A Brief History of Time มหากาพย์แห่งกาลอวกาศ เขียนโดย Stephen Hawking

มีหนังสือไม่กี่เล่มที่สามารถพาเราออกเดินทางจากจุดกำเนิดของเอกภพไปจนถึงขอบเขตของหลุมดำ ในขณะที่ยังคงสอดแทรกอารมณ์ขันแบบเนิร์ดๆ และความลุ่มลึกทางวิชาการอย่างแนบเนียน — A Brief History of Time ของ Stephen Hawking คือหนึ่งในนั้น
.
นี่ไม่ใช่หนังสือฟิสิกส์ธรรมดาที่มีแต่สมการยาวเหยียดจนทำให้คนอ่านร้องไห้ แต่เป็นมหากาพย์แห่งจักรวาลที่แปลทฤษฎีสุดล้ำออกมาเป็นภาษาที่แม้แต่คนไม่รู้จัก E=mc² ก็ยังซาบซึ้งได้ (และอาจจะร้องไห้ด้วยเหตุผลอื่น เช่น ความงามของความจริง หรือการตระหนักว่าตัวเองเป็นเพียงฝุ่นดาวในจักรวาลอันไพศาล)
.
.
----------------------------------
.
[ จักรวาลเกิดมาได้ยังไง? ]
.
.
เรื่องเริ่มต้นด้วยคำถามใหญ่ของมนุษยชาติ: "จักรวาลเกิดขึ้นมาได้ยังไง?" ซึ่งหากย้อนเวลากลับไปสัก 13.8 พันล้านปี (ตามการคำนวณล่าสุด) เราจะพบว่ามันไม่ได้เริ่มจากความว่างเปล่าแบบที่หลายคนเข้าใจ แต่มันคือ "ซุปควอนตัม" (quantum soup) ที่แน่นแออัดไปด้วยพลังงานสูงปรี๊ดเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ — พลังงานมหาศาลในปริมาตรเล็กกว่าหัวเข็มหมุดที่อุณหภูมิสูงเกินล้านล้านองศา
.
จากเหตุการณ์บิ๊กแบง (Big Bang) — จักรวาลก็เกิดขึ้นพร้อมกับพื้นที่, เวลา, และกฎฟิสิกส์ที่เรารู้จัก Hawking อธิบายว่า การถามว่า "มีอะไรก่อนบิ๊กแบง" เป็นคำถามที่ไม่มีความหมาย เพราะ "ก่อน" เป็นแนวคิดของเวลา ซึ่งไม่มีอยู่ก่อนการเกิดของจักรวาล — เหมือนกับการถามว่า "อะไรอยู่ทางเหนือของขั้วโลกเหนือ?" (ลองคิดดู แล้วคุณจะรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย)
.
และที่น่าทึ่งคือ จักรวาลกำลังขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น (ใช่! ตอนนี้โต๊ะที่คุณนั่งอยู่ก็กำลังเคลื่อนที่ออกจากกาแล็กซีอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่มันช้าจนคุณไม่รู้สึก) Edwin Hubble นักดาราศาสตร์ผู้เฝ้าสังเกตกาแล็กซีจำนวนมากพบว่า แสงจากกาแล็กซีที่ห่างออกไปมีความยาวคลื่นเปลี่ยนไป (Redshift) ซึ่งเป็นหลักฐานว่าพวกมันกำลังเคลื่อนที่ออกจากเรา — เหมือนกับเสียงไซเรนที่เปลี่ยนความถี่เมื่อเคลื่อนที่ผ่านเรา แต่ในกรณีนี้เป็นแสงแทนเสียง
.
.
----------------------------------
.
[ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ]
.
.
Hawking พาเราเดินทางจาก Newton ผู้คิดค้นกฎแรงโน้มถ่วง (และถูกทิ่มหัวด้วยแอปเปิ้ล... หรืออาจจะไม่?) ไปสู่ Einstein ผู้มอบสูตรพลังงานระดับเปลี่ยนโลกให้กับมนุษยชาติ (และช่วยคิดค้นทฤษฎีที่ทำให้หนัง Interstellar มีฉากบีบหัวใจเกี่ยวกับเวลาที่ไหลช้าใกล้หลุมดำ)
.
ทฤษฎีสัมพัทธภาพของ Einstein แบ่งออกเป็นสองส่วน:
.
1. ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (Special Relativity) ที่บอกเราว่า:

- ความเร็วแสงคงที่ในทุกกรอบอ้างอิง (299,792,458 เมตรต่อวินาที)

- เวลาและระยะทางไม่ใช่ค่าคงที่แต่ขึ้นอยู่กับความเร็ว

- มวลและพลังงานสามารถแปลงเป็นกันและกันได้ตามสมการ E=mc²
.
ซึ่งหมายความว่า ถ้าคุณเดินทางด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง เวลาของคุณจะเดินช้าลงเมื่อเทียบกับคนที่อยู่นิ่งๆ — ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "การยืดของเวลา" (time dilation) และเป็นเหตุผลที่ทำให้นักบินอวกาศที่เดินทางด้วยความเร็วสูงจะแก่ช้ากว่าคนบนโลก (ที่จริงแล้ว นาฬิกาปรมาณูบน GPS ก็ต้องชดเชยผลกระทบนี้ด้วย ไม่งั้นคุณอาจจะหลงทางกลางป่าเพราะตำแหน่งคลาดเคลื่อนหลายกิโลเมตร)
.
2. ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Relativity) ที่อธิบายว่า:

- แรงโน้มถ่วงไม่ใช่แรงดึงดูด แต่เป็นการโค้งงอของกาลอวกาศ (spacetime)

- วัตถุที่มีมวลทำให้ผืนผ้ากาลอวกาศบิดเบี้ยว เหมือนลูกบอลที่วางบนเตียงที่ยุบตัวลง

- แสงเดินทางตามเส้นทางโค้งของกาลอวกาศ (ทำให้เกิดปรากฏการณ์เลนส์ความโน้มถ่วง หรือ gravitational lensing)
.
นี่คือเหตุผลที่ทำให้นาฬิกาบนดาวเคราะห์ที่มีแรงโน้มถ่วงสูงเดินช้ากว่าบนโลก — ผู้กำกับหนัง Interstellar Christopher Nolan ถึงกับจ้างนักฟิสิกส์ Kip Thorne มาคำนวณว่าเวลาบนดาวเคราะห์ใกล้หลุมดำจะเดินช้าลงเท่าไร (1 ชั่วโมงบนดาวเคราะห์ = 7 ปีบนโลก) ซึ่งไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นฟิสิกส์จริงๆ!
.
.
----------------------------------
.
[ หลุมดำ ]
.
.
Hawking มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเกี่ยวกับหลุมดำ — วัตถุที่มีความหนาแน่นสูงมาก จนแม้แต่แสงก็ไม่สามารถหลุดจากแรงโน้มถ่วงของมัน
.
หลุมดำเกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ (อย่างน้อย 20 เท่าของดวงอาทิตย์) หมดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์และยุบตัวเข้าหาศูนย์กลาง การยุบตัวนี้ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงมหาศาล จนกระทั่งอนุภาคทั้งหมดถูกบีบอัดเข้าด้วยกันเป็นจุดที่มีความหนาแน่นอนันต์ (singularity) — จุดที่กฎฟิสิกส์ที่เรารู้จักล้มเหลว
.
รอบหลุมดำมีขอบเขตที่เรียกว่า "ขอบฟ้าเหตุการณ์" (event horizon) ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีอะไรหลุดรอดได้ แม้แต่แสง เมื่อคุณผ่านจุดนี้ไป ไม่มีทางย้อนกลับ — คุณจะถูกดึงเข้าสู่ใจกลางหลุมดำด้วยแรงโน้มถ่วงที่สูงมากๆ จนร่างกายของคุณจะยืดยาวออกเป็นเส้นบางๆ ในกระบวนการที่นักฟิสิกส์เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "สปาเก็ตติฟิเคชัน" (spaghettification)
.
Hawking อธิบายว่า ในหลุมดำที่มวลมหาศาล เช่น Sagittarius A* ที่ใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือก (มวลประมาณ 4 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์) แรงโน้มถ่วงที่ขอบฟ้าเหตุการณ์อาจไม่รุนแรงพอที่จะทำให้คุณกลายเป็นสปาเก็ตตี้ทันที — คุณอาจมีชีวิตอยู่นานพอที่จะสังเกตว่าทุกอย่างรอบตัวเร่งความเร็วขึ้น และจักรวาลภายนอกดูเหมือนจะเร่งเวลาเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ (แต่ในที่สุด คุณก็จะยังกลายเป็นสปาเก็ตตี้อยู่ดี — ไม่มีทางหลบหนี)
.
.
----------------------------------
.
[ ควอนตัม ]
.
.
ถ้าใครคิดว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพบ้าแล้ว ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของกลศาสตร์ควอนตัม ที่เต็มไปด้วยอิเล็กตรอนที่สามารถอยู่สองที่พร้อมกัน, อนุภาคที่เปลี่ยนสถานะเมื่อมีคนมอง, และความเป็นไปได้ที่แมวของชโรดิงเงอร์อาจจะทั้งเป็นและตายในเวลาเดียวกัน
.
กลศาสตร์ควอนตัมพัฒนาขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักฟิสิกส์อย่าง Max Planck, Niels Bohr, Werner Heisenberg และ Erwin Schrödinger เพื่ออธิบายพฤติกรรมแปลกประหลาดของอนุภาคในระดับจุลภาค หลักการสำคัญมีดังนี้
.
1. หลักความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ของ Heisenberg:

- เราไม่สามารถรู้ทั้งตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคได้อย่างแม่นยำพร้อมกัน

- ยิ่งรู้ตำแหน่งแม่นยำเท่าไร ยิ่งไม่รู้ความเร็วมากเท่านั้น (และในทางกลับกัน)

- นี่ไม่ใช่ข้อจำกัดของเครื่องมือวัด แต่เป็นธรรมชาติของจักรวาลเอง
.
2. ความสองนัย คลื่น-อนุภาค (Wave-Particle Duality):

- อนุภาคเล็กๆ เช่น อิเล็กตรอนและโฟตอน แสดงคุณสมบัติทั้งของคลื่นและอนุภาค

- ในการทดลองสองช่อง อนุภาคเดี่ยวสามารถแทรกสอดกับตัวเองได้ เหมือนกับว่ามันผ่านทั้งสองช่องพร้อมกัน

- แต่เมื่อเราพยายามสังเกตว่ามันผ่านช่องไหน มันกลับแสดงตัวเป็นอนุภาคและเลือกผ่านเพียงช่องเดียว
.
3. ความพัวพัน (Entanglement):

- อนุภาคสองตัวสามารถเชื่อมโยงกันได้โดยไม่ขึ้นกับระยะทาง

- เมื่อวัดสถานะของอนุภาคตัวแรก อนุภาคตัวที่สองจะแสดงสถานะที่สัมพันธ์กันทันที แม้จะอยู่คนละฟากของจักรวาล

