สรุปหนังสือ The Worlds I See: Curiosity, Exploration, and Discovery at the Dawn of AI เขียนโดย Dr. Fei-Fei Li

ถ้าโลกวิทยาศาสตร์เปรียบเสมือนเวทีละครใหญ่ Fei-Fei Li คงเป็นตัวละครที่ไม่ได้ขึ้นมาด้วยแสงสปอร์ตไลท์ทันที แต่เริ่มต้นจากมุมเล็กๆ เธอคือเด็กสาวผู้อพยพจากจีน ที่ต้องช่วยครอบครัวทำร้านซักรีด และแอบฝันถึงดวงดาวในยามค่ำคืน
.
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เส้นทางของเธอเต็มไปด้วยทั้งความบังเอิญและความดื้อรั้นเล็กๆ ที่สะสมจนกลายเป็นแรงผลักมหาศาล เปลี่ยนจากเด็กที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ไปสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้จุดประกายการปฏิวัติ AI ด้วย ImageNet และวางรากฐานแนวคิด Human-Centered AI ที่ทั่วโลกกำลังพูดถึง
.
หนังสือ The Worlds I See: Curiosity, Exploration, and Discovery at the Dawn of AI ไม่ได้เล่าเพียงประวัติศาสตร์ AI แต่มันเล่าเรื่องราวความเป็นมนุษย์ ความฝัน การล้มเหลว น้ำตา และเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่งที่เชื่อว่า “เทคโนโลยีจะไม่มีความหมายเลย ถ้าเราลืมความเป็นมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังมัน”
.
และเมื่ออ่านไป คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังเฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้น ทั้งอุ่นหัวใจ ทั้งน่าตื่นเต้น… แต่ก็อย่าลืมพกแว่นกันแดดนะครับ เพราะแสงของ AI บางทีมันก็สว่างไสวเจิดจ้าเกินกว่าที่ดวงตามนุษย์จะรับไว้ได้ทั้งหมด
.
.
=========================
.
ถ้าชีวิตคือภาพยนตร์ที่เราไม่ได้เป็นคนเลือกบท Fei-Fei Li ก็คงเปิดเรื่องด้วยฉากที่ค่อนข้างคอนทราสต์: เด็กสาวจีนวัยรุ่นที่ยืนอยู่ท่ามกลางจักรวาลในพิพิธภัณฑ์อวกาศของสหรัฐฯ ตาลุกวาวกับจรวดและเครื่องบิน แล้วตัดฉับไปยังอีกฉากหนึ่ง—ห้องพักแคบ ๆ ในสหรัฐฯ ที่ครอบครัวต้องเผชิญความจนและความเจ็บป่วยของแม่ ทุกอย่างดูไม่สอดคล้องกันเลย แต่ทั้งสองเส้นทางนั้นกลับมาบรรจบตรงจุดที่เธอกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้กำหนดอนาคตของ AI
.
.
1. จากเฉิงตูสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน
.
บ้านเกิดของเธอคือเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน เมืองที่วันนี้เราคุ้นจากอาหารเผ็ดร้อนและหมีแพนด้า แต่ในยุค 1970s–1980s นั้นเป็นภาพอีกแบบหนึ่งคือ จีนยังไม่เปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากนัก และชีวิตครอบครัวของ Fei-Fei เต็มไปด้วยเงาของความปั่นป่วนทางการเมืองที่ส่งผลต่อพ่อแม่เธอ
.
พ่อของเธอเป็นคนรักอิสระ ชอบธรรมชาติ และมักพา Fei-Fei ออกไปเดินป่า ชี้ให้เธอดูดวงดาวบนนภา เขาไม่ได้สอนด้วยตำรา แต่ใช้ความสงสัยเป็นไฟฉายส่องทางให้ลูก เหมือนจะบอกว่า โลกนี้กว้างกว่าห้องเรียนเยอะ ส่วนแม่เป็นอีกขั้วหนึ่ง มีความใฝ่รู้สูง ฉลาด แต่ถูกระบบและค่านิยมสังคมกดทับ ทำให้เธอไม่ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ ความทะเยอทะยานที่ถูกกักนั้นกลับส่งต่อมาเป็นแรงกดดันเชิงบวกให้ลูกสาว “อย่าปล่อยให้ความฝันถูกจำกัดเหมือนแม่”
.
