สรุปหนังสือ Order Out of Chaos เขียนโดย Ilya Prigogine

หากคุณเคยคิดว่า “วิทยาศาสตร์คือโลกที่แน่นอน” และ “เวลาเป็นแค่สิ่งที่นาฬิกาเรือนละร้อยเดินผิด”
.
ยินดีต้อนรับสู่จักรวาลของ Ilya Prigogine นักฟิสิกส์โนเบลผู้ยืนยันว่าโลกเรานั้นปั่นป่วนเกินเยียวยา แต่นั่นแหละคือสิ่งดี
.
ใน Order Out of Chaos เขาไม่ได้แค่สั่งยุบจักรวาลแบบนิวตัน แต่ยังเปิดคลินิกให้ความวุ่นวายได้บำบัดตัวเอง
.
พร้อมแนวคิดว่า “ระเบียบ” อาจเกิดจากความมั่ว, “ชีวิต” งอกออกจากความไม่สมดุล, และ “เอนโทรปี” เป็นพ่อพระที่เราเข้าใจผิดมานาน
.
แต่เดี๋ยวก่อน... ก่อนคุณจะจุดธูปบูชา Dissipative Structures หรือกราบกรานพายุไซโคลนว่าเป็นครูแห่งการเติบโต ต้องบอกไว้ก่อนว่า
.
บางคนแย้งว่า dissipative structures อาจใช้ได้เฉพาะในระบบเคมีบางแบบเท่านั้น
.
บางคนบอกว่า “ระเบียบจาก chaos” ฟังดูดีแต่ยังขาดสมการที่ใช้งานได้จริงในชีววิทยา
.
และบางคนก็เพียงแค่...ขอหลักฐานอีกหน่อยก่อนจะปั้นจักรวาลใหม่
(ซึ่งแอดเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายถูก)
.
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การหักล้าง - มันคือการเปิดเวที
เพราะความจริงในวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เกิดจากการ “ชนะ” กันด้วยคำพูด
แต่มาจากการเต้นรำของความคิดหลายสาย ที่โคจรรอบเอนโทรปีอย่างมีชั้นเชิง
.
ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่...
เชิญเปิดอ่านต่อในบทความนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า
จักรวาลไม่ใช่เครื่องจักร…แต่น่าจะเป็นวงโยธวาทิตที่เมามาย แล้วเดินออกนอกจังหวะด้วยความมั่นใจ
.
หมายเหตุจากแอด
.
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อสรุปแนวคิดของ Prigogine อย่างเคารพและตั้งใจสื่อสารแก่นคิดให้เข้าใจง่าย
.
แอดยินดีอย่างยิ่งหากเพื่อนๆ สายฟิสิกส์ เคมี หรือวิทยาศาสตร์แขนงใด
.
อยากช่วยอธิบาย, เสริม หรือชี้ประเด็นใดที่เห็นว่า “อาจคลาดเคลื่อน” จากข้อเท็จจริงเชิงเทคนิคในสรุปหนังสือเล่มนี้
.
คอมเมนต์ได้เต็มที่เลยครับ “ด้วยเหตุผลและความสุภาพ” เราจะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน
.
.
=======================
.
1. เทพเจ้าแห่งความแน่นอนล่มสลาย
.
หากเราย้อนกลับไปยังวันที่ 28 เมษายน 1686 วันที่ไอแซก นิวตันยื่นผลงาน Principia Mathematica ต่อราชสมาคมแห่งลอนดอน มนุษยชาติได้เปิดศักราชใหม่: โลกไม่ได้เป็นดินแดนลี้ลับของเทพเจ้าอีกต่อไป หากแต่เป็นระบบกลไกอันยิ่งใหญ่ที่เคลื่อนไหวตามกฎแห่งแรงและมวล ความฝันของมนุษย์ที่จะเข้าใจธรรมชาติในแบบที่เป็นระบบ “แน่นอน” และเป็นนิรันดร์ ดูเหมือนกำลังเป็นจริง
.
นิวตันเสนอโลกที่ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า “จัดการหลังบ้าน” อีกต่อไป เพราะถ้ามีกฎธรรมชาติที่แน่นอนพอ โลกก็จะหมุนไปเหมือนนาฬิกาเรือนหนึ่งที่เดินตามฟันเฟืองที่ตั้งไว้ล่วงหน้า “อนาคต” ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ แต่คือสิ่งที่สามารถคำนวณได้ถ้ารู้เงื่อนไขเริ่มต้น
.
เมื่อ Laplace เสนอภาพลักษณ์ของ “ปีศาจลาแพลซ” (Laplace’s Demon) ซึ่งสามารถคำนวณอดีตและอนาคตของจักรวาลได้อย่างแม่นยำด้วยสูตรคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์จึงแปรเปลี่ยนจากการตั้งคำถามกลุ่มเมฆไปสู่การแสวงหากฎทองคำ
.
แต่สิ่งที่แลกมาก็คือ จิตวิญญาณของธรรมชาติหายไป
.
วิทยาศาสตร์จึงเดินเข้าสู่ยุค “จักรวาลที่ถูกดีดจากสวรรค์” (Disenchantment of Nature) ที่ทุกอย่างในธรรมชาติดูแห้งแล้ง เย็นชา และหมดมนต์ขลัง เป็นจักรวาลที่เรา “คำนวณได้” แต่ไม่อาจ “สนทนา” ได้อีกต่อไป
.
.
2. มนุษย์ในจักรวาลที่ไม่สนใจความรู้สึก
.
การที่จักรวาลกลายเป็นกลไกเหมือนนาฬิกาไม่ได้ทำให้มนุษย์รู้สึก “มั่นคง” เสมอไป ตรงกันข้าม มันทำให้มนุษย์รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างรุนแรง Jacques Monod นักชีววิทยาโนเบลชาวฝรั่งเศส ถึงกับกล่าวว่า มนุษย์คือ “ยิปซีในจักรวาลที่ไม่สนใจความหวัง ความเจ็บปวด หรือบทเพลงของเราเลย”
.
