The Will to Power ปรัชญาว่าด้วยเจตจำนงแห่งอำนาจ เขียนโดย Friedrich Nietzsche
หากจะมีนักคิดคนหนึ่งที่กล้าประกาศสงครามต่อทุกสิ่งที่มนุษย์ศรัทธามาตลอดสองพันปี คนนั้นคือ Friedrich Nietzsche ชายผู้เขียนด้วยเลือดของตัวเองแทนน้ำหมึก และหัวเราะต่อหน้าทั้งพระเจ้า นักปรัชญา และนักบวชในยุคเดียวกัน
.
ในยุโรปศตวรรษที่ 19 โลกเหมือนยืนอยู่ระหว่างการเปลี่ยนศาสนาจาก “พระเจ้า” สู่ “เหตุผล”
.
ศีลธรรมแบบคริสต์เริ่มเสื่อมถอยจากอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ ส่วนวิทยาศาสตร์เองก็เริ่มกลายเป็น “เทววิทยาใหม่” ที่เชื่อว่าเพียงมีข้อมูลเพียงพอ มนุษย์จะเข้าใจจักรวาลทั้งหมดได้ แต่ Nietzsche กลับหัวเราะเยาะความมั่นใจนั้น และกล่าวว่า “แม้แต่ความรู้ก็เป็นเพียงหน้ากากของเจตจำนง”
.
“Behind all logic and reason, there stands the will to power.”
.
สำหรับเขา ทั้งศีลธรรมและความรู้ล้วนมีรากเดียวกัน ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่คุณธรรม แต่คือ “เจตจำนงแห่งอำนาจ” (der Wille zur Macht) ที่ซ่อนตัวอยู่หลังทุกการประเมินค่า มนุษย์สร้างระบบศีลธรรมขึ้นมาเพื่อควบคุมตนเองและผู้อื่น และสร้างระบบความรู้ขึ้นมาเพื่อทำให้ความกลัวต่อความไม่รู้ดูมีเหตุผล
.
แต่ในแก่นแท้ ทั้งสองสิ่งนี้คือ “การต่อสู้เพื่ออำนาจในรูปแบบที่ประณีตกว่าเดิม”
.
#ศีลธรรมคือสิ่งประดิษฐ์ของผู้แพ้
.
Nietzsche เห็นว่าศีลธรรมของโลกตะวันตกเป็นผลผลิตของ “จิตใจทาส” (Slave Morality)
.
มันไม่ได้เกิดจากความรักต่อมนุษย์ แต่เกิดจากความเกลียดชังที่คนอ่อนแอมีต่อคนแข็งแรง
.
เมื่อพวกเขาไม่อาจต่อสู้ได้ด้วยพลัง จึงสร้างระบบคุณค่าที่กลับด้านโลกแห่งความจริง
.
เปลี่ยนความอ่อนแอให้กลายเป็นคุณธรรม, เปลี่ยนความจนให้กลายเป็นความบริสุทธิ์, เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นบุญกุศล
.
“The weak have invented morality to make the strong feel guilty.”
.
ในสายตา Nietzsche ศีลธรรมคือการประดิษฐ์อันชาญฉลาดที่สุดของผู้แพ้ เพราะมันทำให้พวกเขาปกครองโลกได้โดยคำสวดและน้ำตาเป็นอาวุธ แทนเหล็กและไฟ
.
#ความรู้คือศาสนาใหม่ของคนที่ฆ่าพระเจ้า
.
นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญายุคใหม่ไม่ได้ต่างจากนักบวชในอดีต พวกเขาเพียงเปลี่ยนเครื่องแบบเท่านั้น
.
จากไม้กางเขนกลายเป็นสมการ จากคำภาวนาเป็นทฤษฎี แต่หัวใจของพวกเขายังคงเหมือนเดิม ความกลัวต่อความไม่แน่นอน
.
“They think they have killed God, but they have merely changed His name to Truth.”
.
วิทยาศาสตร์ที่อ้างว่าเป็นกลางแท้จริงแล้วก็มี “ศรัทธา” ในแบบของมันเอง ศรัทธาในเหตุผล ศรัทธาในข้อมูล ศรัทธาในสิ่งที่วัดได้
.
แต่นั่นคือศรัทธาที่ปฏิเสธชีวิต เพราะมันพยายามแช่แข็งโลกให้อยู่ในสูตรคณิตศาสตร์ ทั้งที่ชีวิตคือการเคลื่อนไหวที่ไม่มีสูตรใดอธิบายได้หมด
.
Nietzsche วิจารณ์ว่า ความรู้แบบนี้คือ “นิพพานของความคิด” เมื่อมนุษย์ยกเหตุผลขึ้นเป็นพระเจ้าใหม่ มันก็ทำลายพลังสร้างสรรค์ของตนเอง
.
“Every philosophy is the confession of its creator.”
.
ปรัชญา ศีลธรรม และความรู้ทั้งหมดไม่ใช่การค้นพบความจริง แต่คือการสารภาพของมนุษย์ต่อความกลัวของตน
.
ศาสนาคือความกลัวต่อชีวิตหลังความตาย
.
ศีลธรรมคือความกลัวต่อความปรารถนา
.
วิทยาศาสตร์คือความกลัวต่อความไม่แน่นอน
.
และแม้แต่ความจริงก็เป็นเพียง “เครื่องมือของการอยู่รอด” ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้จิตใจแตกสลายท่ามกลางความโกลาหลของจักรวาล
.
Friedrich Nietzsche เรียกสิ่งนี้ว่า “Genealogy of Morals” การลอกหน้ากากของคุณค่าเพื่อดูว่าภายใต้คำว่า “ดีงาม” นั้น แท้จริงคือเจตจำนงแบบใดกำลังแอบซ่อนอยู่
.
และนี่คือจุดเริ่มต้นของ The Will to Power
.
.
===========================
.
1. European Nihilism
.
Nietzsche เริ่มด้วยการปฏิเสธคำอธิบายแบบทั่วไปที่ว่า “Nihilism เกิดจากความเสื่อมโทรมของสังคมหรือความอ่อนแอของร่างกาย” เขาแย้งว่าแท้จริงแล้วมันเกิดจากความซื่อสัตย์ของมนุษย์ที่พัฒนาโดยศีลธรรมคริสเตียนนั่นเอง เพราะเมื่อศีลธรรมสอนให้รักความจริงอย่างไม่มีเงื่อนไข ในที่สุดความจริงนั้นก็เปิดเผยว่าฐานรากของความเชื่อทั้งหลายเป็นเท็จ. เมื่อมนุษย์ถามถึง “เหตุใด?” ของการมีอยู่ และพบว่าไม่มีคำตอบที่มั่นคงอีกต่อไป ความหมายของชีวิตก็หายไป และนั่นคือภาวะ Nihilism สภาพที่ “เป้าหมายหายไป และคำว่า ‘ทำไม’ ไม่มีคำตอบ”
.
การเสื่อมของคริสต์ศาสนาในสายตา Nietzsche จึงมิใช่ชัยชนะของความชั่วร้าย หากเป็นผลของตรรกะภายในของมันเอง. เมื่อความซื่อสัตย์ต่อ “พระเจ้าแห่งความจริง” เจริญถึงที่สุด มันกลายเป็นความซื่อสัตย์ต่อความจริงที่ไม่มีพระเจ้า. เมื่อมนุษย์เรียนรู้ที่จะพิสูจน์ทุกอย่างด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง เขาก็ทำลายศรัทธาของตน “ความจริงของพระเจ้ากลายเป็นเหตุให้พระเจ้าถูกปฏิเสธ”
.
.
2. จุดจบของความหมายสูงสุด
.
ภาวะ nihilism จึงไม่ใช่การสิ้นหวังชั่วคราว แต่เป็นการล่มสลายของ “โครงสร้างคุณค่าทั้งหมด” ที่อารยธรรมตะวันตกสร้างขึ้นตลอดสองพันปี เมื่อความจริงกลายเป็นสิ่งที่ฆ่าศรัทธา, เมื่อศีลธรรมทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของตน, และเมื่อวิทยาศาสตร์ทำลายจุดศูนย์กลางของจักรวาลที่มนุษย์เคยเชื่อว่าตนอยู่ โลกก็ไม่มีศูนย์รวมอีกต่อไป
.