ฉากหนึ่งที่ติดอยู่ในใจ Fei-Fei ตลอดคือการไปทัศนศึกษาพร้อมเพื่อน ๆ ในโรงเรียน เด็ก ๆ กางเต็นท์กลางป่า ฟังไกด์เล่าเรื่องตำนานของดวงดาว วีกา, อัลแตร์, และตำนาน Cowherd กับ Weaver Girl ที่ต้องพรากจากกันแต่ได้เจอกันปีละครั้งบนทางช้างเผือก เสียงเล่าผสมกับท้องฟ้ามืดสนิทไร้มลพิษ จุดประกายให้เด็กหญิงคนหนึ่งอยาก “รู้จักจักรวาล” มากกว่าที่ตำราเรียนจะบอกได้
.
.
2. ความไม่เท่าเทียมที่กลายเป็นเชื้อไฟ
.
ในโรงเรียน Fei-Fei เป็นเด็กเรียนดี แต่ก็ต้องเจอกับกำแพงที่ไม่ใช่วิชาไหนสอน นั่นคืออคติทางเพศ ครู (แม้กระทั่งครูผู้หญิง) พูดตรง ๆ ว่า “เด็กผู้ชายฉลาดกว่าในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์” แต่แทนที่จะทำให้ถอดใจ เธอกลับเปลี่ยนมันเป็นแรงผลักดัน ถ้าใครสั่งห้าม เธอยิ่งอยากทำให้ได้
.
ในอีกด้านหนึ่ง เธอมีวรรณกรรมเป็นหน้าต่างบานใหญ่ให้มองโลกกว้างออกไป หนังสือแปลตะวันตกอย่างเชกสเปียร์หรือวรรณกรรมรัสเซียไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่า แต่คือสัญญาณว่าชีวิตสามารถมี “ความเป็นไปได้” มากกว่าที่ถูกกำหนด เธอเริ่มเชื่อว่าความรู้คือวิธีเดียวที่จะฝ่าเพดานที่สังคมขีดไว้
.
.
3. การอพยพของครอบครัว
.
เมื่อ Fei-Fei เข้าสู่วัยรุ่น ครอบครัวต้องเผชิญการเปลี่ยนครั้งใหญ่ พ่อของเธอเลือกไปอเมริกาเพื่อสร้างอนาคต แต่การจากไปนั้นทิ้งรอยแผลความรู้สึกถูกทอดทิ้ง ส่วนแม่ก็ต้องรับภาระทั้งบ้าน ความกดดันถาโถมจนบ้านที่เคยอบอุ่นกลายเป็นที่อึดอัด เด็กสาวจึงหันหาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะฟิสิกส์ ซึ่งให้ทั้งความงดงามและความมั่นคงทางจิตใจ
.
ท้ายที่สุด ครอบครัวได้กรีนการ์ดและย้ายไปอเมริกา การอพยพครั้งนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความยากจน และภาษาที่เธอแทบไม่เข้าใจ แต่ภายใต้ความสับสนก็มีความหวังซ่อนอยู่
.
ความหวังว่าการศึกษาจะเป็นบันไดพาเธอขึ้นไปอีกระดับ
.
.
4. ช่องว่างทางวัฒนธรรมที่กำลังแคบลง
.
เมื่อครอบครัวย้ายจากจีนมาสหรัฐฯ ความรู้สึกแรกที่ Fei-Fei เจอคือ “ความแปลกแยก” โลกสองใบต่างกันเกินไป ประเทศจีนที่ยังอยู่ในเงาของการปฏิวัติวัฒนธรรม และอเมริกาที่กำลังทะยานเข้าสู่การปฏิวัติดิจิทัล
.
