สรุปหนังสือ The Open Society and Its Enemies เขียนโดย Karl Popper

คนเราตั้งแต่โบราณก็ฝันถึง “โลกที่ดีกว่า”
บางคนวาดมันในจินตนาการ
บางคนวาดมันด้วยดินสอสี
แต่บางคนวาดมันด้วยปืนกล
.
เวลาเรานึกถึงคำว่า “เผด็จการ”
หลายคนอาจนึกถึงท่านผู้นำหน้าเครียด สวมชุดเครื่องแบบ
ยืนอยู่บนแท่นสูงท่ามกลางเสียงปรบมือหลอกๆ
.
.
แต่สำหรับ Karl Popper
.
เผด็จการตัวร้ายที่สุด อาจไม่ใช่คนที่ถือปืน… แต่อยู่ในหัวเรานี่แหละ
.
มันมาในรูปแบบความคิดง่ายๆ อย่าง
.
“ถ้าคนโง่เงียบไปซะหน่อย ประเทศจะพัฒนาเร็วกว่านี้”
“เราต้องมีคนเก่งๆ มาคุมทุกอย่าง”
“ประชาธิปไตยมันช้า…มันไม่ทันกิน”
.
คุณเคยคิดแบบนั้นมั้ยครับ? ถ้าเคย… ยินดีด้วยครับ คุณเป็นหนึ่งในศัตรูของสังคมเปิดแบบไม่รู้ตัว
.
Popper เขียนหนังสือ The Open Society and Its Enemies เล่มนี้
.
เพื่ออธิบายประโยคเดียวว่า “อย่าคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง”
.
แต่เขาไม่ได้สั่งสอนด้วยคำหวาน เขาสั่งสอนด้วยหมัดแห่งปรัชญา
.
โดยการอัด Plato, Hegel และ Marx จนต้องร้องขอชีวิต
.
.
=============================
.
1. คาถาแห่งเพลโต อัจฉริยะผู้ใฝ่หาความจริง กลับกลายเป็นต้นธารแห่งอำนาจนิยม
.
“The open society is under attack from its oldest and most articulate enemy — the totalitarian ideology. And that ideology, I regret to say, begins with Plato.” - Karl Popper
.
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความนอบน้อม แต่มันเริ่มด้วยการประกาศสงคราม Popper ไม่ใช่นักวิจารณ์ที่หยิบยกเพลโตมาแค่เพราะชื่อเสียง หากแต่เขาเห็นว่ารากเหง้าของแนวคิดเผด็จการในยุคใหม่ เช่น ลัทธิฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ มีร่องรอยที่ย้อนกลับไปถึงสมัยเพลโต
.
สิ่งที่ Popper ต้องการเปิดโปงก็คือ “มายาคติของชะตากรรม” (Myth Of Destiny) แนวคิดที่ว่าโลกมีเส้นทางที่แน่นอนล่วงหน้า และมนุษย์เพียงแค่ “แปลคำพยากรณ์” ให้ถูกต้องเท่านั้น การเมืองในแบบนี้ไม่ต้องอาศัยการถกเถียง ไม่ต้องการเสรีภาพ มีแต่การ “ทำตามแผนของประวัติศาสตร์”
.
และคนแรกที่ Popper เห็นว่าใส่เสื้อคลุมพ่อมด และเสกคาถานี้ขึ้นมาก็คือ…เพลโต
.
.
2. ประวัติศาสตร์แบบมีชะตากรรม Historicism คืออะไร?
.
Popper ใช้คำว่า historicism เพื่ออธิบายแนวคิดที่เชื่อว่าประวัติศาสตร์มีทิศทางตายตัว เช่น แนวโน้มของการล่มสลายของระบบ หรือการมาถึงของระบอบที่เลิศล้ำในอนาคต
.
แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่การเล่าอดีต แต่มันคือการพยากรณ์อนาคตบนฐานของกฎเกณฑ์ประวัติศาสตร์ เหมือนนักโหราศาสตร์ที่ใช้การหมุนของดวงดาวมาอธิบายโลกสังคม แนวคิดนี้มีอิทธิพลในหลายรูปแบบ เช่น ในลัทธิมาร์กซ์ ที่เชื่อว่าระบบทุนนิยมจะต้องพัง และระบบสังคมนิยมจะต้องมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
แต่ Popper ค้านสุดลิ่มทิ่มประตู เขาเสนอว่าประวัติศาสตร์ไม่มี "กฎเหล็ก" ใด ๆ มาบอกอนาคต การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการกระทำของมนุษย์แบบไม่แน่นอน และการยึดติดกับกฎแห่งโชคชะตาทำให้เรายอมให้เผด็จการใช้มันมาอ้างเพื่ออำนาจ
.
.
3. Heraclitus และการเต้นของจักรวาล
.
Popper เริ่มต้นการโจมตีด้วยการย้อนกลับไปสู่ต้นธารของปรัชญากรีก โดยเฉพาะ Heraclitus นักปรัชญาที่เชื่อว่า “ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” (Everything flows)
.
แต่ Popper ชี้ว่า เพลโตบิดเบือน Heraclitus และใช้เขาเป็นตัวแทนของ “อนาธิปไตยแห่งการเปลี่ยนแปลง” เพื่ออธิบายว่าทำไมเราจึงควรหยุดความเปลี่ยนแปลงและตั้ง “รัฐในอุดมคติ” ให้คงที่เสียที
.
Heraclitus กลับกลายเป็นเครื่องมือในมือเพลโต เพื่อบอกว่าความเปลี่ยนแปลงทำให้โลกพัง ดังนั้นเราควรย้อนกลับไปสู่ระเบียบเดิมที่มั่นคง และปล่อยให้ชนชั้นนำเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างตลอดกาล
.
.
4. ทฤษฎีอุดมคติ (Forms) สิ่งแท้จริงอยู่เหนือโลกนี้
.
ที่ใจกลางของความคิดเพลโต คือทฤษฎี Forms หรือ Ideas — โลกที่เราอยู่ไม่ใช่โลกจริง สิ่งของที่เราสัมผัสได้เป็นเพียงเงาของ “รูปแบบที่แท้จริง” ซึ่งอยู่ในโลกเหนือธรรมชาติ
.
