “นี่” ไม่ใช่ “นี่” เดิมอีกต่อไป “ตอนนี้” ก็กลายเป็น “อดีต” แล้ว และการพูดคำว่า “สีแดง” คือการอธิบายความรู้สึกด้วย “แนวคิดทั่วไป” (universal concept) ซึ่งขัดกับความรู้สึกแบบ “เฉพาะเจาะจง” (particular)
.
เราพูดว่า “นี่คือตอนนี้” แต่พอพูดจบ ตอนนี้ก็ไม่ใช่ตอนนั้นแล้ว
.
สรุปคือ เราพูดไม่ทันความจริงที่เกิดขึ้น - แม้แต่การชี้นิ้วไปที่ “นี่” ก็ยังล้มเหลว
.
ดังนั้น แม้เราจะ “มั่นใจ” แต่ Hegel แสดงให้เห็นว่า ความมั่นใจเชิงประสาทสัมผัสนั้นไม่มี “ความจริง” เพราะมันอิงกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง และไม่สามารถถ่ายทอดความหมายได้โดยไม่ใช้แนวคิดทั่วไปที่ขัดกับธรรมชาติของมันเอง
.
.
4. การรับรู้ (Perception)
.
ขั้นถัดไปคือ “การรับรู้” (Perception) ซึ่งเหนือกว่าการรับรู้ทางประสาทสัมผัส เพราะมันเริ่มมีการแยกแยะคุณสมบัติของวัตถุ เช่น “แอปเปิ้ลกลม, สีแดง, หวาน” แต่ปัญหาก็ตามมา: แอปเปิ้ลหนึ่งลูกมีคุณสมบัติหลายอย่างพร้อมกัน แต่แต่ละคุณสมบัติก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่แยกจากกัน
.
เมื่อเราพยายามอธิบายแอปเปิ้ล เราก็เริ่มสร้าง “ความขัดแย้ง” ภายในวัตถุ เช่น “เป็นสีแดงและไม่ใช่สีเขียว”, “มีรูปทรงแต่ไร้รส” ฯลฯ เราพยายามยัดคุณสมบัติที่แยกจากกันลงในวัตถุเดียว แล้วก็เริ่มทะเลาะกับตัวเอง
.
เราคิดว่าเรากำลังรู้จัก “วัตถุ”
แต่จริง ๆ แล้วเรากำลัง “สร้างมันขึ้นมา” จากกลุ่มคุณสมบัติ
.
จุดนี้เองที่ Hegel แสดงให้เห็นว่า แม้เราจะคิดว่า “เราเพียงแค่รับรู้” สิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ความจริงคือ เรากำลังจัดระบบความคิดของเราเองผ่านกรอบของแนวคิดอยู่เสมอ ไม่มีการรับรู้ที่ “บริสุทธิ์” แท้จริง — ทุกอย่างผ่านการตีความ
.
.
5. พลังและความเข้าใจ (Force and the Understanding)
.
ขั้นต่อมาคือ “พลังและความเข้าใจ” (Force and the Understanding) ซึ่งเป็นจุดที่สำนึกรู้เริ่มพัฒนาไปสู่ “โลกที่มีกฎ” และ “พลังภายใน” เช่น กฎแรงโน้มถ่วง, พลังไฟฟ้า, หรือความต้องการบางอย่างที่ขับเคลื่อนชีวิต
ณ จุดนี้ Hegel พาเราก้าวจากโลกของวัตถุและคุณสมบัติ ไปสู่โลกของ “พลังที่มองไม่เห็น” ซึ่งเป็นเหมือน “สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง” สิ่งปรากฏ (appearance) แต่นี่ก็ทำให้เราเข้าสู่อีกกับดักหนึ่ง
เมื่อเราพยายามอธิบายโลกด้วย “พลัง” เรากำลังสร้างแนวคิดที่ไม่มีรูปร่าง
เราแทนที่ความจริงด้วย “ภาพในหัว” ที่เรายืนยันว่ามันคือความจริง
สิ่งนี้นำเราเข้าสู่สิ่งที่ Hegel เรียกว่า “Infinity” — การย้อนกลับไปกลับมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของคำอธิบาย เช่น เราอธิบายพลัง A ด้วย B แล้วก็ต้องอธิบาย B ด้วย C… ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งแปลว่า เราไม่ได้รู้อะไรจริง ๆ เลย
.
.
6. การก้าวสู่ความรู้สึกตัว (Self-Consciousness)
.
เมื่อการรู้โลกภายนอกนำไปสู่ทางตัน สำนึกรู้เริ่ม “หันกลับมาหาตัวเอง” นี่คือจุดเริ่มต้นของ “Self-Consciousness” หรือ “ความรู้ตัวเองว่าเรารู้” ซึ่งจะกลายเป็นหัวใจของข้อถัดไป
.
Hegel กล่าวว่า: สำนึกรู้พบว่า ปัญหาไม่ใช่แค่ในโลกภายนอก แต่เกิดจากโครงสร้างของ “ความรู้” เอง และเมื่อมันหันมามองตัวมันเอง ก็เกิดการเปลี่ยนผ่านจาก “Consciousness” → “Self-Consciousness”
.
เพราะมันคือการเปลี่ยนจากการ “รับรู้โลก” เป็นการ “กำหนดโลก”
.
จิตไม่ได้แค่ส่องสว่างไปยังสิ่งต่าง ๆ อีกต่อไป… มันส่องสะท้อนตัวเอง
.