ความสำเร็จของวิทยาศาสตร์แบบกลไกกลับแลกมาด้วยความว่างเปล่าทางอารมณ์ โลกไม่ใช่สิ่งที่เราคุยด้วยได้ แต่เป็นห้องทดลองที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้วล่วงหน้า ไม่ว่าจะเกิดสงคราม รักแท้ หรือกวีนิพนธ์ ก็เป็นเพียง “ผลลัพธ์ทางโมเลกุล”
.
นี่จึงเป็นจุดที่ทำให้วิทยาศาสตร์แบบกลไก แม้จะยิ่งใหญ่ทางเทคนิค แต่กลับล้มเหลวทางมนุษยธรรม
.
.
3. วิทยาศาสตร์แบบเดิมกลัว “เวลา”
.
เวลาถูกมองว่าเป็น “สิ่งแปลกปลอม” ในวิทยาศาสตร์แบบเดิม เพราะกฎทางฟิสิกส์ (เช่น กฎของนิวตัน) ไม่สนใจว่าจะเป็น “อดีต” หรือ “อนาคต” เวลาสามารถย้อนกลับได้ในสูตรสมการ เช่น หากคุณโยนลูกบอลขึ้นไป มันจะตกลงมาในเส้นโค้งสวยงามที่สมมาตรทั้งขาขึ้นและขาลง—ย้อนเวลาได้อย่างไม่มีปัญหา
.
แต่นี่คือการหลอกตัวเอง: โลกจริงไม่ย้อนกลับ
.
สิ่งที่เราเห็นทุกวัน = ไข่ตกพื้นแล้วแตก, คนแก่แล้วตาย, ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก
.
ล้วนเป็น “การเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันย้อนคืน” หรือ “irreversibility”
.
คำถามคือ: แล้วทำไมฟิสิกส์ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย?
.
Prigogine ตอบว่า เพราะฟิสิกส์แบบเดิมมี “อคติเชิงเมธอด” คือมันเกิดในยุคที่มนุษย์หลงใหลในแนวคิดของ “ความคงที่”, “สมมาตร”, และ “กฎสากล” จึงหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ยุ่งเหยิง เช่น ความวุ่นวาย, ความสุ่ม, และเวลาที่มีทิศทาง
.
.
4. ความโกลาหลที่งอกงาม
.
หากมองลึกลงไปในโลกของเคมีและชีววิทยา เราจะพบว่า สิ่งมีชีวิตไม่ได้ดำรงอยู่ใน “สมดุล” (equilibrium) แต่ตรงกันข้าม พวกมันอยู่ในสภาพที่ “ไม่สมดุลโดยสิ้นเชิง” (far-from-equilibrium) และนี่แหละคือที่มาของ “ชีวิต”
.
Prigogine เสนอแนวคิดใหม่ว่า “ระเบียบ” (order) ไม่ได้มาจาก “การควบคุม” เสมอไป แต่มาจาก “ความวุ่นวาย” ที่กำลังปั่นป่วน และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ความวุ่นวายเหล่านั้นอาจสร้าง “โครงสร้างใหม่” ที่ซับซ้อนและมีความสามารถในการอยู่รอดได้ (เช่น เซลล์, สมอง, หรือระบบนิเวศ)
.
นี่คือหัวใจของแนวคิดที่เรียกว่า “Dissipative Structures” หรือ “โครงสร้างแห่งการสูญเสีย” โครงสร้างที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนพลังงานกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และดำรงอยู่ได้จากความไม่สมดุล
.
ภาพนี้สวนทางกับวิทยาศาสตร์แบบเดิมโดยสิ้นเชิง
.
.
5. สองวัฒนธรรมที่แตกแยก
.
Prigogine กล่าวถึงการแตกแยกระหว่าง “สองวัฒนธรรม” (Two Cultures) ซึ่ง C.P. Snow เคยพูดไว้—คือ วิทยาศาสตร์ กับ มนุษยศาสตร์ โดยปัญหาใหญ่อยู่ที่ “เรื่องของเวลา”
.
ในขณะที่มนุษยศาสตร์สนใจเรื่อง “เวลา ความเป็นมนุษย์ และเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลง” วิทยาศาสตร์กลับยังจมอยู่กับ “กฎอันนิรันดร์” ที่ไม่แคร์เวลาหรือความปั่นป่วน
.
นักคิดอย่าง Kant, Hegel, และ Whitehead พยายามจะเชื่อมความเปลี่ยนแปลง (becoming) เข้ากับความเป็นอยู่ (being) โดยไม่ล้มเหลวไปเสียหมด แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้คำตอบที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์
.
ในที่สุด Prigogine จึงพยายามจะเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างสองวัฒนธรรมนี้ ด้วยแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “วิทยาศาสตร์ของความซับซ้อน” (Science of Complexity) ซึ่งเขาจะค่อยๆ ปูทางในข้อถัดๆไป
.
.
6. จากจักรวาลที่ “ถูกปิดตาย” สู่จักรวาลที่ “เปิดออก”
.
ความคิดที่ทรงพลังที่สุดในประเด็นนี้คือ การเปลี่ยนภาพของจักรวาลจากสิ่งที่ “ถูกปิดตายด้วยความแน่นอน” ไปสู่จักรวาลที่ “เปิดกว้างสู่ความเป็นไปได้”
.