Popper มองว่าทฤษฎีนี้อันตราย เพราะมันบอกว่า “ความดีที่แท้จริง” มีอยู่ตายตัว แล้วใครจะเข้าถึงมันได้? แน่นอน — นักปรัชญาผู้รู้แจ้ง
.
นี่คือทางลัดสู่ระบบการปกครองที่ไม่มีใครเถียงได้ เพราะผู้ปกครองไม่ได้มีอำนาจจากการเลือกตั้งหรือการถกเถียง หากแต่ “รู้ความดี” ด้วยญาณวิเศษ ใครเถียงก็ “ไม่รู้” และจึงไม่มีสิทธิพูด
.
การเมืองแบบนี้ไม่เปิดให้เปลี่ยน ไม่เปิดให้ตรวจสอบ มันคือสิ่งที่ Popper เรียกว่า closed society — สังคมปิด
.
.
5. ธรรมชาติกับสัญญา
.
อีกหนึ่งจุดวิจารณ์สำคัญคือ ความเชื่อของเพลโตว่า “ธรรมชาติ” มีลำดับชั้น และบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ ส่วนคนอื่น ๆ เป็นเพียงเครื่องจักรในรัฐ
.
Popper ชี้ว่า ความเชื่อใน “ธรรมชาติ” แบบนี้คือข้ออ้างของการปกครองแบบชนชั้น มันหักล้างหลักแห่งเสรีภาพที่ว่า “มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน” และแทนที่ด้วย “ชนชั้นนำรู้ดีสุดแล้ว”
.
เพลโตไม่เชื่อใน “สัญญาทางสังคม” (social contract) หรือกระบวนการที่คนเท่ากันมารวมตัวกันสร้างกฎเกณฑ์เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีเหตุผล แต่เขาเชื่อในระเบียบศักดิ์สิทธิ์ที่นิรันดร์ และใครฝืน…คือตัวอันตรายของสังคม
.
.
5. ความยุติธรรมแบบเผด็จการ Totalitarian Justice
.
Popper ชำแหละนิยาม “ความยุติธรรม” ของเพลโต ว่าไม่ใช่ความยุติธรรมแบบเสรีนิยมที่เราคุ้นเคย เช่น ความเสมอภาคทางกฎหมาย หรือการคุ้มครองสิทธิของบุคคล
.
แต่เป็น “ความยุติธรรมในเชิงหน้าที่” — แต่ละคนอยู่ในหน้าที่ของตน ไม่ล้ำเส้น ไม่คิดนอกกรอบ ไม่ทะเยอทะยาน
.
Popper มองว่านี่ไม่ต่างจากแนวคิดของระบอบเผด็จการ ที่ทุกคนมี “ตำแหน่งชะตากรรม” ของตนเอง ไม่ใช่จากความสามารถหรือการเลือก แต่จากการจัดสรรของชนชั้นนำ ผู้ซึ่งถือว่า “รู้อะไรดีกว่าเรา”
.
.
6. ผู้นำต้องไม่ถูกรบกวน The Principle of Leadership
.
เพลโตเสนอว่า “ผู้นำที่ดีต้องไม่ถูกปั่นป่วนด้วยเสียงของมวลชน” และทางออกของเขาคือการสร้างรัฐที่มีโครงสร้างลำดับชั้นชัดเจน โดยมี “กษัตริย์นักปรัชญา” อยู่บนสุด
.
Popper มองว่านี่คือการละทิ้งหัวใจของประชาธิปไตย เพราะไม่มีใครสามารถตรวจสอบผู้นำได้เลย
.
และหากผู้นำมีความเชื่อในอุดมคติของตนเองอย่างเหนียวแน่น ยิ่งไม่มีใครหยุดเขาได้ เพราะเขาจะอ้างว่า “ตนเองรู้ดี” — ปรัชญาจึงกลายเป็นข้ออ้างของอำนาจ และตรรกะกลายเป็นอาวุธของระบอบปิด
.
.
7. ความสมบูรณ์แบบที่ฆ่าเสรีภาพ: Aestheticism, Utopianism, and the Ideal State
.
Popper กล่าวหาเพลโตว่าเสพติดสุนทรียศาสตร์ในระดับสุดขั้ว (aestheticism) จนถึงขั้นต้องการให้สังคมถูก “ออกแบบใหม่” ตามภาพในฝัน
.
สิ่งนี้กลายเป็นแรงผลักดันสู่ utopian engineering — การสร้างสังคมในอุดมคติแบบเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งหมด ซึ่ง Popper เห็นว่าอันตรายที่สุด
.
เพราะการ “เปลี่ยนทุกอย่าง” มักทำให้สิทธิเสรีภาพต้องถูกสังเวย เช่นเดียวกับที่ระบอบคอมมิวนิสต์และฟาสซิสต์ในศตวรรษที่ 20 ทำ
.
.
8. ทำไมเพลโตถึงเปลี่ยนจากนักเสรีนิยม สู่ศัตรูของเสรีภาพ?
.
Popper เสนอว่าความคิดของเพลโตเปลี่ยนไปเพราะ “ความกลัว” — เขาเห็นการล่มสลายของระบอบเอเธนส์ เสียศิษย์รักอย่างโสเครตีส และเชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย
.
เพลโตจึงหันไปหาสิ่งตรงข้าม = ความมั่นคง, ความมั่นใจ, ความรู้ในเชิงสัมบูรณ์
.
แต่ Popper เตือนว่า นี่คือเส้นทางที่อันตรายที่สุด เพราะเมื่อเรายกอุดมคติไว้สูงกว่าสิทธิมนุษย์ เราจะยอมทำทุกอย่างเพื่อมัน — รวมถึงปราบคนที่ไม่เห็นด้วย
.
.
9. ศัตรูของสังคมเปิด – ความสมบูรณ์แบบ, ชนชั้นนำ, และอุดมคติที่ไม่เปลี่ยนแปลง
.
Popper มีคำถามเรียบง่ายแต่คมกริบ: “อะไรคือพื้นฐานที่ทำให้เพลโตปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง?”
.