.
7. ความปรารถนา
.
เมื่อจิตเริ่มรู้ตัวว่ามัน “คือผู้รู้” มันก็เริ่มหิว—ไม่ใช่หิวข้าว แต่หิวการยืนยันว่า “ฉันมีอยู่จริง” และวิธีที่มันทำคือ “ความปรารถนา” (Begierde)
.
Hegel บอกว่าความปรารถคานี้ไม่ได้หมายถึงความอยากธรรมดาแบบ “ฉันอยากกินเค้ก” แต่มันคือพลังที่ขับเคลื่อนให้ “จิต” พิสูจน์ตนเองผ่านการกระทำกับโลก เช่น:
.
การครอบครองสิ่งของ
การทำลายวัตถุเพื่อแสดงอำนาจ
การหาคนมายืนยันว่า “ฉันมีตัวตนจริง ๆ ใช่ไหม?”
.
สำนึกรู้ในระดับนี้ยังไม่พอใจแค่การรู้ — it wants to be acknowledged
.
ปัญหาคือ: วัตถุธรรมดายืนยันไม่ได้ จิตเลยเริ่มมองหาสิ่งที่ “สามารถรับรู้” ตัวมันเองได้เช่นกัน นั่นคือ…จิตอีกดวงหนึ่ง
.
.
8. นายกับทาส (The Master-Slave Dialectic)
.
เมื่อจิตสองดวงมาเจอกัน สิ่งที่ควรจะเป็น “ความเข้าใจ” กลับกลายเป็น “สงคราม”
.
ทำไม?
.
เพราะแต่ละฝ่ายต้องการ “การยอมรับ” จากอีกฝ่ายเพื่อยืนยันตัวตน (recognition)
แต่การยอมรับจากฝ่ายที่ “อ่อนแอ” หรือ “ยอมจำนน” มันไม่เพียงพอ
.
ดังนั้นทั้งสองจึงพยายาม “บังคับ” ให้อีกฝ่ายยอมรับตน โดยที่ไม่ยอมรับอีกฝ่ายกลับ → เกิดการปะทะ → เกิด “ความกลัวตาย”
.
Hegel อธิบายว่า ในสถานการณ์นี้ ฝ่ายที่ “กลัวตาย” มากกว่าจะยอมเป็น “ทาส”
ส่วนอีกฝ่ายกล้าที่จะ “เสี่ยงชีวิต” กลายเป็น “นาย”
.
และนี่คือจุดกำเนิดของโครงสร้างสังคมเบื้องต้น: นาย–ทาส
.
แต่เดี๋ยวก่อน...เรื่องไม่จบแค่นั้นครับ
.
.
9. หักมุม: ทาสคือผู้เติบโต
.
ในแวบแรก “นาย” ดูเหมือนเป็นฝ่ายที่ชนะ ได้รับการยอมรับ และมีอำนาจ
แต่ Hegel กลับบอกว่า “ทาส” ต่างหาก ที่กลายเป็นผู้มีพลังแท้จริงในระยะยาว
.
เพราะอะไร?
.
ทาสทำงานกับ “โลกแห่งความจริง” ผ่านแรงงาน
เขาฝึกฝน, สร้าง, และเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ
เขาเผชิญความกลัว, ทนความเจ็บปวด, และค่อย ๆ แปรเปลี่ยนตนเอง
.
“ทาส” ได้เรียนรู้ผ่านการทำงาน ว่าโลกภายนอกนั้นสามารถแปรเปลี่ยนได้—รวมถึงตัวเขาเอง
.
ในขณะที่ “นาย” ใช้ชีวิตอยู่เหนือสิ่งของ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจริง ไม่เติบโต ไม่เรียนรู้
.
การยอมจำนนต่อความกลัว กลับกลายเป็นการเปิดประตูสู่การพัฒนาจิต
.
.
10. สโตอิก–สกีปติก: จิตที่พยายามเป็นอิสระ
.
หลังจากผ่านประสบการณ์ในระบบนาย–ทาส จิตเริ่มขยับสู่ระดับใหม่ของความเป็นอิสระในเชิงปรัชญา โดยปรากฏในรูปแบบสองแนวคิด:
.
.
ก) สโตอิก (Stoicism):
.
จิตปฏิเสธการยึดติดกับโลกภายนอก แล้วหันเข้าหา “เหตุผลภายใน” โดยเชื่อว่า
.
โลกภายนอกไม่สามารถควบคุมได้
สิ่งเดียวที่ควบคุมได้คือ “ตัวเราเอง”
ความสงบคือการไม่ปรารถนาอะไร
.
Hegel ชื่นชม stoicism ว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการที่จิต “ถอนตัว” ออกจากระบบภายนอก
.
แต่เขาก็วิจารณ์ว่า stoicism นั้นเป็นเพียง “ความคิด” ที่ยังไม่ลงมือทำ → ยังไม่มีพลังเปลี่ยนแปลงโลกจริง (และหากใครไม่เห็นด้วยก็ไปเถียง Hegel เอาเองนะครับ)
.
.
ข) สกีปติก (Skepticism):
.
จาก stoicism ที่เงียบและสงบ จิตก้าวไปอีกขั้น…กลายเป็น “นักสงสัยทุกอย่าง”
.
สกีปติกปฏิเสธว่าไม่มีอะไรแน่นอน:
.
