Tao Te Ching : คัมภีร์แห่งหนทางและคุณธรรม (The Book of the Way and Virtue) โดย Lao Tzu

“ทางที่เห็น มิใช่ทาง
ทางที่ไม่เห็น กลับพาเราไป”
.
ริมทางสายไหมเมื่อกว่า 2,500 ปีก่อน มีชายชราผู้หนึ่งเดินทางไปยังตะวันตก เมื่อถึงด่านฮันกู นายด่านชื่ออิ๋นซีขอร้องให้เขาเขียนปัญญาที่สั่งสมไว้ตลอดชีวิตก่อนจะจากไป ชายคนนั้นคือ เล่าจื๊อ (Lao Tzu) ข้าราชการหอสมุดแห่งราชสำนักโจว และสิ่งที่เขาทิ้งไว้คือหนังสือเล่มบางเพียง 5,000 ตัวอักษรจีน Tao Te Ching หรือ “คัมภีร์เต้าเต๋อจิง”
.
ความบางของมันกลับตรงข้ามกับน้ำหนักทางความคิด คัมภีร์นี้เป็นทั้ง อภิปรัชญา, ปรัชญาการเมือง, จริยศาสตร์, และคัมภีร์แห่งชีวิตในเวลาเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธจะให้คำตอบตรง ๆ เพราะแก่นของมันคือ Tao หนทางที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยถ้อยคำธรรมดา
.
Tao Te Ching ถือกำเนิดขึ้นในยุค “จ้านกั๋ว” ที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยสงครามและนักปราชญ์มากมายแข่งขันกันเสนอวิถีแห่งระเบียบและความมั่นคง ขงจื้อเน้น “พิธีและคุณธรรม,” โมจื้อเน้น “ความรักสากล,” ขณะที่เล่าจื๊อกลับเลือก ความเงียบ, ความถ่อมตน, และการไม่ทำ (Wu Wei)
.
“คัมภีร์ว่าด้วยทางและคุณธรรม” เล่มนี้เต็มไปด้วยอุปมาอุปไมย น้ำ, หุบเขา, เด็กทารก, มารดา, และท่อนไม้ ทั้งหมดล้วนเป็น “สัญลักษณ์”
.
ผู้อ่านต้องค้นพบความจริงด้วยตนเอง ภาษาของเล่าจื๊อเป็นเพียงนิ้วที่ชี้ไปยังดวงจันทร์ หาใช่ดวงจันทร์ไม่
.
นี่คือความอัจฉริยะของภาษาในเต้าเต๋อจิง ภาษาที่ใช้คำพูดเพื่อนำไปสู่สิ่งที่เหนือคำพูด ใช้ความคิดเพื่อนำไปสู่สิ่งที่เหนือความคิด ใช้การเขียนเพื่อนำไปสู่การอ่านความว่างเปล่า


=============================

บทที่ 1: ปริศนาของภาษาและความจริงสูงสุด

"เต๋าที่พูดได้ ไม่ใช่เต๋าอันนิรันดร์ ชื่อที่ตั้งได้ ไม่ใช่ชื่ออันนิรันดร์"

ประโยคเปิดนี้วางรากฐานทางญาณวิทยาที่ลึกซึ้ง เหล่าจื๊อกำลังชี้ให้เห็นข้อจำกัดพื้นฐานของภาษามนุษย์ ในปรัชญาจีน การตั้งชื่อ (Ming) ไม่ใช่เพียงการให้ฉายาเรียกขาน แต่เป็นการกำหนดขอบเขต การแยกสิ่งหนึ่งออกจากสิ่งอื่น การสร้างความเป็นอื่นในสิ่งที่แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งเดียว

เต๋าที่แท้จริงอยู่ก่อนการแบ่งแยกทั้งปวง มันคือสภาวะดั้งเดิมที่ยังไม่ถูกตัดทอนด้วยมโนทัศน์ใดๆ ภาษาที่เราใช้สามารถชี้ไปยังเต๋าได้ แต่ไม่สามารถจับตัวเต๋าได้ เพราะทันทีที่เราพยายามนิยามมัน เราก็จำกัดมันลงแล้ว

"ไร้ชื่อ คือจุดเริ่มต้นของฟ้าดิน มีชื่อ คือมารดาของหมื่นสิ่ง"

"Wu Ming" (ไร้ชื่อ) และ "You Ming" (มีชื่อ) แสดงถึงสองมิติของความจริงเดียวกัน มิติแรกคือสภาวะก่อนการปรากฏ ก่อนการแยกแยะ เป็นศักยภาพบริสุทธิ์ที่ยังไม่ถูกกำหนดรูปแบบ มิติที่สองคือเมื่อศักยภาพนั้นแสดงออกมาเป็นรูปธรรม กลายเป็นโลกแห่งปรากฏการณ์ที่หลากหลาย ทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่แยกกัน แต่เป็นการแสดงออกที่ต่างกันของเต๋าเดียวกัน

การเริ่มต้นด้วยการปฏิเสธความสามารถของภาษาแสดงให้เห็นแนวทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากปรัชญาอื่นๆ ในยุคนั้น ขณะที่ขงจื้อพยายามแก้ไขชื่อ (Zheng Ming) ให้ตรงกับความจริง เหล่าจื๊อกลับชี้ให้เห็นว่าความจริงสูงสุดอยู่เหนือชื่อทั้งปวง

 

บทที่ 2: หยิน-หยางและการพึ่งพาอาศัยกัน

"เมื่อโลกรู้ว่าความงามคืองาม ความอัปลักษณ์ก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่อโลกรู้ว่าความดีคือดี ความชั่วก็ปรากฏแล้ว"

เหล่าจื๊อเปิดเผยกระบวนการที่จิตมนุษย์สร้างความเป็นคู่ตรงข้าม การตัดสินว่าสิ่งใดงามทำให้เกิดมาตรฐานของความอัปลักษณ์ การยกย่องความดีทำให้เกิดการตีตราความชั่ว นี่คือ "Xiang Sheng" (การเกิดร่วมกัน) - หลักการที่ว่าทุกแนวคิดเกิดขึ้นพร้อมกับคู่ตรงข้ามของมัน

แต่เหล่าจื๊อไม่ได้หยุดแค่การชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของคู่ตรงข้าม เขากำลังตั้งคำถามกับกระบวนการแบ่งแยกนั้นเอง ในสภาวะเต๋า ไม่มีการแบ่งความงามกับความอัปลักษณ์ ไม่มีการแยกความดีกับความชั่ว มีแต่ความเป็นอยู่ที่ไหลเวียนอย่างเป็นธรรมชาติ การแบ่งแยกเป็นผลจากจิตที่วิเคราะห์ ไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ

"ดังนั้น Sage ปฏิบัติด้วย Wu Wei สอนโดยไม่ใช้คำพูด"

Wu Wei (การไม่กระทำ) เป็นแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับการเข้าใจนี้ เมื่อเราเข้าใจว่าการแบ่งแยกเป็นสิ่งประดิษฐ์ของจิต เราจึงไม่พยายามแทรกแซงหรือบังคับให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่เราต้องการ Wu Wei คือการกระทำที่ไม่ขัดกับธรรมชาติของสิ่งนั้น การปล่อยให้สิ่งต่างๆ แสดงตัวตนที่แท้จริงของมันเอง

การสอนโดยไม่ใช้คำพูดหมายถึงการสอนด้วยการเป็นตัวอย่าง ด้วยการกระทำ ด้วยการดำรงอยู่ มากกว่าการบรรยายหรืออธิบาย เพราะคำพูดสร้างการแบ่งแยก แต่การกระทำที่สอดคล้องกับเต๋าสื่อสารได้โดยตรง

 

บทที่ 3: การปกครองด้วยความว่าง

"อย่ายกย่องคนมีความสามารถ ประชาชนจะไม่แก่งแย่ง อย่าให้ค่าของล้ำค่า ประชาชนจะไม่คิดลักขโมย อย่าแสดงสิ่งน่าปรารถนา จิตใจประชาชนจะไม่วุ่นวาย"

นี่คือหลักการปกครองที่มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เหล่าจื๊อมองว่าปัญหาสังคมเกิดจากการกระตุ้นความอยากในรูปแบบต่างๆ เมื่อสังคมยกย่องคนเก่ง คนอื่นจึงอยากเก่งและแข่งขันกัน เมื่อสังคมให้ค่าของหายาก คนจึงอยากได้และพร้อมจะขโมย เมื่อสังคมโชว์สิ่งน่าปรารถนา จิตใจผู้คนจึงไม่สงบ

แนวทางของเหล่าจื๊อคือการลดสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ ไม่ใช่การปราบปรามความอยาก แต่เป็นการไม่สร้างความอยากขึ้นมาตั้งแต่แรก นี่คือการป้องกันที่ดีกว่าการแก้ไข

"ปกครองด้วยการทำให้ใจว่าง ท้องเต็ม ความมุ่งมั่นอ่อน กระดูกแข็ง"

"Xu Qi Xin" (ทำใจให้ว่าง) หมายถึงการปล่อยวางความอยากที่ไม่จำเป็น ความทะเยอทะยานที่เกินพอดี การแข่งขันที่ไร้ประโยชน์ "Shi Qi Fu" (ทำท้องให้เต็ม) คือการตอบสนองความต้องการพื้นฐานอย่างเพียงพอ ไม่ให้ขาดแคลนจนต้องดิ้นรน นี่คือสมดุลระหว่างความต้องการทางจิตที่เรียบง่ายกับความต้องการทางกายที่ได้รับการตอบสนอง

การทำให้ความมุ่งมั่นอ่อนไม่ใช่การทำให้คนอ่อนแอ แต่เป็นการลดความดื้อรั้นที่ขัดกับธรรมชาติ ขณะที่การทำให้กระดูกแข็งคือการสร้างความแข็งแรงที่แท้จริงทางกายภาพ

 

บทที่ 4: เต๋าเปรียบเหมือนภาชนะว่าง

"เต๋าเหมือนภาชนะว่างเปล่า ใช้มันไป มันก็ไม่เคยเต็ม ลึกล้ำ! ราวกับเป็นบรรพบุรุษของสรรพสิ่ง"

"Chong" (ความว่าง) ในที่นี้เป็นความว่างเชิงบวก ไม่ใช่ความว่างเปล่าแบบ nihilism เหล่าจื๊อใช้ภาพของภาชนะเพื่อแสดงให้เห็นว่าความว่างคือสิ่งที่ทำให้ใช้งานได้ ภาชนะที่เต็มแน่นไม่สามารถรับอะไรได้อีก แต่ภาชนะที่ว่างสามารถรับได้ไม่จำกัด

เต๋าเป็นแหล่งกำเนิดที่ไม่มีวันหมด ให้กำเนิดสรรพสิ่งอย่างต่อเนื่องแต่ไม่เคยพร่อง นี่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ที่มาจากความว่าง ไม่ใช่จากความเต็ม

"มันทู่ความแหลมคม ถอนความยุ่งเหยิง ประสานความสว่าง ร่วมกับฝุ่นธุลี"

เต๋าทำหน้าที่ปรับสมดุลในจักรวาล ทำให้สิ่งที่แหลมคมอ่อนลง สิ่งที่ยุ่งเหยิงคลี่คลาย สิ่งที่สว่างจ้าไม่แสบตา และทำให้ทุกสิ่งกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว "He Guang Tong Chen" (ประสานแสงร่วมฝุ่น) แสดงถึงการอยู่ร่วมกับโลกโดยไม่แยกตัว ไม่ถือตัวว่าสูงส่งกว่า

 

บทที่ 5: ฟ้าดินไร้เมตตา

"ฟ้าและดินไร้ความเมตตา เห็นสรรพสิ่งดุจหุ่นฟาง Sage ก็ไร้ความเมตตา เห็นประชาชนดุจหุ่นฟาง"

"Bu Ren" (ไร้เมตตา) เป็นคำที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดในคัมภีร์นี้ มันไม่ได้หมายถึงความโหดร้าย แต่หมายถึงความเป็นกลางสมบูรณ์ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ฟ้าดินปฏิบัติต่อทุกสิ่งเท่าเทียมกันตามกฎแห่งธรรมชาติ ไม่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ใด

"หุ่นฟาง" (Chu Gou) คือวัตถุบูชาที่ทำจากฟางในพิธีกรรมโบราณ ใช้แล้วก็ทิ้งไปตามธรรมดา ไม่มีการยึดติดว่าศักดิ์สิทธิ์หรือไร้ค่า นี่แสดงให้เห็นมุมมองที่ปราศจากอคติ ทุกสิ่งมีบทบาทและเวลาของมัน เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็ผ่านไป ไม่มีการยึดติดถาวร

Sage เลียนแบบฟ้าดินด้วยการปกครองอย่างเป็นกลาง ไม่ลำเอียงเพราะความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัว นี่คือการปกครองด้วยกฎแห่งธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์

 

บทที่ 6: จิตวิญญาณแห่งหุบเขา

"วิญญาณแห่งหุบเขาไม่มีวันตาย เรียกมันว่าสตรีเร้นลับ ประตูของนางคือรากแห่งฟ้าและดิน"

"Gu Shen" (วิญญาณหุบเขา) เป็นภาพแทนของพลังที่รองรับและให้กำเนิด หุบเขาอยู่ต่ำแต่เป็นแหล่งกำเนิดของลำธาร เป็นที่รวมของน้ำที่ไหลมาจากที่สูง นี่คือพลังของความต่ำต้อยที่กลับกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิต

"Xuan Pin" (สตรีเร้นลับ) แสดงถึงหลักการเชิงหญิงในจักรวาล - พลังที่สร้างสรรค์โดยการรองรับ ที่ให้กำเนิดโดยการเป็นพื้นที่ว่าง ที่แข็งแกร่งโดยการอ่อนโยน นี่เป็นการยกย่องคุณค่าที่ตรงข้ามกับสังคมชายเป็นใหญ่ที่เน้นการรุกราน การครอบงำ การแข่งขัน

ประตูที่ว่านี้คือช่องทางที่สรรพสิ่งผ่านเข้าออก เป็นจุดเชื่อมระหว่างความว่างกับความมี ระหว่างศักยภาพกับการปรากฏ มันทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนแต่ไม่เคยหมดสิ้น

 

บทที่ 7: การดำรงอยู่ผ่านการไร้ตัวตน

"ฟ้าดำรงอยู่นาน ดินดำรงอยู่ยืน เพราะมิได้อยู่เพื่อตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงสามารถดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์"

"Bu Zi Sheng" (ไม่อยู่เพื่อตนเอง) เป็นกุญแจสู่ความยั่งยืน ฟ้าดินทำหน้าที่ของมันโดยไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัว ไม่เรียกร้องค่าตอบแทน ไม่หวังการยกย่อง จึงสามารถทำหน้าที่ได้ตลอดไปโดยไม่หมดสิ้น

"Sage วางตนไว้ข้างหลัง จึงอยู่ข้างหน้า วางตนไว้ข้างนอก จึงอยู่ตรงกลาง"

นี่คือ "Fan Er" (การกลับตัว) - หลักการที่ว่าผลตรงข้ามมักเกิดจากเหตุตรงข้าม ผู้ที่ไม่แย่งเป็นผู้นำกลับได้รับการยอมรับให้นำ ผู้ที่ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางกลับกลายเป็นศูนย์กลางโดยธรรมชาติ นี่ไม่ใช่กลยุทธ์หรือเล่ห์เหลี่ยม แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

การไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตนทำให้ประโยชน์ที่แท้จริงเกิดขึ้นเอง เพราะเมื่อไม่ยึดติด เราจึงเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตอบสนองได้อย่างเหมาะสม และสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนกว่า

 

บทที่ 8: ความดีสูงสุดเหมือนน้ำ

"ความดีสูงสุดเปรียบเหมือนน้ำ น้ำให้ประโยชน์แก่สรรพสิ่งโดยไม่แข่ง และอยู่ในที่ต่ำที่คนทั้งหลายรังเกียจ ด้วยเหตุนี้จึงใกล้เต๋าที่สุด"

น้ำเป็นแบบอย่างสูงสุดของคุณธรรมตามเต๋า เพราะมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับเต๋าหลายประการ: ความอ่อนน้อมที่แฝงพลัง, การให้ประโยชน์โดยไม่เลือกหน้า, ความสามารถในการปรับตัว, และการไม่แข่งขันแต่ชนะเสมอ

เหล่าจื๊อระบุคุณสมบัติแปดประการของความดีที่เหมือนน้ำ:

  • การเลือกที่อยู่ - เลือกที่ต่ำ ที่เรียบง่าย ที่เหมาะสม

  • ความลึกของจิตใจ - ลึกซึ้ง สงบนิ่ง ไตร่ตรอง

  • การให้ด้วยเมตตา - ให้อย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ

  • ความจริงในคำพูด - พูดตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือน

  • ความเที่ยงธรรมในการปกครอง - ยุติธรรม ไม่ลำเอียง

  • ความสามารถในการทำงาน - ทำได้ผลโดยไม่ต้องอวด

  • การรู้จังหวะเวลา - เคลื่อนไหวเมื่อถึงเวลา หยุดเมื่อควรหยุด

"Bu Zheng" (การไม่แข่งขัน) เป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุด เพราะเมื่อไม่แข่งขัน จึงไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการแพ้ชนะ ไม่มีความเครียด แต่กลับบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

บทที่ 9: การรู้จักพอและจุดพลิกกลับ

"ถือถ้วยเต็มจนล้น ไม่ดีเท่าหยุดเมื่อพอดี ลับมีดจนคมเกินไป คมนั้นจะไม่คงทน บ้านเต็มด้วยทองหยก ไม่มีใครรักษาไว้ได้ มั่งคั่งแล้วหยิ่งผยอง ย่อมนำหายนะมาสู่ตน"

เหล่าจื๊อชี้ให้เห็นกฎแห่งการกลับตัวในธรรมชาติ - "Wu Ji Bi Fan" (ถึงขีดสุดย่อมกลับ) ทุกสิ่งที่ถูกผลักดันจนถึงจุดสูงสุดจะเริ่มเสื่อมถอย น้ำที่เต็มจนล้นจะไหลออก ดาบที่คมเกินไปจะบิ่นง่าย ความร่ำรวยที่มากเกินไปจะดึงดูดภัยมา ความหยิ่งผยองจะนำไปสู่การล่มสลาย

"เมื่องานสำเร็จ ชื่อเสียงตั้ง ตัวถอย นี่คือเต๋าของฟ้า"

"Gong Sui Shen Tui" (งานสำเร็จตัวถอย) คือภูมิปัญญาสูงสุดในการดำเนินชีวิต รู้จักถอนตัวเมื่อถึงจุดสูงสุด ไม่ยึดติดกับความสำเร็จ ไม่หลงระเริงกับชื่อเสียง การถอยในที่นี้ไม่ใช่การหนี แต่เป็นการรักษาสมดุล ไม่ให้ตัวเองถูกผลักดันจนเกินไป

ธรรมชาติเองก็ดำเนินตามหลักการนี้ ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้วต้องลง ฤดูกาลหมุนเวียนไม่หยุดนิ่ง คลื่นซัดฝั่งแล้วถอยกลับ นี่คือจังหวะของชีวิตที่ Sage เข้าใจและปฏิบัติตาม

 

บทที่ 10: การกลับคืนสู่ความเป็นทารก

"ในการโอบอุ้มวิญญาณและร่างกายให้เป็นหนึ่ง เจ้าสามารถไม่แยกจากกันได้หรือไม่? ในการรวมลมปราณและทำให้อ่อนนุ่ม เจ้าสามารถเป็นเหมือนทารกแรกเกิดได้หรือไม่?"

บทนี้เป็นคำถามเชิงปฏิบัติถึงผู้แสวงหาเต๋า "Ying Er" (ทารก) เป็นสัญลักษณ์ของสภาวะดั้งเดิมที่ยังไม่สูญเสียความเป็นหนึ่งเดียว ทารกไม่แยกระหว่างตนเองกับโลก ไม่มีอคติ ไม่มีการแบ่งแยก มีความอ่อนน้อมที่สมบูรณ์แต่เต็มไปด้วยพลังชีวิต

"ในการชำระกระจกลึกลับให้บริสุทธิ์ เจ้าสามารถไร้ตำหนิได้หรือไม่?"