จีนมีบาดแผลจากความวุ่นวายทางการเมือง ครอบครัวเธอเองก็ได้รับผลกระทบ ส่วนอเมริกากลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นักคิดอย่าง Alan Turing และกลุ่มวิจัยที่ Dartmouth เคยประกาศตั้งแต่ปี 1956 ว่า “วันหนึ่งเครื่องจักรจะคิดได้เหมือนมนุษย์” นั่นคือจุดเริ่มต้นของสาขาที่เรียกว่า Artificial Intelligence
.
แต่ในสายตาของ Fei-Fei เด็กอพยพที่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง สิ่งเหล่านี้ดูห่างไกลสุด ๆ ระหว่างที่อเมริกาเริ่มปลุกปั้น AI เธอกับครอบครัวยังต้องกังวลว่าจะมีเงินพอจ่ายค่าเช่าบ้านหรือไม่
.
ความขัดแย้งนี้เองคือ “gulf” หรือช่องว่างที่เธอพูดถึง ช่องว่างระหว่างอดีตกับอนาคต ระหว่างโลกที่เธอมาจากกับโลกที่เธอกำลังเข้าไป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ gulf นั้น “narrowing” หรือกำลังแคบลง เพราะการศึกษาและความพยายามเริ่มทำให้เธอข้ามสะพานได้ทีละก้าว
.
.
5. Mentorship และแรงบันดาลใจใหม่
.
ในอเมริกา Fei-Fei ต้องปรับตัวกับทั้งภาษา วัฒนธรรม และความจน แต่แล้วก็มีแสงสว่างเล็ก ๆ จากคนรอบตัว หนึ่งในนั้นคือคุณครูคณิตศาสตร์ Mr. Sabella ผู้ที่เห็นศักยภาพของเด็กสาวเอเชียที่มักนั่งเงียบหลังห้อง เขาไม่ได้สอนแค่สูตรหรือทฤษฎี แต่ให้ความมั่นใจว่าเธอ “ทำได้”
.
สำหรับผู้อพยพที่ยังไม่รู้สึกเป็นเจ้าของที่นี่ คำพูดแบบนี้คือเชื้อเพลิงให้เดินต่อ Mentorship จึงกลายเป็นบทเรียนสำคัญ: เราไม่อาจเดินลำพังได้เสมอไป แต่ต้องการใครบางคนที่บอกว่าเส้นทางที่เราฝันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
.
Fei-Fei พบว่าวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะฟิสิกส์ ยังเป็นที่พึ่งของเธอ มันเป็นภาษาสากลที่ไม่ต้องแปล ไม่ว่าจะอยู่จีนหรืออเมริกา กฎแรงโน้มถ่วงก็คือกฎเดียวกัน
.
.
6. Discovering the Mind การเปิดประตูสู่สมอง
.
เมื่อได้เข้าเรียนที่ Princeton มันเหมือนการได้ก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์ แคมปัสสวย หนังสือในห้องสมุดล้นหลาม แต่สิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นที่สุดกลับไม่ใช่ห้องเรียนฟิสิกส์ แต่เป็น “ห้องทดลองสมอง”
.
หนึ่งในการทดลองที่เปลี่ยนชีวิตเธอคือการนั่งดูนักวิจัยทำงานกับแมวที่ถูกดมยาสลบ จากนั้นบันทึกสัญญาณสมองขณะที่มันรับภาพจากสิ่งเร้า แล้วแปลงสัญญาณนั้นออกมาเป็น “เสียง” เสียงที่เปลี่ยนแปลงตามการตอบสนองของสมอง
.
ลองจินตนาการว่าคุณนั่งอยู่ในห้องมืด ๆ ได้ยินเสียงประหลาดที่เหมือนการเต้นของจักรวาล นั่นไม่ใช่แค่เสียงลึกลับ แต่คือเสียงของสมองที่กำลัง “มองเห็น” โลก มันคือประสบการณ์ที่บอกกับ Fei-Fei ว่า “การเข้าใจสมองไม่ใช่เพียงวิทยาศาสตร์ แต่คือเวทมนตร์”
.