คำตอบคือ “ความกลัว” — โดยเฉพาะความกลัวต่อ flux หรือการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบของมนุษย์และสังคม เพลโตไม่พอใจความผันผวน เพราะมันทำให้ไม่มีอะไรยึดมั่นได้ จึงพยายามสร้างแบบจำลองที่ “หยุดเวลา” ได้ เช่น โครงสร้างรัฐที่แต่ละคนทำหน้าที่ของตนโดยไม่ข้ามขอบเขต (ฟังดูคล้ายรัฐพุทธแบบสมานฉันท์…แต่จริง ๆ แล้วคือฟาสซิสต์ที่ห่อด้วยกำยาน)
.
ความเสถียรเช่นนี้จึงไม่ใช่แค่การหยุดการเมือง แต่คือการตรึงสังคมด้วย “ธรรมชาติ” ที่แตะต้องไม่ได้ เหมือนคำกล่าวอ้างว่า “มันเป็นเช่นนี้แหละ เพราะจักรวาลออกแบบมาแบบนี้”
.
.
10. คำทำนายที่ไม่มีใครตรวจสอบ Oracular Politics
.
Popper เรียกแนวคิดของเพลโตว่า oracular philosophy ปรัชญาแบบนักพยากรณ์ที่พูดราวกับรู้อนาคต ทั้งที่ไม่มีใครกล้าย้อนถามหาหลักฐาน เพราะใครขัดขืนก็ย่อมกลายเป็น “ผู้ไม่รู้”
.
และนั่นคือจุดที่ Popper เห็นว่าทุกอย่างเริ่มพัง
.
ในสังคมแบบเปิด ทุกแนวคิดต้องยอมรับการตรวจสอบ การวิจารณ์ และการทดลองอย่างไม่ลำเอียง แต่ในสังคมที่ถูกขับเคลื่อนด้วย “คำทำนายศักดิ์สิทธิ์” นั้น นักคิดจะกลายเป็นนักบวช และประชาชนจะกลายเป็นผู้ติดตามที่ไม่มีสิทธิถาม
.
Popper ไม่ได้ต่อต้านอุดมคติ แต่เขาเตือนว่า “เมื่ออุดมคติกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ — ความเป็นมนุษย์ก็กลายเป็นเครื่องสังเวย”
.
.
11. สังคมเปิดคืออะไร? (และทำไมมันเปราะบางกว่าสังคมปิด?)
.
Popper เสนอคำอธิบายที่สวยงามและตรงไปตรงมาว่า:
.
Closed society คือสังคมที่อิงอำนาจของธรรมเนียม, ผู้นำ, และความเชื่อที่ตรวจสอบไม่ได้
.
Open society คือสังคมที่ยอมรับว่าความรู้ไม่เคยสมบูรณ์ และมนุษย์มีสิทธิที่จะตั้งคำถามกับทุกสิ่ง รวมถึงกับ “ผู้รู้” ด้วย
.
ในสังคมเปิด เราเชื่อว่าความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ความขัดแย้งคือแหล่งพลังแห่งความก้าวหน้า และไม่มีใคร “ถูกเสมอ”
.
แต่ Popper เตือนว่า สังคมเปิดคือสิ่งใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษย์ มันไม่ใช่ธรรมชาติ หากเป็นสิ่งที่ต้อง สร้าง ด้วยความอดทน ยอมรับความไม่แน่นอน และฝึกความกล้าที่จะสงสัยแม้แต่ “ความดี” เอง
.
.
12. ทำไมสังคมเปิดถึงทำให้คนบางคนรู้สึก “หลงทาง”?
.
หนึ่งในประเด็นลึกซึ้งที่ Popper ชูขึ้นคือ: “มนุษย์ไม่ได้ต้องการแค่ความจริง…แต่ต้องการความมั่นใจ”
.
และความมั่นใจนั้น สังคมเปิดให้ไม่ได้
.
ในสังคมที่เสรีและมีการถกเถียง คนต้องเผชิญกับทางเลือกมากมาย ต้องแบกรับความรับผิดชอบของเสรีภาพ ต้องตัดสินใจเองว่าชีวิตมีความหมายอย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย มันก่อให้เกิดความรู้สึก “โดดเดี่ยว” “สับสน” และ “เปล่าเปลี่ยว”
.
Popper เรียกสิ่งนี้ว่า The Strain of Civilization ความตึงเครียดที่เกิดจากการมีเสรีภาพ
.
จึงไม่น่าแปลกที่เมื่อมีใครสักคนเสนอ “ทางออกที่ง่ายกว่า” เช่น การฟังผู้นำที่รู้ทุกอย่าง หรือการกลับไปสู่ความมั่นคงแบบอดีต คนจำนวนมากก็พร้อมจะยอมแลกเสรีภาพกับความสบายใจ
.
.
13. การจัดชนชั้นแบบเพลโต = ระบบวรรณะที่มีตรรกะ
.
Popper วิจารณ์อย่างถึงพริกถึงขิงว่า “รัฐในอุดมคติ” ของเพลโตนั้นไม่ได้ต่างจากระบบวรรณะอินเดียเลยแม้แต่น้อย:
.
ชนชั้นปกครอง (นักปรัชญา) — ผู้มีสติปัญญา
ชนชั้นทหาร — ผู้มีความกล้าหาญ
ชนชั้นช่างฝีมือและเกษตรกร — ผู้มีความต้องการและแรงงาน
.
ทุกคนควรอยู่ในชนชั้นของตน ไม่ข้ามล้ำ ไม่มีการเคลื่อนย้าย และการที่ใครสักคน “อยากเปลี่ยนสถานะ” ถือว่าเป็นภัยต่อความยุติธรรม
.
Popper บอกว่านี่คือ Totalitarian Collectivism ที่อำพรางภายใต้ภาษาสละสลวย โดยอ้างว่า “เพื่อสันติภาพของสังคม” แต่จริง ๆ แล้วคือการหยุดยั้งศักยภาพของมนุษย์
.
.
14. การเปลี่ยนแปลงอย่างปฏิวัติ vs การปรับปรุงทีละน้อย
.
Popper แบ่งแนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคมออกเป็น 2 แบบ:
.
Utopian Engineering – เปลี่ยนโครงสร้างสังคมทั้งหมด เพื่อให้เข้าใกล้ “อุดมคติ” โดยเชื่อว่าตนรู้คำตอบแล้ว
.
Piecemeal Social Engineering – ปรับปรุงทีละขั้น ทดลอง ปรับเปลี่ยน ยอมรับความผิดพลาด และเรียนรู้จากมัน
.