"Xuan Lan" (กระจกลึกลับ) คือจิตที่ใสบริสุทธิ์ สามารถสะท้อนทุกสิ่งตามความเป็นจริง ไม่บิดเบือนด้วยอคติ ความชอบ หรือความเกลียด การชำระจิตให้บริสุทธิ์คือการลดสิ่งปนเปื้อนทางความคิด การตัดสิน การคาดหวัง จนจิตใสพอที่จะเห็นความจริง

"ในการรักประชาชนและปกครองรัฐ เจ้าสามารถไม่กระทำได้หรือไม่?"

คำถามนี้ท้าทายแนวคิดการปกครองแบบเดิม การปกครองด้วย Wu Wei คือการไม่แทรกแซงโดยไม่จำเป็น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ประชาชนพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติ ไม่ใช่การควบคุมหรือบังคับ

 

บทที่ 11: ประโยชน์ของความว่าง

"ซี่ล้อสามสิบซี่รวมกันที่ดุม แต่ประโยชน์ของล้ออยู่ที่ช่องว่างตรงกลาง ปั้นดินเหนียวเป็นภาชนะ แต่ประโยชน์ของภาชนะอยู่ที่ความว่างภายใน"

เหล่าจื๊อใช้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเพื่อแสดงหลักการที่ลึกซึ้ง - "You Zhi Yi Wei Li, Wu Zhi Yi Wei Yong" (มีใช้เพื่อประโยชน์ ไม่มีใช้เพื่อใช้งาน) ซี่ล้อ (You) สร้างโครงสร้าง แต่ช่องว่าง (Wu) ทำให้ล้อหมุนได้ ดินเหนียวสร้างรูปร่าง แต่ความว่างภายในทำให้ใส่ของได้

นี่ไม่ใช่การยกย่องความว่างเหนือความมี แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าทั้งสองต้องทำงานร่วมกัน โครงสร้างกับพื้นที่ว่าง รูปแบบกับความยืดหยุ่น การมีกับการไม่มี ล้วนเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของการใช้งาน

ในการนำไปใช้ชีวิต นี่หมายถึงการเห็นคุณค่าของการเว้นว่าง ของการไม่ทำ ของความเงียบ ของพื้นที่ว่างในชีวิต สังคมที่เต็มไปด้วยกิจกรรมตลอดเวลาไม่มีพื้นที่ให้ชีวิตหายใจ จิตที่เต็มไปด้วยความคิดไม่มีที่ว่างสำหรับปัญญาใหม่

 

บทที่ 12: อันตรายของการกระตุ้นเกินขนาด

"ห้าสีทำให้ตาบอด ห้าเสียงทำให้หูหนวก ห้ารสทำให้ปากเสียรส การขี่ม้าล่าสัตว์ทำให้จิตใจคลุ้มคลั่ง ของหายากทำให้การกระทำผิดปกติ"

เหล่าจื๊อเตือนถึงอันตรายของการกระตุ้นประสาทสัมผัสมากเกินไป ในบริบทโบราณ "ห้าสี" "ห้าเสียง" "ห้ารส" หมายถึงความหลากหลายทั้งหมดของประสบการณ์ทางประสาท เมื่อเราถูกกระตุ้นมากเกิน ความไวในการรับรู้จะลดลง

ตาที่เคยชินกับสีฉูดฉาดจะไม่เห็นความงามของสีอ่อน หูที่เคยชินกับเสียงดังจะไม่ได้ยินเสียงกระซิบของธรรมชาติ ลิ้นที่เคยชินกับรสจัดจะไม่รู้รสธรรมชาติของอาหาร จิตที่ถูกกระตุ้นด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลาจะไม่รู้จักความสงบ

"ดังนั้น Sage ดูแลท้อง ไม่ใช่ตา จึงทิ้งนั่นเลือกนี่"

"Wei Fu Bu Wei Mu" (เพื่อท้องไม่ใช่เพื่อตา) เป็นหลักการเลือกสิ่งที่จำเป็นแทนสิ่งที่ดึงดูด Sage เลือกสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่แค่กระตุ้นประสาท เลือกความเรียบง่ายที่ยั่งยืนแทนความหรูหราที่ชั่วคราว

 

บทที่ 13: เกียรติและอัปยศเป็นภัยเท่ากัน

"เกียรติกับอัปยศทำให้ตกใจเท่ากัน ภัยใหญ่เหมือนรักร่างกาย"

เหล่าจื๊อชี้ให้เห็นว่าทั้งเกียรติและอัปยศสร้างความวิตกกังวลไม่ต่างกัน เมื่อได้เกียรติก็กลัวจะเสีย เมื่อเสียเกียรติก็อยากได้คืน ทั้งสองผูกมัดจิตใจให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินจากภายนอก ทำให้ไม่เป็นอิสระ

"ข้ามีภัยใหญ่เพราะข้ามีร่างกาย หากข้าไม่มีร่างกาย จะมีภัยได้อย่างไร?"

นี่ไม่ใช่การปฏิเสธร่างกายหรือชีวิต แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าการยึดติดในตัวตน ในภาพลักษณ์ ในสิ่งที่คิดว่าเป็น "ตัวเรา" คือที่มาของความกลัวทั้งปวง เมื่อเราไม่ยึดติดในตัวตน เราจึงสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่โดยไม่กังวลกับผลที่จะเกิดกับตัวเอง

"ผู้ที่ให้เกียรติโลกเหมือนให้เกียรติตน จึงสามารถรับผิดชอบโลก ผู้ที่รักโลกเหมือนรักตน จึงสามารถได้รับมอบโลก"

ความสามารถในการดูแลส่วนรวมมาจากการไม่แยกตัวเองออกจากส่วนรวม เมื่อเรามองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลก ไม่ใช่แยกต่างหาก เราจึงสามารถรับผิดชอบได้อย่างแท้จริง โดยไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

 

บทที่ 14: เต๋าที่ไม่อาจรับรู้ด้วยประสาท

"มองแล้วไม่เห็น เรียกว่า Yi (ไร้รูป) ฟังแล้วไม่ได้ยิน เรียกว่า Xi (ไร้เสียง)
คลำแล้วไม่ได้ เรียกว่า Wei (ไร้ตัวตน)"

เหล่าจื๊อบรรยายเต๋าผ่านสิ่งที่มันไม่ใช่ เพราะเต๋าอยู่เหนือการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้งหมด Yi, Xi, Wei แสดงถึงการที่เต๋าไม่มีคุณสมบัติที่ประสาทสัมผัสจับได้ แต่กลับเป็นพื้นฐานที่ทำให้การรับรู้ทั้งหมดเป็นไปได้

"ทั้งสามนี้ไม่อาจสอบสวนได้ จึงกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว"

สามคุณสมบัติของความไม่สามารถรับรู้ได้นี้รวมกันเป็นหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเต๋าเป็นเอกภาพที่อยู่เหนือการแยกแยะ มันไม่มีด้านบนที่สว่างหรือด้านล่างที่มืด ไม่มีหน้าหลัง ไม่มีขอบเขต

"รูปที่ไร้รูป ภาพที่ไร้ภาพ เรียกว่า Huang Hu (เลือนราง)"

"Huang Hu" คือสภาวะที่ไม่ชัดเจนแน่นอน ไม่สามารถจับต้องหรือกำหนดได้ แต่ก็ไม่ใช่ความว่างเปล่า มันคือสภาวะที่อยู่ระหว่างการมีและไม่มี ระหว่างรูปธรรมและนามธรรม เต๋าจึงสามารถเป็นได้ทุกอย่างเพราะไม่ถูกจำกัดให้เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

 

บทที่ 15: ภาพของปราชญ์โบราณ

"นักปฏิบัติเต๋าแต่โบราณ ละเอียดอ่อน ลึกลับ ลึกซึ้ง ไม่อาจเข้าใจ เพราะไม่อาจเข้าใจ จึงพยายามบรรยาย"

เหล่าจื๊อยอมรับว่าผู้บรรลุเต๋าไม่อาจบรรยายได้โดยตรง จึงใช้ภาพเจ็ดประการเพื่อให้เห็นคุณลักษณะ:

  1. ระมัดระวังเหมือนข้ามแม่น้ำในฤดูหนาว - ความระแวดระวังที่มาจากการตระหนักถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ ไม่ประมาท ไม่หุนหันพลันแล่น

  2. ตื่นตัวเหมือนระวังศัตรูรอบด้าน - การรับรู้ที่ครอบคลุมทุกทิศทาง ไม่เผลอ ไม่หลับใหล

  3. สำรวมเหมือนเป็นแขก - ความถ่อมตนและการไม่ถือตัวว่าเป็นเจ้าของ รู้จักประมาณ

  4. ละลายเหมือนน้ำแข็งที่กำลังหลอม - ความยืดหยุ่น ไม่แข็งทื่อ พร้อมเปลี่ยนแปลง

  5. เรียบง่ายเหมือนไม้ที่ยังไม่แกะสลัก - ความบริสุทธิ์ดั้งเดิม ไม่เสแสร้ง ไม่ปรุงแต่ง

  6. กว้างขวางเหมือนหุบเขา - ความสามารถในการรองรับ ใจกว้าง ไม่คับแคบ

  7. ขุ่นมัวเหมือนน้ำโคลน - ไม่ใสแจ๋วจนเห็นก้นบึ้ง มีความลึกลับ ไม่อวดรู้

"ใครสามารถนิ่งให้ขุ่นค่อยๆ ใส? ใครสามารถเคลื่อนให้นิ่งค่อยๆ มีชีวิต?"

นี่คือ "Jing Zhi Xu Qing" (นิ่งจนค่อยๆ ใส) - กระบวนการปฏิบัติที่ต้องใช้ความอดทน เมื่อจิตนิ่ง สิ่งที่ขุ่นมัวจะค่อยๆ ตกตะกอน ความชัดเจนจะเกิดขึ้นเอง และจากความนิ่งที่ลึก การเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาจะเกิดขึ้นใหม่

 

บทที่ 16: การกลับสู่ราก

"บรรลุความว่างอย่างสูงสุด รักษาความสงบนิ่งอย่างแน่วแน่ สรรพสิ่งเคลื่อนไหวพร้อมกัน ข้าเฝ้าดูการกลับคืนของมัน"

"Zhi Xu Ji" (บรรลุความว่างสูงสุด) คือการปล่อยวางความคิด ความต้องการ การตัดสิน จนจิตว่างจากสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง "Shou Jing Du" (รักษาความนิ่งอย่างแน่วแน่) คือการรักษาสภาวะนั้นไว้อย่างมั่นคง ไม่ถูกรบกวน

จากจุดนิ่งนี้ เราสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งอย่างชัดเจน เห็นวัฏจักรของการเกิดและดับ การไปและกลับ ทุกสิ่งแม้จะเติบโตออกไปหลากหลาย แต่ท้ายที่สุดต่างกลับคืนสู่แหล่งกำเนิด

"กลับสู่รากคือความสงบ ความสงบคือการกลับสู่ชะตา การกลับสู่ชะตาคือความคงที่ รู้ความคงที่คือการรู้แจ้ง"

"Gui Gen" (กลับสู่ราก) ไม่ใช่การถอยหลัง แต่เป็นการเชื่อมต่อกับแหล่งพลังดั้งเดิม การยอมรับธรรมชาติของสิ่งต่างๆ (Fu Ming - กลับสู่ชะตา) นำไปสู่การเห็นแบบแผนที่คงที่ (Chang) และการเห็นความคงที่นำไปสู่ปัญญา (Ming)

 

บทที่ 17: ผู้นำที่ไม่ปรากฏตัว

"ผู้นำที่ดีที่สุด ประชาชนแทบไม่รู้ว่ามีอยู่ รองลงมา คือผู้ที่ประชาชนรักและสรรเสริญ รองลงมาอีก คือผู้ที่ประชาชนกลัว ต่ำสุด คือผู้ที่ประชาชนดูหมิ่น"

การจัดลำดับนี้ท้าทายแนวคิดการนำแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง ผู้นำที่ดีที่สุดไม่ใช่คนที่เด่นดัง มีบารมี หรือน่ากลัว แต่เป็นคนที่ทำงานอย่างละเอียดอ่อนจนประชาชนไม่รู้สึกว่าถูกนำ

ผู้นำระดับนี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ประชาชนพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติ ไม่ต้องออกคำสั่ง ไม่ต้องควบคุม ไม่ต้องแสดงอำนาจ ผลลัพธ์เกิดขึ้นเองอย่างราบรื่น

"เมื่องานสำเร็จ การเป็นไป ประชาชนทั้งหมดพูดว่า: เราทำได้เองตามธรรมชาติ"

"Zi Ran" (ตามธรรมชาติ) คือเป้าหมายสูงสุดของการปกครอง เมื่อประชาชนรู้สึกว่าความสำเร็จเกิดจากตัวเอง ไม่ใช่ถูกบังคับหรือชี้นำ พวกเขาจะมีความภูมิใจ มีความรับผิดชอบ และพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน

 

บทที่ 18: เมื่อเต๋าถูกละทิ้ง

"เมื่อเต๋าใหญ่ถูกละทิ้ง จึงมีมนุษยธรรมและความยุติธรรม เมื่อความฉลาดปรากฏ จึงมีการหลอกลวงใหญ่ เมื่อญาติมิตรไม่กลมเกลียว จึงมีความกตัญญูและความรัก เมื่อประเทศชาติวุ่นวาย จึงมีข้าราชการซื่อสัตย์"

เหล่าจื๊อแสดงให้เห็นกระบวนการเสื่อมถอยจากสภาวะธรรมชาติ เมื่อความกลมกลืนตามธรรมชาติหายไป มนุษย์จึงต้องสร้างกฎเกณฑ์และศีลธรรมมาทดแทน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงยาที่จำเป็นเมื่อเกิดโรค ไม่ใช่สภาวะสุขภาพที่แท้จริง

คุณธรรมที่ต้องสอนแสดงว่าคุณธรรมธรรมชาติได้สูญหายไปแล้ว ความกตัญญูที่ต้องเน้นย้ำแสดงว่าความรักตามธรรมชาติในครอบครัวได้เสื่อมถอย ความซื่อสัตย์ที่ถูกยกย่องแสดงว่าสังคมเต็มไปด้วยการทุจริต

เหล่าจื๊อไม่ได้ต่อต้านคุณธรรมและกฎหมาย แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นอาการของโรค ไม่ใช่สุขภาพที่แท้จริง การรักษาที่แท้จริงคือการกลับไปหาเต๋า ไม่ใช่การเพิ่มกฎเกณฑ์มากขึ้น

 

บทที่ 19: ละทิ้งสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม

"ละทิ้งความศักดิ์สิทธิ์ ทิ้งปัญญา ประชาชนจะได้ประโยชน์ร้อยเท่า ละทิ้งมนุษยธรรม ทิ้งความยุติธรรม ประชาชนจะกลับมามีความกตัญญูและความรัก ละทิ้งความเฉลียวฉลาด ทิ้งผลกำไร โจรผู้ร้ายจะไม่มี"

เหล่าจื๊อเสนอการปฏิวัติทางความคิดอย่างถึงราก - ละทิ้งสิ่งที่สังคมยกย่องสูงสุด เพราะสิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นต้นเหตุของปัญหา ความศักดิ์สิทธิ์ (Sheng) และปัญญา (Zhi) ที่ว่านี้ไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์และปัญญาที่แท้จริง แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้หลอกลวงและเอาเปรียบ

มนุษยธรรม (Ren) และความยุติธรรม (Yi) ที่ถูกสอนและบังคับใช้ ทำให้ความรักและความยุติธรรมตามธรรมชาติหายไป การยกย่องความฉลาดแบบเจ้าเล่ห์ทำให้เกิดการแข่งขันหลอกลวงกัน การมุ่งแสวงหากำไรทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ

"สามสิ่งนี้ไม่พอเป็นคำสอน จึงให้มีสิ่งที่ยึดถือ: แสดงความเรียบง่ายดิบ ยึดมั่นความบริสุทธิ์ ลดความเห็นแก่ตัว บรรเทาความปรารถนา"

"Pu" (ความเรียบง่ายดิบ) คือสภาวะที่ยังไม่ถูกแต่งเติม ยังคงความเป็นธรรมชาติ "Su" (ความบริสุทธิ์) คือความไม่เจือปน ไม่เสแสร้ง เหล่าจื๊อเสนอว่าแทนที่จะเพิ่มความซับซ้อน ควรลดให้เหลือแต่แก่นที่บริสุทธิ์

 

บทที่ 20: ความโดดเดี่ยวของผู้เดินตามเต๋า

"ละทิ้งการเรียนรู้ จะไม่มีความกังวล ระหว่างใช่กับไม่ใช่ ต่างกันเพียงใด? ระหว่างดีกับชั่ว ห่างกันแค่ไหน? สิ่งที่คนกลัว ไม่อาจไม่กลัว โอ้ กว้างใหญ่เหลือเกิน ยังไม่มีที่สิ้นสุด!"

บทนี้เหล่าจื๊อแสดงความรู้สึกส่วนตัวอย่างหายาก เผยให้เห็นความโดดเดี่ยวของผู้ที่เดินตามเต๋าในสังคมที่ห่างไกลจากธรรมชาติ เขาเห็นว่าการแบ่งแยกระหว่างดี-ชั่ว ถูก-ผิด ที่คนยึดถืออย่างเคร่งครัด แท้จริงแล้วเป็นเพียงข้อตกลงทางสังคมที่ไม่มีรากฐานสัมบูรณ์

"คนทั้งหลายเบิกบาน ราวกับอยู่ในงานเลี้ยงใหญ่ ราวกับขึ้นไปบนเนินในฤดูใบไม้ผลิ ข้าคนเดียวเงียบสงบ ยังไม่แสดงอาการ เหมือนทารกที่ยังไม่รู้จักยิ้ม เหนื่อยอ่อนๆ ราวกับไม่มีที่ไป"

การเปรียบเทียบระหว่างผู้คนทั่วไปกับผู้ปฏิบัติเต๋านั้นชัดเจน คนส่วนใหญ่ตื่นเต้นกับสิ่งเร้าภายนอก แสวงหาความสุขจากการกระตุ้นประสาทสัมผัส จากการได้รับการยอมรับ จากความสำเร็จตามมาตรฐานสังคม แต่ผู้ปฏิบัติเต๋ากลับนิ่งเงียบ ไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองตามที่สังคมคาดหวัง

การเปรียบตนเองกับทารกที่ยังไม่รู้จักยิ้มนั้นมีนัยลึกซึ้ง ทารกมีความสุขและความพึงพอใจในตัวเอง โดยไม่ต้องแสดงออกให้ใครเห็น นี่คือสภาวะของความพอเพียงภายในที่ไม่ต้องพึ่งพาการตอบสนองจากภายนอก

"คนทั้งหลายมีเหลือเฟือ ข้าคนเดียวเหมือนขาดแคลน ข้ามีใจของคนโง่เขลา! คนทั้งหลายฉลาดแจ่มแจ้ง ข้าคนเดียวที่ดูมืดมน คนทั้งหลายแยกแยะชัดเจน ข้าคนเดียวที่คลุมเครือ"

"ความโง่เขลา" ที่เหล่าจื๊อพูดถึงไม่ใช่ความโง่ที่แท้จริง แต่เป็นการปฏิเสธที่จะเล่นตามกติกาของสังคมที่ให้ค่ากับความฉลาดแบบเจ้าเล่ห์ การแยกแยะที่ชัดเจนเกินไปกลับเป็นการจำกัดการรับรู้ ความคลุมเครือที่เหล่าจื๊อเลือกคือการเปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ทั้งหมด ไม่ตัดสินอะไรเร็วเกินไป

"ข้าแตกต่างจากคนอื่น และให้ค่ากับการได้รับการเลี้ยงดูจากมารดา"

"มารดา" ในที่นี้คือเต๋า แหล่งกำเนิดและแหล่งหล่อเลี้ยงของทุกสิ่ง ขณะที่คนอื่นแสวงหาการเติมเต็มจากภายนอก ผู้ปฏิบัติเต๋ากลับหันเข้าหาแหล่งกำเนิดภายใน ได้รับการหล่อเลี้ยงจากความว่างที่อุดมสมบูรณ์