Nietzsche อธิบายอย่างคมชัดว่า ตั้งแต่ยุคโคเปอร์นิคัส มนุษย์ “ได้กลิ้งออกจากศูนย์ไปสู่ X” เขาไม่ได้หมายถึงแค่ทางดาราศาสตร์ แต่หมายถึงการสูญเสีย “ศูนย์ทางจิตวิญญาณ.” โลกไม่หมุนรอบมนุษย์อีกต่อไป มนุษย์จึงเริ่มกลายเป็น “สัตว์ที่หลงทางในเอกภพ”
.
และเมื่อมนุษย์ตระหนักว่าทั้งโลกนี้ไม่มีเป้าหมายสูงสุด ไม่มี “ความจริงแท้” หรือ “ความดีสากล,” ทุกสิ่งที่เคยให้ความหมายแก่ชีวิตก็กลายเป็นคำโกหกที่ไม่อาจเชื่อได้อีก สิ่งที่ Nietzsche เรียกว่า “The Devaluation of the Highest Values.”
.
.
3. โศกนาฏกรรมของศีลธรรม
.
ศีลธรรมเคยเป็น “ยารักษา” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ มันให้มนุษย์รู้สึกว่าตนมีคุณค่า มีเป้าหมาย และมีความหมายในจักรวาล แต่ในขณะเดียวกัน มันได้ปลูกฝังนิสัยในการประณามโลกนี้ว่า “ไม่ดีพอ” โลกนี้เป็นเพียงเงา เป็นเพียงเวทีชั่วคราวที่ต้องอดทนเพื่อไปยังโลกที่ดีกว่า. เมื่อวันหนึ่งโลกที่ดีกว่านั้นถูกมองว่าเป็นเพียงนิยาย สิ่งที่เหลือคือความเกลียดชังต่อโลกจริง และนั่นคือ Nihilism
.
Nietzsche เขียนว่า “ในขณะที่เรายังเชื่อในศีลธรรม เราก็ได้ตัดสินประหารชีวิตการมีอยู่ของเราเอง” ศีลธรรมไม่เพียงตัดสินโลกภายนอก แต่ยังหันศรเข้าหามนุษย์ผู้สร้างมัน ความดีจึงกลายเป็นศัตรูของชีวิตจริง เพราะมันเรียกร้องให้เราปฏิเสธสัญชาตญาณ ความปรารถนา และความหลากหลายที่แท้ของชีวิต
.
.
4. สี่ลักษณะของ Nihilism
.
Nietzsche จำแนก Nihilism ออกเป็นหลายระดับ
.
“Theological Nihilism” การล่มสลายของความเชื่อในพระเจ้าผู้ให้ความหมายสูงสุดแก่ทุกสิ่ง เมื่อพระเจ้าตาย คุณค่าทั้งหมดที่เคยอิงกับพระเจ้าก็สูญสลาย
.
“Moral Nihilism” เมื่อศีลธรรมที่เคยปกป้องมนุษย์จากความว่างเปล่ากลับถูกทำลายโดยตรรกะของตนเอง มนุษย์จึงรู้สึกว่า “ทุกสิ่งไร้ความหมาย”
.
“Scientific Nihilism” วิทยาศาสตร์ที่แสวงหาความจริงโดยไม่คำนึงถึงคุณค่า ได้เปิดเผยว่าโลกไม่มี “เป้าหมาย,” ไม่มี “เอกภาพ,” และไม่มี “ความจริงแท้” ที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้
.
“Cultural Nihilism” ศิลปะและวัฒนธรรมที่ครั้งหนึ่งเคยยกจิตใจให้สูงขึ้น บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงการตกแต่งความว่างเปล่า. โรแมนติกนิยมและลัทธิศิลปะเพื่อศิลปะ (Art for Art’s Sake) เป็นเพียงการมึนเมาเพื่อหนีจากความจริงว่า “ไม่มีอะไรให้ศรัทธาอีกแล้ว”
.
.
5. Active และ Passive Nihilism
.
Nietzsche แยกความแตกต่างระหว่างสองท่าทีสำคัญของผู้เผชิญหน้ากับความไร้ความหมาย
.
Passive Nihilism คือความอ่อนล้าที่พ่ายแพ้ต่อความว่างเปล่า เช่นพุทธศาสนาในมุมมองของ Nietzsche ที่มองว่าการดับสูญคือการปลดปล่อยสูงสุด มันคือการยอมแพ้ต่อชีวิต เพราะชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์
.
Active Nihilism คือท่าทีของผู้ที่กล้ายอมรับความไร้ความหมาย แต่ใช้มันเป็นพลังในการสร้างใหม่ มันคือการทำลายเพื่อให้เกิดการสร้าง “การทำลายคุณค่าเก่าเพื่อสร้างคุณค่าใหม่”
.
สำหรับ Nietzsche, Active Nihilism คือสัญญาณของพลัง เป็นจุดเริ่มต้นของ “การประเมินคุณค่าใหม่ทั้งหมด” (Revaluation of All Values). การทำลายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นพิธีชำระโลกเก่าเพื่อให้ “ชีวิต” กลับมาเป็นศูนย์กลางของคุณค่าอีกครั้ง
.
.
6. ความสิ้นหวังของยุคสมัย
.
ภาวะ Nihilism ปรากฏในทุกมิติของสังคมยุโรปยุคใหม่ที่ Nietzsche สังเกต
.
“ในศาสนา” พระเจ้าถูกฆ่าโดยวิทยาศาสตร์และเหตุผล
.
“ในศีลธรรม” ความดีถูกตั้งคำถามว่าเป็นเพียงเครื่องมือของฝูงชน
.
“ในการเมือง” ชาติ, ประชาธิปไตย, และสังคมนิยมกลายเป็นเพียงรูปแบบใหม่ของ “ศีลธรรมฝูงชน” ที่พยายามแทนที่ศาสนาด้วยอุดมการณ์
.
“ในศิลปะ” ความยิ่งใหญ่กลายเป็นเพียงความโรแมนติกอันมืดหม่นของผู้หนีโลก
.
Nietzsche มองว่านี่คือสัญญาณของ “ความเสื่อมของพลังสร้างสรรค์” เมื่อมนุษย์ไม่กล้าสร้างค่าใหม่ๆ เขาจะหันไปยึดอดีตและหมกมุ่นกับ “ความเห็นอกเห็นใจ” (pity), ซึ่งเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอของอารยธรรมยุคใหม่
.
“เมื่อผู้คนอ่อนแอ พวกเขาเรียกความอ่อนแอนั้นว่าความดี” ประโยคนี้คือการประกาศสงครามของ Nietzsche ต่อศีลธรรมแห่งความอ่อนโยนที่บูชาความทุกข์ของผู้อื่นแต่ลืมความยิ่งใหญ่ของการมีชีวิต
.
.
7. จุดหมายของ Nietzsche คือการข้ามพ้น Nihilism
.
แม้จะถูกเรียกว่า “นักปรัชญาแห่งความมืด” แต่ Nietzsche ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความสิ้นหวัง เขาเห็น Nihilism เป็น “สะพาน” มากกว่าจะเป็น “เหว” การรู้ว่า “ไม่มีความหมาย” คือการปลดปล่อยมนุษย์จากการหลอกลวงของคุณค่าเก่า และเปิดทางสู่การสร้างคุณค่าใหม่
.
การสิ้นพระเจ้าไม่ใช่โศกนาฏกรรม แต่คือจุดเริ่มต้นของยุคที่มนุษย์ต้องเป็น “ผู้สร้างคุณค่า” ด้วยตนเอง.
.
ดังนั้น สิ่งที่ Nietzsche เรียกว่า “ยุโรปที่กำลังเข้าสู่หายนะ” แท้จริงคือ “ยุโรปที่กำลังกำเนิดตัวตนใหม่.” จากซากปรักของคุณค่าเก่า จะต้องเกิดมนุษย์แบบใหม่ขึ้น ผู้ที่ไม่แสวงหาความจริงจากฟ้า แต่สร้างความหมายจากพลังชีวิตของตนเอง
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด “Will to Power” “เจตจำนงแห่งอำนาจ”
.
.
=================================
.
Critique of the Highest Values Hitherto
.
=================================
.
8. Critique of Religion การสลายตัวของความศักดิ์สิทธิ์
.