เพลโต (และต่อมา มาร์กซ์) เลือกแบบแรก ส่วน Popper สนับสนุนแบบที่สอง เพราะเชื่อว่าไม่มีใครรู้ว่า “อุดมคติที่แท้จริง” คืออะไร
.
และการพยายามบังคับสังคมให้เข้าแผนเดียวกันทั้งประเทศ ก็คือรากฐานของเผด็จการ ไม่ว่าจะมาในคราบของนักปรัชญา, ปราชญ์, หรือพรรคการเมืองก็ตาม
.
.
15. เมื่อคำว่า “ความดี” กลายเป็นอาวุธ
.
Popper โจมตีปรัชญาการเมืองของเพลโตที่เชื่อว่า “สิ่งดี” สามารถกำหนดได้ล่วงหน้า และหน้าที่ของรัฐคือ “ทำให้ความดีเกิดขึ้น”
.
ฟังดูดี…แต่ Popper เตือนว่า นี่คือ “หลุมพรางของจิตใจนักเผด็จการ”
.
เพราะเมื่อใดที่เราคิดว่าเรารู้ดีสุดแล้ว เราจะไม่ฟังเสียงอื่นอีกต่อไป
เราจะไม่ยอมให้ใครมาวิจารณ์
และเราจะยอมใช้กำลังเพื่อรักษา “ความดี” ของเราไว้
.
นี่แหละคือหัวใจของความคิดแบบฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์ ที่ใช้ “ความดี” เป็นข้ออ้างในการควบคุมสังคมทั้งระบบ
.
.
16. เพลโตไม่ผิดแค่เพราะเขาคิดแบบนี้ แต่เพราะเขาคิดให้มันใช้ได้กับอนาคตตลอดกาล
.
Popper ยอมรับว่าเพลโตไม่ได้มีเจตนาร้าย และหลายอย่างในรัฐอุดมคติของเขาอาจเข้าใจได้ในบริบทของกรีกโบราณ
.
แต่ที่เขาโจมตีคือการที่เพลโตพยายามสร้าง “หลักการนิรันดร์” — หลักการที่ไม่มีวันเปลี่ยน ที่อ้างว่าใช้ได้กับทุกสังคม ทุกเวลา
.
และเมื่อแนวคิดนั้นหลุดออกจากโลกปรัชญาเข้าสู่การเมืองจริง ๆ — มันก็กลายเป็นสูตรสำเร็จให้ผู้มีอำนาจใช้เพื่อกดขี่คนอื่นได้ตลอดกาล โดยไม่ต้องเปิดรับการวิจารณ์
.
.
17. เส้นทางอันตรายของความเชื่อใน “อุดมคติที่ไม่อาจโต้แย้ง”
.
Popper กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า:
.
“Totalitarianism is not a modern invention. It is an ancient danger in modern clothes.”
.
เขาเสนอว่าแนวคิดแบบเพลโตนั้นคือปฐมบทของอำนาจนิยมในยุคใหม่ มันให้โครงสร้าง, ภาษา, และหลักการแก่ระบอบฟาสซิสต์และเผด็จการอื่น ๆ ที่ตามมา
.
เมื่อเรายอมให้ “ผู้รู้” เป็นผู้นำตลอดกาล
เมื่อเรายอมให้ “อุดมคติ” อยู่เหนือมนุษย์จริง ๆ
เมื่อเรายอมให้ “เป้าหมายที่ดี” กลบ “วิธีการที่โหดร้าย”
.
เราก็กำลังเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์แบบที่ Popper พยายามเตือนเราไม่ให้กลับไป
.
.
18. ยุคแห่งคำทำนาย “แนววิทยาศาสตร์”
.
“Hegel is not a philosopher. He is a propagandist of the Prussian state.” — Karl Popper
.
หลังจากที่เพลโตปูทางให้การเมืองกลายเป็นเรื่องของ “อุดมคติที่รู้ล่วงหน้า” Hegel และ Marx ก็มอบ “เครื่องมือวิเศษ” ให้คำทำนายนั้นดูน่าเชื่อขึ้น: วิทยาศาสตร์
.
แต่มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์จริงแบบทดลอง-ผิดพลาดที่ Popperเคารพ หากเป็นวิทยาศาสตร์หลอก (pseudo-science) ที่อ้างว่าตนเข้าใจ “กฎแห่งประวัติศาสตร์” และสามารถพยากรณ์อนาคตได้แน่ชัด
.
Hegel ทำแบบนี้โดยอ้างว่าประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการของ “เหตุผลสัมบูรณ์” ที่ดำเนินผ่านยุคสมัย ส่วน Marx ทำโดยอ้างกฎของ “แรงงาน–ทุน–ชนชั้น” ที่ขับเคลื่อนโครงสร้างสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
Popper เรียกสิ่งนี้ว่า Historicism แบบโบราณในชุดสูทของยุคใหม่
.
.
19. Hegel: พ่อมดแห่งอุดมการณ์รัฐ
.
Popper อุทิศบทหนึ่งเพื่อถล่ม G.W.F. Hegel อย่างไม่ไว้หน้า เขากล่าวว่า Hegel ไม่ใช่นักปรัชญาอย่างแท้จริง แต่เป็น “นักบิดเบือนเชิงวาทศิลป์” ที่ทำงานให้รัฐปรัสเซียอย่างเต็มตัว
.
Hegelมองว่า:
.
รัฐคือ “ความจริงในเชิงจริยธรรม”
บุคคลมีคุณค่าเพียงเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ
ประวัติศาสตร์ดำเนินไปอย่างมีเหตุผล มุ่งสู่จุดสูงสุด — ซึ่งก็คือรัฐของเขาเอง
.
ใช่ครับ… Hegel เขียนว่ารัฐปรัสเซียคือรูปแบบที่สมบูรณ์ของเหตุผลในโลก
.
Popper จึงกล่าวหาว่า Hegel เขียนปรัชญาเพื่อยกย่องอำนาจ ไม่ใช่เพื่อค้นหาความจริง เขาใช้ภาษาที่เข้าใจยากเพื่อซ่อนความไร้แก่นสาร และเปิดทางให้รัฐอ้างอิงปรัชญาเพื่อควบคุมพลเมือง
.
.
20. ชาตินิยมใหม่ Tribalism กลับมาในคราบอุดมการณ์
.