ไม่มีความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้
ความรู้ใด ๆ ก็เป็นเพียง “ภาพลวงตา”
ตัวฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าฉันเป็นใคร
.
แม้ดูเหมือนเป็นอิสรภาพแบบสุดโต่ง แต่ Hegel บอกว่ามันคือ “การสลายตัว” ของจิต: เมื่อสงสัยทุกอย่าง จิตก็ไม่เหลืออะไรให้เกาะไว้
.
จิตหลุดพ้นจากนาย–ทาสได้ แต่กลับ “ลอยเคว้ง” อย่างไร้ราก
.
.
11. จิตอันเศร้าโศก The Unhappy Consciousness
.
จาก Stoic ที่อดทน → สกีปติกที่สงสัย → มาสู่ “Unhappy Consciousness” หรือ “จิตอันเศร้าโศก”
.
นี่คือจิตที่ตระหนักว่า:
.
ตนมีความปรารถนา
ตนไม่มีอำนาจจะเติมเต็มมัน
ตนรู้ว่าโลกไม่สมบูรณ์ แต่ก็เปลี่ยนมันไม่ได้
.
มันจึง “แยกตัวเองออก” เป็นสองขั้ว:
.
ฉันต่ำต้อย, ฉันบาป, ฉันไม่บริสุทธิ์
แต่มี “สิ่งสูงส่ง” ที่อยู่นอกเหนือฉัน (เช่น พระเจ้า, ความดีงาม, เหตุผล)
.
จิตประเภทนี้ปรากฏในศาสนา monotheism แบบยุคกลางที่มองว่า:
.
พระเจ้าคือผู้สมบูรณ์
มนุษย์ต้องยอมจำนนอย่างหมดจด
การรู้ความจริงทำได้ผ่าน “ศรัทธา” และ “การอธิษฐาน”
.
นี่คือ “จิตที่แยกตัวเองออกจากความจริง” และ เจ็บปวดจากการแยกนั้น
.
Hegel บอกว่า จุดนี้เองคือขั้นวิกฤติ เพราะมันพร้อมจะ “แปรเปลี่ยน” ไปสู่อะไรที่มากกว่าศรัทธา → “เหตุผล” (Reason)
.
.
12. จุดจบของ Self-Consciousness: จุดเริ่มของเหตุผล
.
ในที่สุด จิตเริ่มตระหนักว่า การพยายามเข้าใจตนเองผ่านการปฏิเสธโลก, สงสัยทุกสิ่ง, หรือยอมจำนนต่อพระเจ้า…ล้วนแล้วแต่เป็นทางตัน
.
มันเริ่มเห็นว่า…
.
หากจิตคือสิ่งที่ “แสวงหา” และ “สร้างความหมาย”
แล้วทำไมจิตไม่เริ่ม “ให้เหตุผลกับตนเอง” แทนที่จะพึ่งสิ่งภายนอก?
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของพาร์ทถัดไป: “Reason” หรือ “เหตุผล”
จิตจะเริ่มตั้งคำถามว่า: แล้วอะไรคือวิธีที่ดีที่สุดในการรู้จักตัวเราเอง = ในฐานะที่เป็นสิ่งมีเหตุผล
.
.
13. จิตแห่งเหตุผล
.
“Reason is certainty of being all reality.” — Hegel
.
หลังจากจิตได้ค้นพบว่ามันไม่สามารถพึ่งพาความแน่นอนภายนอกได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ การรับรู้ ความปรารถนา หรือศรัทธา มันจึงเริ่มหันเข้าหาตัวเองในฐานะสิ่งมีเหตุผล และประกาศว่า
.
“ฉันรู้ เพราะฉันมีเหตุผล”
.
และมากกว่านั้น: “เหตุผลคือโลก” และ “โลกคือเหตุผล”
.
พูดง่าย ๆ คือ จิตมองว่า ความจริงทั้งหมดของโลกสามารถถูกรู้ได้ผ่านเหตุผล → ทุกสิ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้
.
แต่ Hegel ไม่ได้ปล่อยให้ Reason เดินลอยลำไปเรื่อย ๆ หรอกครับ เขากำลังรอจะ “สั่นสะเทือน” ความเชื่อมั่นอันมั่นคงนี้ด้วย dialectic แบบจัดเต็ม
.
.
14. ความเชื่อมั่นของเหตุผล: “ฉันคิด ฉันครองโลก”
.
ช่วงต้นของบท Reason (C. (AA)) Hegel พาเราสำรวจจิตในขั้นที่มีความเชื่อมั่นว่า:
.
โลกทั้งใบสามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผล
จิตเป็นศูนย์กลางของความรู้ทุกอย่าง
ไม่มีความจริงอื่นนอกจากสิ่งที่ผ่านการสังเกต วิเคราะห์ และอธิบายได้
.
นี่คือยุคทองของ “เหตุผลแบบวิทยาศาสตร์” ที่คิดว่าตัวเองสามารถส่องไฟไปทุกซอกทุกมุมของจักรวาล
.
Hegel เรียกความมั่นใจนี้ว่า “Reason as Certainty” — เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่มั่นใจว่าทุกสิ่งในธรรมชาติสามารถจำแนก จัดหมวด และอธิบายเป็นกฎได้
.
แต่แล้ว Hegel ถามว่า…
.
“แล้วใครกันที่กำหนดว่าอะไรคือความจริง? จิตหรือโลก?”
.