 

บทที่ 21: เต๋าที่เลือนรางแต่แน่นอน

"เนื้อหาของคุณธรรมใหญ่ ย่อมติดตามเต๋าเท่านั้น เต๋าเป็นสิ่ง เลือนรางพร่ามัว พร่ามัวเลือนราง แต่ภายในมีภาพ เลือนรางพร่ามัว แต่ภายในมีวัตถุ ลึกมืดยิ่งนัก แต่ภายในมีแก่นแท้ แก่นแท้นั้นจริงยิ่ง ภายในมีความเชื่อถือ"

เหล่าจื๊อบรรยายธรรมชาติขัดแย้งของเต๋า มันดูไม่ชัดเจนเพราะไม่มีรูปแบบตายตัว แต่ภายในความไม่ชัดเจนนั้นกลับมีความแน่นอน "Huang Hu" (เลือนราง) ไม่ใช่ความสับสน แต่เป็นสภาวะที่ยืดหยุ่น พร้อมปรับเปลี่ยน ไม่ติดอยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่ง

ภายใน "ภาพ" (Xiang) คือแบบแผนที่ยังไม่เป็นรูปธรรม "วัตถุ" (Wu) คือศักยภาพที่พร้อมจะปรากฏ "แก่นแท้" (Jing) คือหลักการที่แน่นอนซึ่งซ่อนอยู่ในความไม่แน่นอน และ "ความเชื่อถือ" (Xin) คือความน่าเชื่อถือที่มาจากความสอดคล้องกับธรรมชาติ

"ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ชื่อของมันไม่เคยขาดหาย ใช้มันจึงเห็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ข้ารู้ได้อย่างไรถึงสภาพของต้นกำเนิดทั้งหลาย? ด้วยสิ่งนี้"

เต๋าเป็นหลักการที่คงอยู่ตลอดกาล ไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ผู้ที่เข้าถึงเต๋าจึงสามารถเห็นแก่นของทุกสิ่ง เห็นแบบแผนที่ซ่อนอยู่ เห็นกฎที่ควบคุมการเกิดและดับ

 

บทที่ 22: ความโค้งงอที่สมบูรณ์

"โค้งงอจึงครบถ้วน คดเคี้ยวจึงตรง ต่ำลงจึงเต็ม เก่าจึงใหม่ น้อยจึงได้ มากจึงหลง"

บทนี้เป็นชุดของความขัดแย้งที่แสดง "Fan Er Dao Zhi Dong" (การเคลื่อนไหวด้วยการกลับตัว) ในรูปแบบต่างๆ เหล่าจื๊อแสดงให้เห็นว่าทางตรงไม่ใช่ทางเดียวที่ไปถึงเป้าหมาย บางครั้งการอ้อมกลับนำไปสู่ความสมบูรณ์ที่แท้จริง

การโค้งงอไม่ใช่การอ่อนแอ แต่เป็นการยืดหยุ่นที่ทำให้ไม่หักง่าย การคดเคี้ยวไม่ใช่ความผิดปกติ แต่เป็นการหลีกเลี่ยงอุปสรรคอย่างชาญฉลาด การอยู่ต่ำทำให้รับน้ำได้จากทุกทิศ การยอมรับความเก่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ การมีน้อยทำให้ไม่สับสน การมีมากทำให้หลงทาง

"ดังนั้น Sage ยึดหนึ่งเป็นแบบอย่างของใต้หล้า ไม่แสดงตน จึงส่องสว่าง ไม่อวดตน จึงเด่นชัด ไม่ยกย่องตน จึงมีผลงาน ไม่ภูมิใจในตน จึงยั่งยืน"

"ยึดหนึ่ง" (Bao Yi) คือการยึดเต๋าซึ่งเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ผลที่ตามมาคือชุดของความขัดแย้งที่กลับกลายเป็นความสำเร็จ การไม่พยายามส่องสว่างทำให้ความสว่างที่แท้จริงปรากฏ การไม่อวดตนทำให้คุณค่าที่แท้จริงเด่นชัด การไม่ยกย่องตนเองทำให้ผลงานพูดแทนตัวเอง การไม่ภูมิใจทำให้ไม่มีอะไรที่จะพังทลาย

"เพียงเพราะไม่แข่ง จึงไม่มีใครในใต้หล้าสามารถแข่งด้วย คำพูดโบราณที่ว่า 'โค้งงอจึงครบถ้วน' เป็นคำพูดว่างเปล่าหรือ? ครบถ้วนอย่างแท้จริงแล้วจึงกลับคืน"

การไม่แข่งขัน (Bu Zheng) ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการอยู่ในสนามที่แตกต่าง เมื่อไม่เข้าร่วมเกมแข่งขัน จึงไม่มีการแพ้ชนะ ไม่มีความเครียด ไม่มีศัตรู แต่กลับบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือการ "ครบถ้วนแล้วกลับคืน" – บรรลุความสมบูรณ์แล้วกลับสู่ความเรียบง่าย

 

บทที่ 23: ธรรมชาติไม่เร่งรีบ

"พูดน้อยคือธรรมชาติ ลมพายุไม่พัดตลอดเช้า ฝนห่าใหญ่ไม่ตกตลอดวัน ใครทำสิ่งเหล่านี้? ฟ้าและดิน แม้ฟ้าดินยังไม่ยั่งยืน มนุษย์จะยิ่งกว่าได้อย่างไร?"

เหล่าจื๊อใช้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นบทเรียน แม้แต่พลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินก็ไม่สามารถรักษาความรุนแรงไว้ได้นาน พายุที่รุนแรงที่สุดก็ต้องสงบ ฝนที่หนักที่สุดก็ต้องหยุด นี่คือธรรมชาติที่แสดงให้เห็นว่าความพยายามที่เกินขนาดไม่ยั่งยืน

การพูดน้อยไม่ใช่การนิ่งเงียบตลอดเวลา แต่เป็นการพูดเมื่อจำเป็น พูดเท่าที่ต้องการสื่อสาร ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่พูดเพื่อแสดงความรู้หรืออวดฉลาด คำพูดที่มากเกินไปสูญเสียพลัง คำพูดที่พอดีกลับทรงพลัง

"ดังนั้นผู้ที่อุทิศตนให้เต๋า จึงเป็นหนึ่งกับเต๋า ผู้ที่อุทิศตนให้คุณธรรม จึงเป็นหนึ่งกับคุณธรรม ผู้ที่อุทิศตนให้การสูญเสีย จึงเป็นหนึ่งกับการสูญเสีย"

นี่คือกฎของการสมานเป็นหนึ่ง เราเป็นหนึ่งกับสิ่งที่เราอุทิศตนให้ ถ้าเราแสวงหาเต๋า เราจะพบเต๋า ถ้าเราแสวงหาคุณธรรม เราจะพบคุณธรรม แต่ถ้าเรามุ่งแต่จะเสียหรือล้มเหลว เราก็จะพบแต่ความสูญเสีย ใจของเราเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดสิ่งที่สอดคล้องกับสภาวะของมัน

 

บทที่ 24: การโอ้อวดนำสู่ความล้มเหลว

"ผู้เขย่งเท้ายืน ยืนไม่นาน ผู้ก้าวกว้าง เดินไม่ไกล ผู้อวดตน ไม่ส่องสว่าง ผู้ชอบธรรมตน ไม่ปรากฏชัด ผู้คุยโว ไม่มีผลงาน ผู้ยกตน ไม่ยั่งยืน"

เหล่าจื๊อแสดงให้เห็นว่าความพยายามเกินธรรมชาติมักนำไปสู่ผลตรงข้าม การเขย่งเท้าเพื่อให้สูงกว่าผู้อื่นทำให้ล้าเร็วและล้มง่าย การก้าวกว้างเกินไปทำให้เสียจังหวะและหมดแรงก่อนถึงเป้าหมาย การอวดตนบดบังแสงสว่างที่แท้จริง การอ้างความชอบธรรมทำให้คนสงสัยในความชอบธรรมนั้น การคุยโวทำให้ผลงานที่มีอยู่จริงดูด้อยค่า การยกตนทำให้ตกจากที่สูง

"จากมุมมองของเต๋า สิ่งเหล่านี้ เรียกว่าอาหารเหลือและการกระทำที่น่ารังเกียจ สรรพสิ่งล้วนเกลียดมัน ดังนั้นผู้มีเต๋าจึงไม่อยู่กับมัน"

"อาหารเหลือ" (Yu Shi) คือสิ่งที่เหลือจากการกินมากเกินไป น่ารังเกียจและไร้ประโยชน์ การแสดงตนเกินจริงก็เช่นกัน เป็นส่วนเกินที่ไม่จำเป็น น่ารำคาญ และไม่ก่อประโยชน์ ผู้มีเต๋าจึงหลีกเลี่ยง รักษาความเรียบง่าย ความจริงใจ ความพอดี

 

บทที่ 25: มหาเต๋า

"มีสิ่งหนึ่งกลั่นตัวสมบูรณ์ เกิดก่อนฟ้าและดิน เงียบเหงา! ว่างเปล่า! ยืนอยู่ลำพังไม่เปลี่ยนแปลง หมุนเวียนไม่เหนื่อย สมควรเป็นมารดาของใต้หล้า"

บทนี้เหล่าจื๊อพยายามบรรยายสิ่งที่ไม่อาจบรรยาย - เต๋าในฐานะหลักการสูงสุดของจักรวาล มันมีอยู่ก่อนทุกสิ่ง เป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง แต่ก็ไม่แยกจากสิ่งที่มันให้กำเนิด มัน "เงียบเหงา" เพราะไม่มีเสียง "ว่างเปล่า" เพราะไม่มีรูปร่าง แต่กลับเต็มไปด้วยศักยภาพ

มันยืนอยู่ลำพังเพราะไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเป็นหลักการที่คงที่ แต่หมุนเวียนตลอดเวลาในการสร้างและทำลาย ให้กำเนิดและรับกลับคืน ไม่เคยเหนื่อยเพราะการเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติของมัน

"ข้าไม่รู้ชื่อมัน เรียกมันว่าเต๋า ฝืนตั้งชื่อเรียกว่าใหญ่ ใหญ่คือไหลไป ไหลไปคือไกล ไกลคือกลับคืน"

การตั้งชื่อว่า "เต๋า" เองก็เป็นการประนีประนอม เพราะสิ่งนี้อยู่เหนือชื่อ เมื่อฝืนเรียกว่า "ใหญ่" (Da) ก็เพื่อแสดงว่ามันครอบคลุมทุกสิ่ง แต่ความใหญ่นี้ไม่หยุดนิ่ง มันไหลออกไป (Shi) แผ่ขยายไปไกล (Yuan) และท้ายที่สุดกลับคืนมา (Fan) นี่คือวัฏจักรของเต๋า - การเคลื่อนที่ออกไปและกลับมา การให้และการรับคืน

"เต๋าใหญ่ ฟ้าใหญ่ ดินใหญ่ ผู้ปกครองก็ใหญ่ ในอาณาจักรมีสี่สิ่งใหญ่ และผู้ปกครองเป็นหนึ่งในนั้น มนุษย์ตามดิน ดินตามฟ้า ฟ้าตามเต๋า เต๋าตามธรรมชาติ"

ลำดับชั้นนี้แสดงให้เห็นตำแหน่งของมนุษย์ในจักรวาล มนุษย์ (รวมทั้งผู้ปกครอง) ควรเรียนรู้จากดิน ซึ่งรองรับและหล่อเลี้ยงทุกชีวิต ดินเรียนรู้จากฟ้า ซึ่งครอบคลุมและให้แสงฝน ฟ้าเรียนรู้จากเต๋า และเต๋าตาม "Zi Ran" (ธรรมชาติ) – สิ่งที่เป็นอยู่เองโดยไม่ต้องมีเหตุผล

 

บทที่ 26: ความหนักเป็นรากของความเบา

"หนักเป็นรากของเบา นิ่งเป็นนายของกระสับกระส่าย เพราะฉะนั้น Sage แม้เดินทางทั้งวัน ไม่ห่างจากเกวียนเสบียง"

"Zhong" (หนัก) และ "Qing" (เบา) ไม่ใช่คู่ตรงข้ามที่แยกกัน แต่อาศัยซึ่งกันและกัน ความหนักให้ความมั่นคง ความเบาให้ความคล่องตัว Sage รู้จักรักษาทั้งสองในสมดุล มีความมั่นคงภายในแต่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายนอก

เกวียนเสบียงคือสิ่งจำเป็นพื้นฐาน สิ่งที่ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ Sage ไม่ละทิ้งพื้นฐานเพื่อไขว่คว้าสิ่งแวววาว ไม่ลืมรากเพื่อแสวงหาปลายยอด

"แม้มีวังวิมานงดงาม ก็นั่งอยู่อย่างสงบเฉย ผู้เป็นนายหมื่นคันเกวียน จะเบาตัวต่อใต้หล้าได้อย่างไร?"

วังวิมานงดงามคือสิ่งล่อใจภายนอก แต่ Sage ไม่หลงใหล เพราะมีความมั่นคงภายใน ผู้ปกครองที่แท้จริงต้องมีน้ำหนัก มีความน่าเชื่อถือ ไม่ส่ายไปมาตามแรงกระตุ้นชั่วครู่

"เบาจึงเสียรากฐาน กระสับกระส่ายจึงเสียการเป็นนาย"

ผู้ที่เบาเกินไปไม่มีรากฐาน ลอยไปมาไร้ทิศทาง ผู้ที่กระสับกระส่ายถูกสถานการณ์ควบคุม แทนที่จะเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ การสูญเสียความหนักนวลและความสงบนิ่งคือการสูญเสียอำนาจที่แท้จริง

 

บทที่ 27: ความเชี่ยวชาญที่ไร้ร่องรอย

"ผู้เดินเก่ง ไม่ทิ้งรอยเท้า ผู้พูดเก่ง ไม่มีที่ติ ผู้คิดเลขเก่ง ไม่ต้องใช้ไม้บรรทัด ผู้ปิดเก่ง ไม่ใช้กลอนแต่เปิดไม่ได้ ผู้ผูกเก่ง ไม่ใช้เชือกแต่แก้ไม่ออก"

เหล่าจื๊อบรรยายความเชี่ยวชาญที่สูงสุด - การทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติจนไม่ต้องพึ่งเครื่องมือหรือเทคนิคภายนอก ผู้เดินเก่งเคลื่อนที่ราวกับไม่ได้เคลื่อนที่ ไม่มีความฝืนจึงไม่ทิ้งร่องรอย ผู้พูดเก่งสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีช่องโหว่ให้ตำหนิ ผู้คิดเลขเก่งเห็นความสัมพันธ์ของตัวเลขโดยสัญชาตญาณ ไม่ต้องพึ่งเครื่องคำนวณ

การปิดและผูกที่ไม่ใช้อุปกรณ์แต่แน่นหนากว่าแสดงถึงพลังของการทำงานผ่านหลักการภายใน ไม่ใช่กลไกภายนอก มันปิดเพราะไม่มีช่องให้เปิด มันผูกเพราะสิ่งที่ถูกผูกไม่ต้องการหลุด

"เพราะฉะนั้น Sage ช่วยคนเสมอ จึงไม่ทอดทิ้งใคร ช่วยสิ่งของเสมอ จึงไม่ทอดทิ้งอะไร นี่เรียกว่า Xi Ming (สืบทอดแสงสว่าง)"

"Bu Qi" (ไม่ทอดทิ้ง) เป็นหลักการสำคัญ Sage มองเห็นคุณค่าในทุกคน ทุกสิ่ง ไม่มีใครหรืออะไรที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แม้แต่คนชั่วก็ยังเป็นบทเรียน แม้แต่ของเสียก็ยังแปรรูปได้

"เพราะฉะนั้นคนดีเป็นครูของคนไม่ดี คนไม่ดีเป็นทรัพยากรของคนดี ไม่เคารพครู ไม่รักทรัพยากร แม้ฉลาดก็หลงใหญ่ นี่เรียกว่าความลึกลับที่สำคัญ"

ความสัมพันธ์ระหว่างคนดีและคนไม่ดีไม่ใช่การแบ่งแยก แต่เป็นการเกื้อกูลกัน คนดีเรียนรู้จากคนไม่ดีว่าไม่ควรทำอย่างไร คนไม่ดีเห็นตัวอย่างจากคนดีว่าควรเป็นอย่างไร ทั้งสองจำเป็นต่อกัน การไม่เห็นคุณค่านี้คือความหลงผิดแม้จะฉลาดแค่ไหนก็ตาม

 

บทที่ 28: รักษาความเป็นหญิง

"รู้จักความเป็นชาย แต่รักษาความเป็นหญิง เป็นหุบเขาของใต้หล้า เมื่อเป็นหุบเขาของใต้หล้า คุณธรรมนิรันดร์จะไม่จากไป กลับคืนสู่ความเป็นทารก"

"Zhi Xiong Shou Ci" (รู้ความแข็งแต่รักษาความอ่อน) เป็นหลักการสำคัญในการปฏิบัติเต๋า ไม่ใช่การปฏิเสธความแข็งแกร่ง แต่เป็นการเลือกไม่ใช้ เพราะเข้าใจว่าความอ่อนโยนมีพลังที่ลึกซึ้งกว่า หุบเขารับน้ำได้เพราะอยู่ต่ำ ความอ่อนโยนรับทุกสิ่งได้เพราะไม่ต้านทาน

การกลับคืนสู่ความเป็นทารก (Ying Er) คือการกลับสู่สภาวะที่ยังไม่แข็งทื่อ ยังไม่มีอคติ ยังเต็มไปด้วยศักยภาพ ทารกอ่อนแต่มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ไม่แข็งแกร่งแต่ไม่มีศัตรู

"รู้จักความขาว แต่รักษาความดำ เป็นแบบอย่างของใต้หล้า เมื่อเป็นแบบอย่างของใต้หล้า คุณธรรมนิรันดร์จะไม่คลาดเคลื่อน กลับคืนสู่ความไม่มีขีดจำกัด"

ความขาวคือสิ่งที่ชัดเจน ความดำคือสิ่งที่ลึกลับ Sage รู้ทั้งสองแต่เลือกอยู่กับความลึกลับ ไม่อวดรู้ ไม่แสดงความชัดเจนจนตัดความเป็นไปได้อื่น การเป็นแบบอย่างที่แท้จริงคือการรักษาความเปิดกว้าง ไม่จำกัดตัวเองด้วยคำนิยามที่ตายตัว

"รู้จักเกียรติ แต่รักษาความอัปยศ เป็นหุบเขาของใต้หล้า เมื่อเป็นหุบเขาของใต้หล้า คุณธรรมนิรันดร์จะเพียงพอ กลับคืนสู่ท่อนไม้ดิบ"

การรู้จักเกียรติแต่ยอมอยู่ต่ำแสดงถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของโลก เกียรติและอัปยศเป็นเพียงฉลากที่สังคมติดให้ ผู้ที่ไม่ยึดติดกับเกียรติจึงไม่กลัวอัปยศ สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่กังวลกับภาพลักษณ์

"ท่อนไม้ดิบเมื่อแยกออก กลายเป็นภาชนะ Sage ใช้มัน กลายเป็นผู้นำ ดังนั้นการตัดที่ยิ่งใหญ่จึงไม่ทำลาย"

"Pu" (ท่อนไม้ดิบ) คือสภาวะดั้งเดิมที่ยังไม่ถูกแต่งเติม เมื่อถูกแกะสลักจะกลายเป็นภาชนะต่างๆ แต่ก็สูญเสียความเป็นไปได้อื่นๆ Sage ใช้ความเรียบง่ายนี้ในการนำ ไม่ต้องสลับซับซ้อน การตัดที่ดีที่สุดคือการไม่ต้องตัด การแกะที่ดีที่สุดคือการรักษาความเป็นธรรมชาติไว้

 

บทที่ 29: โลกเป็นภาชนะศักดิ์สิทธิ์

"ผู้ต้องการเอาใต้หล้ามาทำตามใจ ข้าเห็นว่าจะไม่สำเร็จ ใต้หล้าเป็นภาชนะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรกระทำต่อมัน ผู้กระทำย่อมทำลาย ผู้ยึดถือย่อมสูญเสีย"