Prigogine บอกว่า เราไม่ควรมองจักรวาลเหมือนห้องแล็บที่อยู่ภายใต้สุญญากาศเสมอไป หากแต่มองว่าเราอยู่ใน “สนามแห่งการปะทะกันของโอกาสและการจำกัด” ที่ทุก fluctuation (ความปั่นป่วนเล็กๆ) อาจกลายเป็นการปฏิวัติระดับระบบได้ถ้ามี feedback และเงื่อนไขเหมาะสม
.
พูดง่ายๆ: โอกาสอาจเป็นผู้กำหนดอนาคต ในระดับโมเลกุล จิตวิญญาณ หรือแม้แต่สังคมมนุษย์
.
.
7. กำเนิดของเอนโทรปี และลูกศรแห่งเวลา”
.
“ในยุคที่คนฝันจะเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทอง วิทยาศาสตร์กลับค้นพบสิ่งที่เปลี่ยนระเบียบให้กลายเป็นความวุ่นวาย นั่นคือความร้อน”
.
ถ้ามีใครเคยถามคุณว่า “เวลาเดินไปทางไหน?” คำตอบอาจดูเหมือนง่าย แต่ในโลกของวิทยาศาสตร์คลาสสิก = ไม่มีทิศทางของเวลา
.
คุณอ่านไม่ผิด: ในกฎของนิวตันและโลกของกลศาสตร์แบบเก่า “อนาคตกับอดีตสามารถสลับที่กันได้” ในทางทฤษฎี ทุกอย่างย้อนกลับได้อย่างไม่มีปัญหา โลกเป็นเหมือนเครื่องย้อนเวลาขนาดยักษ์ที่เดินหน้าและถอยหลังได้พอๆ กัน
.
แต่แล้ว มีบางอย่างแปลกปลอมเข้ามาในสมการจักรวาลนั้น… บางสิ่งที่เรียกว่า “ความร้อน”
.
.
8. ความร้อนคือศัตรูของความย้อนกลับ
.
การศึกษาความร้อนในช่วงศตวรรษที่ 19 ไม่ได้เกิดจากนักฟิสิกส์ผู้ครุ่นคิดเรื่องจักรวาล แต่เกิดจากวิศวกรที่พยายามทำให้เครื่องจักรไอน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
เมื่อ Carnot ศึกษาเครื่องจักร เขาพบว่าทุกครั้งที่แปลงความร้อนเป็นงาน—จะมีพลังงานบางส่วนที่ “หายไป” ตลอดเวลา ไม่มีทางที่จะได้พลังงานกลับมาทั้งหมด นี่จึงไม่ใช่โลกของกลศาสตร์ที่ “ทุกอย่างเท่ากันกลับคืนได้” อีกต่อไป
.
จากปัญหานี้ นักฟิสิกส์ชื่อ Rudolf Clausius จึงเสนอคำว่า “เอนโทรปี” (Entropy) ซึ่งแปลหยาบๆ ได้ว่า “ระดับความปั่นป่วนในระบบ” หรือ “พลังงานที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป”
.
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ “ลูกศรแห่งเวลา” (Arrow of Time)
.
.
9. ความตายทางความร้อนของจักรวาล (Heat Death of the Universe)
.
เอนโทรปีเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล เพราะมันบอกเราว่า จักรวาลไม่ได้เหมือนนาฬิกาที่เดินกลับได้ แต่เหมือน “โรงงานใหญ่ที่มีพลังงานรั่วไหลตลอดเวลา” หรือ “คาเฟ่ที่รสชาติกาแฟดีวันแรก แต่แย่ลงเรื่อยๆ โดยไม่สามารถชงกลับให้ดีเหมือนเดิม”
.
หากจักรวาลมีพลังงานรวมทั้งหมดเท่ากัน แต่เอนโทรปีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ก็แปลว่าในท้ายที่สุด ทุกสิ่งจะกระจายอย่างไร้โครงสร้าง โลกจะไม่มีอะไรทำงานได้อีก เพราะพลังงานที่มีไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
.
.
นี่คือ “ความตายทางความร้อน” ของจักรวาล (Heat Death of the Universe)
.
แนวคิดหลัก:
.
- เป็นสภาวะที่จักรวาลถึงจุดสมดุลทางอุณหพลศาสตร์ (thermodynamic equilibrium)
.
- เอนโทรปี (entropy) หรือความไม่เป็นระเบียบถึงค่าสูงสุด
.
- ไม่มีพลังงานอิสระเหลือสำหรับการทำงานใดๆ
.
- อุณหภูมิทุกจุดในจักรวาลเท่ากันหมด
.
.
กระบวนการ:
.
จักรวาลค่อยๆ สูญเสียพลังงานที่ใช้งานได้ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น:
.
-ดาวฤกษ์ทั้งหมดดับลง
.
- หลุมดำระเหยหายไปผ่านรังสี Hawking
.
- อนุภาคต่างๆ สลายตัว
.
- จักรวาลขยายตัวและเย็นลงเรื่อยๆ
.
.
ผลลัพธ์สุดท้าย:
.
- จักรวาลกลายเป็นที่ว่างเปล่า มืด และเย็นจัด
.
- ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นได้อีก
.
- ไม่มีชีวิตหรือโครงสร้างที่ซับซ้อนคงอยู่
.
.
10. แต่เดี๋ยวก่อน: แล้วทำไมสิ่งมีชีวิตถึง “เติบโต” ได้?
.
คำถามใหญ่ที่ Prigogine ตั้งคือ
.
“ถ้าเอนโทรปีต้องเพิ่ม แล้วเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ?”
.
นั่นสิ… ธรรมชาติกำลังเพิ่มความปั่นป่วน แล้วชีวิตล่ะ? มนุษย์ล่ะ? ระบบเศรษฐกิจล่ะ? ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้สวนทางกับเอนโทรปี เพราะยิ่งเวลาผ่านไป พวกมันยิ่งซับซ้อน ยิ่งมีระเบียบมากขึ้น
.