Nietzsche เริ่มด้วยคำถามที่ดูเหมือนง่ายแต่ทรงพลังยิ่ง “เราควรค่าแก่ศีลธรรมที่เราเชื่อหรือไม่?” คำถามที่ทำให้เขาต้องหันมีดปรัชญาไปสู่สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของยุโรป นั่นคือ “ศาสนา” และ “ศีลธรรม.” สำหรับเขา ความดีที่เคยเป็นเสาหลักของอารยธรรม กลับกลายเป็นพิษที่ค่อย ๆ ทำลายพลังของชีวิต ความเชื่อในพระเจ้าที่เคยให้ความหมายแก่โลก กลับกลายเป็นเครื่องมือทำให้มนุษย์เกลียดโลกนี้เอง
.
ในเล่มนี้ Nietzsche ทำ “การชำแหละครั้งสุดท้าย” ต่อคุณค่าทั้งหมดที่เคยถูกยกให้สูงสุดในตะวันตก ศาสนา ศีลธรรม และปรัชญา เพื่อเปิดทางให้คุณค่าใหม่ซึ่งตั้งอยู่บน “ชีวิต” ไม่ใช่ “การหนีชีวิต”
.
Nietzsche ไม่ได้โจมตีศาสนาเพราะมัน “ไม่จริง” แต่เพราะมัน “เป็นอันตรายต่อชีวิต.” เขาเห็นว่า ศาสนาคือ “ศิลปะแห่งการให้ความหมายปลอมแก่ความทุกข์” มันให้คำปลอบใจว่าชีวิตนี้ไม่สมบูรณ์ เพื่อบังคับให้เราหันไปแสวงหาความรอดในโลกหน้าแทนที่จะยอมรับโลกนี้อย่างกล้าหาญ
.
ศาสนาในสายตา Nietzsche ไม่ใช่การแสวงหาความจริง แต่เป็น “จิตวิทยาแห่งความอ่อนแอ.” มันถือกำเนิดจากผู้ที่ไม่สามารถรับมือกับความโหดร้ายของชีวิต จึงสร้าง “พระเจ้า” ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ — แต่ในความเป็นจริง มันคือการปฏิเสธความจริงทางชีววิทยาของชีวิต
.
“As long as one has not felt Christian morality to be a crime against life, its defenders have it all their own way.”
.
Nietzsche มองว่าความผิดพลาดของนักคิดยุคก่อนคือการโจมตีศาสนาในฐานะ “เรื่องเท็จ” แทนที่จะถามว่ามัน “มีคุณค่าหรือไม่.” การตั้งคำถามเช่น “พระเจ้ามีจริงหรือไม่” ยังเป็นเรื่องรองลงมา เพราะประเด็นสำคัญคือ ศีลธรรมที่ศาสนานั้นยึดถือ ทำให้มนุษย์แข็งแรงหรืออ่อนแอลง?
.
เขาตอบตรงไปตรงมาว่า มันทำให้มนุษย์อ่อนแอลง
.
Nietzsche เขียนว่าศาสนาเป็น “การล่อลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์.” มันใช้ความงามของศีลธรรมเพื่อชักจูงให้มนุษย์เชื่อว่าความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรักต่อศัตรู และการสละตน คือความดีสูงสุด ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือการทำลายสัญชาตญาณการอยู่รอดของชีวิต
.
“การกลับหัวกลับหางของธรรมชาติ” คือการสอนให้คนเกลียดความเข้มแข็ง ยกย่องความอ่อนแอ และประกาศว่า “ผู้แพ้คือผู้ชนะในสวรรค์”
.
“To erect this ideal was the most sinister temptation ever placed before mankind.”
.
สิ่งที่ Nietzsche ต้องการทำลายจึงไม่ใช่เพียง “พระเจ้า” แต่คือ “อุดมคติของมนุษย์” ที่ศาสนาสร้างขึ้น อุดมคติของ “มนุษย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ที่ยอมจำนนต่อทุกสิ่งและเรียกมันว่าความดี
.
.
9. Critique of Morality การกลับหัวของศีลธรรม
.
เมื่อผ่านพ้นศาสนา Nietzsche หันเข็มมีดไปยัง “ศีลธรรม” ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นผลพวงของจิตวิทยาแบบทาส (Slave Morality) ศีลธรรมแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ที่อ่อนแอไร้อำนาจใช้ “ศีลธรรม” เป็นอาวุธเพื่อควบคุมผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
.
ในยุคกรีกและโรมันเก่า “คุณค่า” หมายถึงพลัง ความงาม ความกล้าหาญ ความสูงส่งของจิตใจ แต่ในยุคคริสต์ “คุณค่า” ถูกกลับด้าน ความอ่อนโยน การอดทน และการยอมจำนนกลายเป็นความดีสูงสุด. Nietzsche เรียกกระบวนการนี้ว่า Umwertung aller Werte “การกลับค่าของคุณค่าทั้งหมด”
.
ศีลธรรมของฝูงชน (herd morality) มีรากจากความอิจฉาและความกลัว มันสอนให้คนไม่โดดเด่น ไม่แข็งแกร่งเกินไป ไม่แตกต่าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะคุกคามฝูง
.
“Morality has developed hitherto at the expense of the rulers and their specific instincts… It is an opposition movement against the efforts of nature to achieve a higher type.”
.
ศีลธรรมจึงไม่ใช่พลังแห่งความดี แต่คือกลไกของ “ความอ่อนแรงที่จัดระเบียบตัวเอง.” มันทำให้มนุษย์สงบเสงี่ยมและเท่ากันในความไร้ค่า
.
.
10. The Good Man and the Saint คนดีและนักบุญ
.
Nietzsche วิพากษ์ “คนดี” และ “นักบุญ” ว่าเป็นภาพลวงตาที่ถูกสร้างโดยศีลธรรมฝูงชน คนดีคือผู้ที่ยอมรับกฎของฝูงโดยไม่มีคำถาม ส่วน “นักบุญ” คือคนที่หลงในความสะอาดของจิตวิญญาณจนปฏิเสธชีวิตจริง
.
ในความเห็นของ Nietzsche คนเหล่านี้คือ “ผู้ละเมิดชีวิตอย่างสุภาพ.” พวกเขาปฏิเสธความปรารถนา ร่างกาย และความเจ็บปวด ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งชีวิต.
.
นักบุญจึงเป็นผู้ติดยาแห่ง “ความดี” ที่ยอมสละเลือดเนื้อเพื่อความสงบในใจ แต่โลกไม่ต้องการความสงบ มันต้องการการเต้นของพลังและการสร้างสรรค์.
.
Nietzsche เห็นว่าอุดมคติทางศีลธรรมคือ “โรคของมนุษยชาติ.” เพราะมันทำให้มนุษย์รู้สึกผิดในทุกการกระทำที่มาจากพลังชีวิต เช่น ความทะเยอทะยาน ความต้องการ หรือความกล้า. ผลลัพธ์คือมนุษย์ยุโรปเต็มไปด้วย “ความเศร้าหมองแห่งมโนธรรม” (Bad Conscience) ความรู้สึกผิดที่ฝังลึกอยู่ในสัญชาตญาณทุกอย่าง.
.
“คนดี” ในยุคใหม่คือผู้ที่ภาคภูมิใจในการปฏิเสธตนเอง ผู้ที่ไม่กล้าอยาก ไม่กล้าฝัน และไม่กล้าสร้าง เพราะกลัวว่าจะ “ไม่ดี” Nietzsche เรียกสิ่งนี้ว่า “การทำให้ชีวิตเป็นโรคด้วยศีลธรรม”
.
Nietzsche เสนอการมองศีลธรรมแบบใหม่ ไม่ใช่เชิงศาสนา แต่เชิงชีววิทยา ศีลธรรมไม่ใช่กฎสากล แต่เป็น “กลยุทธ์การเอาตัวรอดของสายพันธุ์” กลุ่มที่อ่อนแอใช้ศีลธรรมเป็นเกราะ เพื่อควบคุมผู้ที่แข็งแรงกว่า
.
“Morality is therefore an opposition movement against nature’s effort to achieve a higher type.”
.
ในแง่นี้ “ความดี” และ “ความชั่ว” จึงไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติ มีเพียงสิ่งที่ส่งเสริมหรือขัดขวางพลังชีวิต. ศีลธรรมที่แท้ต้องเป็นสิ่งที่ยืนยันชีวิต ไม่ใช่ปฏิเสธมัน
.
.
11. Critique of Philosophy
.