"Shen Qi" (ภาชนะศักดิ์สิทธิ์) แสดงให้เห็นว่าโลกมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง มีกฎและจังหวะของมันเอง การพยายามครอบครองหรือบงการโลกเหมือนการพยายามจับควันด้วยมือ ยิ่งกำยิ่งหลุดลอด ยิ่งบีบยิ่งแตกสลาย

โลกมีความหลากหลายตามธรรมชาติ พยายามบังคับให้เป็นแบบเดียวคือการทำลายความสมดุล ผู้ที่เข้าใจเต๋าจึงไม่พยายามทำให้โลกเป็นไปตามใจตน แต่ปรับตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติของโลก

"ของสรรพสิ่ง บ้างนำบ้างตาม บ้างหายใจอุ่นบ้างหายใจเย็น บ้างแข็งแรงบ้างอ่อนแอ บ้างรุ่งเรืองบ้างร่วงโรย"

ความหลากหลายนี้คือความงามและความแข็งแกร่งของโลก ทุกสิ่งมีเวลาและสถานที่ของมัน มีจังหวะขึ้นลงของมันเอง การพยายามทำให้ทุกอย่างเหมือนกันหรือหยุดนิ่งคือการต่อต้านธรรมชาติ

"เพราะฉะนั้น Sage ละทิ้งความสุดเหวี่ยง ละทิ้งความฟุ่มเฟือย ละทิ้งความเกินพอดี"

Sage หลีกเลี่ยงความสุดโต่งทุกรูปแบบ ไม่ผลักดันอะไรจนสุดขั้ว ไม่แสวงหาความหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่ทำอะไรเกินความจำเป็น รักษาความพอดี ความสมดุล ความเรียบง่าย

 

บทที่ 30: ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น

"ผู้ช่วยผู้ปกครองด้วยเต๋า ไม่ใช้กำลังอาวุธบังคับใต้หล้า การกระทำเช่นนั้นย่อมสนองกลับ ที่ใดมีกองทัพ ที่นั่นมีหนามใหญ่ หลังสงครามใหญ่ ย่อมมีปีอดอยาก"

เหล่าจื๊อชี้ให้เห็นผลกระทบระยะยาวของการใช้กำลัง ไม่ใช่แค่ความเสียหายทางกายภาพ แต่รวมถึงความแค้นที่สะสม วัฏจักรของการแก้แค้น และการทำลายโครงสร้างทางสังคม หนามใหญ่ที่ขึ้นหลังกองทัพผ่านไม่ใช่แค่พืชที่แทงคน แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บปวดที่ฝังลึกในสังคม

"ผู้เก่งทำเพียงเท่าที่จำเป็น ไม่กล้าใช้โอกาสนั้นเพื่อความแข็งแกร่ง"

แม้บางครั้งต้องใช้กำลัง แต่ต้องใช้อย่างจำกัดและมีเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช้โอกาสที่ชนะเพื่อข่มเหงหรือแสดงอำนาจ การใช้กำลังควรเหมือนการผ่าตัด - ทำเฉพาะที่จำเป็นแล้วหยุด ไม่ใช่การทำลายล้าง

"ทำให้สำเร็จแต่ไม่โอ้อวด ทำให้สำเร็จแต่ไม่คุยโต ทำให้สำเร็จแต่ไม่หยิ่งผยอง ทำให้สำเร็จเพราะไม่มีทางเลือก ทำให้สำเร็จแต่ไม่ข่มเหง"

ห้าข้อนี้แสดงทัศนคติที่ถูกต้องเมื่อต้องใช้กำลัง ไม่ภูมิใจในการทำลาย ไม่ยินดีในชัยชนะที่ได้มาด้วยความรุนแรง ใช้กำลังเพราะจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากแสดงพลัง และเมื่อชนะแล้วไม่กดขี่ผู้แพ้

"สิ่งที่แข็งแรงแล้วก็แก่ นี่เรียกว่าไม่ใช่เต๋า ไม่ใช่เต๋าย่อมตายเร็ว"

กฎแห่งธรรมชาติคือทุกสิ่งที่ถึงจุดสูงสุดจะเริ่มเสื่อมถอย การใช้กำลังทำให้แข็งแกร่งชั่วคราว แต่ก็เร่งการเสื่อมสลาย ผู้ที่พึ่งกำลังจะพบว่ากำลังนั้นไม่ยั่งยืน

 

บทที่ 31: อาวุธคือเครื่องมือแห่งความชั่วร้าย

"อาวุธงามเป็นเครื่องมือแห่งความชั่วร้าย สรรพสิ่งล้วนเกลียดมัน ผู้มีเต๋าจึงไม่อยู่กับมัน"

การเรียกอาวุธว่า "งาม" เป็นการประชดประชัน ในสายตาของเหล่าจื๊อ ไม่มีความงามใดๆ ในเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทำลายชีวิต แม้จะประดับประดาสวยงามแค่ไหน แก่นของมันคือความตาย

"ผู้ดีเมื่ออยู่บ้านให้เกียรติซ้าย เมื่อใช้อาวุธให้เกียรติขวา อาวุธเป็นเครื่องมือไม่เป็นมงคล ไม่ใช่เครื่องมือของผู้ดี จำเป็นจึงใช้ สงบและเฉยเมยคือสูงสุด"

ในวัฒนธรรมจีน ซ้ายเป็นฝ่ายหยิน สันติ ชีวิต ขวาเป็นฝ่ายหยาง รุนแรง ตาย การให้เกียรติซ้ายในยามปกติแสดงถึงการให้ค่ากับสันติภาพ การให้เกียรติขวาเมื่อใช้อาวุธเป็นการยอมรับความจำเป็นแต่ไม่ยินดี

"ชนะแล้วไม่เห็นว่างาม ผู้เห็นว่างามคือผู้ชอบฆ่า ผู้ชอบฆ่าไม่อาจสมปรารถนาในใต้หล้า"

นี่คือมุมมองที่ปฏิวัติในยุคที่สรรเสริญวีรบุรุษสงคราม เหล่าจื๊อประกาศว่าผู้ที่ยินดีในการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดก็ตาม จะไม่มีวันได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง เพราะขัดกับธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต

"ในการฆ่าคนจำนวนมาก ควรร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก ชัยชนะในสงคราม ควรจัดด้วยพิธีศพ"

ข้อเสนอที่ไม่ธรรมดานี้แสดงให้เห็นความลึกซึ้งของมนุษยธรรมในแนวคิดเต๋า แม้ชนะสงครามก็ควรโศกเศร้ากับชีวิตที่สูญเสีย ไม่ใช่เฉลิมฉลอง การใช้พิธีศพแทนพิธีชัยชนะเป็นการยอมรับว่าทุกการตายคือความล้มเหลวของมนุษยชาติ

 

บทที่ 32: เต๋าไร้ชื่อ

"เต๋านิรันดร์ไร้ชื่อ แม้เรียบง่ายเหมือนท่อนไม้ดิบ ไม่มีใครในใต้หล้ากล้าทำให้เป็นทาส"

เต๋าไร้ชื่อเพราะอยู่ก่อนการตั้งชื่อทั้งปวง แม้ดูเรียบง่ายแต่มีอำนาจมหาศาลที่ไม่มีใครกล้าท้าทาย เหมือนกฎแห่งธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลง แม้จะพยายามต่อต้านก็ต้องพ่ายแพ้ในที่สุด

"หากหัวหน้าและผู้ปกครองสามารถรักษามันไว้ สรรพสิ่งจะมาราบไหว้เอง ฟ้าดินจะร่วมกัน หลั่งน้ำค้างหวาน ประชาชนจะกลมเกลียวกันเอง โดยไม่ต้องบัญชา"

เมื่อผู้ปกครองสอดคล้องกับเต๋า ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเอง ไม่ต้องบังคับควบคุม ประชาชนจะอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีกฎหมายมากมาย น้ำค้างหวานคือสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ที่มาเองโดยไม่ต้องขอ

"เมื่อเริ่มมีการปกครอง จึงมีชื่อ เมื่อมีชื่อแล้ว ควรรู้จักหยุด รู้จักหยุด จึงไม่มีอันตราย"

การปกครองทำให้ต้องมีการแบ่งแยก ตั้งชื่อ สร้างกฎเกณฑ์ แต่ต้องรู้จักหยุดก่อนที่จะซับซ้อนเกินไป ยิ่งมีชื่อมาก ยิ่งมีการแบ่งแยกมาก ยิ่งห่างจากเต๋ามาก

"เต๋าในใต้หล้า เปรียบเหมือนลำธารหุบเขาไหลสู่แม่น้ำและทะเล"

เต๋าเป็นเหมือนกระแสที่ไหลผ่านทุกสิ่ง ทุกอย่างถูกดึงดูดกลับไปหามันในที่สุด เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรสามารถต้านทานการดึงดูดนี้ได้ตลอดไป

 

บทที่ 33: ปัญญาที่แท้จริง

"ผู้รู้จักผู้อื่นคือฉลาด ผู้รู้จักตนเองคือรู้แจ้ง ผู้ชนะผู้อื่นคือมีกำลัง ผู้ชนะตนเองคือเข้มแข็ง"

เหล่าจื๊อแยกแยะระหว่างความฉลาดภายนอกกับปัญญาภายใน การรู้จักผู้อื่นเป็นทักษะที่มีประโยชน์ แต่การรู้จักตนเองคือปัญญาที่แท้จริง เพราะตนเองคือสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้จริง การชนะผู้อื่นอาจต้องใช้กำลังหรือเล่ห์เหลี่ยม แต่การชนะตนเองต้องใช้ความเข้มแข็งที่แท้จริง

"ผู้รู้จักพอคือร่ำรวย ผู้กระทำอย่างมุ่งมั่นคือมีเจตจำนง"

ความร่ำรวยที่แท้จริงไม่ได้มาจากการมีมาก แต่มาจากการพอใจในสิ่งที่มี คนที่ไม่รู้จักพอจะรู้สึกยากจนแม้มีทรัพย์สมบัติมหาศาล คนที่รู้จักพอจะรู้สึกร่ำรวยแม้มีเพียงเล็กน้อย เจตจำนงที่แท้จริงแสดงออกด้วยการกระทำที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่คำพูด

"ผู้ไม่สูญเสียที่ของตนคือยั่งยืน ผู้ตายแต่ไม่สูญคืออมตะ"

การไม่สูญเสียที่ของตนคือการรักษาแก่นแท้ของตนเองไว้ ไม่ถูกสถานการณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลง ความอมตะที่แท้จริงไม่ใช่การมีชีวิตตลอดไป แต่คือการมีคุณค่าที่คงอยู่หลังความตาย อิทธิพลที่ยังส่งผลต่อเนื่อง คำสอนที่ยังถูกถ่ายทอด

 

บทที่ 34: เต๋าที่ไม่อ้างตน

"เต๋าใหญ่ไหลไปทุกที่ ทั้งซ้ายและขวา สรรพสิ่งพึ่งมันเพื่อชีวิต มันไม่ปฏิเสธ งานสำเร็จแต่ไม่อ้างชื่อ"

เต๋าทำงานทุกที่ ไม่เลือกทิศทาง ไม่แบ่งแยก หล่อเลี้ยงทุกชีวิตอย่างเท่าเทียม ไม่ปฏิเสธแม้แต่สิ่งที่ดูไร้ค่า และเมื่อทำสำเร็จแล้วก็ไม่อ้างความดีความชอบ ไม่ต้องการเครดิต ไม่ต้องการการยกย่อง

"รักและเลี้ยงดูสรรพสิ่ง แต่ไม่เป็นเจ้านาย นิรันดร์ไร้ความปรารถนา จึงเรียกได้ว่าเล็ก"

ความยิ่งใหญ่ของเต๋าอยู่ที่การไม่แสดงความยิ่งใหญ่ ไม่อ้างความเป็นเจ้าของ ไม่เรียกร้องการนับถือ จึงดูเหมือนเล็กน้อย ไม่สำคัญ แต่แท้จริงแล้วเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง

"สรรพสิ่งกลับมาหามัน แต่มันไม่เป็นเจ้านาย จึงเรียกได้ว่าใหญ่ เพราะมันไม่เคยทำตัวใหญ่ จึงสามารถบรรลุความยิ่งใหญ่"

ทุกสิ่งกลับมาหาเต๋าในที่สุด เหมือนแม่น้ำไหลลงสู่ทะเล แต่เต๋าไม่อ้างว่าเป็นเจ้าของ ไม่บังคับ ไม่ควบคุม ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงมาจากการไม่พยายามเป็นใหญ่ การไม่แสดงตนทำให้ไม่มีอะไรต้านทาน การไม่อ้างตนทำให้ทุกอย่างยอมรับ

 

บทที่ 35: เต๋าที่ไม่ตื่นตา

"ผู้ถือภาพใหญ่ ใต้หล้าจะมาหา มาหาและไม่ถูกทำร้าย สงบ สันติ และเกษม"

"ภาพใหญ่" (Da Xiang) คือเต๋า ผู้ที่ยึดถือเต๋าจะดึงดูดผู้คนมาหาโดยธรรมชาติ ไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องโฆษณา และผู้ที่มาจะพบความปลอดภัย ความสงบ ไม่ถูกเอาเปรียบหรือทำร้าย

"ดนตรีและอาหารอร่อย ทำให้ผู้ผ่านไปหยุด แต่เต๋าเมื่อออกจากปาก จืดจางไร้รสชาติ มองไม่เพียงพอที่จะเห็น ฟังไม่เพียงพอที่จะได้ยิน ใช้ไม่มีวันหมด"

เหล่าจื๊อเปรียบเทียบสิ่งล่อใจทางประสาทสัมผัสกับเต๋า สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจดึงดูดความสนใจได้ทันที แต่ความพึงพอใจนั้นชั่วคราว ต้องแสวงหาใหม่เรื่อยๆ เต๋าดูธรรมดา ไม่กระตุ้นประสาท แต่ให้ความพึงพอใจที่ยั่งยืน ไม่มีวันเบื่อ ไม่มีวันหมด

การที่เต๋า "จืดจาง" ไม่ใช่ข้อเสีย แต่เป็นข้อดี ความจืดจางทำให้ไม่เบื่อ ใช้ได้ตลอด ไม่ต้องเพิ่มรสชาติใหม่ การที่มองไม่เห็นชัด ฟังไม่ได้ยินชัด แสดงว่ามันละเอียดอ่อน ต้องใช้การรับรู้ที่ลึกกว่าประสาทสัมผัสธรรมดา

 

บทที่ 36: การย้อนกลับของธรรมชาติ

"สิ่งที่จะหดต้องขยายก่อน สิ่งที่จะอ่อนต้องแข็งก่อน สิ่งที่จะทิ้งต้องให้ก่อน สิ่งที่จะเอาต้องให้ก่อน นี่เรียกว่า Wei Ming (ความเข้าใจละเอียดอ่อน)"

"Wei Ming" คือการเห็นแบบแผนที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ ทุกสิ่งมีจังหวะของการขึ้นและลง การขยายนำไปสู่การหด การแข็งแกร่งนำไปสู่การอ่อนแอ การให้มากเกินไปนำไปสู่การถูกเอาคืน นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นการสังเกตกฎธรรมชาติ

"อ่อนและนุ่มชนะแข็งและแกร่ง ปลาไม่ควรออกจากน้ำลึก เครื่องมือคมของรัฐไม่ควรแสดงแก่ผู้คน"

ความอ่อนนุ่มชนะความแข็งแกร่งเป็นหลักการที่เหล่าจื๊อย้ำซ้ำ ปลาปลอดภัยในน้ำลึก ออกมาก็อันตราย ผู้ปกครองควรรักษาความลึกลับ ไม่อวดอำนาจหรือเปิดเผยกลยุทธ์ ความลึกลับคือพลัง ความโปร่งใสเกินไปคือความอ่อนแอ

 

บทที่ 37: เต๋าทำโดยไม่ทำ

"เต๋านิรันดร์ไม่กระทำ แต่ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกทำ หากผู้ปกครองสามารถรักษามันไว้ สรรพสิ่งจะแปรเปลี่ยนเอง"

นี่คือการสรุป Wu Wei อย่างกระชับ เต๋าไม่ออกแรงผลักดัน ไม่วางแผนควบคุม แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกโดยไม่ต้องมีใครสั่ง ฤดูกาลหมุนเวียนโดยไม่ต้องมีการประชุมวางแผน นี่คือพลังของการไม่กระทำ

"เมื่อแปรเปลี่ยนแล้วอยากลุกขึ้นทำ ข้าจะกดมันด้วยความเรียบง่ายที่ไร้ชื่อ ความเรียบง่ายที่ไร้ชื่อ จะทำให้ไร้ปรารถนาด้วย"

เมื่อผู้คนเริ่มทะเยอทะยาน อยากทำโน่นทำนี่มากเกินไป Sage ใช้ "ความเรียบง่ายที่ไร้ชื่อ" (Wu Ming Zhi Pu) คืนพวกเขากลับสู่สภาวะสมดุล ไม่ใช่การปราบปราม แต่เป็นการแสดงให้เห็นความงามของความเรียบง่าย จนความอยากที่ไม่จำเป็นค่อยๆ จางหาย

"ไม่ปรารถนาเพื่อความสงบนิ่ง ใต้หล้าจะตั้งมั่นเอง"

เมื่อไม่มีความปรารถนาที่วุ่นวาย ความสงบนิ่งเกิดขึ้นเอง และเมื่อมีความสงบนิ่ง ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องควบคุม

 

บทที่ 38: คุณธรรมแท้ไม่แสดงคุณธรรม

"คุณธรรมสูงไม่แสดงคุณธรรม จึงมีคุณธรรม คุณธรรมต่ำพยายามรักษาคุณธรรม จึงไม่มีคุณธรรม คุณธรรมสูงไม่ทำ และไม่มีอะไรไม่ได้ทำ คุณธรรมต่ำทำ และมีสิ่งที่ทำ"

"Shang De" (คุณธรรมสูง) เกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพยายาม ผู้มีคุณธรรมแท้ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำดี เพราะนั่นคือธรรมชาติของเขา ขณะที่ "Xia De" (คุณธรรมต่ำ) ต้องพยายามรักษา ต้องคอยระวัง ต้องแสดงให้คนเห็น จึงกลายเป็นการแสดงมากกว่าคุณธรรมที่แท้จริง

"มนุษยธรรมสูงทำ แต่ไม่มีสิ่งที่ทำ ความยุติธรรมสูงทำ และมีสิ่งที่ทำ พิธีกรรมสูงทำ และเมื่อไม่มีใครตอบสนอง ก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นและฉุดคนเข้ามา"

ลำดับการเสื่อมจากเต๋าที่เหล่าจื๊อวาดไว้:

  1. เต๋า - สภาวะธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทุกอย่างกลมกลืน

  2. Te (คุณธรรม) - เมื่อสูญเสียเต๋า ต้องพูดถึงคุณธรรม

  3. Ren (มนุษยธรรม) - เมื่อคุณธรรมไม่พอ ต้องสอนให้มีน้ำใจ

  4. Yi (ความยุติธรรม) - เมื่อไม่มีน้ำใจ ต้องใช้กฎเกณฑ์

  5. Li (พิธีกรรม) - เมื่อทุกอย่างล้มเหลว ต้องบังคับด้วยระเบียบ

พิธีกรรมที่ต้องบังคับคนให้ปฏิบัติตามแสดงว่าสังคมได้เสื่อมถอยจากธรรมชาติมากที่สุดแล้ว มันเป็นเพียงเปลือกนอกที่ไร้แก่น

"ดังนั้นเมื่อสูญเสียเต๋า แล้วจึงมีคุณธรรม สูญเสียคุณธรรม แล้วจึงมีมนุษยธรรม สูญเสียมนุษยธรรม แล้วจึงมีความยุติธรรม สูญเสียความยุติธรรม แล้วจึงมีพิธีกรรม พิธีกรรมคือความบางเบาของความซื่อสัตย์และศรัทธา และเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย"

 

บทที่ 39: พลังแห่งเอกภาพ

"สิ่งที่ได้รับเอกภาพแต่โบราณ: ฟ้าได้เอกภาพจึงใส ดินได้เอกภาพจึงนิ่ง จิตวิญญาณได้เอกภาพจึงมีพลัง หุบเขาได้เอกภาพจึงเต็ม สรรพสิ่งได้เอกภาพจึงเกิด ผู้นำได้เอกภาพจึงเป็นแบบอย่างของโลก"

"De Yi" (ได้หนึ่ง) คือการเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า ไม่แตกแยก ไม่ขัดแย้งในตัวเอง เมื่อสิ่งต่างๆ ได้รับเอกภาพ พวกมันจึงทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ฟ้าใสเพราะไม่ขุ่นมัว ดินนิ่งเพราะไม่สั่นคลอน จิตมีพลังเพราะไม่กระจัดกระจาย

"ทั้งหมดนี้ได้มาจากการได้หนึ่ง ถ้าฟ้าไม่ใสจะแตก ถ้าดินไม่นิ่งจะแยก ถ้าจิตวิญญาณไม่มีพลังจะหมด ถ้าหุบเขาไม่เต็มจะว่าง"

การสูญเสียเอกภาพนำไปสู่การแตกสลาย ฟ้าที่ไม่เป็นหนึ่งจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ดินที่ไม่เป็นหนึ่งจะแยกออกจากกัน การรักษาเอกภาพจึงเป็นกุญแจของการดำรงอยู่

"ผู้นำถือต่ำต้อยเป็นฐาน ถือสูงส่งต้องมีต่ำต้อยเป็นราก เพราะฉะนั้นผู้นำเรียกตนเองว่า กำพร้า ขาดแคลน ไม่มีค่า นี่ไม่ใช่การถือต่ำต้อยเป็นฐานหรือ?"