คำถามนี้ทำให้ Reason ต้องก้าวเข้าสู่การสำรวจตัวเองอีกครั้ง
.
.
15. เหตุผลแบบผู้สังเกต: Science gone wild (Observing Reason)
.
ในช่วงนี้ จิตพยายามทำตัวเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังศึกษาโลกภายนอกอย่างเคร่งครัด:
.
ศึกษากายภาพ (physical nature)
ศึกษาชีววิทยา (organic nature)
ศึกษาสังคมและจิตมนุษย์
.
Hegel เรียกการทำแบบนี้ว่า “Observing Reason” – หรือ “จิตที่ดูแต่ไม่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์”
.
ปัญหาคือ:
.
พอจิตแยกตัวเองออกจากสิ่งที่มันศึกษามากเกินไป มันกลายเป็นแค่ “เครื่องมือวัด” ไม่ใช่ “ผู้มีชีวิต”
.
มันลืมว่าเหตุผลไม่ได้เป็นแค่กลไก แต่มันคือสิ่งที่ “ดำรงอยู่ผ่านมนุษย์” — เราไม่ใช่แค่ดูจักรวาล แต่เรา เป็นส่วนหนึ่ง ของมัน
.
Hegel เย้ยหยันการพยายามสร้าง “science of man” ที่มองมนุษย์เหมือนหุ่นยนต์ เช่น phrenology (ทฤษฎีหัวกะโหลก), physiognomy (ทำนายจากหน้าตา) และทฤษฎี pseudo-science อื่น ๆ ที่พยายามกำหนด “ความจริงภายใน” จาก “รูปลักษณ์ภายนอก”
.
การสังเกตอย่างเดียว โดยไม่เข้าใจพลวัตภายในของจิต = การเข้าใจแบบแบน ๆ
.
.
16. เหตุผลในโลกแห่งการกระทำ (Reason in Action)
.
เมื่อการสังเกตล้มเหลว จิตจึงเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สังเกต” → “ผู้กระทำ”
.
Hegel เรียกช่วงนี้ว่า “Reason as Practical” หรือ “Reason in Action”
.
จิตไม่พอใจแค่การ “เข้าใจโลก” อีกต่อไป แต่มันต้องการ “เปลี่ยนแปลงโลก”
.
มันเข้าสู่บทบาทของ:
.
ผู้ปฏิบัติการ
ผู้เปลี่ยนแปลง
ผู้มีเจตจำนงและศีลธรรม
.
มันเชื่อว่า “การกระทำ” คือหนทางของการรู้จักตัวเอง
.
ฉันรู้ว่าฉันคือใคร ผ่านสิ่งที่ฉันทำ
.
แต่ Hegel ไม่ได้ปล่อยผ่านง่าย ๆ เขาชี้ให้เห็นว่า:
.
การกระทำที่มั่นใจในอุดมคติอาจเป็นอันตราย
อุดมคติที่ไม่ผ่านกระบวนการ dialectic อาจกลายเป็น “เผด็จการของความดี”
.
ตัวอย่างเช่น นักปฏิวัติผู้มีเจตนาดีแต่กลายเป็นทรราชเพราะ “โลกไม่ยอมเปลี่ยนเร็วเท่าใจเขา”
.
นี่คือช่วงที่ Reason เริ่มเห็นว่าตัวเองก็มีข้อจำกัด
.
.
17. ตัวละครสามแบบบุคคลแห่งเหตุผลที่ล้มเหลว
.
Hegel เสนอ 3 รูปแบบของจิตที่พยายาม “แสดงตน” ในโลกผ่านการกระทำ แต่ล้มเหลว:
.
.
ก) ตัวแทนแห่งความสุขส่วนตน (Pleasure-Seeker)
.
นี่คือคนที่ใช้เหตุผลเพื่อสนองความสุขของตนเอง
.
มีความมั่นใจ
กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า
คิดว่า “โลกควรหมุนรอบความต้องการของฉัน”
.
แต่สุดท้าย เขากลายเป็น “ทาสของความต้องการตนเอง” ไม่ใช่เจ้านายของมัน
เหตุผลของเขากลายเป็น “เครื่องมือของอารมณ์” แทนที่จะเป็นเจตจำนงอิสระ
.
.
ข) บุรุษแห่งกฎหมาย (The Law-Giver)
.
เขาเชื่อว่า “เราต้องมีกฎหมายภายในตนเอง”
เขาวางอุดมคติว่าทุกคนควรเป็นเหมือนเขา
.
แต่แล้วเขากลับพบว่า:
.
กฎหมายของเขาไม่เป็นที่ยอมรับ
โลกไม่เข้าใจความตั้งใจของเขา
เขาเริ่มมองทุกคนเป็นศัตรูของ “คุณธรรม”
.
เขากลายเป็น “เผด็จการแห่งความดี” — ผู้ข่มขืนโลกด้วยอุดมคติ
.
.
ค) อัศวินแห่งคุณธรรม (Knight of Virtue)
.
เขายืนหยัดอย่างเงียบงัน มองโลกว่าเต็มไปด้วยความเลว
เขาพยายามทำสิ่งดีในโลกที่เลว แต่…
.
ไม่มีใครรู้ว่าเขาดี
ไม่มีใครขอให้เขาทำดี
ไม่มีใครเชื่อว่าเขามีอยู่
.
เขากลายเป็นตัวตลกเงียบ ๆ ที่พูดกับลม
.