คำตอบแรกๆ คือ “อ้าว ก็เพราะพวกมันกินพลังงานจากภายนอก” เช่น ดวงอาทิตย์ หรืออาหาร แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่อธิบายว่า “แล้วพลังงานที่รับเข้ามา ถูกแปลงเป็นความซับซ้อนอย่างไร?”
.
Prigogine เข้ามาตอบคำถามนี้ด้วยการเปิดประตูสู่โลกของ เทอร์โมไดนามิกส์แบบไม่อยู่ในสมดุล (Non-equilibrium Thermodynamics)
.
.
11. ระบบไกลจากสมดุล
.
ในโลกจริง ไม่มีสิ่งใดอยู่ในสภาวะสมดุลแบบนิ่งๆ นานๆ เช่น คนเรามีอุณหภูมิ 37°C ได้เพราะร่างกายทำงานอย่างต่อเนื่อง สูบฉีด ถ่ายเทพลังงาน แลกเปลี่ยนสารเคมี และขับของเสีย
.
Prigogine เรียกระบบเหล่านี้ว่า “ระบบเปิด” (Open Systems) คือระบบที่แลกเปลี่ยนพลังงานกับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา
.
ระบบที่อยู่ “ไกลจากสมดุล” กลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ แม้กระทั่ง โครงสร้างที่เกิดจากความปั่นป่วนเอง โดยไม่ต้องมี “ผู้สร้าง”
.
แนวคิดนี้นำไปสู่สิ่งที่ Prigogine เรียกว่า “โครงสร้างที่สลายตัวได้” (Dissipative Structures) เช่น โครงสร้างทางเคมีที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนพลังงานในสภาวะไกลสมดุล
.
.
12. นาฬิกาเคมีและปริศนาของโมเลกุล
.
ตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องอ้าปากค้างคือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ปฏิกิริยาเคมีแบบนาฬิกา” (Chemical Clocks)
.
จินตนาการว่ามีสารเคมีผสมกันในหลอดทดลอง—แล้วอยู่ดีๆ ทั้งระบบก็เริ่มเปลี่ยนสี “เป็นจังหวะ” เหมือนนาฬิกา! ทั้งระบบเปลี่ยนจากใส → น้ำเงิน → เหลือง → ใส วนไปแบบนี้หลายสิบรอบ โดยไม่มี “ศูนย์ควบคุมกลาง” ใดๆ
.
นี่คือการเกิดระเบียบ จากความปั่นป่วน และเป็นปรากฏการณ์ที่ฝืนความเข้าใจของฟิสิกส์แบบเดิมอย่างรุนแรง
.
Prigogine เสนอว่า “การปะทะกันของฟลักซ์ พลังงาน และความวุ่นวาย” ทำให้ระบบเกิด self-organization หรือ การจัดระเบียบตนเอง ได้โดยไม่ต้องมีโปรแกรมตั้งไว้ก่อน
.
.
13. จากสารเคมี สู่ชีวิต สู่สมอง สู่สังคม
.
ระบบไกลสมดุลในเชิงเทอร์โมไดนามิกส์สามารถสร้าง “ขั้นบันได” แห่งการเปลี่ยนแปลงได้: จากโมเลกุล → ปฏิกิริยาเคมี → ระบบ feedback → การแตกสมมาตร (symmetry-breaking) → โครงสร้างใหม่
.
พูดอีกแบบคือ: เอนโทรปีไม่ใช่แค่ “ความวุ่นวายที่ล่มสลายทุกอย่าง” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มันคือ “สนามแห่งการกลายพันธุ์” ที่หากเงื่อนไขถูกต้อง—ความปั่นป่วนจะกลายเป็นโครงสร้างใหม่
.
นี่อาจเป็นคำอธิบายว่า ชีวิตเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีได้อย่างไร
.
และเมื่อไปไกลกว่านั้น…มันอาจอธิบายได้ว่าความคิดทางจิตวิทยา หรือระบบสังคม ก็อาจวิวัฒน์ขึ้นจากเงื่อนไขแบบเดียวกัน
.
.
14. โครงสร้างที่งอกงามจากความโกลาหล
.
“Chaos is not the opposite of order. It is the womb from which order is born.” - Ilya Prigogine
.
จักรวาลไม่ใช่แค่ ‘อยู่’ แต่ ‘กลายเป็น’
.
วิทยาศาสตร์แบบเดิมนั้นหมกมุ่นอยู่กับ “being” หรือ “สิ่งที่เป็นอยู่” — สภาวะที่นิ่ง สมมาตร มีสูตรฟิสิกส์กำกับ และสามารถย้อนกลับได้เสมอถ้ารู้ข้อมูลตั้งต้น
.
แต่ Prigogine กล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “โลกจริงไม่ได้เป็นเพียง being แต่มันคือ becoming”
.
จักรวาลกำลัง “เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” — และเปลี่ยนผ่าน “จุดวิกฤต” (bifurcation points) ที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแน่นอน จุดที่เสถียรภาพของระบบล่มสลาย และโครงสร้างใหม่ผุดขึ้นมาจาก ‘ฟลักซ์’ (flux) ที่หมุนวนไม่หยุด
.
ในจักรวาลของ Prigogine “เวลาไม่ใช่ผู้ชม” แต่มันคือ “ผู้เขียนบท” ของการวิวัฒน์แห่งสรรพสิ่ง
.
.
15. Fluctuations ปั่นป่วนเล็กๆ ที่เปลี่ยนโครงสร้างทั้งจักรวาล
.
หนึ่งในสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเทอร์โมไดนามิกส์ของ Prigogine คือการยอมรับว่า “fluctuation” หรือ “การสั่นไหวจิ๋วๆ แบบสุ่ม” ไม่ใช่แค่เสียงรบกวน แต่มันคือ “ศิลปินเอกที่วาดโครงสร้างใหม่”
.