ผู้นำที่ฉลาดรู้ว่าอำนาจที่แท้จริงมาจากการเชื่อมต่อกับฐาน การถ่อมตนไม่ใช่การแสดง แต่เป็นการรับรู้ความจริงว่าผู้นำไม่มีความหมายหากไม่มีผู้ตาม สูงต้องอาศัยต่ำ ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยเล็กน้อย

 

บทที่ 40: การย้อนกลับคือการเคลื่อนไหวของเต๋า

"การย้อนกลับคือการเคลื่อนไหวของเต๋า ความอ่อนแอคือการใช้ของเต๋า สรรพสิ่งในโลกเกิดจากมี มีเกิดจากไม่มี"

"Fan" (การย้อนกลับ) เป็นหลักการพื้นฐานของเต๋า ทุกสิ่งเคลื่อนที่ในวัฏจักร ขึ้นแล้วต้องลง เกิดแล้วต้องดับ ไปแล้วต้องกลับ การเข้าใจหลักการนี้ทำให้ไม่ตกใจเมื่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลง

ความอ่อนแอไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นวิธีการของเต๋า น้ำอ่อนนุ่มแต่กัดเซาะหินได้ ลมเบาหวิวแต่โค่นต้นไม้ใหญ่ได้ ความอ่อนโยนคงอยู่ได้นาน ความแข็งแกร่งมักแตกหักเร็ว

"You" (มี) เกิดจาก "Wu" (ไม่มี) แสดงให้เห็นว่าความว่างเปล่าเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง ศูนย์ไม่ใช่ความไม่มีอะไร แต่เป็นศักยภาพที่ไม่จำกัด พร้อมจะกลายเป็นอะไรก็ได้

 

บทที่ 41: ปราชญ์สามระดับ

"ปราชญ์ชั้นสูงได้ยินเต๋า ขยันปฏิบัติตาม ปราชญ์ชั้นกลางได้ยินเต๋า ครั้งเชื่อครั้งสงสัย ปราชญ์ชั้นต่ำได้ยินเต๋า หัวเราะเยาะใหญ่ ถ้าไม่ถูกหัวเราะ ก็ไม่ใช่เต๋า"

การตอบสนองต่อเต๋าแสดงระดับความเข้าใจของแต่ละคน ผู้มีปัญญาสูงเห็นคุณค่าทันทีและปฏิบัติอย่างจริงจัง ผู้มีปัญญาปานกลางลังเลเพราะเต๋าขัดกับสามัญสำนึก ผู้มีปัญญาน้อยหัวเราะเพราะมองไม่เห็นความลึกซึ้ง

การที่เต๋าถูกหัวเราะแสดงว่ามันอยู่เหนือความเข้าใจแบบผิวเผิน ถ้าทุกคนเข้าใจง่าย มันคงไม่ใช่ความจริงที่ลึกซึ้ง

"ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า: ทางสว่างดูมืด ทางไปข้างหน้าดูถอยหลัง ทางเรียบดูขรุขระ คุณธรรมสูงดูเหมือนหุบเขา ความขาวใหญ่ดูเปื้อน คุณธรรมกว้างขวางดูไม่พอ คุณธรรมแข็งแกร่งดูเฉื่อยชา ความจริงแท้ดูไม่คงที่"

ความขัดแย้งเหล่านี้เกิดจากมุมมองที่ต่างกัน สิ่งที่ดูมืดสำหรับคนที่ชินกับแสงจ้าอาจเป็นความสว่างที่แท้จริง การถอยหลังในบางครั้งคือการก้าวหน้าที่ฉลาด ทางที่ดูขรุขระอาจนำไปสู่จุดหมายได้ดีกว่าทางที่ดูเรียบ

 

บทที่ 42: การกำเนิดจากเต๋า

"เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม สามให้กำเนิดหมื่นสิ่ง"

นี่คือจักรวาลวิทยาของเต๋า:

  • เต๋า - ความว่างดั้งเดิม ศักยภาพบริสุทธิ์ที่ยังไม่แสดงตัว

  • หนึ่ง - เอกภาพ การรวมเป็นหนึ่ง ไท่จี๋

  • สอง - หยิน-หยาง การแบ่งเป็นคู่ตรงข้าม

  • สาม - การผสมผสานของหยิน-หยาง สร้างมิติที่สาม

  • หมื่นสิ่ง - ความหลากหลายทั้งหมดของจักรวาลที่เกิดจากการผสมผสานที่ไม่สิ้นสุด

"หมื่นสิ่งแบกหยินและโอบหยาง ผสม Qi ให้กลมกลืน"

ทุกสิ่งมีทั้งหยินและหยางในตัวเอง ไม่มีอะไรที่เป็นหยินหรือหยางล้วนๆ ชีวิตเกิดจากการผสมผสานที่สมดุลของทั้งสอง Qi คือพลังที่ทำให้การผสมผสานนี้กลมกลืน

"สิ่งที่คนเกลียด ได้แก่ กำพร้า ขาดแคลน ไม่มีค่า แต่ผู้ปกครองใช้เป็นชื่อเรียกตนเอง ดังนั้นสิ่งต่างๆ บางทีลดแล้วเพิ่ม บางทีเพิ่มแล้วลด"

การถ่อมตนของผู้ปกครองด้วยการเรียกตนเองว่า "กำพร้า" แสดงความเข้าใจหลักการกลับตัว การยอมต่ำทำให้สูง การยอมน้อยทำให้มาก

 

บทที่ 43: อ่อนที่สุดชนะแข็งที่สุด

"สิ่งอ่อนที่สุดในใต้หล้า วิ่งผ่านสิ่งแข็งที่สุดในใต้หล้า สิ่งไร้รูปแทรกเข้าสิ่งไร้ช่อง จึงรู้ประโยชน์ของการไม่กระทำ"

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือน้ำที่ผ่านหิน ลมที่ผ่านตึก ความคิดที่ผ่านกำแพงใจ สิ่งที่อ่อนนุ่มสามารถเข้าถึงที่ที่สิ่งแข็งแกร่งเข้าไม่ถึง ความอ่อนโยนเปิดประตูที่ความรุนแรงปิด

"คำสอนไร้คำพูด ประโยชน์ของการไม่กระทำ น้อยคนในโลกจะเข้าถึง"

การสอนที่ดีที่สุดไม่ใช้คำพูด แต่ใช้การเป็นตัวอย่าง การทำให้เห็นมีพลังกว่าการบอกให้รู้ Wu Wei ให้ผลที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะมันทำงานอย่างละเอียดอ่อน ไม่โอ้อวด ไม่ประกาศ

 

บทที่ 44: รู้จักพอ

"ชื่อเสียงกับร่างกาย อันไหนใกล้ตัวกว่า? ร่างกายกับทรัพย์สิน อันไหนมีค่ากว่า? ได้กับเสีย อันไหนเป็นโรคมากกว่า?"

เหล่าจื๊อตั้งคำถามที่ตรงไปตรงมาเพื่อให้ผู้อ่านไตร่ตรอง คำตอบชัดเจนแต่คนมักหลงลืม ชื่อเสียงเป็นเพียงเสียงที่คนอื่นเอ่ย ร่างกายคือสิ่งที่เราอาศัยอยู่ ทรัพย์สินเป็นของนอกกาย ร่างกายคือตัวเรา

"รักมากเกินจึงสิ้นเปลืองมาก สะสมมากจึงสูญเสียหนัก รู้จักพอจึงไม่อับอาย รู้จักหยุดจึงไม่อันตราย สามารถยืนยาว"

"Zhi Zu" (รู้จักพอ) และ "Zhi Zhi" (รู้จักหยุด) เป็นภูมิปัญญาสำคัญ ผู้รู้จักพอไม่ต้องวิ่งไล่ตามสิ่งที่ขาด ผู้รู้จักหยุดไม่ตกหล่นเพราะไปไกลเกิน ความยั่งยืนมาจากความพอดี ไม่ใช่ความมากมาย

 

บทที่ 45: ความสมบูรณ์ดูบกพร่อง

"ความสำเร็จใหญ่ดูบกพร่อง แต่ใช้ไม่สึกหรอ ความเต็มใหญ่ดูว่างเปล่า แต่ใช้ไม่หมด ความตรงใหญ่ดูคด ความฉลาดใหญ่ดูเซอะ วาทศิลป์ใหญ่ดูตะกุกตะกัก"

ความสมบูรณ์ที่แท้จริงไม่แสดงตัวว่าสมบูรณ์ มันดูธรรมดา แม้กระทั่งบกพร่อง แต่นั่นทำให้มันยืดหยุ่น ใช้ได้นาน ไม่แตกหักเพราะแข็งเกิน สิ่งที่ดูสมบูรณ์แบบเกินไปมักเปราะบาง พร้อมจะแตกเมื่อถูกกระทบ

"เคลื่อนไหวเอาชนะเย็น นิ่งเอาชนะร้อน สงบและนิ่งเป็นแบบอย่างของโลก"

การเคลื่อนไหวสร้างความอบอุ่น การนิ่งสร้างความเย็น ทั้งสองจำเป็นในเวลาที่เหมาะสม แต่สำหรับการเป็นแบบอย่าง ความสงบนิ่งเหนือกว่า เพราะจากความนิ่งสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่จากความวุ่นวายยากจะนิ่ง

 

บทที่ 46: เมื่อโลกมีเต๋า

"เมื่อใต้หล้ามีเต๋า ม้าศึกใช้ขนปุ๋ยในไร่ เมื่อใต้หล้าไร้เต๋า ม้าศึกคลอดลูกที่ชานเมือง"

ภาพเปรียบเทียบนี้แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจน เมื่อสังคมอยู่กับเต๋า สันติภาพทำให้ม้าศึกที่เคยใช้รบกลับมาช่วยเกษตรกรรม แต่เมื่อห่างจากเต๋า สงครามทำให้แม้ม้าตั้งท้องก็ต้องไปคลอดที่สนามรบ

"ไม่มีบาปใหญ่กว่าตามใจปรารถนา ไม่มีหายนะใหญ่กว่าไม่รู้จักพอ ไม่มีโทษใหญ่กว่าอยากได้ ดังนั้นรู้จักพอของการพอ คือพอตลอดกาล"

ความโลภเป็นรากของความทุกข์ทั้งปวง การตามใจปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุดทำให้ไม่มีวันพอ การไม่รู้จักพอทำให้สูญเสียแม้สิ่งที่มีอยู่ แต่ "รู้จักพอของการพอ" คือความพอที่มาจากภายใน ไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอก จึงคงอยู่ตลอดกาล

 

บทที่ 47: รู้โลกโดยไม่ออกประตู

"ไม่ออกประตู รู้ใต้หล้า ไม่มองหน้าต่าง เห็นเต๋าของฟ้า ออกไปไกลเท่าไหร่ รู้น้อยเท่านั้น"

ปัญญาที่แท้จริงไม่ได้มาจากการเดินทางไกลหรือประสบการณ์ภายนอก แต่มาจากการมองเข้าไปภายใน โลกทั้งหมดสะท้อนอยู่ในจิตที่นิ่ง หลักการของจักรวาลปรากฏแก่ผู้ที่สงบ

"ดังนั้น Sage ไม่ไปแต่รู้ ไม่เห็นแต่แจ้ง ไม่ทำแต่สำเร็จ"

Sage รู้โดยการเชื่อมต่อกับเต๋าซึ่งเป็นแหล่งของความรู้ทั้งหมด เห็นแจ้งโดยการมองทะลุสู่แก่น ไม่ติดอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก สำเร็จโดย Wu Wei ซึ่งให้ผลโดยไม่ต้องฝืนทำ

 

บทที่ 48: ลดเพื่อถึงเต๋า

"แสวงหาความรู้ เพิ่มทุกวัน แสวงหาเต๋า ลดทุกวัน ลดแล้วลดอีก จนถึงการไม่ทำ ไม่ทำแต่ไม่มีอะไรไม่ได้ทำ"

ความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้ทางโลกกับการปฏิบัติเต๋านั้นตรงข้ามกัน การเรียนรู้คือการสะสม เพิ่มข้อมูล เพิ่มความคิด เพิ่มความรู้ การปฏิบัติเต๋าคือการลดทอน ลดความอยาก ลดความคิดฟุ้งซ่าน ลดการแทรกแซง

"ได้ใต้หล้าด้วยการไม่ยุ่ง ชอบยุ่งแล้ว ไม่พอที่จะได้ใต้หล้า"

การปกครองที่ดีที่สุดคือการไม่รบกวน ยิ่งพยายามควบคุมมาก ยิ่งเกิดการต่อต้านมาก ยิ่งออกกฎมาก ยิ่งมีการหลีกเลี่ยงมาก การได้ใจคนมาจากการปล่อยให้พวกเขาเป็นตัวเอง

 

บทที่ 49: ใจของ Sage

"Sage ไม่มีใจคงที่ ใช้ใจประชาชนเป็นใจ คนดี ข้าดีด้วย คนไม่ดี ข้าก็ดีด้วย ได้ความดี คนเชื่อถือได้ ข้าเชื่อถือ คนเชื่อถือไม่ได้ ข้าก็เชื่อถือ ได้ความเชื่อถือ"

"Wu Chang Xin" (ไม่มีใจคงที่) หมายถึงไม่มีอคติ ไม่มีความชอบหรือเกลียดส่วนตัวที่ตายตัว Sage ตอบสนองต่อสถานการณ์ตามที่เป็น ไม่ใช่ตามความคิดเห็นที่ตั้งไว้ล่วงหน้า

การปฏิบัติดีต่อทุกคนเท่าเทียม ไม่ว่าพวกเขาจะดีหรือไม่ดี เป็นวิธีสร้างความดี การเชื่อถือทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นวิธีสร้างความเชื่อถือ นี่ไม่ใช่ความโง่เขลา แต่เป็นการเข้าใจว่าพฤติกรรมของเราส่งอิทธิพลต่อผู้อื่น

"Sage อยู่ในโลก สับสนๆ เพื่อโลก ทำใจให้ขุ่น ประชาชนทั้งหมดจับจ้องด้วยตาและหู Sage ทำให้ทุกคนเป็นเหมือนเด็ก"

การ "สับสน" และ "ใจขุ่น" ของ Sage ไม่ใช่ความไร้ความสามารถ แต่เป็นการไม่มีความคิดตายตัว ไม่แข็งทื่อ ยืดหยุ่นเหมือนน้ำ การทำให้ทุกคนเป็นเหมือนเด็กคือการคืนความบริสุทธิ์ ความเรียบง่าย ความจริงใจให้กับสังคม

 

บทที่ 50: เกิดกับตาย

"ออกมาสู่ชีวิต เข้าสู่ความตาย ผู้ติดตามชีวิต สามในสิบ ผู้ติดตามความตาย สามในสิบ ผู้ดำเนินชีวิตแต่ย้ายไปสู่ความตาย ก็สามในสิบ ทำไมเป็นเช่นนี้? เพราะยึดชีวิตมากเกิน"

เหล่าจื๊อแบ่งคนออกเป็นกลุ่มตามทัศนคติต่อชีวิตและความตาย ผู้ที่ยึดติดชีวิตมากเกินกลับเร่งความตาย เพราะความกลัวตายทำให้ทำผิดพลาด ความพยายามรักษาชีวิตมากเกินกลับทำลายชีวิต

"ได้ยินว่าผู้เชี่ยวชาญในการรักษาชีวิต เดินทางไม่เจอแรดและเสือ เข้าสงครามไม่สวมเกราะอาวุธ แรดไม่มีที่แทงนอ เสือไม่มีที่ตะปบกรงเล็บ อาวุธไม่มีที่แทงคม ทำไมเป็นเช่นนี้? เพราะไม่มีที่ตาย"

"Wu Si Di" (ไม่มีที่ตาย) ไม่ใช่ความอมตะทางกายภาพ แต่เป็นการไม่สร้างเงื่อนไขแห่งความตาย ผู้ที่ไม่ยึดติดชีวิตไม่หวาดกลัว ไม่ตื่นตระหนก จึงไม่ทำผิดพลาดที่นำไปสู่อันตราย ผู้ที่ไม่แสดงความก้าวร้าวไม่ดึงดูดความรุนแรง

 

บทที่ 51: เต๋าเลี้ยงดู Te หล่อหลอม

"เต๋าให้กำเนิด Te เลี้ยงดู วัตถุให้รูปร่าง สถานการณ์ให้สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นหมื่นสิ่งไม่มีสิ่งใดไม่เคารพเต๋า และให้เกียรติ Te"

กระบวนการสร้างสรรค์ของจักรวาลมีหลายระดับ เต๋าให้ศักยภาพ Te ให้พลังการเติบโต สสารให้รูปร่างที่จับต้องได้ สภาพแวดล้อมให้โอกาสในการพัฒนาจนสมบูรณ์

"การเคารพเต๋าและให้เกียรติ Te ไม่ใช่เพราะถูกสั่ง แต่เป็นไปเองตลอดกาลตามธรรมชาติ"

ไม่มีใครสั่งให้สิ่งต่างๆ เคารพเต๋า แต่มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนพืชหันหาแสงอาทิตย์โดยไม่ต้องมีใครสอน เหมือนน้ำไหลลงที่ต่ำโดยไม่ต้องมีกฎบังคับ

"ดังนั้นเต๋าให้กำเนิด Te เลี้ยงดู ทำให้เติบโต อบรม ทำให้สมบูรณ์ สุก บำรุง คุ้มครอง ให้กำเนิดแต่ไม่ครอบครอง ทำแต่ไม่พึ่งพา นำแต่ไม่ควบคุม นี่เรียกว่า Xuan De (คุณธรรมลึกลับ)"

Xuan De คือคุณธรรมที่ลึกซึ้งที่สุด - การให้โดยไม่ผูกมัด การสร้างโดยไม่อ้างความเป็นเจ้าของ การนำโดยไม่บังคับ นี่คือแบบอย่างสูงสุดของความรักและการดูแลที่แท้จริง

 

บทที่ 52: กลับหามารดา

"ใต้หล้ามีต้นกำเนิด ถือเป็นมารดาของใต้หล้า ได้มารดาแล้ว จึงรู้จักบุตร รู้จักบุตรแล้ว กลับไปยึดมารดา ตลอดชีวิตไม่อันตราย"

"มารดา" คือเต๋า ต้นกำเนิดของทุกสิ่ง "บุตร" คือสรรพสิ่งที่เกิดจากเต๋า การรู้จักผลแต่ไม่ลืมเหตุ รู้จักกิ่งแต่ไม่ลืมราก ทำให้ไม่หลงทาง ไม่ตัดขาดจากแหล่งพลัง

"ปิดช่อง ปิดประตู ตลอดชีวิตไม่ลำบาก เปิดช่อง ยุ่งกับกิจ ตลอดชีวิตไม่รอด"

"ปิดช่อง ปิดประตู" คือการไม่ให้จิตถูกรบกวนด้วยสิ่งเร้าภายนอก การปิดไม่ใช่การตัดขาดจากโลก แต่เป็นการรักษาความสงบภายใน เมื่อเปิดช่องให้ความอยากทุกอย่างเข้ามา ยุ่งกับกิจการนับไม่ถ้วน ชีวิตจะเหนื่อยล้าไม่มีที่สิ้นสุด

"เห็นเล็กเรียกว่าสว่าง รักษาอ่อนเรียกว่าแข็งแรง ใช้แสงกลับคืนสู่ความสว่าง ไม่ทิ้งภัยให้ตัว นี่เรียกว่าปฏิบัติความคงที่"

การเห็นรายละเอียดเล็กๆ คือปัญญาที่แท้ การรักษาความอ่อนโยนคือความแข็งแกร่งที่แท้ การใช้แสงภายนอกเพื่อกลับมาสู่แสงสว่างภายในคือการปฏิบัติที่ถูกต้อง นี่คือ "Xi Chang" (ปฏิบัติความคงที่) – การดำเนินชีวิตตามหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเต๋า

 

บทที่ 53: ทางตรงของเต๋า

"ให้ข้ามีปัญญาน้อย เดินบนเต๋าใหญ่ กลัวแต่อย่างเดียวคือเดินเฉ เต๋าใหญ่ราบเรียบมาก แต่คนชอบทางลัด"

เต๋าเรียบง่ายตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน แต่คนมักไม่พอใจกับความเรียบง่าย ชอบหาทางลัดที่ดูฉลาดแต่กลับอ้อมไกล กลัวที่สุดคือการเดินเฉออกนอกทาง หลงไปกับเส้นทางที่ดูน่าสนใจแต่นำไปสู่หายนะ

"ราชสำนักสะอาดมาก ไร่นาร้างมาก ยุ้งฉางว่างมาก ถืออาวุธคม เบื่อหน่ายอาหารเครื่องดื่ม ทรัพย์สินเหลือเฟือ นี่เรียกว่าโจรผู้นำ ไม่ใช่เต๋าแน่นอน!"