Hegel เย้ยหยันว่าเขาเหมือน Don Quixote ผู้ต่อสู้กับกังหันลมด้วยจิตอันสูงส่งแต่โลกไม่สนใจ
.
.
18. เหตุผลรู้ว่าตัวเองไม่รู้
.
หลังจากพยายาม:
.
สังเกตโลก → ล้มเหลว
เปลี่ยนโลก → สับสน
แสดงอัตตา → ถูกโลกเมิน
.
ในที่สุด “เหตุผล” เริ่มตระหนักว่า:
.
โลกไม่ได้ถูกสร้างจากกฎตายตัว
ความดีไม่ใช่สิ่งที่ยัดเยียดได้
เหตุผลไม่ได้อยู่เหนือโลก แต่มันคือส่วนหนึ่งของโลกที่ต้อง “มีชีวิต” และ “เปลี่ยนแปลง”
.
Reason ต้องยอมรับว่าความจริงไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุม แต่คือสิ่งที่เรามีชีวิตอยู่ด้วย
.
นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่พาเราเข้าสู่สิ่งที่ Hegel เรียกว่า “Spirit” (Geist) — จิตที่ “มีตัวตนทางสังคม”, “เติบโตผ่านประวัติศาสตร์”, และ “รู้จักตัวเองผ่านผู้อื่น”
.
.
19. จิตวิญญาณ เส้นทางของมนุษย์จากธรรมชาติสู่สังคม
.
“Spirit is the ethical life of a people, their living world, and the way they know themselves within it.” – Hegel
.
หลังจาก Reason พยายามรู้จักโลกผ่านการคิด แต่พบว่ามันไม่พอ ในที่สุด Reason ก็ค้นพบว่า…
.
“ฉันไม่รู้จักตัวเองจนกว่าจะรู้จักผู้อื่น”
.
และนั่นคือจุดเริ่มของ Geist หรือ Spirit จิตที่มีอยู่จริงไม่ใช่ในความคิดลอย ๆ แต่ใน ประวัติศาสตร์, สังคม, วัฒนธรรม, กฎหมาย, ความรัก, และโศกนาฏกรรม
.
สิ่งที่ Hegel เรียกว่า Geist ไม่ใช่ “ผี” อย่างที่แปลผิดบ่อย ๆ
.
มันคือ จิตวิญญาณรวมหมู่ของมนุษย์ = จิตที่ไม่ใช่แค่ “ฉัน” แต่คือ “เรา”
.
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีชีวิตร่วมกัน
มีภาษา วัฒนธรรม กฎหมาย และความหมายร่วม
มีการยอมรับกันในฐานะปัจเจกที่มีคุณค่า
.
“I is We, and We is I.”
.
การเป็นมนุษย์จึงไม่ใช่แค่การมีชีวิต แต่คือการดำรงอยู่ในโลกที่มีความหมายร่วมกับผู้อื่น
.
.
20. วิญญาณแท้ (True Spirit) ในยุคทองของนครกรีก
.
Hegel เริ่มพาเราเดินทางผ่านประวัติศาสตร์ โดยหยิบ “นครกรีก” มาเป็นตัวอย่างของ “True Spirit” - วิญญาณที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา
.
เพราะอะไร?
.
พลเมืองทุกคนมี “จุดร่วมทางศีลธรรม” ผ่านกฎหมายและประเพณี
ไม่มีการแยกระหว่างปัจเจกกับสังคม
ทุกคนทำตาม “Ethical Substance” ที่เป็นส่วนหนึ่งของตนโดยไม่รู้ตัว
.
นั่นคือความสมดุลระหว่าง:
.
ครอบครัว (Family): จิตวิญญาณแห่งความรักและความเป็นธรรมชาติ
รัฐ (State): จิตวิญญาณแห่งกฎหมายและเหตุผล
.
แต่ Hegel บอกว่าสมดุลนี้เปราะบาง…
.
.
21. Antigone โศกนาฏกรรมของจิตที่แยกตัว
.
Hegel นำโศกนาฏกรรม Antigone ของ Sophocles มาเป็นตัวอย่างของ “จิตวิญญาณที่เริ่มแตกแยก”
.
เรื่องย่อสั้น ๆ:
.
Antigone ต้องการฝังศพพี่ชาย (ตามกฎแห่งครอบครัว)
แต่ Creon (ลุง) ห้ามฝัง เพราะถือว่าพี่ชายเป็นกบฏ (ตามกฎแห่งรัฐ)
Antigone ฝัง และถูกลงโทษ
.
เธอทำผิดทั้งสองด้าน…แต่ก็ถูกทั้งสองด้าน
.
Hegel ใช้ Antigone เพื่อชี้ว่า เมื่อจิตเริ่ม “มีจิตสำนึกส่วนตน” (individual conscience) ขัดกับกฎหมายสาธารณะ → ความสมดุลของ Spirit ก็เริ่มพังทลาย
.
.
22. จิตวิญญาณแปลกแยก (Alienated Spirit): จากโรมันถึงยุคศรัทธา
.
เมื่อกรีกล่มสลาย สังคมก็เข้าสู่ยุคของ “Alienated Spirit” — จิตที่รู้สึกว่า “โลกไม่ใช่ของเราอีกต่อไป”
.
ในยุคนี้:
.