ลองจินตนาการน้ำร้อนในหม้อหนึ่ง - ตอนแรกดูเหมือนจะเดือดแบบไร้แบบแผน แต่ถ้าอุณหภูมิถึงจุดหนึ่ง… โมเลกุลจะ “ตกลงกัน” โดยไม่มีใครสั่งการ และก่อโครงสร้างที่มีรูปหกเหลี่ยมหมุนวนขึ้นมาเหมือนรวงผึ้ง
.
นี่เรียกว่า การจัดระเบียบจากความผันผวน (Order through Fluctuations)
.
Prigogine บอกว่า ถ้าระบบอยู่ “ไกลจากสมดุล” มากพอ ความปั่นป่วนเล็กๆ อาจขยายตัวอย่างกะทันหัน เกิดการ “แตกสมมาตร” (symmetry-breaking) แล้วนำไปสู่ “โครงสร้างใหม่ที่เสถียรกว่าเดิม”
.
โครงสร้างแบบนี้เขาเรียกว่า Dissipative Structure = โครงสร้างที่ “อยู่ได้ด้วยการสูญเสียพลังงาน” โดยการเชื่อมต่อกับสิ่งแวดล้อม
.
พูดอีกแบบ: ถ้าคุณอยากอยู่รอด คุณต้อง “สลาย” อย่างมีสไตล์
.
.
16. การแตกสมมาตร
.
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญในวิวัฒนาการของระบบไกลสมดุลคือ การแตกสมมาตร (Symmetry-Breaking)
.
ยกตัวอย่างง่ายๆ: สมมติคุณวางดินสอไว้ตรงปลายจมูกดั้งแหลมของตัวตลกในละครสัตว์ — แน่นอนว่ามันล้ม แต่ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะล้มไปซ้ายหรือขวา เพราะแรงโน้มถ่วงมีผลเท่ากันทั้งสองฝั่ง
.
นั่นคือจุด bifurcation point = จุดที่ระบบต้อง “เลือกทางใดทางหนึ่ง” และทิศทางนั้นจะถูก “ล็อกไว้” ในโครงสร้างใหม่
.
การเลือกข้างโดยไม่มีเหตุผลภายนอกนี่เองที่ทำให้ระบบที่กำลังวิวัฒน์ “ไม่สามารถพยากรณ์ได้ 100%”
.
และนี่คือประตูแห่ง “ความเป็นไปได้ใหม่” ที่เปิดสู่จักรวาล
.
.
17. Time จาก “ผู้ร้าย” กลายเป็น “พระเอก”
.
ในวิทยาศาสตร์แบบเก่า เวลาเป็นศัตรู เพราะมันทำลายสมมาตร ทำให้โลกเปลี่ยน และไม่สามารถย้อนกลับได้
.
แต่ Prigogine เสนอว่า เวลาไม่ใช่ศัตรูของระเบียบ แต่ตรงกันข้าม มันคือ “พลังสร้างสรรค์”
.
เขาอธิบายว่า ในระบบที่ซับซ้อน เวลาเป็น “เครื่องมือคัดเลือก” โครงสร้างที่อยู่รอดจากความปั่นป่วน ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Feedback Evolution”
.
การที่สิ่งมีชีวิตรอดมาได้ ไม่ใช่เพราะมัน “อยู่เฉยๆ” แล้วสมดุล แต่เพราะมันเรียนรู้ที่จะ “ตอบสนอง” ต่อความไม่แน่นอน และจัดระเบียบตัวเองใหม่เรื่อยๆ
.
“เวลาไม่ใช่นาฬิกา แต่มันคือผู้คัดเลือกทางธรรมชาติ”
.
.
18. Logistic Evolution วิวัฒนาการแบบวนเกลียว
.
Prigogine เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงของระบบในธรรมชาติมักไม่เป็นเส้นตรง แต่มักมีลักษณะเป็น “ลูป” ที่มีการขยาย-หด, เสถียร-ไม่เสถียร, สร้าง-สลาย อย่างต่อเนื่อง
.
เขาใช้คำว่า “Logistic Evolution” แทนการวิวัฒน์แบบดาร์วินที่ใช้การคัดเลือกเท่านั้น
.
ที่สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่วิวัฒน์ได้ - สารเคมี, อุณหภูมิ, ระบบอากาศ, เศรษฐกิจ, และความคิดของเรา… ก็ใช้ลูปนี้เช่นกัน
.
จักรวาลไม่ได้เป็นบันไดที่ปีนขึ้นอย่างมั่นคง แต่มันคือ “กระแสน้ำวน” ที่หมุนเกลียวขึ้นและลงแบบมีพลวัต
.
.
19. โลกเปิด เปิดเพื่อเรียนรู้ เปิดเพื่อเปลี่ยนแปลง
.
แนวคิด “โลกเปิด” (Open World) ปฏิเสธความคิดเก่าแบบปิดตาย เช่น โลกที่มีสูตรคงที่, ตัวแปรครบถ้วน, และผลลัพธ์ที่ตายตัว
.
Prigogine เสนอว่า ในโลกจริง:
.
เราไม่สามารถควบคุมทุกตัวแปรได้
ความสุ่มคือส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบ
ระบบที่อยู่รอดได้ต้องไม่แค่ “เสถียร” แต่ต้อง “พลิกแพลงได้”
.
นี่ทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่ “เปิดต่ออนาคต” แทนที่จะเป็นศาสตร์ที่ “สรุปอดีต”
.
และในมุมของมนุษย์ - เราไม่ได้อยู่ในจักรวาลที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว เราอยู่ในจักรวาลที่ยัง “แต่งอยู่” เหมือนบทกวีที่ยังไม่เขียนจบ
.
.
20. ความไม่แน่นอนของควอนตัม
.