Nietzsche มองว่าปรัชญายุคเก่าก็เป็นเหยื่อของศีลธรรมแบบเดียวกัน เพราะนักปรัชญาแทบทั้งหมดตั้งแต่เพลโตจนถึงคานท์ ต่างเชื่อว่าความจริงต้องเป็นสิ่งดี และสิ่งดีต้องเป็นสิ่งจริง นี่คือ “การทำให้ศีลธรรมกลายเป็นอภิปรัชญา”
.
เพลโตสร้าง “โลกแห่งรูปแบบอุดมคติ” (World of Forms) ขึ้นมาเพื่อหลบหนีจากโลกจริงที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนคานท์ก็สืบทอดแนวคิดนั้นโดยซ่อนมันไว้ใน “โลกแห่งเหตุผลเชิงศีลธรรม” ทั้งคู่ต่างทำสิ่งเดียวกันคือ “ทำให้ความจริงกลายเป็นเครื่องมือของศีลธรรม”
.
Nietzsche ประกาศว่าจะ “ยกเลิกโลกแห่งความจริง” เพราะมันคือภาพลวงตาที่ทำให้มนุษย์เกลียดโลกนี้
.
“Let us abolish the real world: and to do this we first have to abolish the supreme value hitherto morality.”
.
เมื่อเราทำลาย “โลกที่แท้จริง” โลกที่เหลืออยู่คือ “โลกที่ปรากฏ” โลกแห่งชีวิตจริง ที่ไม่ต้องการการพิสูจน์ใด ๆ นอกจากการมีอยู่ของมัน
.
Nietzsche เริ่มเผยภาพร่างของสิ่งที่จะมาแทนที่ศีลธรรมเดิม คือการ “ทำให้ศีลธรรมกลับมาเป็นธรรมชาติ” (Naturalization of Morality) เขาต้องการให้เรามองชีวิตในฐานะสนามของพลัง ที่ไม่มีสิ่งใดสูงหรือต่ำโดยตัวมันเอง มีเพียงสิ่งที่เพิ่มพลังกับสิ่งที่ลดพลัง
.
เขาเสนอให้แทนที่ “ศีลธรรม” ด้วย “ฟิสิกส์ของพลังชีวิต” แทนที่ “สังคม” ด้วย “รูปแบบของการครอบงำ” (Forms of Domination), แทนที่ “อภิปรัชญา” ด้วย “ทฤษฎีแห่งการเวียนเกิดนิรันดร์” (Eternal Recurrence) ซึ่งจะพูดถึงในข้อต่อๆไป
.
ศีลธรรมแบบใหม่จึงไม่ใช่การตัดสินระหว่างดีหรือชั่ว แต่คือการเลือกสิ่งที่ทำให้ชีวิตเติบโต แข็งแรง และเปี่ยมพลังมากขึ้น.
.
.
============================
.
The Will to Power as Knowledge
.
============================
.
12. Against the Illusion of Objectivity
.
Nietzsche บอกว่า “ความรู้” ไม่ได้เกิดจากความรักในความจริง แต่จาก เจตจำนงแห่งอำนาจ (Will to Power) เอง
ในมุมมองของเขา การแสวงหาความรู้ของมนุษย์มิใช่การเดินทางของจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ หากแต่เป็นสัญชาตญาณทางชีววิทยาของชีวิตที่ต้องการควบคุม จัดการ และครอบงำโลก
.
“The World is the Will to Power — and Nothing Besides”
.
เขาประกาศว่าความจริงไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเพื่อทำให้ชีวิตของเรามีเสถียรภาพในโลกที่ไร้ศูนย์กลาง. ความรู้ทั้งหมดจึงเป็น กลยุทธ์ของการเอาชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอแต่ชาญฉลาดชื่อว่า ‘มนุษย์’
.
เขาเรียกมันว่า “นิยายของพวกเพลโตและคานท์” เพราะทั้งสองเชื่อว่าเบื้องหลังโลกแห่งการปรากฏมี “โลกแห่งความจริง” ที่นิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลง
.
แต่สำหรับ Nietzsche ไม่มี “โลกจริง” ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งใด โลกคือการปรากฏอยู่ตลอดเวลา becoming, ไม่ใช่ being.
สิ่งที่นักปรัชญาเรียกว่า “ความจริง” แท้จริงคือ “การเลือกมุมมองที่เหมาะกับการดำรงอยู่ของเรา”
.
นี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า Perspectivism โลกมีได้หลายมุมมองเท่ากับจำนวนสายตาที่มองมัน และไม่มีมุมใดคือมุม “สุดท้าย”
.
“There are no facts, only interpretations.”
.
.
13. The Method of Inquiry
.
Nietzsche เสนอให้เรากลับหัวกระบวนการคิดของมนุษย์เสียใหม่. แทนที่จะถามว่า “ความจริงคืออะไร” เขาชี้ว่าเราควรถามว่า “ทำไมเราถึงอยากรู้ความจริง?”
.
เขาให้คำตอบแบบนักชีววิทยา ความรู้คือ “อวัยวะของชีวิต” มันเกิดขึ้นเพื่อให้ชีวิตมีพลังมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อเข้าใจจักรวาลอย่างเป็นกลาง
.
ดังนั้น นักปรัชญาที่แสวงหาความจริงอย่างบริสุทธิ์จึงเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าเขากำลังค้นพบกฎของธรรมชาติ ทั้งที่จริงเขากำลัง “สร้างระบบที่ทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยในความวุ่นวายของโลก”
.
“ความจริง” จึงเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตนเอง เหมือนแมงมุมถักใยเพื่อดักแมลง แต่หลงคิดว่าใยนั้นคือระเบียบสากลของจักรวาล
.
.
14. Belief in the “Ego”
.
Nietzsche ชี้ว่า “อัตตา” (Ego) เป็นหนึ่งในนิยายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์.
เราหลงคิดว่ามี “ผู้รู้” ที่อยู่เบื้องหลังการรู้ มี “ตัวเรา” ที่ทำหน้าที่รับรู้ความจริง ทั้งที่แท้จริงไม่มี “ตัวเรา” ที่คงที่ มีแต่ “กระแสของแรงขับ (Drives)” ที่ต่อสู้กันภายในร่างกาย.
.
มนุษย์จึงไม่ใช่สิ่งที่ “มีเจตนา” แต่คือสนามที่เจตนาต่าง ๆ ต่อสู้กัน. และสิ่งที่เราเรียกว่า “เหตุผล” ก็เป็นเพียง “แรงขับหนึ่งที่ชนะในสนามนั้น”
.
“The ‘subject’ is nothing given; it is an invention — the synthesis of drives.”
.
เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ความรู้จึงไม่ใช่กระจกสะท้อนความจริง แต่คืออำนาจของแรงขับที่แข็งแกร่งพอจะบังคับให้ความจริงต้องเป็นอย่างที่มันต้องการ
.
Nietzsche พยายามสร้าง “ชีววิทยาแห่งความรู้.” เขาเชื่อว่าความรู้ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็น “กลไกวิวัฒนาการของชีวิต.”
สรรพสิ่งมีสัญชาตญาณที่จะขยายพลังของตน พืชยืดรากเพื่อแย่งพื้นที่, สัตว์ล่าเพื่อคงเผ่าพันธุ์, และมนุษย์สร้าง “ความจริง” เพื่อจัดระเบียบโลกให้ตนเองอยู่ได้
.
ดังนั้น ความรู้จึงมีคุณค่าทางชีววิทยา ไม่ใช่ทางอภิปรัชญา. สิ่งที่เราเรียกว่า “เหตุผล” หรือ “ตรรกะ” ก็เป็นเพียง “เครื่องมือของเจตจำนงแห่งอำนาจ”
.
Nietzsche ย้ำว่า “สมองของมนุษย์คืออวัยวะของการโกหกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก.” เพราะมันไม่สะท้อนความจริง แต่ บิดมันให้เหมาะกับการอยู่รอดของเรา
.
.
15. Origin of Reason and Logic
.
ตรรกะ (logic) ในสายตาของ Nietzsche จึงไม่ได้เกิดจากความรักในความจริง แต่จากความจำเป็นในการทำให้โลกเข้าใจได้
.
มนุษย์สร้างหลัก “A คือ A” ไม่ใช่เพราะมันจริงในธรรมชาติ แต่เพราะสมองต้องการความคงที่เพื่อไม่ให้บ้า
.