ปัจเจกแยกตัวจากสังคม
กฎหมายกลายเป็นสิ่งที่ภายนอก ไม่ใช่ของตัวเรา
จิตวิญญาณเริ่มแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกโลก
.
นี่คือยุคของ ศาสนาแบบศรัทธา ที่มนุษย์:
.
ไม่เชื่อในโลก
เชื่อว่าความจริงอยู่ “ข้างบน” เท่านั้น
ยอมจำนนต่อสิ่งสูงสุด โดยไม่กล้าสัมผัสมันโดยตรง
.
โลกกลายเป็นสิ่งแปลกหน้า จิตไม่ได้รู้จักตัวเองผ่านผู้อื่นอีกต่อไป แต่ผ่าน “พระเจ้า” ที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
.
.
23. จิตวิญญาณในแสงสว่าง (Spirit in Enlightenment): ยุคของแสงแต่ไร้ราก
.
จากการแปลกแยกสู่การ “รู้แจ้ง” Hegel พาเราสู่ยุค Enlightenment ซึ่งจิตพยายาม “โค่นล้มศรัทธา” ด้วยเหตุผล
.
จิตในยุคนี้เชื่อว่า
.
เหตุผลจะปลดปล่อยมนุษย์จากความไม่รู้
ศาสนาเป็นภาพลวงตาที่ต้องถูกถอดรหัส
“มนุษย์” สามารถสร้างโลกใหม่ได้เอง
.
แต่ Hegel เตือนว่า: ความสว่างนี้อาจกลายเป็น “การทำลายทุกอย่าง” หากไม่มีรากศีลธรรมที่ลึกพอ
.
เขาเปรียบ Enlightenment เป็นเหมือนไฟฉายที่ส่องทุกอย่างเพื่อแฉความผิด แต่ไม่สามารถ “สร้างสิ่งใหม่” ได้
.
.
24. ความสยดสยองของอิสรภาพ The Terror of the French Revolution
.
จิตที่รู้แจ้งนำไปสู่ความคิดเรื่อง เสรีภาพอันสมบูรณ์
และตัวอย่างสุดขั้วของมันคือ French Revolution
.
“เมื่อเสรีภาพกลายเป็นเป้าหมายเดียว…ทุกสิ่งอื่น ๆ ถูกสังเวยเพื่อมัน”
.
Hegel อธิบายว่า:
.
ในยุค Jacobin เสรีภาพถูกยกระดับเป็น “เทพเจ้า”
แต่เทพเจ้านั้นไร้เนื้อหา → ไม่มีศีลธรรม, ไม่มีมนุษย์, ไม่มีความเมตตา
เหลือเพียง “อำนาจเปล่า” ที่ฆ่าทุกคนที่ขัดขวาง
.
นี่คือ Terror = ความสยองที่เกิดจากอุดมคติสุดขั้ว
.
เสรีภาพที่ไม่รู้จักตนเอง คือเสรีภาพที่ทำลายทุกอย่างแม้แต่เสรีภาพเอง
.
.
25. จิตแห่งศีลธรรม (Moral Spirit): Kant และการโกหกเชิงคุณธรรม
.
เมื่อโลกตกจากความกลัว จิตจึงหันกลับมาแสวงหา “กฎศีลธรรมภายใน”
Hegel พาเรามาสู่โลกของ Kant ที่ประกาศว่า:
.
จริยธรรมคือกฎของเหตุผลบริสุทธิ์
ความดีต้องทำด้วย “เจตจำนงดี” ไม่ใช่เพราะผลลัพธ์
.
ฟังดูดี แต่ Hegel วิจารณ์ว่า:
.
คนที่เคร่งจริยธรรมมาก ๆ อาจกลายเป็น “คนดีจอมปลอม” ที่หลอกตัวเอง
เขาเชื่อว่าเขาเป็นคนดี เพราะเขาทำตามกฎ…แต่ลึก ๆ เขาไม่เข้าใจคนอื่นเลย
.
เขาไม่ได้ “ดี” เพราะเข้าใจโลก
เขา “ดี” เพราะกลัวว่าตัวเองจะเลว
.
นี่คือ “จิตศีลธรรมที่โกหกตัวเอง” Hegel ไม่ได้ปฏิเสธจริยธรรม แต่เขาบอกว่ามันยังไม่พอ ถ้ามันไม่มีเนื้อหาทางสังคม
.
.
26. สู่จิตวิญญาณแท้จริง “เราคือใคร?”
.
ตลอดบท Spirit นี้ Hegel พาเราผ่าน:
.
กรีก = เราอยู่ในโลก
ศาสนา = เราแยกจากโลก
Enlightenment = เราฉีกทุกอย่าง
ศีลธรรม = เราโดดเดี่ยวอยู่ภายใน
.
→ จิตจึงถามว่า “เราเป็นใครในฐานะมนุษย์?”
.
Hegel บอกว่า คำตอบอยู่ในการ “เข้าใจตัวเองผ่านประวัติศาสตร์”
เราคือสิ่งที่เติบโตจากความขัดแย้งของอดีต
Geist คือวิวัฒนาการของจิตที่เคยล้มเหลว แต่กลับมาเรียนรู้ใหม่ทุกครั้ง
.
.
27. จิตวิญญาณที่วาดภาพตนเองเป็นพระเจ้า
.
“Religion is the self-consciousness of spirit through the medium of picture-thinking.” - Hegel
.
เราเห็นว่า Spirit คือจิตที่รับรู้ตนเองผ่านสังคม ประวัติศาสตร์ และจริยธรรม
.