- Einstein เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "การกระทำผีสางจากระยะไกล" (spooky action at a distance)
.
Hawking เขียนว่า "เมื่อคุณศึกษากลศาสตร์ควอนตัม คุณจะไม่เข้าใจมัน และถ้าคุณคิดว่าเข้าใจ นั่นแสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง" — ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนคำพูดของ Richard Feynman นักฟิสิกส์ผู้โด่งดัง
.
.
----------------------------------
.
[ การแผ่รังสีฮอว์คิง ทฤษฎีที่เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับหลุมดำ ]
.
.
Hawking ผสานทฤษฎีสัมพัทธภาพเข้ากับกลศาสตร์ควอนตัมและค้นพบสิ่งที่น่าทึ่ง: หลุมดำสามารถระเหยได้! — นั่นหมายความว่า หลุมดำไม่ได้ดำสนิทและอมทุกอย่างตลอดไป แต่สามารถค่อยๆ ปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบที่เรียกว่า Hawking Radiation
.
กลไกพื้นฐานของการแผ่รังสีฮอว์คิงมีดังนี้:
.
1. ในระดับควอนตัม อากาศว่างไม่ได้ว่างเปล่าจริงๆ แต่เต็มไปด้วย "คู่อนุภาค-ปฏิอนุภาค" ที่เกิดขึ้นและสลายตัวตลอดเวลา ตามหลักความไม่แน่นอนของ Heisenberg
.
2. เมื่อคู่เหล่านี้เกิดขึ้นใกล้ขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำ อนุภาคหนึ่งอาจถูกดูดเข้าไป ในขณะที่อีกอนุภาคหนึ่งอาจหลุดออกมา
.
3 อนุภาคที่หลุดออกมานี้คือการแผ่รังสีฮอว์คิง ส่วนอนุภาคที่ตกเข้าไปจะทำให้มวลของหลุมดำลดลงเล็กน้อย
.
เมื่อเวลาผ่านไปนานมาก ๆ (ประมาณ 10^67 ปีสำหรับหลุมดำขนาดเท่าดวงอาทิตย์) หลุมดำจะสูญเสียมวลทั้งหมดและหายไป — ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับสารสนเทศที่ตกลงไปในหลุมดำ เมื่อหลุมดำระเหยหมด สารสนเทศเหล่านั้นหายไปไหน? นี่คือที่มาของ "ปัญหาสารสนเทศหลุมดำ" (Black Hole Information Paradox) ที่นักฟิสิกส์ยังถกเถียงกันอยู่จนทุกวันนี้
.
.
----------------------------------
.
[ ทะลุมิติและการเดินทางข้ามเวลาเป็นไปได้หรือไม่? ]
.
.
Hawking ไม่ได้หลีกเลี่ยงคำถามน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาและการเดินทางระหว่างมิติ — แม้จะดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพและควอนตัมฟิสิกส์เปิดโอกาสให้เราสำรวจแนวคิดเหล่านี้ในแง่ของฟิสิกส์ที่เป็นไปได้:
.
1. รูหนอน (Wormholes): ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปอนุญาตให้มีโครงสร้างกาลอวกาศแบบรูหนอน — อุโมงค์ที่เชื่อมสองจุดในเอกภพเข้าด้วยกัน ทำให้การเดินทางระยะไกลเป็นไปได้ แต่ปัญหาคือ

- รูหนอนอาจจะไม่เสถียร และอาจยุบตัวทันทีที่มีสิ่งใดพยายามผ่านเข้าไป

- การรักษาให้รูหนอนเปิดอยู่ต้องใช้ "สสารติดลบ" ที่มีพลังงานติดลบ ซึ่งยังไม่มีหลักฐานว่ามีอยู่จริง

- มีข้อสงสัยว่าจะสร้างรูหนอนได้อย่างไรตั้งแต่แรก? (เหมือนไก่กับไข่)
.
2. การเดินทางข้ามกาลเวลา (Time Travel): ทฤษฎีสัมพัทธภาพไม่ได้ห้ามการเดินทางสู่อนาคต (ที่จริงเราทำได้แล้วผ่านการยืดของเวลา) แต่การเดินทางย้อนเวลากลับสู่อดีตมีปัญหาร้ายแรง:

- ข้อขัดแย้งแบบพาราด็อกซ์ของปู่ทวด (Grandfather Paradox): ถ้าคุณย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่ทวดตัวเอง คุณจะไม่เกิด แล้วใครจะย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่ทวด?