“The falseness of a judgment is not necessarily an objection to it.”
.
ในโลกของ Nietzsche “ความผิด” ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากมันทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้. “ความจริงแท้” ที่ไม่ช่วยชีวิตคือสิ่งที่ควรถูกทิ้ง
.
Nietzsche มองว่า “จิตสำนึก” (consciousness) เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของชีวิต ไม่ใช่ศูนย์กลาง
.
มันเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการขึ้นมาในภายหลัง เพื่อให้เราสื่อสารและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในฝูง ไม่ใช่เพื่อเข้าใจตนเอง
.
ดังนั้น “การรู้ตัวเอง” ในความหมายที่นักปรัชญาเชื่อ จึงเป็นภาพลวงตา เพราะจิตสำนึกไม่เคยเข้าถึงแรงขับจริง ๆ ที่ผลักดันเรา.
.
การตัดสินใจทุกอย่างเริ่มจากสัญชาตญาณ ก่อนที่เหตุผลจะเข้ามาอธิบายย้อนหลัง เหตุผลจึงไม่ใช่ผู้ปกครองของชีวิต แต่เป็น “โฆษกของแรงขับที่ชนะ”
.
Nietzsche บอกว่าความจริงและความเท็จไม่ใช่คู่ตรงข้ามทางศีลธรรม แต่เป็น “รูปแบบของพลัง”
.
เมื่อเรากล่าวว่า “สิ่งนี้จริง” เรากำลังบังคับให้โลกสอดคล้องกับโครงสร้างของสมองเรา
.
การตัดสินว่าจริงหรือเท็จคือการวัดว่าความคิดหนึ่ง “ให้พลังแก่ชีวิตมากกว่าหรือต่ำกว่าอีกความคิดหนึ่ง”
.
ในมุมมองนี้ “ความคิดผิด” อาจมีค่ากว่าความคิดถูก หากมันเพิ่มพลังให้ชีวิต เช่น ความเชื่อทางศิลปะ ศาสนา หรือความรัก ซึ่งล้วนเป็นการโกหกที่ทำให้มนุษย์อยากมีชีวิตต่อ
.
Nietzsche โจมตีแนวคิดเรื่อง “เหตุและผล” ของวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเพียงความเคยชินของสมองที่ต้องการความเป็นระเบียบ.
โลกจริงไม่มี “เหตุ” หรือ “ผล” มีเพียง “กระแสของพลังที่ชนกัน.” สิ่งที่เรามองว่าเป็นเหตุผลที่แน่นอน คือการลดความซับซ้อนของโลกให้เข้าใจง่ายพอสำหรับการเอาตัวรอด
.
“We have borrowed the concept of cause from our belief in the ego.”
.
.
16. Thing-in-Itself and Appearance
.
นักปรัชญาตะวันตกตั้งแต่คานท์เชื่อว่ามี “สิ่งในตัวมันเอง” (thing-in-itself) ซึ่งอยู่เหนือประสบการณ์ของเรา Nietzsche ปฏิเสธแนวคิดนี้โดยสิ้นเชิง
.
เขาบอกว่าความแตกต่างระหว่าง “สิ่งที่ปรากฏ” และ “สิ่งจริงแท้” เป็นมรดกจากศีลธรรม การแบ่งโลกออกเป็น “ดี” กับ “ชั่ว” “บริสุทธิ์” กับ “มลทิน”
.
แต่โลกไม่รู้จักคำพวกนี้ โลกไม่แยกแยะระหว่างสิ่งจริงกับสิ่งปรากฏ มีเพียง “การแสดงออกของพลัง”
.
ดังนั้น “สิ่งปรากฏ” คือความจริงสูงสุด เพราะมันคือชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าตาเรา
.
Nietzsche อธิบายว่า มนุษย์สร้างอภิปรัชญาเพราะ “ความกลัว”
.
เรากลัวความไม่แน่นอน จึงสร้างโลกหลังโลกขึ้นมาปลอบใจตัวเอง
.
นี่คือ “ความต้องการอภิปรัชญา” Metaphysical Need ซึ่งเป็นการแสดงออกของสัญชาตญาณความอ่อนแอ
.
ผู้ที่มีพลังแห่งชีวิตไม่ต้องการอธิบายโลก เขายอมรับมันในความวุ่นวายและไร้เหตุผล
.
ผู้ที่อ่อนแอต้องสร้างคำอธิบายทางศาสนา ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ เพื่อรู้สึกว่าตนควบคุมได้
.
.
=========================
.
The Will to Power in Nature
.
=========================
.
17. Against the Mechanistic Interpretation of the World
.
Nietzsche เสนอภาพใหม่ของธรรมชาติทั้งหมดว่า ทุกสิ่งในเอกภพคือเจตจำนงแห่งอำนาจ (Will to Power) ไม่ใช่ “วัตถุ” หรือ “พลังงาน” ตามที่นักฟิสิกส์เข้าใจ แต่คือ “แรงผลักทางใน” ของการอยู่เหนือและการขยายตัวของพลัง
.
Nietzsche เปิดฉากโจมตีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างรุนแรง โดยเฉพาะความเชื่อแบบ “กลไกนิยม” (mechanism) ที่มองโลกเป็นเครื่องจักรซับซ้อนที่ทำงานด้วยเหตุและผล. เขามองว่านั่นคือ “ฟิสิกส์ของทาส” โลกที่ถูกทำให้เป็นระบบตาย เพื่อปลอบใจผู้ที่กลัวความวุ่นวาย
.
สำหรับ Nietzsche โลกไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะ “แรงภายนอก” หรือ “เหตุผลทางคณิตศาสตร์” แต่เพราะแรงภายในที่อยากแสดงออกอยู่เสมอ นั่นคือ Will to Power
.
เขาเขียนว่า “เราไม่อาจเข้าใจการเคลื่อนไหวได้ด้วยกฎทางกลศาสตร์ เพราะไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวเพื่อจะอยู่นิ่ง”
.
โลกในสายตาของเขาจึงไม่ใช่ระเบียบที่เยือกเย็น แต่คือ สนามต่อสู้ของพลังที่ไม่หยุดนิ่ง
.
“Every atom of existence is a quantum of power, a striving for domination.”
.
Nietzsche นำแนวคิดนี้เข้าสู่ชีววิทยาโดยกล่าวว่า สิ่งมีชีวิตคือรูปแบบเฉพาะของเจตจำนงแห่งอำนาจที่จัดระเบียบตัวเองเพื่อเติบโต
.
ชีวิตไม่ได้ดิ้นรนเพื่อ “อยู่รอด” ตามที่ดาร์วินกล่าว การอยู่รอดเป็นเพียงเงื่อนไขขั้นต่ำสุด
.
จุดหมายของชีวิตที่แท้คือ “การขยายพลัง”
.
“Life itself is will to power, not will to self-preservation.”
.
.
18. Man as the Highest Organism of Power
.
Nietzsche บอกว่ามนุษย์คือสนามต่อสู้ที่เข้มข้นที่สุดของเจตจำนงแห่งอำนาจ
.
มนุษย์ไม่ใช่จุดสูงสุดของธรรมชาติในเชิงศีลธรรม แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนที่สุดในการใช้พลังทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณเพื่อขยายตนเอง
.
เขาเขียนว่า มนุษย์มีแรงขับหลักสามประการ
.
“ความอยากรู้” เพื่อควบคุมสิ่งรอบตัว.
.
“ความอยากครอบครอง” เพื่อสร้างอาณาเขตของพลัง.
.
“ความอยากสร้างคุณค่า” เพื่อทำให้ตนเองกลายเป็นศูนย์กลางของโลก.
.
ดังนั้น แม้แต่ศิลปะ ศาสนา หรือวิทยาศาสตร์ ก็ล้วนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ของการใช้พลังชีวิตเพื่อสร้างโลกให้เป็นอย่างที่ตนต้องการ
.
Nietzsche ปฏิเสธการแบ่งแยกระหว่าง “วัตถุ” กับ “จิตวิญญาณ.” เขามองว่าทั้งสองคือสิ่งเดียวกัน การแสดงออกของพลัง.
.
จิตไม่ได้เกิดจากวัตถุ แต่ทั้งคู่เป็นรูปแบบของ Will to Power ในระดับต่างกัน
.