แต่มันยัง “ไม่รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้” — ยังมีความแตกแยกระหว่าง “สิ่งที่เป็น” กับ “สิ่งที่ควรจะเป็น”
.
ดังนั้นในขั้นตอนต่อไปของการเดินทาง จิตจึงหันไปยังสิ่งที่สูงกว่า เหนือคำพูด เหนือเหตุผล
.
มันหันไปยัง…ศาสนา (Religion)
.
แต่เดี๋ยวก่อน Hegel ไม่ได้พูดถึงศาสนาในฐานะ “ระบบความเชื่อ” แบบศรัทธาแบบทั่วไป
.
เขามองศาสนาเป็น “กระบวนการทางจิต” ที่มนุษย์ใช้เพื่อ “สร้างภาพตนเองในรูปแบบของพระเจ้า”
.
.
28. ศาสนาไม่ใช่ศรัทธา มันคือ “ภาพแห่งตนเอง”
.
Hegel บอกว่า:
.
ศาสนาคือ “Spirit” ที่ “คิดถึงตัวเอง” ผ่าน รูปภาพ (Vorstellung)
มันต่างจาก “ปรัชญา” ซึ่งใช้ แนวคิด (Begriff)
แต่ทั้งสองต้องการจะพูดถึงสิ่งเดียวกัน: Geist หรือจิตวิญญาณของมนุษย์เอง
.
พูดง่าย ๆ:
.
ศาสนาเปรียบเหมือน “ภาพวาด” ของจิตที่พยายามเข้าใจตัวเอง
ในขณะที่ปรัชญาคือ “แผนผังวิศวกรรม” ของสิ่งเดียวกัน
.
ทั้งคู่พูดถึง “Absolute” หรือความจริงสูงสุด
แต่ศาสนาใช้เรื่องเล่า, เทพเจ้า, ภาพลักษณ์
ส่วนปรัชญาใช้ตรรกะ, dialectic, และโครงสร้างเชิงเหตุผล
.
.
29. ศาสนาในสามขั้น: ศิลป์ → สัญลักษณ์ → ศาสนาคริสต์
.
Hegel แบ่งการวิวัฒน์ของศาสนาออกเป็น 3 รูปแบบหลัก (ซึ่งสัมพันธ์กับพัฒนาการของ Geist):
.
.
ก) ศาสนาธรรมชาติ (Natural Religion)
.
พบในวัฒนธรรมยุคแรกเริ่ม เช่น อียิปต์ อินเดีย เมโสโปเตเมีย
มนุษย์ยังอยู่ใกล้ธรรมชาติ → จิตวิญญาณยัง “ไม่มีรูปร่างชัดเจน”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างในรูป “เทพแห่งน้ำ”, “พระอาทิตย์”, “ภูเขา”
.
Hegel บอกว่า นี่คือจิตที่ “ยังไม่แยกตนเองออกจากโลก” → ยังหลอมรวมกับธรรมชาติ
.
.
ข) ศาสนาแห่งสัญลักษณ์ (Religion in the Form of Art)
.
พบในกรีก: Zeus, Apollo, Aphrodite
พระเจ้ามีรูปร่างเหมือนมนุษย์
เทพเจ้าคือ “การฉายภาพ” ของคุณลักษณะมนุษย์ให้ยิ่งใหญ่
.
นี่คือขั้นที่ Hegel ชอบมาก เพราะ: “มนุษย์วาดภาพพระเจ้าด้วยใบหน้าของตนเอง” และเริ่มเข้าใจว่าพระเจ้าคือการสะท้อนของตน
.
แต่จิตยังติดอยู่ใน การแยก “เทพเจ้า” ออกจาก “มนุษย์” มันยังไม่สามารถรวมกันได้
.
.
ค) ศาสนาเปิดเผย (Revealed Religion): ศาสนาคริสต์
.
Hegel มองว่าศาสนาคริสต์เป็น “รูปแบบสูงสุดของศาสนาในเชิงรูปภาพ” เพราะ
.
พระเจ้าเป็นมนุษย์ (พระเยซู)
พระเจ้าตาย → เกิดใหม่
ความรักคือหัวใจของพระเจ้า
มนุษย์กับพระเจ้าถูก “นำกลับมารวมกัน”
.
พูดอีกแบบ = จิตเข้าใจว่า “ความจริงสูงสุด” ก็คือตัวมันเอง ที่ผ่านการทนทุกข์ ตาย และฟื้นกลับมา
.
นี่คือศาสนาที่ “ใกล้ที่สุด” กับความเข้าใจของปรัชญา แต่มันยัง ติดอยู่ในรูปภาพและความเชื่อ ยังไม่สามารถ “รู้ด้วยแนวคิด” อย่างชัดแจ้ง
.
.
Hegel ไม่ได้บอกว่าศาสนา “ผิด”
แต่เขาบอกว่า: ศาสนาเป็น “ขั้นตอนก่อน” ที่นำไปสู่การเข้าใจตัวเองแบบแท้จริง
.
“ศาสนาคิดในรูปภาพ ปรัชญาคิดในแนวคิด
.
แต่ทั้งสองพูดถึงความจริงเดียวกัน: Absolute Spirit”
.
ศาสนาช่วยให้มนุษย์สัมผัส “ความจริงอันยิ่งใหญ่” ได้อย่างเป็นรูปธรรม
.