.
7. จากฟิสิกส์สู่ประสาทวิทยา
.
Fei-Fei เดิมทีคิดว่าตัวเองจะเดินบนเส้นทางฟิสิกส์ แต่การได้เห็นว่าสมองตีความข้อมูลได้อย่างไร ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามใหม่: “แล้วสติปัญญาคืออะไร?”
.
นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เธอขยับจากโลกฟิสิกส์บริสุทธิ์สู่โลกที่เชื่อมฟิสิกส์กับประสาทวิทยา เพราะสมองก็คือเครื่องจักรฟิสิกส์ชิ้นหนึ่ง แต่เป็นเครื่องจักรที่ซับซ้อนที่สุดในจักรวาล
.
ประสบการณ์ในแล็บ Berkeley ยิ่งตอกย้ำว่า นี่ไม่ใช่แค่ curiosity ชั่วคราว แต่คือ passion ระยะยาว เธอเริ่มเห็นเส้นทางชีวิตใหม่ว่า อนาคตของเธอคือการ “ถอดรหัสความฉลาด” ไม่ว่าจะของมนุษย์หรือของเครื่องจักร
.
.
8. ความกดดันส่วนตัวและการค้นหาตัวตน
.
แน่นอนว่าความหลงใหลทางวิชาการไม่ได้ทำให้ปัญหาชีวิตส่วนตัวหายไป เธอยังต้องส่งเงินกลับบ้าน แม่ยังป่วย และความคาดหวังจากครอบครัวยังคงกดทับ ความรู้สึกผิดว่า “ฉันควรเรียนวิชาที่ได้เงินมากกว่านี้ไหม?” ก็แวะเวียนเข้ามาเสมอ
.
แต่ทุกครั้งที่ยืนอยู่ในห้องแล็บ ได้เห็นคลื่นสมองแปลงเป็นเสียง เธอจะรู้สึกว่าทุกอย่างมีค่า มันเป็นสัญญาณว่า เธอเลือกไม่ผิด แม้เส้นทางนี้จะไม่ได้สัญญาว่ามีงานเงินเดือนสูง แต่สัญญาว่าจะตอบคำถามใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ
.
Passion ไม่ได้โผล่มาเองเหมือนโชค แต่มันเกิดขึ้นเมื่อเราลองทำสิ่งใหม่ ๆ และพบว่ามัน “สั่นสะเทือนข้างใน” Fei-Fei ไม่ได้รู้ตั้งแต่แรกว่าเธออยากเป็นนักประสาทวิทยาหรือผู้บุกเบิก AI เธอเพียงเดินตามความสงสัยไปทีละก้าว จนมันพาเธอไปเจอห้องมืด ๆ ที่มีเสียงสมองแมวเป็นเพลงประกอบ
.
และตรงนั้นเอง เธอรู้ว่า Passion ของเธอคือการเข้าใจความคิดและการมองเห็นของมนุษย์
.
.
9. ช่องว่างที่แคบลงจริงๆ
.
เมื่อตอนแรก เธอรู้สึกว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตัวเองกับโลกวิทยาศาสตร์อเมริกา แต่เมื่อเดินเข้ามาในห้องทดลอง เธอพบว่าช่องว่างนั้นค่อย ๆ แคบลง ความเป็น “คนนอก” ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น “คนวงใน” เสียงหัวเราะในห้องแล็บ บทสนทนากับเพื่อนนักวิจัย และความตื่นเต้นของการค้นพบ ล้วนทำให้เธอรู้ว่า “ที่นี่แหละบ้านของฉัน”
.
.
10. แสงแรกแห่งการเห็น วิวัฒนาการและแรงบันดาลใจ
.
Fei-Fei เริ่มต้นบท First Light ด้วยการพาเราไปไกล ไกลเกินกว่าประวัติศาสตร์มนุษย์เสียอีก เธอจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลโบราณ ไม่มีตา ไม่มีการรับรู้แสง โลกของพวกมันคือความมืดที่ต้องอยู่ด้วย “สัญชาตญาณดิบ” และโชคเท่านั้น
.