Popper เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า New Tribalism — คือการย้อนกลับไปสู่ยุคของสังคมเผ่า ที่แต่ละคนมีตัวตนผ่านกลุ่ม ผ่านชาติ ผ่านรัฐ และสูญเสียความเป็นปัจเจก
.
ในมือของ Hegel นี่คือเครื่องมือชั้นยอดสำหรับรัฐเผด็จการ:
.
ทำให้ประชาชนคิดว่ารัฐ = ศีลธรรม
ทำให้สงครามกลายเป็นเครื่องมือแห่งวิวัฒนาการ
ทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็น “เวทีของจิตสำนึกแห่งชาติวีรบุรุษ” ที่ต้องมีผู้ชี้นำ
.
แนวคิดแบบนี้จะกลับมาอีกครั้งในศตวรรษที่ 20 ในนามของ “ชาติพันธุ์นิยม”, “เผ่าพันธุ์เจิดจ้า”, หรือ “ชะตากรรมแห่งชาติ” ทั้งหมดล้วนมีรากใน Hegel
.
.
21. จาก Hegel ถึง Marx
.
Popperชื่นชม Marx ในฐานะนักคิดที่เก่งและตั้งใจดี แต่เขาเชื่อว่า Marx ถูก Hegel วางกับดักไว้แล้วโดยไม่รู้ตัว
.
Marx ยอมรับแนวคิด historicism ของ Hegel อย่างเต็มรูปแบบ แต่เปลี่ยนคำศัพท์ใหม่ให้ “ดูเป็นวิทยาศาสตร์”:
.
Hegel → Marx
.
วิญญาณสัมบูรณ์ → พลังการผลิต
.
เหตุผลในประวัติศาสตร์ → กฎของชนชั้น
.
การบรรลุจิตสำนึกผ่านรัฐ → การมาถึงของคอมมิวนิสต์
.
Marx ไม่เชื่อใน “วิญญาณ” แต่เขาเชื่อใน “กฎของประวัติศาสตร์” ที่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจผ่านลำดับ
.
ทาส > ศักดินา > ทุนนิยม > สังคมนิยม > คอมมิวนิสต์
.
ในสายตา Popper นี่คือการแค่เปลี่ยนศัพท์ แต่ยังคงกรอบเดิม:
.
“The metaphysical teleology of Hegel returns in Marx as economic determinism.”
.
.
22. Marx’s Method
.
Popper แยกบทเฉพาะเพื่อวิเคราะห์ “ระเบียบวิธีของ Marx” ซึ่งดูเหมือนใช้วิทยาศาสตร์ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่
.
ประเด็นหลักของเขาคือ:
.
วิทยาศาสตร์ที่แท้ต้องเสนอสมมุติฐานที่สามารถ “พิสูจน์ว่าผิด” ได้ (falsifiability)
.
แต่ Marx ไม่เคยเสนอคำทำนายที่ยอมรับได้ว่า “ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ แสดงว่าเราผิด”
.
ตัวอย่างเช่น:
.
Marx ทำนายว่าแรงงานจะยากจนลงเรื่อย ๆ (immiseration thesis) — แต่ในโลกจริง แรงงานในระบบทุนนิยมกลับร่ำรวยขึ้นในหลายแห่ง
.
Marx ทำนายว่าทุนนิยมจะล่มสลาย — แต่ก็ยังไม่เกิด
.
Marx บอกว่าการปฏิวัติต้องเกิดในประเทศอุตสาหกรรม — แต่กลับเกิดในรัสเซีย
.
และเมื่อทำนายผิด…นักมาร์กซิสต์ก็เปลี่ยนคำทำนายใหม่ ไม่ยอมรับว่าผิด
.
นี่คือรูปแบบของ pseudo-science ที่ Popper ต่อต้านที่สุด
.
.
23. ชำแหละทฤษฎี Marx
.
ในส่วนของการวิเคราะห์ “ทฤษฎีชนชั้น” Popper ชี้ว่า Marx แบ่งโลกแบบง่ายเกินไป:
.
ชนชั้นนายทุน = ผู้กดขี่
ชนชั้นกรรมาชีพ = ผู้ถูกกดขี่และจะปฏิวัติ
.
ปัญหาคือ…โลกไม่ง่ายแบบนั้น
คนจำนวนมากไม่ได้อยู่ในสองขั้วนี้
ชนชั้นกลางเกิดขึ้นอย่างมหาศาล
.
มีแรงงานที่ไม่อยากปฏิวัติ
มีนายทุนที่สนับสนุนแรงงาน
.
แต่ลัทธิมาร์กซิสต์กลับใช้การแบ่งชนชั้นเป็นหลักศีลธรรมแทนข้อเท็จจริง ใครอยู่ฝั่งกรรมาชีพ = ดี ใครอยู่ฝั่งทุน = เลว
.
นี่คือการลดทอนมนุษย์ให้กลายเป็นตัวแปรในเกมประวัติศาสตร์ ที่ไม่มีใครหลุดออกจากบทบาทที่ลิขิตไว้ล่วงหน้าได้เลย
.
ในบทว่าด้วย Marx’s Ethics Popper วิจารณ์ว่า Marx ไม่มีจริยศาสตร์ที่แท้จริงในงานเขียนของเขา เพราะ:
.
เขาไม่พูดถึง “บุคคล” ในเชิงศีลธรรม
เขาวัดคุณค่าของการกระทำจาก “ประวัติศาสตร์” ไม่ใช่จากสิทธิของมนุษย์
.
สิ่งนี้กลายเป็นช่องให้ระบอบมาร์กซิสต์ในโลกจริง (เช่น ลัทธิสตาลิน) ใช้ Marx เป็นเครื่องมือในการสังหารผู้คนนับล้าน โดยอ้างว่า “เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ”
.
Popper เขียนอย่างขมขื่นว่า “Once we allow the ends to justify the means, there is no crime too great.”
.
.
24. วิจารณ์ทฤษฎีว่าด้วยการล่มสลายของทุนนิยม
.
หนึ่งใน “แกนกลาง” ของคำทำนาย Marx คือ “Capitalism will destroy itself” ด้วยเหตุผลดังนี้:
.
ความขัดแย้งระหว่างแรงงานกับทุนจะยิ่งรุนแรง
การผูกขาดจะทำให้การแข่งขันพัง
กำไรจะลดลงเรื่อย ๆ
ระบบจะเข้าสู่วิกฤตที่แก้ไม่ได้
.