- Hawking เสนอ "สมมติฐานการปกป้องกาลเวลา" (Chronology Protection Conjecture) ที่ว่าธรรมชาติไม่อนุญาตให้มีวงวนเวลาปิด (closed timelike curves) ที่ทำให้การเดินทางย้อนเวลาเป็นไปได้
.
Hawking เขียนว่า "การเดินทางย้อนเวลาดูเหมือนจะถูกห้ามโดยกฎธรรมชาติที่ปกป้องกาลเวลาและทำให้ประวัติศาสตร์ปลอดภัยสำหรับนักประวัติศาสตร์" — เขาเชื่อว่าแม้ฟิสิกส์จะไม่ได้ห้ามอย่างชัดเจน แต่จะมีกลไกที่ป้องกันไม่ให้เกิดพาราด็อกซ์ทุกครั้ง
.
.
----------------------------------
.
[ จักรวาลคู่ขนานและทฤษฎี M ]
.
.
Hawking สำรวจแนวคิดที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับทฤษฎีหลายจักรวาล (Multiverse) และทฤษฎีสตริง (String Theory):
.
1. จักรวาลคู่ขนาน (Parallel Universes):

- ตามการตีความโคเปนเฮเกนของกลศาสตร์ควอนตัม ทุกความเป็นไปได้เกิดขึ้นจริงในเอกภพที่แตกต่างกัน

- ในเอกภพหนึ่ง คุณอาจเป็นนักฟิสิกส์ระดับโลก ในขณะที่อีกเอกภพหนึ่ง คุณอาจเป็นนักแสดงฮอลลีวูด

- Hawking เสนอว่า หลุมดำบางชนิดอาจเป็นประตูสู่จักรวาลอื่น แต่การเดินทางผ่านไปคงเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์
.
2. ทฤษฎี M และสตริง (M-Theory and String Theory):

- แนวคิดว่าอนุภาคพื้นฐานไม่ใช่จุด แต่เป็น "สตริง" สั่นสะเทือนในมิติที่แตกต่างกัน

- ทฤษฎีนี้พยายามรวมแรงทั้งสี่ในธรรมชาติ (แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน, แรงนิวเคลียร์อย่างแข็ง) เข้าด้วยกัน

- ตามทฤษฎีนี้ จักรวาลมี 11 มิติ โดย 7 มิติถูกม้วนเข้าด้วยกันเป็นขนาดเล็กมากจนเราไม่สามารถสังเกตเห็นได้ (เหมือนกับการที่ท่อน้ำจากระยะไกลดูเหมือนเส้น 1 มิติ แต่ความจริงมี 3 มิติ)
.
.
----------------------------------
.
[ อนาคตของจักรวาล ]
.
.
ถ้าจักรวาลกำลังขยายตัว แล้วมันจะขยายไปเรื่อยๆ หรือจะพังทลายกลับเป็นจุดเล็กๆเหมือนตอนที่มันเริ่ม? Hawking ได้นำเสนออนาคตที่เป็นไปได้ 3 แบบ:
.
1. Big Crunch (การยุบตัวครั้งใหญ่):

- ถ้าจักรวาลมีมวลมากพอ แรงโน้มถ่วงจะชนะการขยายตัวในที่สุด

- การขยายตัวจะช้าลง หยุด และกลับทิศทาง

- จักรวาลจะยุบตัวกลับไปเป็นจุดเล็กๆ อีกครั้ง — เหมือนบิ๊กแบงแบบย้อนกลับ
.
2. Big Freeze (การเย็นตัวครั้งใหญ่):

- ถ้าจักรวาลมีมวลไม่มากพอ การขยายตัวจะดำเนินต่อไปตลอดกาล

- ดาวฤกษ์จะหมดเชื้อเพลิงและดับลง กาแล็กซีจะห่างออกจากกันมากขึ้น

- จักรวาลจะกลายเป็นสถานที่มืดและเย็น ไร้แสง ไร้ความร้อน และไร้ชีวิต

- ในที่สุด แม้แต่หลุมดำก็จะระเหยหายไปผ่านการแผ่รังสีฮอว์คิง
.
3. Big Rip (การฉีกขาดครั้งใหญ่):