เขาจึงพูดถึง “การทำให้ธรรมชาติมีชีวิตกลับคืน” (Reanimation of Nature) โลกไม่ได้เป็นเครื่องจักรเย็นชา แต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่กำลังต่อสู้กับตัวเอง
.
พลังทุกชนิดจากแรงโน้มถ่วงไปจนถึงสัญชาตญาณของศิลปิน เป็นการต่อสู้เพื่ออำนาจภายในระบบเดียวกัน
.
ความเคลื่อนไหว ความขัดแย้ง และการแปรเปลี่ยนไม่สิ้นสุด ไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีแผนการ มีเพียง “พลังที่อยากเป็นพลังที่มากขึ้น”
.
.
19. Against Newton and the God of Physics
.
Nietzsche มองว่าวิทยาศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะฟิสิกส์ของนิวตัน ได้กลายเป็นศาสนาแบบใหม่ที่ยังคงเชื่อใน “ระเบียบศักดิ์สิทธิ์”
.
เขากล่าวประชดว่า “นักฟิสิกส์ยังคงเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา เพียงแต่เรียกมันว่า ‘กฎธรรมชาติ.’”
.
ในความเห็นของ Nietzsche ไม่มี “กฎ” ที่คงที่ เพราะ “กฎ” คือการตีความชั่วคราวของมนุษย์ต่อรูปแบบของพลัง
.
จักรวาลไม่เดินไปตามสมการ แต่มันเต้นอยู่ในจังหวะของการแย่งชิงและกลืนกิน
.
“There is no law, only necessity — and necessity is the play of forces.”
.
สิ่งที่เรามองว่าเป็นความสม่ำเสมอในธรรมชาติ เป็นเพียง “สมดุลชั่วคราวของพลังที่ต่อสู้กัน” เมื่อพลังด้านหนึ่งกลับมาแข็งแกร่ง สมดุลก็เปลี่ยน และโลกก็แปรรูปอีกครั้ง
.
.
20. The Theory of Will to Power and Values
.
จากการมองธรรมชาติแบบนี้ Nietzsche จึงเห็นว่าคุณค่าทั้งหมด (Values) ก็เป็นเพียง “รูปแบบของพลัง”
.
คุณค่าไม่ได้มีอยู่ในตัวของมันเอง ไม่มี “ดี” หรือ “ชั่ว,” ไม่มี “สูง” หรือ “ต่ำ” ในธรรมชาติ
.
มีเพียงพลังที่ยืนยันตน (Affirming Power) และพลังที่ปฏิเสธตน (Denying Power)
.
ผู้มีชีวิตที่แข็งแกร่งจะสร้างคุณค่าใหม่ขึ้นมาเพื่อยืนยันชีวิตของตน ส่วนผู้ที่อ่อนแอจะสร้างศีลธรรมเพื่อปฏิเสธชีวิตของผู้อื่น
การประเมินคุณค่า (Valuation) จึงเป็นสนามของการต่อสู้ ไม่ใช่การค้นพบความจริง
.
Nietzsche ต้องการแทนที่อภิปรัชญาแบบเดิมด้วยสิ่งที่เขาเรียกว่า “ฟิสิกส์แห่งชีวิต”
.
ฟิสิกส์นี้ไม่มองหากฎคงที่ แต่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของพลังในทุกระดับ จากเซลล์จนถึงอารยธรรม
.
เขาเปรียบโลกว่าเป็น “ทะเลแห่งพลังที่ไหลวนไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ”
.
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “พลังงาน” คือคำอธิบายเชิงเทคนิคของสิ่งที่ Nietzsche เรียกว่า “เจตจำนงแห่งอำนาจ.”
มันคือแรงภายในที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ อยากมีอิทธิพลต่อสิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นอะตอมที่ผลักกัน หรือมนุษย์ที่อยากครอบครองโลก
.
“Every center of force adopts a perspective toward the whole, and the measure of power determines the perspective.”
.
นั่นหมายความว่า “ความจริง” ของแต่ละสิ่งขึ้นอยู่กับพลังของมัน ผู้ที่มีพลังมากกว่าจะมีมุมมองที่ใหญ่กว่า เหมือนยอดเขาที่เห็นไกลกว่าเนินดิน
.
การวิวัฒนาการของชีวิตไม่ใช่ผลของ “การคัดเลือกโดยธรรมชาติ” แต่คือ “การแย่งชิงของเจตจำนงแห่งอำนาจ”
.
สิ่งมีชีวิตไม่เพียงปรับตัวเพื่ออยู่รอด แต่แสวงหาความเหนือกว่า การครอบงำ การแผ่ขยาย การสร้างรูปแบบใหม่ของการมีอยู่
.
.
21. The Social Order as a Hierarchy of Power
.
Nietzsche เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของ The Will to Power ด้วยการเคลื่อนจากจักรวาลสู่ชีวิตของมนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม จากพลังของธรรมชาติ สู่พลังของสังคม และสุดท้ายคือพลังของ “ปัจเจก”
.
“Society, the state, morality — all are means for the increase of the power of the type ‘man.’”
.
ทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม รัฐ ศิลปะ หรือวัฒนธรรม ล้วนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ของเจตจำนงแห่งอำนาจ บางอย่างยืนยันชีวิต, บางอย่างปฏิเสธชีวิต “สังคมของเรากำลังทำให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลง?”
.
Nietzsche มองว่าสังคมไม่ใช่สัญญาทางศีลธรรมระหว่างคนอย่างที่นักคิดแบบ Rousseau หรือ Kant เคยเสนอ
มันคือ “การจัดระเบียบของพลัง” ระบบที่แรงขับต่าง ๆ ถูกจัดเรียงตามระดับของพลังชีวิต
.
สังคมที่แข็งแรงจึงไม่ใช่สังคมที่เท่าเทียม แต่เป็นสังคมที่ “ยอมรับความไม่เท่าเทียมของพลัง”
.
ในมุมมองของ Nietzsche, การเท่าเทียมคือ “อุดมคติของผู้แพ้” ที่อยากลดทุกคนลงมาในระดับเดียวกับตน
.
“Every society is a structure of domination, a hierarchy of forces; equality is a fiction invented by the weak.”
.
รัฐ ศาสนา และศีลธรรมเกิดขึ้นไม่ใช่เพื่อความดีร่วมกัน แต่เพื่อรักษาความสมดุลของพลัง ให้เจตจำนงที่แข็งแรงและอ่อนแอสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ล่มสลาย
.
Nietzsche วิเคราะห์ “จิตวิทยาแห่งการเชื่อฟัง” ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของวิวัฒนาการทางสังคม.
.
เขาเห็นว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่มีพลังมากพอจะเป็นผู้สร้างคุณค่าใหม่ (Value-Creator), จึงต้องหาความมั่นคงจากการเชื่อฟังผู้ที่มีพลังมากกว่า
.
ในโลกของ Nietzsche มีสองประเภทของมนุษย์
.
ฝูงชน (The Herd) ผู้ที่แสวงหาความปลอดภัย ความเหมือน และความยอมรับ
.
ปัจเจกผู้สร้าง (The Creator, or Higher Type) ผู้ที่แสวงหาการแสดงออกของพลังผ่านการสร้างคุณค่าใหม่
.
.
22. Discipline and Breeding
.
ในส่วนที่ชื่อ Discipline and Breeding Nietzsche ใช้คำว่า “การเพาะพันธุ์มนุษย์” (Züchtung des Menschen) ซึ่งไม่ได้หมายถึงชีววิทยาอย่างผิวเผิน แต่หมายถึง “การเพาะพันธุ์ทางจิตวิญญาณ”
.
เขาต้องการให้มนุษย์เลิกภาคภูมิใจกับการเป็น “สัตว์มีศีลธรรม” และเริ่มพัฒนาตนเองในฐานะ “สิ่งมีชีวิตที่กล้ากลายพันธุ์”
.
เขาเสนอแนวคิดของ “นักเพาะพันธุ์จิตใจ” ผู้ที่มีหน้าที่สร้างมนุษย์ชนิดใหม่ที่ยืนยันชีวิตแทนที่จะหลบหนีมัน
.
นี่คือสิ่งที่ต่อมาจะพัฒนาเป็นแนวคิดของ “Übermensch” หรือ “มนุษย์เหนือมนุษย์”
.
“The task: to breed a new ruling caste for Europe, stronger, more daring, more unified in its instincts.”
.