Popper ชี้ว่าความจริงตรงข้ามทั้งหมด:
.
แรงงานมีการจัดตั้งสหภาพและได้สิทธิ์มากขึ้น
นวัตกรรมทำให้ตลาดเกิดผู้เล่นใหม่เสมอ
ทุนนิยมเรียนรู้จากวิกฤต (เช่น The Great Depression)
ระบบสวัสดิการในโลกตะวันตกทำให้ชนชั้นแรงงานมีชีวิตดีกว่าที่ Marx คาดฝันไว้
.
การคาดการณ์แบบ deterministic หรือกะเกณฑ์ว่าระบบจะ “ต้อง” พัง เป็นสิ่งที่ Popper ต่อต้านมากที่สุด เพราะมันตัดสิทธิของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนระบบด้วยการตัดสินใจ ไม่ใช่ด้วย “คำสาปของประวัติศาสตร์”
.
.
25. การพลิกแพลงเพื่อไม่ให้ผิด
.
Popper กล่าวอย่างชัดเจนว่า คำทำนายเรื่องจุดจบทุนนิยมของ Marx ถูก “ป้องกันจากการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ” ด้วยเทคนิคที่ไม่ต่างจากนักมายากล:
.
ถ้าทำนายถูก → เราเก่ง
.
ถ้าทำนายผิด → ต้องรอเวลา, ยังไม่ครบเงื่อนไข, หรือทุนนิยมแค่ประวิงเวลา
.
ยกตัวอย่าง:
.
ถ้าแรงงานไม่ยากจน → ก็เพราะรัฐสวัสดิการยังไม่ถูกล้มล้างหมด
ถ้าไม่มีการปฏิวัติ → ก็เพราะชนชั้นกลางยังล้างสมองแรงงานอยู่
ถ้าทุนนิยมไม่ล่ม → ก็เพราะมันโกงกลไกตลาด
.
Popper เรียกพฤติกรรมนี้ว่า Immunizing Strategies คือการเสริมเกราะทฤษฎีให้ไม่มีวันผิด แม้ความจริงจะเฆี่ยนหน้าก็ตาม
.
.
26. “Social Revolution”
.
Marx เชื่อว่าการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพจะเป็น “การเคลื่อนไหวของมวลชนผู้ตื่นรู้” อย่างแท้จริง โดยไม่มีผู้นำเผด็จการ ไม่มีระบบราชการ และจะนำไปสู่ “การไม่มีรัฐ”
.
Popper กล่าวแบบประชดว่า:
.
“ไม่มีอะไรมีระเบียบและระบบราชการเท่ากับ ‘การล้มรัฐ’ ที่ Marx จินตนาการ”
.
ในโลกจริง เราเห็นว่า “การปฏิวัติมาร์กซิสต์” มักจบลงด้วย:
.
รัฐที่เข้มงวดกว่าทุนนิยมหลายเท่า
การควบคุมโดยพรรคเดียว
การจำกัดเสรีภาพสื่อ, ศาสนา, และปัจเจก
การใช้ตำรวจลับและค่ายแรงงาน
การฆ่าล้างความเห็นต่าง
.
แทนที่จะได้ “อิสรภาพของแรงงาน” เรากลับได้ “คุกของประชาชน”
.
.
27. ความไม่เสรีในนามของเสรีภาพ
.
Marx บอกว่า “หลังการปฏิวัติ” สังคมจะเข้าสู่สภาวะ ไร้รัฐ (stateless) ซึ่งมนุษย์จะปกครองตนเองโดยไม่ต้องพึ่งอำนาจ
.
Popper ไม่เพียงสงสัย แต่เห็นว่ามันเป็นอันตราย
.
เหตุผลคือ:
.
แนวคิด “ไร้รัฐ” ถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อรวมอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน
“คณะกรรมการเปลี่ยนผ่าน” หรือ “พรรคปฏิวัติ” กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ
สุดท้ายกลายเป็นรัฐใหม่ที่เข้มงวดกว่ารัฐเก่า
.
Popper จบการวิเคราะห์ด้วยข้อสรุป 2 ประการ:
.
- Marx คือผู้มีใจรักความยุติธรรม แต่สร้างทฤษฎีที่ไม่เปิดให้ความยุติธรรมเติบโตในโลกจริง
.
- ทฤษฎีของเขาใช้อธิบายประวัติศาสตร์ได้ “หลังเหตุการณ์” (retrospective fit) แต่ไม่สามารถทำนายสิ่งใดได้ล่วงหน้า
.
.
28. สู่ Sociology of Knowledge
.
จากนั้น Popper เริ่มจากการตั้งคำถามที่เหมือนจะบริสุทธิ์แต่สั่นสะเทือนรากฐานของปรัชญาทั้งหมด:
.
“เรารู้ได้อย่างไรว่าความรู้ของเราจริง?”
.
และคำถามต่อไปที่อันตรายกว่า:
.
“หรือมันเป็นแค่เสียงสะท้อนของกลุ่ม?”
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของ Sociology of Knowledge — การศึกษาโครงสร้างทางสังคมของความรู้
.
โดยเฉพาะในแนวคิดแบบมาร์กซิสต์ยุคหลังที่เชื่อว่า:
.
ความรู้ไม่เป็นกลาง
ความรู้ถูกผลิตและควบคุมโดยกลุ่มชนชั้นนำ
ความจริงที่คุณ “เชื่อ” นั้นไม่ใช่ความจริงแท้ แต่คือผลผลิตของอุดมการณ์ชนชั้น
.
นี่คือโลกที่ไม่มีความจริง มีแต่ความหมายที่คนมีอำนาจกำหนด
.
แต่ Popper ไม่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง เขายอมรับว่า:
.
บริบททางสังคมมีอิทธิพลต่อการสร้างความรู้
.
ความคิดของมนุษย์มักสะท้อนยุคสมัย, ชนชั้น, หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
.
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มีอคติและถูกครอบงำโดยทฤษฎีที่ตนเชื่อ
.
แต่เขายืนกรานว่า “การรู้ว่าความรู้มีที่มา” ≠ “ปฏิเสธความเป็นไปได้ของความจริง”
.