“ถ้าเทพเจ้าของฟิสิกส์คลาสสิกคือจักรกลผู้แน่นอน
เทพเจ้าของโลกควอนตัมคือกวีผู้โยนลูกเต๋า”
.
โลกที่ไม่มีใครรู้ว่า ‘จะเกิดอะไรต่อไป’
.
ถึงจุดนี้ของหนังสือ Prigogine ได้ลากเราออกจากจักรวาลแบบกลไกมาสู่โลกที่เต็มไปด้วยพลังวุ่นวายที่สร้างระเบียบของมันเอง แต่เขายังไม่หยุดแค่นั้น
.
เขาเดินหน้าท้าทายโลกของกลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นดินแดนแห่งความ “ไม่แน่นอน” และ “แปลกประหลาด” จนทำให้นักฟิสิกส์ต้องปวดหัวมานับศตวรรษ
.
เขาไม่ได้จะปฏิเสธควอนตัม หากแต่จะเสนอวิธี “จัดการกับเวลา” และ “ความไม่แน่นอน” แบบใหม่ที่ทำให้ฟิสิกส์คลาสสิกและควอนตัมกลับมาคุยกันได้อีกครั้ง ในโลกที่มี “เวลา” อยู่จริง
.
.
21. อนุภาคที่มีพฤติกรรมเหมือนผี
.
กลศาสตร์ควอนตัมถือกำเนิดในต้นศตวรรษที่ 20 โดยค้นพบว่าอะตอมไม่ใช่ก้อนกลมๆ ที่โคจรแบบดาวเคราะห์ แต่เป็นระบบที่อธิบายได้ด้วย “ความน่าจะเป็น” (probability)
.
Heisenberg ประกาศว่า เราไม่สามารถวัดตำแหน่งและความเร็วของอนุภาคได้พร้อมกันอย่างแม่นยำ (Uncertainty Principle) ขณะที่ Schrödinger สร้างสมการคลื่นที่บรรยายอนุภาคราวกับเป็น “เสียงสะท้อนแห่งความเป็นไปได้”
.
ในโลกควอนตัม อนุภาคสามารถอยู่ในสองสถานะพร้อมกัน (superposition), เคลื่อนผ่านกำแพงที่ไม่ควรผ่านได้ (tunneling), และดูเหมือนจะเปลี่ยนพฤติกรรมทันทีที่มีคนสังเกต (observer effect)
.
สำหรับนักฟิสิกส์ยุคก่อน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องแปลก แต่มันคือ “การล่มสลายของโลกแบบเดิม”
.
.
22. เวลาในควอนตัม
.
แม้กลศาสตร์ควอนตัมจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่ยัง “ถอดแบบจากฟิสิกส์เก่า” คือเวลาในสมการยังคง “ย้อนกลับได้” และไม่มีลูกศรของตัวเอง
.
นั่นแปลว่า…ถึงควอนตัมจะสุ่มแค่ไหน แต่ถ้าคุณรู้สถานะทั้งหมดในตอนนี้ คุณสามารถ “คำนวณไป-กลับ” ได้เหมือนเดิม
.
Prigogine เห็นว่านี่คือ “ร่องรอยสุดท้ายของเทพเจ้าแห่งความแน่นอน” ที่ยังฝังตัวอยู่ในฟิสิกส์ยุคใหม่
.
เขาจึงตั้งคำถาม:
.
ถ้าทุกอย่างมีแนวโน้มเสื่อมลง (entropy) แล้วทำไมควอนตัมไม่มีเวลา?
.
และถ้าโลกคือกระบวนการกลายเป็น (becoming) ทำไมเรายังพยายามอธิบายมันด้วยสิ่งที่ ‘คงอยู่’ (being)?
.
.
23. แรงกระแทกของ Boltzmann จากสุ่มสู่โครงสร้าง
.
Prigogine หันกลับไปหาผู้กล้าคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟิสิกส์ Ludwig Boltzmann นักฟิสิกส์ออสเตรียผู้พยายามเชื่อมสถิติ (statistical mechanics) เข้ากับเทอร์โมไดนามิกส์
.
Boltzmann คือคนแรกๆ ที่กล้าบอกว่า “เอนโทรปีคือเรื่องของความน่าจะเป็น” ไม่ใช่คำสาปของจักรวาล
.
เขาเสนอว่า หากเรามองอะตอมเป็นกลุ่มโมเลกุลที่เคลื่อนไหวอย่างสุ่ม ระบบจะพัฒนาไปสู่สถานะที่ “มีความเป็นไปได้สูงสุด” ซึ่งก็คือสถานะที่ไม่มีระเบียบนั่นเอง
.
แต่ Boltzmann ถูกต่อต้านอย่างหนักจากนักฟิสิกส์ในยุคนั้น โดยเฉพาะพวกที่เชื่อว่าฟิสิกส์ควร “แน่นอนเหมือนเรือนนาฬิกา”
.
ท้ายที่สุด Boltzmann ฆ่าตัวตาย แต่ทฤษฎีของเขาได้กลายมาเป็นเสาหลักของฟิสิกส์ยุคใหม่ และชื่อของเขาถูกสลักไว้ในสมการเอนโทรปีบนหลุมศพของเขาเอง
.
.
24. Prigogine สานต่อ เวลาคือผลผลิตของความสุ่ม
.
Prigogine นำแนวคิดของ Boltzmann มาสร้าง “ฟิสิกส์ของเวลา” โดยชี้ว่า
.
เวลาไม่ได้เป็นสิ่งเริ่มต้น แต่มัน “เกิดขึ้น” จากความสุ่ม
.
เขาเสนอว่า เมื่อระบบซับซ้อนถึงจุดหนึ่ง ฟลักซ์และฟลักชูเอชัน (fluctuations) ที่สะสม จะสร้าง “ทิศทาง” ให้กับการเปลี่ยนแปลงของระบบ
.