แต่ Nietzsche ไม่ได้หมายถึงชนชั้นเผ่าพันธุ์ทางเชื้อชาติ เขาพูดถึง “ระดับของจิตใจและสัญชาตญาณ”
.
มนุษย์เหนือมนุษย์ไม่จำเป็นต้องเกิดจากสายเลือดสูงศักดิ์ แต่จากจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนนต่อความกลัวของฝูงชน
.
Nietzsche อธิบายว่าศีลธรรมมีหน้าที่ในช่วงหนึ่งของวิวัฒนาการ มันทำให้มนุษย์ “เชื่องพอที่จะอยู่ร่วมกัน”
.
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันเริ่มทำลายพลังที่มันเคยช่วยควบคุม
.
เหมือนเชือกที่เคยผูกม้าเพื่อฝึกให้เดินตรง หากไม่ปล่อยในเวลาที่เหมาะ ม้ามันจะตายก่อนจะวิ่งได้
.
ศีลธรรมที่เคยจำเป็นต่อการสร้างสังคม กลับกลายเป็นโซ่ตรวนที่ขัดขวางการเติบโตของมนุษย์ยุโรป
.
“Morality was a means; it must not become an end.”
.
Nietzsche เชื่อว่าอนาคตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกล้าสร้าง “ลำดับคุณค่าชุดใหม่” ได้หรือไม่ คุณค่าที่ไม่ตั้งอยู่บนการหนีชีวิต แต่บนการยืนยันมัน
.
มนุษย์ที่เขาวาดฝันไว้คือผู้ที่สามารถ “รักชะตาของตน” (amor fati) ยอมรับความทุกข์ ความสูญเสีย และความโกลาหล
.
“To desire nothing to be different, not forward, not backward, not in all eternity — that is my formula for greatness.”
.
Nietzsche ปิดส่วนนี้ด้วยการกล่าวว่า มนุษย์ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของวิวัฒนาการ แต่เป็น “สะพาน”
.
มนุษย์คือสิ่งที่ต้องถูกเอาชนะ (man is something that must be overcome)
.
Will to Power คือการเอาชนะขีดจำกัดของความกลัว ความสบาย และศีลธรรมเดิม
.
มนุษย์ผู้เดินบนเส้นทางนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ Nietzsche เรียกว่า Übermensch
.
.
23. Eternal Recurrence และบททดสอบแห่งพลัง
.
แนวคิด Eternal Recurrence คือหัวใจของปรัชญา Nietzsche และเป็นสมการสุดท้ายที่เขาใช้ทดสอบว่า “มนุษย์สามารถรักชีวิตได้จริงหรือไม่”
.
มันคือคำถามเชิงอภิปรัชญาที่กลายเป็นคำท้าทายเชิงจิตวิญญาณ “หากโลกนี้จะหมุนกลับมาในรูปแบบเดิมทุกประการ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คุณจะยังรักมันอยู่ไหม”
.
“My philosophy brings the triumphant idea of which all other modes of thought will ultimately perish.”
.
Nietzsche เชื่อว่า “แนวคิดการเวียนเกิดชั่วนิรันดร์” คือบททดสอบสูงสุดของเจตจำนงแห่งอำนาจ (Will to Power) เพราะใครก็ตามที่สามารถทนรับมันได้ ย่อมเป็นผู้ที่ไม่เพียงยอมรับชีวิต แต่ยืนยันชีวิตอย่างสุดหัวใจ
.
Nietzsche เรียกแนวคิดนี้ว่า “คำพยากรณ์” (A Prophecy). มันไม่ใช่ทฤษฎีทางฟิสิกส์หรือศาสนา แต่คือ “แนวคิดเพื่อเพาะพันธุ์มนุษย์ชนิดใหม่” มนุษย์ที่กล้ายืนยันการมีอยู่ของตนในจักรวาลที่ไร้จุดหมาย
.
“The races that cannot bear it stand condemned; those who find it the greatest benefit are chosen to rule.”
.
เขามองว่า การเวียนเกิดนิรันดร์จะทำหน้าที่คัดเลือก (Selective Principle) เช่นเดียวกับธรรมชาติ ชนใดที่มีพลังชีวิตสูงพอจะยอมรับมันได้ จะเป็นชนที่มีสิทธิ์ปกครองโลกในอนาคต
.
ในเชิงตรรกะ Eternal Recurrence มีจุดตั้งต้นจากหลัก “การอนุรักษ์พลังงาน” (law of the conservation of energy)
หากเอกภพมีพลังงานจำกัดแต่เวลานิรันดร์ มันย่อมต้องหมุนกลับมาสู่รูปแบบเดิมอย่างไม่รู้จบ
.
“The law of the conservation of energy demands eternal recurrence.”
.
แต่ Eternal Recurrence ไม่ได้เสนอภาพของนรกที่ต้องใช้ชีวิตซ้ำๆ อย่างจำเจ แต่มันคือการประกาศว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะกลับมาอีกเสมอในรูปแบบเดิมทุกประการ
.
และนั่นหมายความว่า ทุกการกระทำ ทุกคำพูด ทุกความคิดของเรามีน้ำหนักเท่ากับนิรันดร์
.
Nietzsche ยอมรับว่านี่คือ “แนวคิดที่โหดร้ายที่สุด” (the hardest idea) เพราะมันทำลายความหวังทั้งหมดในโลกหน้า
ใครก็ตามที่ไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับความจริงนี้ จะจมอยู่ในความสิ้นหวังหรือหนีเข้าสู่ศาสนา
.
ดังนั้น เพื่อ “ทนรับ” แนวคิดนี้ มนุษย์ต้องมีสามสิ่ง
.
“อิสรภาพจากศีลธรรม” เพราะศีลธรรมแบบเก่ามีไว้เพื่อตอบแทนในโลกหน้า
.
“การมองความเจ็บปวดเป็นเครื่องมือของชีวิต” ไม่ใช่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง
.
“ความสามารถที่จะรักความไม่แน่นอน” เพราะในโลกที่เวียนซ้ำ ความแน่นอนคือความตาย
.
“To endure the idea of recurrence one needs freedom from morality, enjoyment of all kinds of uncertainty, experimentalism as counterweight to this extreme fatalism.”
.
นี่คือการยืนยันชีวิตในระดับสูงสุด เมื่อไม่มีพระเจ้า ไม่มีความหมาย ไม่มีทางหนี และเรายังกล่าวได้ว่า “ใช่ ฉันต้องการมันอีกครั้ง”
.
Nietzsche มองว่า Eternal Recurrence คือสะพานเชื่อมระหว่างสองแนวคิดที่ขัดแย้งกันมาตลอดในประวัติศาสตร์ตะวันตก ฟิสิกส์เชิงกลไก (Mechanism) และอภิปรัชญาแบบเพลโต (Platonism)
.
“The two most extreme modes of thought — the mechanistic and the Platonic — are reconciled in the eternal recurrence.”
.
ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นกลไกตายตัว ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่ามีแบบฟอร์มสมบูรณ์เหนือโลกวัตถุ
.
Nietzsche ใช้แนวคิดการเวียนซ้ำทำลายทั้งคู่ เพราะในโลกที่ทุกสิ่งเกิดซ้ำตลอดกาล ไม่มีความตายตัว และไม่มีแบบฟอร์มเหนือธรรมชาติ มีเพียง “กระบวนการแห่งการกลายเป็น”
.
.
24. Eternal Recurrence and the Tragic God Dionysus
.
ในช่วงท้ายของ The Will to Power Nietzsche เขียนสั้น ๆ แต่เหมือนฟ้าผ่ากลางหน้ากระดาษ:
.
.
“Dionysus versus the Crucified — there you have the antithesis.”
.
มันไม่ใช่การเปรียบศาสนา แต่คือการเปรียบ “วิญญาณของการดำรงอยู่” สองแบบที่ขัดกันโดยสิ้นเชิง
.
ฝั่งหนึ่งคือ พระเจ้าบนไม้กางเขน (the Crucified) สัญลักษณ์ของความทุกข์ที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์ผ่านการปฏิเสธโลกนี้ เพื่อแลกกับความรอดในโลกหน้า
.
อีกฝั่งคือ Dionysus เทพแห่งไวน์ การเต้นรำ และการแตกสลาย ผู้ที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
Nietzsche ไม่ได้เพียงพูดถึงเทพเจ้ากรีก เขาใช้ Dionysus เป็นสัญลักษณ์ของ “พลังชีวิตที่ยืนยันตัวเองแม้ท่ามกลางการทำลายล้าง”
.