Popper เตือนเราว่า “แม้การอ้างอิงถึงบริบทอาจมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ความรู้ แต่การใช้บริบทนั้นเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดชอบในการวิจารณ์เป็นสิ่งที่อันตราย”
.
กล่าวคือ…
.
คุณสามารถพูดได้ว่า “นักเศรษฐศาสตร์คนนั้นคิดแบบเสรีนิยมเพราะเขาเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง”
.
แต่คุณไม่ควร “ปฏิเสธ” ข้อมูลของเขาเพียงเพราะที่มา
.
จงตีความ, วิจารณ์, ตรวจสอบ — อย่าตัดสินด้วยภูมิหลังเพียงอย่างเดียว
.
.
29. จากอธิบายอุดมการณ์ → สู่ลัทธิ Relativism สุดโต่ง
.
ปัญหาคือ หลายกลุ่มใช้ Sociology of Knowledge เพื่อผลักดันสู่แนวคิดสุดโต่ง:
.
“ไม่มีความรู้ใดเป็นกลาง → ไม่มีความจริงใดแน่นอน → ความจริงเป็นของใครของมัน → ทุกอย่างถูก/ผิดเท่ากันหมด”
.
นี่คือ Relativism — การลื่นไถลจากการมองโลกอย่างเข้าใจ ไปสู่การปฏิเสธทุกอย่างอย่างเสมอภาค
.
Popper เปรียบความคิดนี้เหมือน “คนที่เห็นว่าทุกความคิดคือความเห็นเท่าเทียมกัน แล้วโยนความพยายามหาเหตุผลทิ้งทั้งหมด”
.
30. Revolt Against Reason การกบฏต่อเหตุผลในคราบของความรู้
.
ในบทที่โดดเด่นของช่วงท้ายเล่ม Popper พาเราพบกับศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของสังคมเปิด
.
Revolt Against Reason — การกบฏต่อเหตุผล
.
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในหมู่คนไม่รู้หนังสือ แต่เริ่มจาก “นักคิดระดับสูง” นั่นเอง
.
ตั้งแต่
.
เพลโต: ที่ผลักให้ความรู้แท้ต้องอยู่กับผู้รู้เพียงหยิบมือ
.
เฮเกล: ที่เสนอเหตุผลแบบประวัติศาสตร์ที่ไม่ยอมให้ตรวจสอบ
.
นีทเช่: ที่มองว่าความจริงเป็นมายาของคนอ่อนแอ
.
ไฮเดกเกอร์: ที่ถักร้อยความมืดมนของภาษาเป็นโครงสร้างแห่งอำนาจ
.
ไปจนถึงมาร์กซิสต์สายสุดโต่ง: ที่กล่าวหาความรู้ว่าเป็นเครื่องมือของ “อำนาจอำพราง”
.
ในโลกทัศน์นี้…
.
การตั้งคำถาม → คือการกดขี่
.
การใช้เหตุผล → คือการกลบเสียงของวัฒนธรรมท้องถิ่น
.
การถกเถียง → คือการใช้ภาษาของอำนาจกดหัวคนอื่น
.
Popper โต้กลับว่า “If reason is only a mask for power, then the only hope is force.”
.
เมื่อเหตุผลถูกตัดขาด…สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเสียงของ “พลัง” และเราก็กลับสู่โลกของคนถือค้อนที่ตัดสินทุกอย่างว่าเป็นตะปู
.
.
31. รายละเอียดของตัวอย่าง “นักคิดกบฏ” ที่ Popper วิจารณ์ตรง ๆ
.
.
เฮเกล
.
Popper เห็นว่าเฮเกลใช้ภาษายากซับซ้อนเพื่อบังตา แทนที่จะช่วยให้ความรู้แจ่มชัด เขากลับสร้างหมอกควันทางปรัชญาที่ไม่มีใครกล้าถาม
.
“Hegel invented a jargon that enabled him to conceal the emptiness of his ideas.”
.
.
นีทเช่
.
แม้จะเป็นอัจฉริยะทางวรรณกรรม แต่นีทเช่เปิดประตูให้ “ความไม่ไว้ใจเหตุผล” เข้าสู่กระแสหลัก
.
“Truth is a kind of error without which a certain kind of life is impossible.” - Nietzsche
.
Popper เตือนว่า นี่คือสไตล์ที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันน่าหลงใหลแต่กัดกร่อนจากภายใน
.
.
ไฮเดกเกอร์
.
ในสายตา Popper, ไฮเดกเกอร์คือคนที่เดินทางสุดขั้วไปสู่ความ “ไร้เหตุผลอย่างมีระบบ” โดยหุ้มด้วยภาษาแห่ง “ความเป็น-ในโลก”
.
และใช่ครับ Popper ยังไม่ลืมว่าไฮเดกเกอร์เคยร่วมพรรคนาซี
.
.
Popper ยืนหยัดในแนวคิดที่ตรงกันข้าม:
.
เหตุผลไม่ได้มีไว้เพื่อครอบงำ
เหตุผลมีไว้เพื่อเรียนรู้
เหตุผลที่ดีต้องเริ่มจากการยอมรับว่า “เราอาจไม่รู้”
.
นี่คือความกล้าหาญทางปัญญาที่แท้จริง — การตั้งคำถามโดยไม่อ้างว่าตนมีคำตอบล่วงหน้า
.
.
32. การปกป้องเหตุผล ≠ การเผด็จการทางปัญญา
.
Popper พยายามลบภาพของ “นักเหตุผลนิยมเผด็จการ” ออกจากสังคม
.
เพราะหลายคนเชื่อว่า:
.
เหตุผล = วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ = ความแน่นอน
ความแน่นอน = ตัดความเห็นอื่น
.
แต่ Popper บอกว่า ผิดทั้งหมด
.
เหตุผล ≠ ความแน่นอน
.
เหตุผล = กระบวนการเรียนรู้ผ่านการทดลอง, วิจารณ์, และการยอมให้ความคิดถูกตีตก
.
เหตุผลจึง “ถ่อมตน” โดยธรรมชาติ
.
.
33. Critical Rationalism เหตุผลที่ไม่หลงตัวเอง
.
Popper เสนอว่า จุดตัดสำคัญระหว่างอารยธรรมที่เสรีกับอารยธรรมที่เสื่อม คือคำถามง่ายๆ:
.