→ ทิศทางนี้เองที่เรามองว่าเป็น “เวลา”
.
กล่าวอีกแบบ:
.
โลกของนิวตัน: เวลา = แกนของสูตรคงที่
.
โลกของ Prigogine: เวลา = ผลผลิตจากระบบที่กำลังวิวัฒน์
.
ความสุ่มไม่ใช่แค่เสียงรบกวน แต่คือ “เครื่องยนต์ของเวลา”
.
.
25. ไดนามิกส์ vs เทอร์โมไดนามิกส์
.
นักฟิสิกส์เคยแบ่งวิชาออกเป็น “สองโลก”
.
Dynamical world = โลกของกลศาสตร์แบบย้อนกลับได้, มีสูตรคงที่, ไม่แคร์เวลา
.
Thermodynamical world = โลกของเอนโทรปี, การเสื่อมสภาพ, ลูกศรของเวลา
.
ปัญหาคือ: สองโลกนี้พูดคนละภาษา และไม่มีใครเชื่อว่ามันจะคุยกันรู้เรื่อง
.
แต่ Prigogine บอกว่า…ความจริงแล้ว มันคือโลกเดียวกันต่างหาก เพียงแต่เรามองไม่เห็น “รอยต่อ”
.
เขาเสนอว่า ถ้าเราศึกษา “ความสัมพันธ์เชิงเวลาของความน่าจะเป็น” และการเปลี่ยนแปลงในระบบไกลสมดุล เราจะเห็นว่าไดนามิกส์และเทอร์โมไดนามิกส์ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นคนละเฟสของจักรวาลเดียวกัน
.
.
26. ความไม่แน่นอนในโลกที่ ‘จัดระเบียบตัวเอง’
.
Prigogine ไม่ได้แค่เสนอว่า “เวลามีจริง” เขายังบอกด้วยว่า ความไม่แน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่ควรกำจัด แต่มันคือ “กลไกของความคิดสร้างสรรค์”
.
ในโลกที่ทุกอย่างสามารถจัดระเบียบตัวเองจากความปั่นป่วน (self-organization), ความไม่แน่นอนเป็นตัว “เปิดช่องทางใหม่” ให้กับวิวัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นเคมี สมอง หรืออารยธรรม
.
โลกไม่จำเป็นต้องมีศูนย์กลาง, ผู้ออกแบบ, หรือสูตรลับนิรันดร์
แต่โลกสามารถสร้างตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ จากพลวัตของมันเอง ในแบบที่ไม่มีใครคาดเดาได้แน่ชัด
.
พูดอีกแบบ
.
โลกเดิม: เราต้องรู้ทุกตัวแปร ถึงจะทำนายอนาคตได้
.
โลกของ Prigogine: ต่อให้รู้ทุกตัวแปร ก็ยังมีบางจุดที่อนาคต “แตกแขนง” ได้เสมอ
.
.
27. โลกที่เวลาไหลข้างเดียว
.
“Entropy is not the enemy of life. It is the condition of life.” – Ilya Prigogine
.
ฟิสิกส์คลาสสิกเคยให้ภาพของจักรวาลที่งดงาม สมมาตร และไร้ทิศทางของเวลา โลกที่คุณสามารถกรอเทปเดินหน้าหรือถอยหลังได้พอๆ กัน
.
แต่ Prigogine พูดตรงๆ ว่า โลกของเราจริงๆ แล้ว “ไม่ถอยกลับ” และ “ไม่มีการย้อนอดีตอย่างสมบูรณ์”
.
นี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า “เอนโทรปีบาเรีย” (Entropy Barrier) = ด่านพลังงานที่ไม่มีทางข้ามไปได้ เวลาคือถนนเดินเดียว และเอนโทรปีคือผู้รักษาประตูที่ไม่เคยหลับ
.
แต่แทนที่เขาจะมองเอนโทรปีว่าเป็นปีศาจผู้ฆ่าระเบียบ Prigogine กลับมองว่ามันคือ “กระแสที่หล่อเลี้ยงวิวัฒนาการ”
.
.
28. เอนโทรปีไม่ใช่การล่มสลายเสมอไป
.
Prigogine ย้ำว่า “เอนโทรปีคือกระบวนการเลือกทางของระบบ”
.
เมื่อระบบไกลจากสมดุล มันจะเจอกับทางแยก (bifurcation points) ที่สามารถนำไปสู่ระเบียบแบบใหม่ได้ แต่ไม่ใช่ทุกเส้นทางจะนำไปสู่ชีวิตหรือความซับซ้อน บางเส้นทางก็แค่พัง
.
เอนโทรปีจึงไม่ใช่ “พลังทำลาย”
แต่มันคือกลไกแห่งการคัดเลือก
.
.
29. ความไม่กลับคืน = การหักสมมาตร
.
Prigogine อธิบายว่า ในฟิสิกส์ระดับจุลภาค (เช่น โลกควอนตัม) การแลกเปลี่ยนพลังงานสามารถ “ย้อนกลับ” ได้ในทฤษฎี
.
แต่เมื่อระบบกลายเป็น “ไกลสมดุล” และมีฟลักซ์ขนาดใหญ่—มันจะเริ่ม “เลือกข้าง” (break symmetry) เช่น:
.
ความร้อนจะไหลจากร้อน → เย็น
แก๊สจะกระจายตัว แต่ไม่รวมตัวเองกลับ
ชีวิตจะเติบโตและแก่ลง แต่ไม่สามารถย้อนกลับไปสู่วัยเด็กได้
.
ทั้งหมดนี้คือ การแตกสมมาตรของเวลา
.
และทุกครั้งที่ระบบตัดสินใจแบบนี้ มันได้สร้าง “อดีต” และ “อนาคต” ขึ้นมาในทางฟิสิกส์
.