แต่ความเข้าใจนั้นยัง “ไม่สมบูรณ์” จนกว่าจะคิดด้วยเหตุผล
.
.
30. การตายของพระเจ้า
.
Hegel นำเสนอแนวคิดที่ทำให้คนอ่านสมัยใหม่สะดุ้ง
.
พระเจ้าต้อง “ตาย”
เพื่อให้จิตมนุษย์ “ถือกำเนิดใหม่”
.
เขาไม่ได้หมายถึง “ฆ่าพระเจ้า” แบบ Nietzsche
.
แต่หมายถึง:
.
จิตที่ยังแยกพระเจ้าออกจากตัวเอง
→ ต้อง “ทำลายภาพนั้น” เพื่อรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ากับตนเอง
.
“พระเจ้า” ไม่ได้อยู่ฟากฟ้าห่างไกล
→ แต่คือ “จิตมนุษย์ที่รู้จักตัวเองในฐานะความจริง”
.
ดังนั้นการ “ตายของพระเจ้า” ใน Hegel คือ การกลับมารู้ว่าเราเองก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเชิงจิตวิญญาณ
.
.
31. Absolute Knowing = จิตที่รู้ว่า “ตนคือทุกสิ่ง”
.
“The true is the whole.” - Hegel
.
นี่ไม่ใช่เพียงตอนจบของหนังสือ
.
แต่คือจุดที่ทุกบทก่อนหน้าถูกหักล้างและถูกรวมเข้าเป็นความรู้ใหม่
จิตไม่ได้แค่อ่านบทสรุปของตัวเอง แต่กลายเป็นบทสรุปนั้น
.
ในที่สุด สิ่งที่ Hegel เรียกว่า Absolute Knowing ก็ไม่ใช่แค่ “การรู้”
แต่คือ การเป็น และการรู้จักการเป็นนั้น
.
Hegel ไม่ได้ให้สูตรสำเร็จใด ๆ แต่เขาเล่าให้ดูว่า Absolute Knowing ทำงานอย่างไร
.
มันไม่ได้แยกผู้รู้ (subject) กับสิ่งที่ถูกรู้ (object)
มันรู้ว่าอดีตของตัวเอง (เช่นความเข้าใจผิด, ความเจ็บปวด) ไม่ใช่ของเสีย แต่คือส่วนหนึ่งของการรู้
.
นี่คือ “The True is the Whole”
.
แปลว่า: ความจริงไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งที่ถูกต้อง แต่คือ กระบวนการทั้งหมด
.
ความล้มเหลว, ความขัดแย้ง, ความโง่เขลา = ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการรู้
.
เหมือนการรู้จักตัวเองไม่ใช่แค่การนึกถึง “วันนี้”
แต่คือการยอมรับ “ทั้งชีวิตที่ผ่านมา” ว่าเป็นเรา
.
.
Hegel เปรียบความรู้สัมบูรณ์เหมือนกับผู้ใหญ่ที่กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด
.
เขาเคยคิดว่าบ้านนั้นจำกัด, เก่า, แคบ
เขาเคยหนีออกมา, ต่อต้าน, ดูถูก
.
แต่วันหนึ่ง เขากลับมา และมองเห็นว่า “บ้านนี้คือจุดเริ่มของทุกอย่าง”
แม้มันไม่สมบูรณ์ แต่มันก็จำเป็นเพื่อให้เขาเป็นคนแบบปัจจุบัน
.
.
32. Absolute Knowing ไม่ใช่จุดจบแบบ “หยุดนิ่ง”
.
คนอาจคิดว่า Absolute Knowing คือจุดที่ “รู้ทุกอย่างแล้ว”
.
แต่ไม่ใช่เลย… มันไม่ใช่ จุดสิ้นสุดแบบตายตัว
.
มันคือจุดเริ่มของ “ความรู้ที่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงเสมอ”
.
Hegel บอกว่า:
.
ความรู้สัมบูรณ์ไม่ใช่ “สิ่งที่ถูกตลอดกาล”
แต่มันคือ “ความสามารถในการรวมทุกสิ่งแม้แต่ความผิดพลาด”
.
นั่นแปลว่า
.
Absolute Knowing = Knowing that knowing itself is always becoming
.
.
========================
.
เราทุกคนเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน
เราคิดว่าเรารู้ว่าเราคือใคร
.
แต่หลังจากเดินผ่านหุบเหวแห่งสำนึกรู้
ปีนเขาแห่งเหตุผล
ลัดเลาะป่าทึบของจิต
มองเห็นหมอกแห่งศาสนา
และจ้องตากับภูเขาน้ำแข็งของ “ความรู้สัมบูรณ์”
.
…สิ่งที่รอเราอยู่ตอนปลายทาง ไม่ใช่พระเจ้า
ไม่ใช่ความจริง
ไม่ใช่คำตอบ
.
แต่มันคือกระจกเงา
ที่สะท้อนภาพของเรา…
ขณะกำลังถือ The Phenomenology of Spirit
ด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าแต่สง่างาม
.
และมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว
"โอเค… สรุปแล้วฉันก็ยังไม่เข้าใจเล่มนี้อยู่ดีใช่มั้ย?"
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Critique of Pure Reason ว่าด้วยขอบเขตของเหตุผล เขียนโดย Immanuel Kant

Next
Next

สรุปหนังสือ On the Genealogy of Morality เขียนโดย Friedrich Nietzsche