“เรากล้าคิดว่าตัวเองอาจผิดหรือไม่?”
.
จากคำถามนี้ เขาสร้างวิธีคิดที่เรียกว่า เหตุผลเชิงวิพากษ์ (Critical Rationalism)
.
แตกต่างจาก “เหตุผลนิยมแบบเผด็จการ” ที่เชื่อว่า:
.
เหตุผลจะให้ “คำตอบสุดท้าย”
วิทยาศาสตร์ = ความแน่นอน
การโต้แย้ง = การขัดขวาง
.
.
Popper บอกตรงกันข้าม
.
“การใช้เหตุผล คือ การตั้งคำถามต่อทุกอย่าง โดยไม่หยุดที่ใดเป็นคำตอบสุดท้าย”
.
เขาไม่เชื่อในระบบที่ยึดติดกับอุดมการณ์ใดแบบเป๊ะๆ แม้แต่วิทยาศาสตร์
.
เพราะแม้แต่ทฤษฎีที่ดีที่สุด ก็ต้องเปิดให้วิจารณ์ได้เสมอ
.
.
34. วิทยาศาสตร์คือการเรียนรู้จาก “ความผิด”
.
ในโลกของ Popper…
.
ความรู้ที่ดี ≠ ความรู้ที่ “ถูกต้อง”
.
ความรู้ที่ดี = ความรู้ที่เปิดให้โต้แย้งได้ และพร้อมจะถูกพิสูจน์ว่าผิด
.
นี่คือหลักของวิทยาศาสตร์แบบ Popper
.
“We never prove hypotheses, we only refute or fail to refute them.”
.
นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงต้องยินดีทุกครั้งที่มีคนโต้แย้ง
.
เพราะนั่นหมายความว่า ความรู้ก้าวหน้าขึ้นอีกนิดหนึ่ง
.
.
35. คำถามตอนท้าย “Has History Any Meaning?”
.
Popper ปิดท้ายด้วยคำถามที่กัดกินนักคิดทุกยุค:
.
“ประวัติศาสตร์มีความหมายหรือไม่?”
.
เขาวิเคราะห์ว่า ความเชื่อใน “แผนของประวัติศาสตร์” (Historicist faith) คือหัวใจของลัทธิเผด็จการทั้งหลาย — ไม่ว่าจะมาจากเพลโต, เฮเกล หรือมาร์กซ์
.
พวกเขามักอ้างว่า
.
โลกมีทิศทางแน่นอน
สังคมมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายสูงสุดบางอย่าง
ผู้ที่เข้าใจเป้าหมายนั้น จึงมีสิทธิ “บงการ” การเปลี่ยนแปลง
.
Popper ไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิง
.
“History has no meaning — except the meaning we give it.”
.
ไม่มีพระเจ้าประวัติศาสตร์
ไม่มีแผนของธรรมชาติ
ไม่มีจุดหมายปลายทาง
.
มีแต่สิ่งที่มนุษย์ทำซ้ำๆ ด้วยความหวังว่าจะเรียนรู้จากมัน
.
.
36. ยูโทเปียคือภัยร้าย เพราะมันไม่ยอมรับว่าตนเองอาจผิด
.
Popper เตือนว่า “แผนสังคมแบบสมบูรณ์” คือสิ่งอันตรายที่สุด
.
เพราะมันไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาด
มันไม่เปิดรับข้อเสนอใหม่
และมันพร้อมจะกำจัด “คนเห็นต่าง” เพื่อรักษาภาพของ “อุดมคติ”
.
ยิ่งสมบูรณ์ → ยิ่งอำนาจนิยม
.
ในทางกลับกัน…Popper เสนอโมเดลที่ตรงข้าม:
.
Piecemeal Social Engineering — การปฏิรูปทีละนิดอย่างมีวิจารณญาณ
.
แทนที่จะวาดภาพใหญ่ในอากาศ เขาเสนอว่าเราควร:
.
เลือกปัญหาเล็กๆ
ทดลองแนวทางใหม่
ประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา
.
นโยบาย = การทดลองที่ต้องให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของ
.
ในวิสัยทัศน์ของ Popper:
.
การเมืองไม่ใช่ “การเลือกผู้นำที่ดีที่สุด”
แต่คือการสร้างระบบที่ “ประชาชนสามารถถอดถอนคนไม่ดีได้” โดยไม่ต้องปฏิวัติ
.
นี่คือหัวใจของ Negative Democracy
.
“Democracy is not about choosing the best rulers. It is about removing bad rulers without bloodshed.”
.
“Let our aim be not the construction of the perfect state, but the creation of conditions under which the most brutal and least intelligent rulers can be replaced without violence and bloodshed.”

"เป้าหมายของเราควรไม่ใช่การสร้างรัฐที่สมบูรณ์แบบ แต่คือการสร้างเงื่อนไขที่ทำให้สามารถเปลี่ยนผู้นำที่โหดร้ายและโง่เขลาที่สุดออกไปได้ โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือหลั่งเลือด"
.
.
=========================
.
.
Karl Popper เชื่อว่าความรู้ของมนุษย์นั้นผิดพลาดได้เสมอ
ไม่มีใครรู้ “ความจริงทั้งหมด”
มีแต่พวกที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง…ที่มักทำให้ทุกอย่างพัง
.
เพราะโลกไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “ความถูกต้องสมบูรณ์”
แต่มันขับเคลื่อนด้วยคนที่กล้ายอมรับว่า “เออ เราอาจจะผิดก็ได้”
.
มนุษย์ฉลาดขึ้น…เพราะเราทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
แล้วค่อยๆ เลิกทำในสิ่งที่โง่ที่สุด (บางคนเลิกช้าหน่อย ก็ไม่เป็นไร)
.
และที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาลนี้…
ไม่ใช่ปีศาจ
ไม่ใช่รูหนอน
ไม่ใช่ Elon Musk
.
แต่คือคนที่พูดว่า:
.
“ฉันแน่ใจ 100% ว่าฉันถูก”
.
…แล้วทำหน้าเหมือนเทพเจ้ากำลังตั้งศาสนาใหม่ตามชื่อเขา
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ Thus Spoke Zarathustra : พระเจ้าตายแล้ว… และเราคือคนฆ่า เขียนโดย Friedrich Nietzsche