การเปรียบเทียบที่แหลมคม ผู้ปกครองที่ใช้ชีวิตหรูหราขณะที่ประชาชนยากจน ไม่ต่างจากโจรที่ปล้นชาติ ความไม่สมดุลนี้ขัดกับเต๋าอย่างสิ้นเชิง เต๋าสอนการแบ่งปัน การดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การสะสมความมั่งคั่งบนความทุกข์ของผู้อื่น

 

บทที่ 54: การปลูกฝังที่ยั่งยืน

"ผู้ตั้งมั่นดี ไม่ถูกถอน ผู้กอดดี ไม่หลุด ลูกหลานบูชาไม่ขาด"

"Shan Jian" (ตั้งมั่นดี) คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงในเต๋า ไม่ใช่แค่พื้นผิว เมื่อรากลึกแล้วไม่มีพายุใดโค่นได้ "Shan Bao" (กอดดี) คือการยึดถืออย่างถูกต้อง ไม่แน่นเกินจนแข็งทื่อ ไม่หลวมเกินจนหลุดง่าย

"ปลูกในตัว คุณธรรมจะแท้ ปลูกในครอบครัว คุณธรรมจะเหลือ ปลูกในหมู่บ้าน คุณธรรมจะยืนยาว ปลูกในประเทศ คุณธรรมจะอุดม ปลูกในใต้หล้า คุณธรรมจะแผ่ไพศาล"

การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากภายใน ขยายออกไปภายนอกทีละชั้น คุณธรรมที่แท้ (Zhen) ในตัวบุคคล กลายเป็นคุณธรรมที่เหลือเฟือ (Yu) ในครอบครัว ขยายเป็นคุณธรรมที่ยืนยาว (Chang) ในชุมชน กลายเป็นคุณธรรมที่อุดมสมบูรณ์ (Feng) ในประเทศ และแผ่เป็นคุณธรรมที่ไพศาล (Pu) ทั่วโลก

"ดังนั้นใช้ตัวดูตัว ใช้ครอบครัวดูครอบครัว ใช้หมู่บ้านดูหมู่บ้าน ใช้ประเทศดูประเทศ ใช้ใต้หล้าดูใต้หล้า ข้ารู้ได้อย่างไรว่าใต้หล้าเป็นเช่นนี้? ด้วยสิ่งนี้"

การเข้าใจโลกเริ่มจากการเข้าใจตนเอง หลักการที่ทำงานในระดับบุคคลก็ทำงานในระดับสังคมเช่นกัน จุลภาคสะท้อนมหภาค ผู้ที่เข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้งจึงสามารถเข้าใจโลกได้

 

บทที่ 55: พลังของทารก

"ผู้อุ้ม Te หนา เปรียบเหมือนทารกแรกเกิด แตนต่อไม่ต่อย งูพิษไม่กัด สัตว์ดุไม่จับ นกล่าไม่โฉบ"

"Han De Zhi Hou" (อุ้ม Te หนา) คือผู้ที่เต็มไปด้วยคุณธรรมแท้ เหล่าจื๊อเปรียบกับทารกเพราะทารกมีคุณสมบัติพิเศษ - ความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์ ไม่มีเจตนาร้าย ไม่มีความกลัว ไม่แสดงท่าทีคุกคาม จึงไม่ดึงดูดอันตราย

"กระดูกอ่อน เอ็นนุ่ม แต่จับแน่น ไม่รู้จักการร่วมเพศ แต่อวัยวะเพศแข็ง นี่คือจุดสุดยอดของจิง ร้องทั้งวันไม่แหบ นี่คือจุดสุดยอดของความกลมกลืน"

ทารกแสดงให้เห็นว่าความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ มือเล็กๆ จับได้แน่นกว่าผู้ใหญ่ที่พยายามบีบ ร้องไห้ได้ทั้งวันโดยไม่เสียเสียง เพราะใช้พลังอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ฝืน ไม่เกร็ง

"รู้ความกลมกลืนเรียกว่าคงที่ รู้ความคงที่เรียกว่าสว่าง เพิ่มชีวิตเรียกว่าเป็นมงคล ใจใช้ Qi เรียกว่าแข็งแรง"

การรู้จักความกลมกลืน (He) คือการเห็นความคงที่ (Chang) ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง การเพิ่มพลังชีวิตโดยไม่ทำลายความสมดุลคือมงคลที่แท้จริง การใช้จิตควบคุม Qi อย่างถูกต้องคือความแข็งแรงที่ยั่งยืน

"สิ่งที่แข็งแรงแล้วก็แก่ นี่เรียกว่าไม่ใช่เต๋า ไม่ใช่เต๋าตายเร็ว"

ทุกสิ่งที่ถึงจุดสูงสุดของความแข็งแรงจะเริ่มเสื่อมถอย นี่คือกฎธรรมชาติ ผู้ที่พยายามรักษาความแข็งแรงสูงสุดไว้ตลอดเวลาจะหมดสิ้นเร็ว แต่ผู้ที่รักษาความอ่อนน้อมจะยืนยาว

 

บทที่ 56: ผู้รู้ไม่พูด

"ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้"

ประโยคสั้นๆ นี้เป็นหนึ่งในคำสอนที่มีชื่อเสียงที่สุด ผู้ที่รู้จริงไม่จำเป็นต้องพูดมาก เพราะความจริงที่ลึกซึ้งมักอยู่เหนือคำพูด ผู้ที่พูดมากมักแสดงว่ายังไม่เข้าถึงความจริงที่แท้

"ปิดช่อง ปิดประตู ทู่ความคม ถอนพัวพัน ประสานแสง ร่วมฝุ่น นี่เรียกว่า Xuan Tong (เอกภาพลึกลับ)"

วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึง Xuan Tong:

  • ปิดช่องประตู - ลดการรับสิ่งเร้าภายนอกที่ไม่จำเป็น

  • ทู่ความคม - ไม่แสดงความฉลาดจนแหลมคมเกินไป

  • ถอนพัวพัน - คลี่คลายความยุ่งเหยิงซับซ้อน

  • ประสานแสง - ไม่ส่องแสงจ้าจนคนอื่นตาพร่า

  • ร่วมฝุ่น - ไม่แยกตัวจากโลก กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม

"ดังนั้นไม่อาจให้ได้ใกล้ชิด ไม่อาจให้ได้ห่างเหิน ไม่อาจให้ได้ประโยชน์ ไม่อาจให้ได้ทำร้าย ไม่อาจให้ได้ให้เกียรติ ไม่อาจให้ได้ดูหมิ่น ดังนั้นจึงประเสริฐสำหรับใต้หล้า"

ผู้บรรลุ Xuan Tong อยู่เหนือการครอบงำของโลก ไม่อาจล่อลวงด้วยผลประโยชน์ ไม่อาจข่มขู่ด้วยอันตราย ไม่อาจยกขึ้นด้วยการสรรเสริญ ไม่อาจกดลงด้วยการดูถูก จึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง

 

บทที่ 57: การปกครองด้วยการไม่ยุ่ง

"ใช้ความตรงปกครองประเทศ ใช้ความแปลกใช้ทหาร ใช้ความไม่ยุ่งได้ใต้หล้า ข้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนี้? ด้วยสิ่งนี้:"

เหล่าจื๊อแยกวิธีการสำหรับแต่ละสถานการณ์ การปกครองภายในใช้ความตรงไปตรงมา ยุติธรรม โปร่งใส การทหารใช้กลยุทธ์ที่ไม่คาดคิด ฉับไว คล่องแคล่ว แต่การได้ใจคนทั้งใต้หล้าต้องใช้ Wu Shi (ไม่ยุ่ง) - การไม่แทรกแซงโดยไม่จำเป็น

"ข้อห้ามกฎหมายยิ่งมาก ประชาชนยิ่งจน เครื่องมือคมของประชาชนยิ่งมาก รัฐยิ่งยุ่งเหยิง ความฉลาดเจ้าเล่ห์ยิ่งมาก สิ่งประหลาดยิ่งเกิด กฎหมายคำสั่งยิ่งชัดเจน โจรผู้ร้ายยิ่งมี"

นี่คือความขัดแย้งของการควบคุม ยิ่งพยายามควบคุมมาก ปัญหายิ่งเพิ่ม ข้อห้ามมากทำให้คนหาช่องทางหลบเลี่ยง จนต้องใช้วิธีผิดกฎหมายเพื่อความอยู่รอด เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเกินไปสร้างความวุ่นวายใหม่ๆ ความฉลาดที่ใช้เพื่อเอาเปรียบทำให้เกิดการหลอกลวงรูปแบบใหม่ กฎหมายที่ละเอียดเกินไปสร้างช่องโหว่ให้คนฉลาดใช้

"ดังนั้น Sage กล่าว: ข้าไม่ทำ ประชาชนแปรเปลี่ยนเอง ข้ารักความสงบ ประชาชนตรงเอง ข้าไม่ยุ่ง ประชาชนร่ำรวยเอง ข้าไร้ปรารถนา ประชาชนเรียบง่ายเอง"

สี่หลักการของการปกครองตามเต๋า:

  1. ไม่ทำ - ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามธรรมชาติ

  2. รักสงบ - สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อความซื่อตรง

  3. ไม่ยุ่ง - ให้เศรษฐกิจพัฒนาตามธรรมชาติ

  4. ไร้ปรารถนา – เป็นตัวอย่างของความเรียบง่าย

 

บทที่ 58: การปกครองที่เงียบสงบ

"การปกครองที่งุ่มง่าม ประชาชนซื่อๆ การปกครองที่แหลมคม ประชาชนขาดๆ"

"Men Men" (งุ่มง่าม) ไม่ใช่ความไร้ประสิทธิภาพ แต่เป็นการไม่จู้จี้ขี้บ่น ไม่ควบคุมเข้มงวดจนเกินไป ผลคือประชาชน "Chun Chun" (ซื่อๆ) - ซื่อตรง เรียบง่าย ไม่เจ้าเล่ห์ ตรงกันข้าม การปกครองที่ "Cha Cha" (แหลมคม) - เข้มงวด จับผิดตลอดเวลา ทำให้ประชาชน "Que Que" (ขาดๆ) - ระแวง หลบเลี่ยง ขาดความจริงใจ

"ภัยพิบัติ เอ๋ย สิ่งที่โชคดีพึ่งพา โชคดี เอ๋ย สิ่งที่ภัยพิบัติซ่อน ใครรู้ขอบเขตของมัน? ไม่มีความถูกต้องหรือ? ความถูกต้องกลับเป็นความแปลก ความดีกลับเป็นความชั่วร้าย ความหลงของคน มานานแล้วหนอ!"

โชคและเคราะห์แฝงอยู่ในกันและกัน ไม่มีอะไรที่ดีหรือร้ายโดยสมบูรณ์ สิ่งที่ดูเหมือนโชคดีอาจนำพาภัยมา สิ่งที่ดูเหมือนภัยพิบัติอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโชคลาภ การยึดติดว่าอะไรดีอะไรร้ายอย่างตายตัวคือความหลงผิดที่มนุษย์ติดอยู่มานาน

"ดังนั้น Sage: เหลี่ยมแต่ไม่บาด คมแต่ไม่แทง ตรงแต่ไม่เหยียด สว่างแต่ไม่จ้า"

Sage รักษาคุณสมบัติที่ดีแต่ไม่ผลักดันจนสุดขั้ว มีหลักการ (เหลี่ยม) แต่ไม่ทำร้ายผู้อื่น มีความเฉียบแหลม (คม) แต่ไม่ทิ่มแทง มีความซื่อตรง (ตรง) แต่ยืดหยุ่นได้ มีปัญญา (สว่าง) แต่ไม่อวดรู้

 

บทที่ 59: การประหยัดคือราก

"ในการปกครองคนรับใช้ฟ้า ไม่มีอะไรเท่าการประหยัด เพียงเพราะประหยัด จึงเรียกว่ากลับมาเร็ว"

"Se" (ประหยัด) ในที่นี้มีความหมายกว้างกว่าการประหยัดเงิน มันคือการไม่สิ้นเปลืองพลังงานในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นพลังกาย พลังใจ หรือทรัพยากร การประหยัดทำให้ "Zao Fu" (กลับมาเร็ว) - กลับสู่สภาวะสมดุลได้เร็ว ไม่หมดแรงกลางทาง

"กลับมาเร็วเรียกว่าสะสม Te หนัก สะสม Te หนัก ไม่มีอะไรเอาชนะไม่ได้ ไม่มีอะไรเอาชนะไม่ได้ ไม่มีใครรู้ขีดจำกัด ไม่มีใครรู้ขีดจำกัด สามารถมีประเทศ"

การประหยัดทำให้สะสม Te (คุณธรรม/พลัง) ได้มาก เมื่อมี Te สะสมมากจะมีพลังมหาศาลที่ไม่มีอะไรต้านทานได้ และเมื่อไม่มีใครรู้ขีดจำกัดของพลังนี้ ก็สามารถปกครองได้ยาวนาน

"มีมารดาของประเทศ สามารถยืนยาว นี่เรียกว่ารากลึก ฐานมั่นคง เต๋าแห่งชีวิตยืนยาวและการมองเห็นยาวนาน"

"มารดาของประเทศ" คือเต๋า หลักการที่หล่อเลี้ยงและค้ำจุน เมื่อการปกครองมีรากฐานในเต๋า จะมั่นคงยั่งยืน ไม่สั่นคลอนง่าย นี่คือ "Chang Sheng Jiu Shi Zhi Dao" – เต๋าแห่งการมีชีวิตยืนยาวและการเห็นไกล

 

บทที่ 60: ปกครองเหมือนทอดปลาเล็ก

"ปกครองประเทศใหญ่ เหมือนทอดปลาเล็ก ใช้เต๋าปกครองใต้หล้า ผีไม่แสดงอิทธิฤทธิ์"

การทอดปลาเล็กต้องใช้ความนุ่มนวลอย่างยิ่ง พลิกบ่อยเกินไปเนื้อจะแหลกเละ ใช้ไฟแรงเกินไปจะไหม้ ต้องใจเย็น อดทน รอจังหวะที่เหมาะสม การปกครองประเทศใหญ่ก็เช่นกัน ต้องนุ่มนวล ไม่รีบร้อน ไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยเกินไป

"ไม่ใช่ผีไม่มีอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ของมันไม่ทำร้ายคน ไม่เพียงอิทธิฤทธิ์ของมันไม่ทำร้ายคน Sage ก็ไม่ทำร้ายคน"

"ผี" (Gui) หมายถึงพลังมืด พลังที่ก่อกวนสังคม เมื่อการปกครองดี พลังเหล่านี้ยังคงมีอยู่แต่ไม่สามารถทำร้ายได้ ประชาชนมีความเข้มแข็ง มีสติ ไม่หวาดกลัวหรือหลงเชื่อง่าย Sage ไม่ใช้อำนาจกดขี่ จึงไม่สร้างความแค้นหรือความต้านทาน

"ทั้งสองไม่ทำร้ายกัน ดังนั้น Te รวมกันกลับคืน"

เมื่อทั้งผู้ปกครองและสิ่งที่ถูกปกครองไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน Te (คุณธรรม) ของทั้งสองฝ่ายรวมกันและเพิ่มพูน สร้างสังคมที่กลมเกลียวและเจริญรุ่งเรือง นี่คือผลของการปกครองด้วยความนุ่มนวล

 

บทที่ 61: รัฐใหญ่ที่ถ่อมตน

"ประเทศใหญ่คือที่ต่ำ เป็นที่รวมของใต้หล้า เป็นตัวเมียของใต้หล้า ตัวเมียชนะตัวผู้ด้วยความนิ่งเสมอ ด้วยความนิ่งเป็นการอยู่ต่ำ"

เหล่าจื๊อใช้ภาพของน้ำที่ไหลลงที่ต่ำและภาพของตัวเมียที่ชนะด้วยความนิ่ง ประเทศใหญ่ที่ฉลาดจะวางตัวต่ำ ไม่ข่มเหงประเทศเล็ก แต่ดึงดูดให้มาร่วมมือด้วยความถ่อมตนและผลประโยชน์ร่วมกัน นี่คือ "Xia Liu" (ไหลลงต่ำ) - หลักการที่ว่าอำนาจที่แท้จริงมาจากการรวบรวม ไม่ใช่การบังคับ

"ดังนั้นประเทศใหญ่ด้วยการต่ำต่อประเทศเล็ก จึงได้ประเทศเล็ก ประเทศเล็กด้วยการต่ำต่อประเทศใหญ่ จึงได้ประเทศใหญ่"

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นแบบ win-win เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้จักถ่อมตน ประเทศใหญ่ที่ถ่อมตนได้ความร่วมมือจากประเทศเล็ก ประเทศเล็กที่ถ่อมตนได้การปกป้องจากประเทศใหญ่ การถ่อมตนไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด

"ดังนั้นบ้างต่ำเพื่อได้ บ้างต่ำและได้ ประเทศใหญ่ไม่เกินต้องการรวมและเลี้ยงคน ประเทศเล็กไม่เกินต้องการเข้าไปรับใช้คน เพื่อให้ทั้งสองได้สิ่งที่ต้องการ ผู้ใหญ่ควรอยู่ต่ำ"

ประเทศใหญ่ต้องการขยายอิทธิพลและดูแลประชาชนมากขึ้น ประเทศเล็กต้องการความมั่นคงและโอกาสในการพัฒนา เมื่อประเทศใหญ่ยอมถ่อมตน ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน นี่คือการทูตแบบเต๋า - ชนะด้วยความอ่อนโยน ไม่ใช่ความแข็งกร้าว

 

บทที่ 62: เต๋าคือขุมทรัพย์ของทุกคน

"เต๋าเป็นสิ่งลึกลับของหมื่นสิ่ง เป็นสมบัติของคนดี เป็นที่พึ่งของคนไม่ดี"

"Ao" (สิ่งลึกลับ) แสดงถึงความลึกซึ้งที่ไม่อาจหยั่งถึง เต๋าเป็นขุมทรัพย์ (Bao) สำหรับคนดี เพราะช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง และเป็นที่พึ่ง (Bao) สำหรับคนไม่ดี เพราะเปิดโอกาสให้กลับตัวได้เสมอ

"คำสวยหรูสามารถซื้อขายเกียรติยศ การกระทำงามสามารถเพิ่มคนให้ คนไม่ดี ทำไมจึงทอดทิ้ง?"