- ถ้าพลังงานมืด (Dark Energy) มีกำลังมากพอ การขยายตัวจะเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ

- กาแล็กซีจะถูกฉีกออกจากกัน ตามด้วยระบบดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ และในที่สุดแม้แต่อะตอมก็จะถูกฉีกขาด

- จักรวาลจะจบลงด้วยการแตกสลายของโครงสร้างทุกอย่าง
.
ข้อมูลล่าสุดจากการสังเกตการณ์ชี้ไปทาง Big Freeze หรืออาจเป็น Big Rip ในอนาคตอันไกล — แต่การค้นพบใหม่ๆ อาจเปลี่ยนมุมมองนี้ได้เสมอ
.
Hawking เน้นย้ำว่า แม้จักรวาลอาจจบลงในวันหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษยชาติต้องรอคอยโชคชะตาแบบไร้ความหวัง — เขาสนับสนุนให้มนุษย์ "มองไปยังดวงดาวและขยายขอบเขตของเผ่าพันธุ์ออกไป"
.
เขาเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะต้องกลายเป็น "เผ่าพันธุ์ระหว่างดวงดาว" (Interstellar Species) เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว โดยกระจายประชากรไปยังโลกอื่นๆ เพื่อป้องกันการสูญพันธุ์จากภัยพิบัติใดภัยพิบัติหนึ่ง Hawking เคยกล่าวว่า "ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกนี้ มนุษยชาติยังมีความเสี่ยง แต่ถ้าเราสามารถรอดพ้นช่วงเวลาอันตรายนี้ของการพัฒนาเทคโนโลยี เราจะกระจายตัวออกไปในอวกาศ และไปยังดาวและระบบดาวเคราะห์อื่น ๆ มนุษยชาติจึงจะปลอดภัย"
.
.
----------------------------------
.
[ Hawking และมุมมองต่อพระเจ้า ]
.
.
แม้ Hawking จะมักถูกเข้าใจว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า แต่ความจริงแล้ว มุมมองของเขาซับซ้อนกว่านั้น
.
- ในหนังสือ A Brief History of Time เขาพูดถึง "พระเจ้า" หลายครั้ง แต่มักจะใช้ในบริบทของกฎธรรมชาติและความเป็นระเบียบของจักรวาล
.
- เขากล่าวว่า "เราไม่จำเป็นต้องอ้างถึงพระเจ้าเพื่ออธิบายการเกิดของจักรวาล แต่ถ้าเราพบว่าจักรวาลมีการออกแบบอย่างชาญฉลาด นั่นอาจเป็นหลักฐานของการมีอยู่ของพระองค์"
.
- ในช่วงท้ายของชีวิต เขาโน้มเอียงไปทางความเป็นไปได้ที่ว่าจักรวาลสามารถก่อตัวเองได้โดยไม่ต้องมีผู้สร้าง — แต่เขาไม่เคยปฏิเสธความเป็นไปได้ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
.
.
----------------------------------
.
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบตั้งคำถามว่า "เราอยู่ที่นี่ได้ยังไง?", "จักรวาลจะเป็นอย่างไรต่อไป?", หรือแม้แต่ "เวลาเดินถอยหลังได้ไหม?" — หนังสือเล่มนี้คือของขวัญที่ Hawking ทิ้งไว้ให้กับมนุษยชาติ
.
A Brief History of Time เป็นการเดินทางทางปัญญาที่เต็มไปด้วยคำถามใหญ่เกี่ยวกับความเป็นมาและจุดหมายของเรา — มันสะท้อนให้เห็นธรรมชาติอันน่าพิศวงของมนุษย์ที่แม้จะเป็นเพียงฝุ่นดาวในจักรวาลอันกว้างใหญ่ แต่กลับสามารถเข้าใจกฎของธรรมชาติและใช้สมองอันมีขีดจำกัดของเราในการค้นพบความจริงอันไร้ขอบเขตครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ Order Out of Chaos เขียนโดย Ilya Prigogine