ในขณะที่พระคริสต์บนไม้กางเขน คือ “คำสาปต่อชีวิต” (a curse on life)
.
เพราะความหมายของการถูกตรึงกางเขนคือการหนีจากโลกนี้
.
แต่ Dionysus กลับประกาศว่า “ชีวิตนี้เองที่ศักดิ์สิทธิ์พอแล้ว แม้ต้องแลกด้วยความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด.”
.
ในตำนานออร์ฟิก (Orphic myth) Dionysus เป็นบุตรของ Zeus และ Persephone
.
เมื่อเขายังเยาว์วัย เขาถูกพวก Titans หลอกล่อด้วยของเล่น กระจก และเครื่องประดับ จากนั้นก็ฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้น ๆ แล้วกลืนกิน
.
แต่ Zeus โกรธแค้นและฟาดสายฟ้าทำลาย Titans ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน จากเถ้านั้นเองมนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้น ครึ่งหนึ่งมาจากเทพ (เพราะมีส่วนของ Dionysus ที่เหลืออยู่) และอีกครึ่งหนึ่งจาก Titans (ผู้ทำลาย)
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานที่ Nietzsche มองว่า “ลึกซึ้งกว่าศาสนาใด ๆ”
.
เพราะมันสอนว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากทั้งความศักดิ์สิทธิ์และความชั่วร้ายในเวลาเดียวกัน
.
มนุษย์ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ที่รอการไถ่บาป แต่คือเศษซากของเทพที่ถูกฉีกขาด ผู้ที่ต้องประกอบร่างตนเองใหม่ผ่านความทุกข์
.
“Life itself, its eternal fruitfulness and recurrence, creates torment, destruction, the will to annihilation.”
.
Dionysus จึงเป็นเทพเจ้าที่ “ถูกทำลายเพื่อจะได้สร้างใหม่”
.
และนั่นคือรูปแบบเดียวกับที่ Nietzsche มองว่าชีวิตเป็น วงจรของการแตกสลายและการเกิดซ้ำที่ไม่มีวันจบสิ้น
.
แนวคิดนี้มีรากตั้งแต่ The Birth of Tragedy (1872) งานแรกของ Nietzsche ที่บอกว่า “ศิลปะกรีกเกิดจากความตึงเครียดระหว่างสองพลัง Apollo และ Dionysus.”
.
Apollo แทนสัญลักษณ์ของระเบียบ ความงาม ความฝัน และการควบคุม
.
Dionysus แทนพลังแห่งความโกลาหล ความเมามาย และการยอมรับความทุกข์
.
Nietzsche กล่าวว่าความยิ่งใหญ่ของโศกนาฏกรรมกรีกไม่ได้อยู่ที่การหนีจากความทุกข์
.
แต่มันคือการกล้า “มองความทุกข์ตรง ๆ และยืนยันว่ามันคือส่วนหนึ่งของความงามของชีวิต”
.
“My philosophy brings the triumphant idea of which all other modes of thought will ultimately perish. It is the great cultivating idea: the races that cannot bear it stand condemned; those who find it the greatest benefit are chosen to rule.”
.
“ปรัชญาของข้านำมาซึ่งแนวคิดอันมีชัย ซึ่งในที่สุดแนวคิดทั้งปวงอื่น ๆ จะต้องดับสูญลงเพราะมัน แนวคิดนี้คือ ‘แนวคิดแห่งการเพาะบ่มอันยิ่งใหญ่’ เผ่าพันธุ์ใดที่ไม่อาจทนรับมันได้ย่อมถูกตัดสินให้พินาศ ส่วนเผ่าพันธุ์ที่เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุด จะได้รับเลือกให้ปกครอง”
.
คำว่า The Great Cultivating Idea (แนวคิดที่หล่อเลี้ยงมนุษยชาติ) หมายถึงแนวคิดที่ทำให้มนุษย์ต้องกล้ารับผิดชอบต่อชีวิตของตนจนถึงที่สุด
.
เพราะถ้าเราต้องมีชีวิตนี้ซ้ำอีกไม่รู้กี่ครั้ง ทุกการกระทำที่ทำในตอนนี้จะต้องมีค่านิรันดร์
.
.
====================================
.
กลับมาสู่คำถามแรกสุดของ Friedrich Nietzsche
.
“แล้วแท้จริง พลังที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งคืออะไร?”
.
คำตอบของเขาคือสิ่งที่เรียบง่ายแต่ไร้ขอบเขตที่สุด “เจตจำนงแห่งอำนาจ (Will to Power)”
.
Nietzsche เขียนว่า
.
“This world is the will to power and nothing besides! And you yourselves are also this will to power and nothing besides!”
.
“โลกนี้ทั้งหมดคือเจตจำนงแห่งอำนาจ และไม่มีสิ่งใดอื่นเลย
.
และพวกเจ้าทั้งหลายเอง ก็เป็นเจตจำนงแห่งอำนาจนั้น และไม่มีสิ่งใดอื่นเลย.”
.
ในประโยคนี้ Nietzsche ได้สลายทั้งพระเจ้า วิทยาศาสตร์ และแม้แต่ “ตัวตน” ของมนุษย์เอง
.
เขาไม่ได้พูดถึง “อำนาจ” ในความหมายของการครอบงำผู้อื่น แต่หมายถึงพลังดั้งเดิมที่ทำให้ทุกสิ่งยังคงดำรงอยู่
.
พลังที่ทำให้หญ้าผลิใบ น้ำไหล ภูเขายกตัว และในมนุษย์ มันคือแรงปรารถนาที่ลึกที่สุด ไม่ใช่จะอยู่รอด แต่จะมีอิทธิพล มีความหมาย และมีพลังเหนือการเสื่อมสลาย
.
“What is good? All that heightens the feeling of power, the will to power, power itself in man.
.
What is bad? All that proceeds from weakness.”
.
“อะไรคือสิ่งดี? คือทุกสิ่งที่เพิ่มความรู้สึกแห่งพลัง ความปรารถนาแห่งพลัง และพลังนั้นเองในมนุษย์
.
อะไรคือสิ่งชั่ว? คือทุกสิ่งที่เกิดจากความอ่อนแอ”
.
คำตอบนี้ย่นย่อทั้งปรัชญา Nietzsche ไว้ในบรรทัดเดียว
.
.
ใน Discipline and Breeding, Friedrich Nietzsche กล่าวว่า
.
“My new path to a ‘Yes.’ — Philosophy, as I have hitherto understood and lived it, is a voluntary quest for even the most detested and notorious sides of existence… It wants rather to cross over to the opposite of this — to a Dionysian affirmation of the world as it is, without subtraction, exception, or selection — it wants the eternal circulation: the same things, the same logic and illogic of entanglements. The highest state a philosopher can attain: to stand in a Dionysian relationship to existence — my formula for this is amor fati.”
.
แปลได้ว่า
.
“เส้นทางใหม่ของข้า สู่คำว่า ‘ใช่’ ปรัชญา ตามที่ข้าเข้าใจและมีชีวิตอยู่มาจนบัดนี้ คือการออกเดินทางโดยสมัครใจ เพื่อเผชิญกับด้านที่น่ารังเกียจที่สุดและเป็นที่กล่าวขวัญในทางเลวร้ายที่สุดของการดำรงอยู่
.
แต่มันไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การปฏิเสธ หรือความต้องการจะทำลาย มันต้องการก้าวข้ามไปสู่สิ่งตรงข้าม สู่การ ยืนยันโลกแบบดิออนิซิอัน (Dionysian affirmation) ต่อโลกในสภาพที่มันเป็นอยู่ โดยไม่ลบ ไม่ละเว้น และไม่เลือกตัดสิ่งใดออก
มันต้องการ วงหมุนแห่งนิรันดร์ (eternal circulation) สิ่งเดิมเหล่านั้นตราบนิรันดร์ ทั้งตรรกะและความไร้ตรรกะที่พันกันไม่รู้จบ
.
สภาวะสูงสุดที่นักปรัชญาจะเข้าถึงได้ คือการยืนอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Dionysian ต่อการดำรงอยู่ และสูตรของข้าสำหรับสิ่งนี้คือ amor fati การรักชะตากรรมของตนเอง”
.
.
.
.
#SuccessStrategies