คำพูดสวยหรูและการกระทำที่ดูดีอาจซื้อชื่อเสียงได้ชั่วคราว แต่เต๋าให้สิ่งที่ลึกซึ้งกว่า - การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง แม้แต่คนไม่ดีก็ไม่ควรถูกทอดทิ้ง เพราะทุกคนมีศักยภาพที่จะกลับมาหาเต๋า

"ดังนั้นตั้งจักรพรรดิ แต่งตั้งสามกง แม้มีหยกใหญ่ถือหน้า ตามด้วยม้าสี่ตัว ไม่ดีเท่านั่งและถวายเต๋านี้"

แม้ในพิธีการที่ยิ่งใหญ่ การถวายหยกและม้า (ของมีค่าที่สุดในสมัยนั้น) ก็ไม่มีค่าเท่าการถวายเต๋า เพราะเต๋าให้สิ่งที่ทรัพย์สมบัติให้ไม่ได้ - ความสงบ ปัญญา และหนทางที่ถูกต้องในชีวิต

"ทำไมคนโบราณจึงให้ค่าเต๋านี้? ไม่ใช่พูดว่า: ด้วยมันผู้แสวงหาจะได้พบ ผู้มีบาปจะได้รับการอภัย หรือ? ดังนั้นจึงเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดใต้หล้า"

เต๋าประเสริฐที่สุดเพราะเปิดกว้างสำหรับทุกคน ผู้แสวงหาจะพบสิ่งที่ต้องการ ผู้ทำผิดจะได้โอกาสเริ่มใหม่ ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการกีดกัน นี่คือความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของเต๋า

 

บทที่ 63: เริ่มจากเล็กสู่ใหญ่

"ทำการไม่ทำ จัดการการไม่จัดการ ลิ้มรสไร้รส ทำใหญ่เป็นเล็ก มากเป็นน้อย ตอบแค้นด้วยคุณธรรม"

"Wei Wu Wei" (ทำการไม่ทำ) คือการกระทำที่ไม่ฝืนธรรมชาติ "Shi Wu Shi" (จัดการการไม่จัดการ) คือการดูแลโดยไม่ควบคุม "Wei Wu Wei" (ลิ้มรสไร้รส) คือการพบความพึงพอใจในความเรียบง่าย การมองสิ่งใหญ่ให้เป็นเล็ก สิ่งมากให้เป็นน้อย ทำให้ไม่ท้อถอย และการตอบความแค้นด้วย Te (คุณธรรม) คือการตัดวงจรแห่งการแก้แค้น

"วางแผนยากในขณะที่ยังง่าย ทำใหญ่ในขณะที่ยังเล็ก เรื่องยากในใต้หล้าต้องทำจากง่าย เรื่องใหญ่ในใต้หล้าต้องทำจากเล็ก"

นี่คือหลักการของการเริ่มต้นที่ถูกต้อง ปัญหาใหญ่ทุกอย่างเริ่มจากปัญหาเล็ก ความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกอย่างเริ่มจากก้าวเล็กๆ การมองเห็นจุดเริ่มต้นและลงมือตั้งแต่ยังจัดการได้ง่ายคือปัญญา

"ดังนั้น Sage ตลอดไปไม่ทำใหญ่ จึงสามารถสำเร็จความยิ่งใหญ่ของเขา ผู้รับปากง่ายต้องมีความเชื่อถือน้อย ผู้เห็นง่ายมากต้องมีความยากมาก"

Sage ไม่พยายามทำสิ่งยิ่งใหญ่โดยตรง แต่ทำสิ่งเล็กๆ อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นความยิ่งใหญ่ ผู้ที่รับปากง่ายมักทำไม่ได้ตามที่สัญญา ผู้ที่มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายมักพบความยากที่ไม่คาดคิด

"ดังนั้น Sage ยังเห็นเป็นยาก จึงตลอดไปไม่มีความยาก"

เพราะ Sage เห็นความยากในทุกสิ่ง จึงเตรียมพร้อม ระมัดระวัง ไม่ประมาท ผลคือไม่พบความยากที่แก้ไม่ได้ นี่คือ "Yi Nan" (เห็นยาก) ที่นำไปสู่ "Wu Nan" (ไม่มียาก)

 

บทที่ 64: แก้ปัญหาก่อนเกิด

"สิ่งที่นิ่งง่ายรักษา สิ่งที่ยังไม่มีเค้าง่ายวางแผน สิ่งที่เปราะง่ายหลอมละลาย สิ่งที่เล็กง่ายกระจาย ทำมันเมื่อยังไม่มี ปกครองมันเมื่อยังไม่วุ่น"

การจัดการเชิงป้องกันเป็นหัวใจของบทนี้ สิ่งที่นิ่งยังไม่เคลื่อนไหวจึงควบคุมได้ง่าย สิ่งที่ยังไม่แสดงอาการจึงวางแผนรับมือได้ง่าย สิ่งที่ยังเปราะบางจึงเปลี่ยนแปลงได้ง่าย สิ่งที่ยังเล็กจึงจัดการได้ง่าย

"ต้นไม้ที่กอดได้ เกิดจากหน่อเล็กเท่าเส้นขน หอคอยเก้าชั้น ก่อจากกองดิน การเดินทางพันลี้ เริ่มจากใต้เท้า"

ทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ การมองเห็นศักยภาพในสิ่งเล็กและความสำคัญของการเริ่มต้นคือปัญญา ต้นไม้ใหญ่เริ่มจากเมล็ด อาคารสูงเริ่มจากฐานราก การเดินทางไกลเริ่มจากก้าวแรก

"ผู้ทำจะพลาด ผู้ยึดจะเสีย ดังนั้น Sage ไม่ทำจึงไม่พลาด ไม่ยึดจึงไม่เสีย"

การทำที่ฝืนธรรมชาติ (Wei) มักนำไปสู่ความล้มเหลว การยึดติด (Zhi) มักนำไปสู่การสูญเสีย Sage ปฏิบัติตาม Wu Wei จึงไม่ผิดพลาด ไม่ยึดติดจึงไม่สูญเสีย

"คนมักพลาดกิจการเมื่อใกล้สำเร็จ ระวังตอนท้ายเท่าตอนต้น จึงไม่พลาดกิจ"

ความล้มเหลวมักเกิดในช่วงท้าย เมื่อคนเริ่มประมาท คิดว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม การรักษาความระมัดระวังตลอดทาง ไม่ลดความตั้งใจเมื่อใกล้เป้าหมาย คือกุญแจสู่ความสำเร็จ

"ดังนั้น Sage ปรารถนาไม่ปรารถนา ไม่ให้ค่าของที่หายาก เรียนไม่เรียน กลับสิ่งที่คนผ่านพ้น เพื่อช่วยสรรพสิ่งตามธรรมชาติ และไม่กล้าทำ"

Sage ปรารถนาสิ่งที่คนอื่นไม่ปรารถนา - ความเรียบง่าย ความสงบ ความพอเพียง ไม่ให้ค่าของหายากที่คนแย่งกัน เรียนรู้สิ่งที่คนไม่เรียน - การปล่อยวาง การไม่ทำ ช่วยให้สรรพสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่แทรกแซง

 

บทที่ 65: อันตรายของความรู้ผิดประเภท

"ผู้ปฏิบัติเต๋าโบราณอย่างดี ไม่ใช่เพื่อให้ประชาชนรู้แจ้ง แต่จะทำให้พวกเขาไม่รู้ ประชาชนยากปกครอง เพราะรู้มากเกิน"

"ไม่รู้" (Yu) ที่เหล่าจื๊อพูดถึงไม่ใช่ความโง่เขลา แต่เป็นการไม่มีความรู้แบบเจ้าเล่ห์ที่ใช้เอาเปรียบผู้อื่น เป็นการคงความเรียบง่ายซื่อตรง ไม่คิดคดโกง ประชาชนที่ "รู้มากเกิน" คือรู้วิธีหลอกลวง รู้วิธีหลบเลี่ยงกฎหมาย รู้วิธีเอารัดเอาเปรียบ

"ใช้ความรู้แจ้งปกครองประเทศ เป็นโจรของประเทศ ไม่ใช้ความรู้แจ้งปกครองประเทศ เป็นพรของประเทศ รู้ทั้งสองนี้ก็เป็นแบบอย่าง รู้จักแบบอย่างเสมอ เรียกว่า Xuan De"

การปกครองด้วย "Zhi" (ความรู้แจ้ง) ที่เน้นเล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์ การแข่งขัน จะทำลายความไว้วางใจและความสามัคคีของสังคม การปกครองโดยไม่ใช้ความรู้แบบนี้ แต่ใช้ความจริงใจ ความเรียบง่าย จะสร้างสังคมที่เป็นสุข

"Xuan De ลึกเอ๋ย ไกลเอ๋ย! กับสรรพสิ่งกลับตรงข้าม แล้วจึงถึงการคล้อยตามอันยิ่งใหญ่"

Xuan De (คุณธรรมลึกลับ) ดูเหมือนขัดกับสามัญสำนึก ขัดกับสิ่งที่โลกยกย่อง แต่ในที่สุดจะนำไปสู่ "Da Shun" (การคล้อยตามอันยิ่งใหญ่) – ความกลมกลืนสมบูรณ์กับธรรมชาติ

 

บทที่ 66: ผู้นำที่อยู่ต่ำ

"แม่น้ำและทะเลสามารถเป็นกษัตริย์ของลำธารร้อยสาย เพราะเก่งอยู่ต่ำกว่าพวกมัน ดังนั้นสามารถเป็นกษัตริย์ของลำธารร้อยสาย"

ภาพของแม่น้ำและทะเลที่รับน้ำจากทุกลำธารเพราะอยู่ต่ำเป็นบทเรียนสำคัญ ความยิ่งใหญ่ไม่ได้มาจากการอยู่สูง แต่มาจากความสามารถในการรองรับ ในการรวบรวม ในการเป็นศูนย์กลางโดยธรรมชาติ

"ดังนั้น Sage ปรารถนาอยู่เหนือประชาชน ต้องใช้คำพูดวางตัวต่ำกว่าพวกเขา ปรารถนาอยู่หน้าประชาชน ต้องใช้ตัววางอยู่หลังพวกเขา"

การเป็นผู้นำที่แท้จริงต้องถ่อมตนในคำพูด ไม่ยโสโอหัง และวางตัวราวกับเป็นผู้ตาม ไม่ใช่ผู้นำ นี่คือ "Yan Xia Zhi" (พูดต่ำตัว) และ "Shen Hou Zhi" (วางตัวอยู่หลัง)

"ดังนั้น Sage อยู่บนแต่ประชาชนไม่รู้สึกหนัก อยู่หน้าแต่ประชาชนไม่รู้สึกถูกขวาง ดังนั้นใต้หล้ายินดีผลักดันและไม่เบื่อหน่าย"

เมื่อผู้นำไม่กดทับประชาชน พวกเขาจะไม่รู้สึกถูกข่มเหง เมื่อผู้นำไม่ขวางทาง พวกเขาจะไม่รู้สึกติดขัด ผลคือประชาชนยินดีสนับสนุนโดยไม่รู้สึกถูกบังคับ

"เพราะไม่แข่งขัน ดังนั้นใต้หล้าไม่มีใครสามารถแข่งขันกับเขา"

"Bu Zheng" (ไม่แข่งขัน) เป็นกุญแจ เมื่อไม่เข้าร่วมการแข่งขัน จึงไม่มีคู่แข่ง เมื่อไม่มีคู่แข่ง จึงไม่มีการแพ้ชนะ เมื่อไม่มีการแพ้ชนะ จึงไม่มีความขัดแย้ง

 

บทที่ 67: สมบัติสามประการ

"ใต้หล้าทั้งหมดบอกว่าเต๋าของข้าใหญ่ ดูเหมือนไม่คล้ายอะไร เพียงเพราะใหญ่ ดังนั้นดูเหมือนไม่คล้ายอะไร ถ้าคล้าย คงเล็กไปนานแล้ว"

เต๋าดูไม่เหมือนอะไรเพราะมันใหญ่เกินกว่าจะเปรียบเทียบ ถ้ามันเหมือนอะไรสักอย่าง แสดงว่ามันมีขอบเขต มีข้อจำกัด ไม่ใช่เต๋าที่แท้จริง

"ข้ามีสมบัติสามอย่าง ถือและรักษาไว้: หนึ่งเรียกว่าเมตตา สองเรียกว่าประหยัด สามเรียกว่าไม่กล้าเป็นต้นในใต้หล้า"

สามสมบัติ (San Bao) ของเหล่าจื๊อ:

  1. Ci (เมตตา) - ความรักความเมตตาที่ไม่เลือกหน้า

  2. Jian (ประหยัด) - การไม่ฟุ่มเฟือย รู้จักพอ

  3. Bu Gan Wei Tian Xia Xian (ไม่กล้าเป็นต้น) - ความถ่อมตน ไม่แย่งเป็นหัวหน้า

"เมตตา ดังนั้นสามารถกล้าหาญ ประหยัด ดังนั้นสามารถกว้างขวาง ไม่กล้าเป็นต้นในใต้หล้า ดังนั้นสามารถเป็นหัวหน้าเครื่องมือที่สำเร็จ"

ความเมตตาให้ความกล้าหาญที่แท้จริง - กล้าที่จะปกป้องสิ่งที่รัก ความประหยัดทำให้มีเหลือแบ่งปัน จึงกว้างขวาง การไม่แย่งเป็นหัวทำให้ได้รับการยอมรับเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ

"ปัจจุบันละทิ้งเมตตาแล้วกล้าหาญ ละทิ้งประหยัดแล้วกว้างขวาง ละทิ้งอยู่หลังแล้วเป็นต้น ตาย!"

การกล้าหาญโดยไม่มีเมตตาเป็นความบ้าบิ่น การกว้างขวางโดยไม่ประหยัดเป็นการฟุ่มเฟือย การเป็นผู้นำโดยไม่ถ่อมตนเป็นการแย่งชิง ทั้งหมดนำไปสู่ความพินาศ

"ผู้ที่มีเมตตา ในการรบชนะ ในการป้องกันมั่นคง ฟ้าจะช่วยเขา ใช้เมตตาปกป้องเขา"

เมตตาเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด ในการรบทำให้ทหารสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่รัก ในการป้องกันทำให้ผู้คนร่วมมือกัน และฟ้าเองก็คุ้มครองผู้ที่มีเมตตา

 

บทที่ 68: ศิลปะแห่งการไม่ต่อสู้

"ผู้เป็นทหารที่ดี ไม่ใช้ความรุนแรง ผู้เก่งในการต่อสู้ ไม่โกรธ ผู้เก่งในการชนะศัตรู ไม่ต่อสู้ ผู้เก่งในการใช้คน อยู่ต่ำกว่า"

ความเก่งที่แท้จริงไม่ต้องแสดงความรุนแรง นักรบที่ดีที่สุดชนะโดยไม่ต้องสู้ ผู้นำที่ดีที่สุดได้ใจคนโดยการถ่อมตน ไม่ใช่การบังคับ

"นี่เรียกว่าคุณธรรมของการไม่แข่งขัน นี่เรียกว่าพลังของการใช้คน นี่เรียกว่าการจับคู่กับฟ้า สุดยอดของโบราณ"

"Bu Zheng Zhi De" (คุณธรรมของการไม่แข่งขัน) เป็นคุณธรรมสูงสุด เพราะไม่สร้างความขัดแย้ง "Yong Ren Zhi Li" (พลังของการใช้คน) มาจากการทำให้คนอยากร่วมมือ ไม่ใช่ถูกบังคับ "Pei Tian" (จับคู่กับฟ้า) คือการสอดคล้องกับธรรมชาติ

 

บทที่ 69: กลยุทธ์การถอย

"ผู้ใช้ทหารมีคำกล่าว: ข้าไม่กล้าเป็นเจ้าภาพ แต่เป็นแขก ไม่กล้าเดินหน้านิ้วหนึ่ง แต่ถอยหลังฟุตหนึ่ง"

ในการทำสงคราม การเป็นฝ่ายรุกราน (เจ้าภาพ) ทำให้เป็นฝ่ายผิด สูญเสียความชอบธรรม การเป็นฝ่ายป้องกัน (แขก) ทำให้ได้เปรียบทางจิตใจ การถอยหลังไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่ไม่จำเป็น

"นี่เรียกว่า: เดินหน้าโดยไม่เดิน พับแขนโดยไม่มีแขน โยนโดยไม่มีศัตรู ถืออาวุธโดยไม่มีอาวุธ"

การต่อสู้ที่ดีที่สุดคือการต่อสู้ที่ไม่เกิดขึ้น การเคลื่อนที่โดยไม่แสดงการเคลื่อนที่ การแสดงกำลังโดยไม่ต้องใช้กำลัง การชนะโดยไม่ต้องสร้างศัตรู

"ไม่มีภัยใหญ่กว่าการดูแคลนศัตรู ดูแคลนศัตรูเกือบเสียสมบัติของข้า ดังนั้นเมื่อกองทัพปะทะกัน ฝ่ายที่เศร้าโศกชนะ"

การดูถูกศัตรูเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุด มันทำให้สูญเสีย "สมบัติ" (San Bao - เมตตา ประหยัด ถ่อมตน) ที่น่าประหลาดคือฝ่ายที่เศร้าโศกกลับชนะ เพราะผู้ที่เศร้ากับการต้องรบย่อมระมัดระวัง มีเมตตา ไม่ประมาท

 

บทที่ 70: เต๋าง่ายแต่คนไม่เข้าใจ

"คำของข้าง่ายมากที่จะเข้าใจ ง่ายมากที่จะปฏิบัติ ใต้หล้าไม่มีใครสามารถเข้าใจ ไม่มีใครสามารถปฏิบัติ"

ความขัดแย้งที่น่าเศร้า - เต๋าเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่คนกลับไม่เข้าใจเพราะมันง่ายเกินไป คนมักคิดว่าความจริงต้องซับซ้อน ต้องลึกลับ จึงมองข้ามความจริงที่เรียบง่ายอยู่ตรงหน้า

"คำมีบรรพบุรุษ การกระทำมีเจ้านาย เพียงเพราะไม่รู้ จึงไม่เข้าใจข้า"

คำสอนของเหล่าจื๊อมีรากฐานในเต๋า การกระทำมีหลักการชัดเจน แต่คนไม่เข้าใจเพราะไม่รู้จักเต๋า จึงไม่เข้าใจผู้ที่ปฏิบัติตามเต๋า

"ผู้รู้ข้าหายาก ผู้เอาแบบข้าประเสริฐ ดังนั้น Sage ใส่ผ้าหยาบแต่อุ้มหยกในอก"

ผู้ที่เข้าใจเต๋าอย่างแท้จริงมีน้อย ผู้ที่สามารถปฏิบัติตามได้ยิ่งหายาก Sage จึงดูธรรมดาภายนอก (ผ้าหยาบ) แต่มีสมบัติล้ำค่าภายใน (หยกในอก) ไม่ต้องอวดให้ใครเห็น

 

บทที่ 71: รู้ว่าไม่รู้

"รู้ไม่รู้ สูงสุด ไม่รู้รู้ ป่วย เพียงเพราะเบื่อหน่ายการป่วย จึงไม่ป่วย Sage ไม่ป่วย เพราะเบื่อหน่ายการป่วย เพราะฉะนั้นจึงไม่ป่วย"

"Zhi Bu Zhi" (รู้ว่าไม่รู้) คือปัญญาสูงสุด - การตระหนักถึงขีดจำกัดของความรู้ตน "Bu Zhi Zhi" (ไม่รู้แต่คิดว่ารู้) คือโรคทางปัญญา - ความหลงผิดว่าตนรู้ทุกอย่าง

การ "เบื่อหน่าย" โรคนี้ คือการตระหนักว่ามันเป็นปัญหา เมื่อเห็นว่าความไม่รู้แต่คิดว่ารู้เป็นปัญหา เราจึงแก้ไขได้ Sage จึงปลอดจากโรคนี้เพราะตระหนักถึงอันตรายของมัน

 

บทที่ 72: เมื่อประชาชนไม่กลัว

"เมื่อประชาชนไม่กลัวอำนาจ แล้วอำนาจใหญ่มาถึง"

เมื่อประชาชนถูกกดขี่จนสิ้นหวัง ไม่มีอะไรจะเสีย พวกเขาจะไม่กลัวอำนาจอีกต่อไป และนั่นคือจุดเริ่มของการปฏิวัติ "อำนาจใหญ่" ที่จะมาถึงอาจเป็นการลุกฮือ หรืออาจเป็นการลงโทษจากฟ้า

"อย่าทำให้ที่อยู่ของพวกเขาคับแคบ อย่าทำให้ชีวิตของพวกเขาถูกกดดัน เพียงเพราะไม่กดดัน จึงจะไม่เบื่อหน่าย"

ผู้ปกครองที่ฉลาดไม่รบกวนชีวิตประชาชนมากเกินไป ไม่ทำให้พื้นที่ส่วนตัวหายไป ไม่ควบคุมทุกแง่มุมของชีวิต เมื่อประชาชนมีพื้นที่หายใจ พวกเขาจะไม่เบื่อหน่ายการปกครอง

"ดังนั้น Sage รู้จักตนเองแต่ไม่เห็นตนเอง รักตนเองแต่ไม่ประเสริฐตนเอง ดังนั้นละทิ้งนั่นเอานี่"

"Zi Zhi" (รู้จักตนเอง) แต่ "Bu Zi Xian" (ไม่แสดงตน) - มีความรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งแต่ไม่อวดอ้าง "Zi Ai" (รักตนเอง) แต่ "Bu Zi Gui" (ไม่ยกตนเอง) - ดูแลตนเองแต่ไม่เห็นว่าตนสำคัญกว่าผู้อื่น

 

บทที่ 73: วิถีของฟ้า

"กล้าหาญในการกล้า จะถูกฆ่า กล้าหาญในการไม่กล้า จะมีชีวิต ในสองสิ่งนี้ อันหนึ่งมีประโยชน์ อันหนึ่งมีโทษ สิ่งที่ฟ้าเกลียด ใครจะรู้เหตุผล?"