.
30. จากอนุภาค สู่โครงข่ายของความสัมพันธ์
.
หนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังที่สุดของ Prigogine คือ “correlations” หรือความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบของระบบ
.
ในอดีต ฟิสิกส์พยายามแยกสิ่งต่างๆ ออกจากกันเพื่อหากฎ เช่น คำนวณพฤติกรรมของอนุภาคเดี่ยวๆ แบบโดดๆ
.
แต่ในโลกจริง อนุภาคไม่เคย “อยู่อย่างโดดเดี่ยว” พวกมันส่งผลต่อกันแม้อยู่ห่างกัน หรือเกิดการสั่นประสานแบบซิงโครไนซ์ในระบบใหญ่
.
ในระบบที่ซับซ้อน ความสัมพันธ์เหล่านี้จะ “กลายเป็นตัวละครหลัก” แทนที่อนุภาคเดี่ยวๆ
.
→ จาก กลศาสตร์ของวัตถุเดี่ยว → สู่ พลวัตของระบบร่วม
.
.
31. เวลา = ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง
.
Prigogine ชี้ว่าเวลาไม่ใช่แกนคงที่แบบเส้นตรง แต่คือ “ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงโครงข่ายของความสัมพันธ์”
.
ในระบบที่อยู่ใกล้สมดุล เช่น แก๊สในขวด - การเคลื่อนที่ของอนุภาคดูสุ่ม และไม่มีทิศทางของเวลาให้เห็นชัด
.
แต่เมื่อระบบอยู่ “ไกลจากสมดุล” เช่น การเต้นของหัวใจ, พายุหมุน, หรือสมองของมนุษย์
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงแบบมีทิศทาง (irreversible correlations)
.
ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่สามารถย้อนคืนได้
.
.
32. Active Matter: สสารแอคทีฟ
.
Prigogine แนะนำแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Active Matter หรือ “สสารที่มีความสามารถในการตอบสนอง-วิวัฒน์-และคัดเลือกตัวเอง” ซึ่งต่างจากสสารทั่วไปที่เคลื่อนที่แบบสุ่มตามอุณหภูมิ
.
สิ่งมีชีวิตไม่ใช่เพียงกองโมเลกุลที่เคลื่อนไหว แต่คือระบบที่มีการประมวลผลฟลักซ์ ความไม่สมดุล และตอบสนองด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ
.
→ เซลล์สามารถ “เลือกทาง”
→ สมองสามารถ “เปลี่ยนเส้นทางสัญญาณ”
→ อารยธรรมสามารถ “ปรับระบบเพื่อความอยู่รอด”
.
.
ลักษณะสำคัญของ Active Matter
.
- แต่ละหน่วยใช้พลังงาน (จากภายในหรือสิ่งแวดล้อม) เพื่อเคลื่อนที่
.
- ไม่อยู่ในสภาวะสมดุลทางอุณหพลศาสตร์
.
- แสดงพฤติกรรมรวมหมู่ (collective behavior) ที่ซับซ้อน
.
- สามารถจัดระเบียบตัวเอง (self-organization) ได้
.
.
ตัวอย่าง:
.
- ระดับจุลภาค: แบคทีเรีย, อสุจิ, เซลล์เม็ดเลือดขาว
.
- ระดับมหภาค: ฝูงนก, ฝูงปลา, ฝูงมด, ฝูงชน
.
- ระดับโมเลกุล: motor proteins ในเซลล์, cytoskeleton
.
.
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ:
.
- Flocking: การเคลื่อนที่เป็นฝูงแบบประสานกัน
.
- Swarming: การรวมกลุ่มและแยกกลุ่มแบบพลวัต
.
- Pattern formation: การสร้างรูปแบบที่ซับซ้อนจากกฎง่ายๆ
.
- Phase transitions: การเปลี่ยนสถานะระหว่างการเคลื่อนที่แบบไม่เป็นระเบียบและเป็นระเบียบ
.
Active Matter เป็นสหวิทยาการที่รวมฟิสิกส์ ชีววิทยา และวิศวกรรมศาสตร์ ช่วยให้เราเข้าใจระบบที่มีชีวิตและสร้างเทคโนโลยีใหม่ที่เลียนแบบธรรมชาติ
.
.
33. Entropy as Selection Principle
.
หัวใจของเรื่องนี้คือข้อเสนออันแหลมคม
.
“เอนโทรปีไม่ใช่แค่การกระจายตัวของพลังงาน แต่มันคือ ‘หลักคัดเลือก’ ที่ใช้เฟ้นหาระบบที่อยู่รอดได้จริง”
.
Prigogine ได้พลิกโฉมความเข้าใจเรื่องเอนโทรปีจากมุมมองดั้งเดิมที่มองว่าเป็นตัวการแห่งความไร้ระเบียบ มาสู่การเป็น "พลังสร้างสรรค์" ที่ขับเคลื่อนการเกิดความซับซ้อนในธรรมชาติ
.
ในโลกที่เต็มไปด้วยฟลักซ์ มีแต่ระบบที่ “กลายเป็นสิ่งใหม่จากความวุ่นวาย” ได้เท่านั้นที่จะอยู่รอด
.
นั่นแปลว่า
.
“เอนโทรปี” คัดกรองโครงสร้างที่ไม่เสถียรออกไป
.
“ความสุ่ม” เปิดทางให้กับนวัตกรรม
.
และ “เวลา” เป็นเครื่องมือที่จักรวาลใช้ในการเลือกเส้นทางวิวัฒน์
.
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

A Brief History of Time มหากาพย์แห่งกาลอวกาศ เขียนโดย Stephen Hawking

Next
Next

สรุปหนังสือ The Singularity Is Near เขียนโดย Ray Kurzweil