"Yong Yu Gan" (กล้าหาญในการกล้า) คือความกล้าแบบบุ่มบ่าม ไม่คิดผลที่ตามมา มักนำไปสู่หายนะ "Yong Yu Bu Gan" (กล้าหาญในการไม่กล้า) คือความกล้าที่จะยับยั้ง ที่จะถอย ที่จะไม่ทำ ซึ่งต้องใช้ความแข็งแกร่งภายในมากกว่า

"ดังนั้นแม้แต่ Sage ก็เห็นว่ายาก"

แม้แต่ปราชญ์ก็ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของฟ้าได้ทั้งหมด บางครั้งคนดีประสบเคราะห์ คนชั่วได้ดี นี่เป็นปริศนาที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์

"เต๋าของฟ้า ไม่แข่งขันแต่เก่งชนะ ไม่พูดแต่เก่งตอบสนอง ไม่เรียกแต่เองมา ใจกว้างแต่เก่งวางแผน"

วิธีการของฟ้าแตกต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง ชนะโดยไม่ต้องแข่ง ตอบโดยไม่ต้องพูด ดึงดูดโดยไม่ต้องเรียก วางแผนอย่างกว้างขวางแต่ไม่รีบร้อน

"ตาข่ายของฟ้า กว้างใหญ่ไพศาล ห่างแต่ไม่พลาด"

"Tian Wang" (ตาข่ายของฟ้า) คือกฎแห่งกรรม แห่งเหตุและผล มันดูเหมือนห่าง หลวม ไม่แน่นหนา แต่ไม่มีอะไรหลุดรอดได้ ทุกการกระทำมีผลตอบสนอง แม้อาจช้าแต่แน่นอน

 

บทที่ 74: อย่าเล่นบทเพชฌฆาต

"ประชาชนไม่กลัวตาย อย่างไรจะขู่พวกเขาด้วยความตาย? หากทำให้ประชาชนกลัวตายตลอดเวลา และผู้ที่ทำสิ่งแปลกประหลาด ข้าจับและฆ่าพวกเขา ใครกล้าทำ?"

การใช้โทษประหารเพื่อข่มขู่ไร้ผลเมื่อประชาชนไม่กลัวตาย และประชาชนจะไม่กลัวตายเมื่อชีวิตแย่กว่าความตาย เมื่อถูกกดขี่จนหมดหวัง เมื่อไม่มีอะไรจะเสีย

"มีผู้ฆ่าใหญ่ที่ฆ่าเสมอ ฆ่าแทนผู้ฆ่าใหญ่ เรียกว่าเล่าแทนช่างไม้ใหญ่ ที่เล่าแทนช่างไม้ใหญ่ หายากที่จะไม่ทำร้ายมือของตน"

"ผู้ฆ่าใหญ่" คือธรรมชาติ กฎแห่งชีวิตและความตาย มนุษย์ที่พยายามเล่นบทเป็นผู้พิพากษาชีวิตมักจะได้รับผลร้ายกลับมา เหมือนคนที่ไม่ใช่ช่างไม้พยายามใช้ขวาน ย่อมบาดมือตนเอง

 

บทที่ 75: ประชาชนหิวเพราะผู้ปกครอง

"ประชาชนหิว เพราะผู้บนกินภาษีอาหารมากเกิน ดังนั้นจึงหิว"

เหล่าจื๊อชี้ตรงไปที่ต้นเหตุ ความหิวโหยของประชาชนไม่ใช่เพราะธรรมชาติ แต่เพราะผู้ปกครองเก็บภาษีมากเกินไป เอาส่วนแบ่งมากจนประชาชนไม่มีพอกิน

"ประชาชนยากปกครอง เพราะผู้บนของพวกเขาชอบทำ ดังนั้นจึงยากปกครอง"

ยิ่งผู้ปกครองพยายามควบคุม ออกกฎเกณฑ์ แทรกแซงมาก ประชาชนยิ่งดื้อรั้น หาทางหลบเลี่ยง ต่อต้าน การปกครองที่ดีคือการไม่รบกวนชีวิตประชาชนโดยไม่จำเป็น

"ประชาชนเบาต่อความตาย เพราะผู้บนหนักในการแสวงหาชีวิต ดังนั้นจึงเบาต่อความตาย"

เมื่อผู้ปกครองโลภ สะสมทรัพย์สมบัติมหาศาล ใช้ชีวิตหรูหรา ประชาชนที่ยากจนจึงมองว่าชีวิตไม่มีคุณค่า ไม่กลัวที่จะเสี่ยงหรือแม้แต่ตาย

"เพียงผู้ที่ไม่กระทำเพื่อชีวิต จึงฉลาดกว่าผู้ที่หนักแน่นในชีวิต"

ผู้ที่ไม่ยึดติดกับชีวิตมากเกินไป ไม่หวาดกลัวความตาย กลับมีชีวิตที่เป็นอิสระและมีความสุขมากกว่าผู้ที่พยายามยึดเกาะชีวิตไว้อย่างแน่นหนา

 

บทที่ 76: อ่อนคือชีวิต แข็งคือตาย

"มนุษย์เมื่อมีชีวิตอ่อนนุ่มและอ่อนโยน เมื่อตายแข็งทื่อและกระด้าง หมื่นสิ่งหญ้าต้นไม้เมื่อมีชีวิตอ่อนและเปราะ เมื่อตายแห้งและกรอบ"

นี่คือการสังเกตธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง สิ่งมีชีวิตมีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ เคลื่อนไหวได้ สิ่งที่ตายแล้วแข็งทื่อ ไม่เปลี่ยนแปลง นิ่งสนิท

"ดังนั้นแข็งกระด้างคือสหายของความตาย อ่อนนุ่มคือสหายของชีวิต"

ความแข็งกระด้างไม่ใช่แค่ทางกายภาพ แต่รวมถึงความคิด ทัศนคติ วิธีการ ยิ่งยึดติดตายตัว ยิ่งไม่ยืดหยุ่น ยิ่งใกล้ความตาย ความอ่อนโยนที่ปรับตัวได้คือสัญญาณของชีวิต

"ดังนั้นกองทัพที่แข็งแกร่งจะไม่ชนะ ต้นไม้ที่แข็งจะถูกโค่น แข็งแกร่งและใหญ่อยู่ข้างล่าง อ่อนนุ่มและอ่อนโยนอยู่ข้างบน"

กองทัพที่แข็งแกร่งเกินไปมักประมาท ไม่ยืดหยุ่น จึงพ่ายแพ้ ต้นไม้ที่แข็งเกินไปหักง่ายในพายุ ต้นหญ้าอ่อนกลับรอด สิ่งที่อ่อนโยนอยู่รอดได้นานกว่าสิ่งที่แข็งกระด้าง

 

บทที่ 77: ธนูของฟ้า

"เต๋าของฟ้าเหมือนกับการยิงธนูหรือไม่? สูงเกินไปก็กดลง ต่ำเกินไปก็ยกขึ้น มากเกินไปก็ลด ไม่พอก็เพิ่ม"

การยิงธนูต้องการความสมดุล สายธนูต้องตึงพอดี ไม่หย่อนหรือตึงเกิน เต๋าของฟ้าทำงานแบบเดียวกัน - สร้างสมดุลโดยการปรับสิ่งที่เกินและเติมสิ่งที่ขาด

"เต๋าของฟ้าลดส่วนเกินและเติมส่วนที่ไม่พอ เต๋าของมนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น ลดของผู้ที่ไม่พอเพื่อถวายผู้ที่มีเกิน"

ธรรมชาติสร้างสมดุล - ฝนตกในที่แห้ง น้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ แต่มนุษย์กลับทำตรงข้าม - เอาจากคนจนให้คนรวย เอาจากผู้อ่อนแอให้ผู้แข็งแกร่ง

"ใครสามารถมีเหลือเฟือแล้วถวายให้ใต้หล้า? เฉพาะผู้ที่มีเต๋า"

ผู้ที่มีเต๋าเลียนแบบฟ้า แบ่งปันสิ่งที่มีเหลือ ไม่สะสมไว้เพื่อตัวเอง นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ที่เดินตามธรรมชาติกับผู้ที่ต่อต้านธรรมชาติ

"ดังนั้น Sage ทำแต่ไม่อาศัย สำเร็จผลงานแต่ไม่อยู่ ไม่ปรารถนาแสดงความดีเลิศ"

Sage ทำความดีแต่ไม่เอาเครดิต สร้างแต่ไม่ยึดครอง สำเร็จแต่ไม่หยุดนิ่งเพื่ออวด ทำต่อไปอย่างเงียบๆ เหมือนฟ้าที่ให้ฝนโดยไม่ต้องการคำขอบคุณ

 

บทที่ 78: น้ำชนะหิน

"ในใต้หล้าไม่มีสิ่งใดอ่อนโยนกว่าน้ำ แต่สำหรับการโจมตีสิ่งแข็งและแกร่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะมันได้ เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่มัน"

น้ำเป็นตัวอย่างสูงสุดของหลักการเต๋า อ่อนนุ่มที่สุดแต่ทรงพลังที่สุด ไม่มีรูปร่างตายตัวจึงเข้ากับทุกสถานการณ์ อดทนจนกัดเซาะหินได้ ถ่อมตัวจนทุกสิ่งต้องพึ่งพา

"อ่อนชนะแข็ง นุ่มชนะกระด้าง ใต้หล้าไม่มีใครไม่รู้ ไม่มีใครสามารถปฏิบัติ"

ทุกคนรู้หลักการนี้ แต่น้อยคนที่ทำตาม เพราะมันขัดกับสัญชาตญาณที่ต้องการเป็นผู้แข็งแกร่ง ต้องการชนะด้วยกำลัง การยอมอ่อนต้องใช้ความกล้าและปัญญาที่ลึกซึ้ง

"ดังนั้น Sage กล่าวว่า: ผู้รับความสกปรกของประเทศ เรียกว่าเจ้าของไร่นา ผู้รับความโชคร้ายของประเทศ เป็นกษัตริย์ของใต้หล้า"

ผู้นำที่แท้จริงรับผิดชอบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ไม่โยนความผิดให้ผู้อื่น แบกรับความทุกข์ของประชาชน ไม่แยกตัวเมื่อเกิดปัญหา

"คำตรงดูเหมือนคำกลับกัน"

ความจริงมักฟังดูขัดแย้ง - ผู้นำที่ดีต้องรับใช้ ผู้แข็งแกร่งต้องอ่อนโยน ผู้ฉลาดต้องดูโง่ นี่คือธรรมชาติของเต๋าที่อยู่เหนือตรรกะทั่วไป

 

บทที่ 79: การให้อภัยที่แท้จริง

"ในการไกล่เกลี่ยความแค้นใหญ่ ย่อมมีความแค้นเหลืออยู่ จะถือว่าดีได้อย่างไร?"

การแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการเจรจาหรือข้อตกลงมักไม่ขจัดความแค้นได้หมด ยังมีความขุ่นข้องหลงเหลือ รอวันที่จะปะทุขึ้นใหม่

"ดังนั้น Sage ถือสัญญาด้านซ้าย แต่ไม่ตำหนิผู้คน ผู้มี Te จัดการสัญญา ผู้ไม่มี Te จัดการการเก็บภาษี"

ในสมัยโบราณ สัญญาแบ่งเป็นสองส่วน ผู้ให้กู้ถือซ้าย ผู้กู้ถือขวา Sage ถือส่วนของตนแต่ไม่บังคับเก็บหนี้ ไม่กดดันลูกหนี้ นี่คือการให้อภัยที่แท้จริง - ไม่ใช่แค่ยกหนี้ แต่ไม่ถือโกรธโทษ

"เต๋าของฟ้าไม่มีการเข้าข้าง แต่เสมอกับคนดี"

ฟ้าไม่ลำเอียง แต่คนดีมักได้ดีเพราะการกระทำของพวกเขาสอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะฟ้าเลือกข้าง แต่เพราะพวกเขาเดินตามกระแสของเต๋า

 

บทที่ 80: อุดมคติของสังคมเรียบง่าย

"ประเทศเล็ก ประชาชนน้อย ให้พวกเขามีเครื่องมือสิบเท่าร้อยเท่าแต่ไม่ใช้ ให้ประชาชนเห็นความตายเป็นเรื่องหนักและไม่ไปไกล"

เหล่าจื๊อวาดภาพสังคมในอุดมคติ - ขนาดเล็กพอที่จะปกครองได้อย่างใกล้ชิด มีเทคโนโลยีแต่ไม่พึ่งพามากเกินไป ผู้คนพอใจกับสิ่งที่มีจึงไม่ต้องเสี่ยงภัยไปแสวงหาที่อื่น

"แม้มีเรือและรถม้า ไม่มีที่ไหนให้ขี่พวกมัน แม้มีเกราะและอาวุธ ไม่มีที่ไหนให้แสดงพวกมัน ให้ประชาชนกลับไปใช้เชือกผูกปม"

ไม่ใช่การปฏิเสธความก้าวหน้า แต่เป็นการไม่ให้เทคโนโลยีครอบงำชีวิต กลับไปใช้วิธีเรียบง่ายที่พอเพียง ไม่ซับซ้อนจนลืมแก่นของชีวิต

"ทำให้อาหารของพวกเขาหวาน เสื้อผ้าของพวกเขางาม ที่อยู่ของพวกเขาสงบ ประเพณีของพวกเขาสนุกสนาน"

ความสุขที่แท้จริงมาจากการพึงพอใจในสิ่งเรียบง่าย - อาหารที่อร่อยในรสชาติธรรมดา เสื้อผ้าที่สวยในความเรียบง่าย บ้านที่สงบสบาย วัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา

"ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในระยะมองเห็น เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าได้ยินถึงกัน แต่ประชาชนแก่จนตาย โดยไม่เคยไปมาหาสู่กัน"

ไม่ใช่การแยกตัวหรือเกลียดกัน แต่เป็นความพอเพียงที่ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขที่อื่น มีทุกอย่างที่ต้องการอยู่แล้วในชุมชนของตน ไม่อิจฉาหรืออยากได้สิ่งที่เพื่อนบ้านมี

 

บทที่ 81: บทสรุปแห่งเต๋า

"คำจริงไม่งาม คำงามไม่จริง คนดีไม่โต้แย้ง คนโต้แย้งไม่ดี คนรู้ไม่เรียนกว้าง คนเรียนกว้างไม่รู้"

บทสุดท้ายสรุปความขัดแย้งระหว่างความจริงกับความงาม ระหว่างคุณธรรมกับการโต้เถียง ระหว่างปัญญาแท้กับความรู้แบบสะสม ความจริงมักไม่ไพเราะ คำไพเราะมักไม่จริง คนดีไม่ต้องพิสูจน์ตัวเอง คนที่ชอบโต้เถียงมักไม่มีคุณธรรมแท้

"Sage ไม่สะสม ยิ่งทำเพื่อผู้อื่น ยิ่งมีสำหรับตัวเอง ยิ่งให้ผู้อื่น ยิ่งมีมากขึ้นเอง"

นี่คือหลักการที่ขัดกับตรรกะทั่วไป - ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งทำเพื่อผู้อื่นยิ่งมีเพิ่ม Sage ไม่สะสมเพราะเข้าใจว่าการแบ่งปันคือการเพิ่มพูน การกักตุนคือการสูญเสีย

"เต๋าของฟ้า ให้ประโยชน์และไม่ทำอันตราย เต๋าของ Sage ทำและไม่แข่งขัน"

ประโยคปิดท้ายสรุปหลักการสองประการ:

  1. เต๋าของฟ้า - ให้ประโยชน์เสมอ ไม่ทำร้ายใคร แสงอาทิตย์ส่องให้ทุกคน ฝนตกให้ทุกแห่ง

  2. เต๋าของ Sage - ทำหน้าที่ของตนโดยไม่แข่งขัน ไม่เปรียบเทียบ ไม่อวด

นี่คือบทสรุปของการใช้ชีวิตตามเต๋า - ทำประโยชน์โดยไม่ทำร้าย กระทำโดยไม่แข่งขัน ให้โดยไม่หวังตอบแทน นี่คือหนทางสู่ชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติและเต็มไปด้วยความสงบสุขที่แท้จริง

 

==============================

 

ทางที่เห็น มิใช่ทาง
ทางที่ไม่เห็น กลับพาเราไป

อ่อนดุจน้ำ แต่กลืนภูผา
ว่างเปล่าดุจหุบเขา แต่โอบโลกทั้งมวล
ผู้ถ่อมตน อยู่ต่ำกว่า
กลับเป็นที่รวมสายน้ำทุกสายธาร

อยากยิ่งใหญ่ จงเล็กน้อย
อยากแข็งแรง จงอ่อนโยน
อยากมั่งคั่ง จงรู้จักพอ
อยากมั่นใจ จงรู้ว่าตนไม่รู้
อยากมั่นคง จงไม่ยึดถือ

อยากยืนยาว จงอยู่เรียบง่าย
อยากสงบ จงไม่ดิ้นรน
อยากเข้าใจโลก จงหันเข้าใจตน
อยากรู้จักฟ้า จงเรียนรู้จากน้ำ
อยากเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
จงลืมว่าตนแยกออกจากจักรวาล

เต๋าไม่เคยพูด แต่ทุกสิ่งเอ่ยนามแทนมัน
เต๋าไม่เคยทำ แต่ทุกสิ่งสำเร็จเพราะมัน

บทเพลงที่ไม่ถูกร้อง กลับดังก้องนิรันดร์
ถ้อยคำที่ไม่เอื้อนเอ่ย กลับเป็นถ้อยคำแท้
เต๋าเดินไปเงียบงัน
แต่โลกทั้งมวล เดินตาม

.

.

.

.

#SuccessStrategies

 

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ The Open Society and Its Enemies เขียนโดย Karl Popper