จากนั้นวิวัฒนาการก็ค่อย ๆ หยิบไฟฉายเล็ก ๆ ขึ้นมาให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้: ความสามารถในการตรวจจับแสง นั่นคือ first light ของโลกชีววิทยา จุดเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนทั้ง trajectory ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก เพราะทันทีที่มีการรับรู้แสง การดำรงชีวิตก็เปลี่ยนไป สิ่งมีชีวิตเริ่มเคลื่อนที่อย่างมีเป้าหมาย รู้ว่าควรหลบเงา หรือตามหาแสงเพื่อการอยู่รอด
.
และเมื่อการรับแสงพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็น “การมองเห็น” วิวัฒนาการก็เข้าสู่โหมด turbo: สิ่งมีชีวิตเริ่มแข่งขันรุนแรงขึ้น เกิด Cambrian Explosion ที่สิ่งมีชีวิตวิวัฒน์ทั้งดวงตา เปลือกแข็ง เขี้ยว ก้ามเล็บ—ทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นจากความสามารถในการ “เห็น”
.
Fei-Fei บอกตรง ๆ ว่า หากไม่มีแสง วิวัฒนาการของสมองก็คงไม่ก้าวไปถึงขั้นที่เราเรียกว่า “Intelligence” เลย การมองเห็นไม่ใช่แค่ sense หนึ่งในห้า แต่เป็น sense ที่ผลักดันให้เกิดสมอง
.
.
11. วิสัยทัศน์ (Vision) และ ความฉลาด (Intelligence)
.
สิ่งที่ Fei-Fei สรุปจากการมองย้อนวิวัฒนาการคือ: การมองเห็นและความฉลาดแทบจะแยกจากกันไม่ได้ มนุษย์เรียนรู้โลกผ่านสายตาเป็นหลัก ข้อมูลกว่า 80% ที่สมองรับรู้ในแต่ละวันมาจากภาพ ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น
.
ดังนั้น การเข้าใจการมองเห็นจึงไม่ใช่แค่สาขาหนึ่งของประสาทวิทยา แต่คือกุญแจของการเข้าใจ “ความฉลาด” ทั้งหมด และถ้าวันหนึ่งเราจะสร้าง AI ที่ฉลาดเหมือนมนุษย์จริง ๆ มันก็ต้อง “มองเห็น” โลกได้ก่อน
.
.
12. การตามหา North Star
.
หลังจากเรียนรู้และทดลองกับสมองแมว Fei-Fei ย้ายมาทำวิจัยที่ Caltech สถาบันที่เต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ระดับตำนาน ที่นี่เธอได้เข้าสู่เส้นทางใหม่ของ psychophysics การศึกษาว่ามนุษย์ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างไร
.
เธอเข้าร่วมแล็บ Koch Lab และได้ทำการทดลองที่ซับซ้อน: การวัดปฏิกิริยาของสมองต่อภาพที่ chaotic เพื่อหาว่า “มนุษย์ใช้เวลาเท่าไรในการจำแนกสิ่งที่เห็น?”
.
การอ่านงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อย่าง Anne Treisman และ Simon Thorpe ทำให้เธอแทบช็อก—มนุษย์สามารถจดจำและตีความภาพซับซ้อนในเวลาเพียง 150 มิลลิวินาที เร็วกว่าที่คอมพิวเตอร์ใด ๆ ในยุคนั้นทำได้ นี่คือพลังของสมองที่ AI ยังตามไม่ทัน
.
Fei-Fei เริ่มมี North Star ของตัวเอง เธออยากเข้าใจ “การจำแนก (categorization) ของการมองเห็น” เพราะนั่นคือแก่นแท้ของความฉลาด
.
.
13. ชีวิตส่วนตัวที่สั่นคลอน
.
แต่ในช่วงเดียวกัน แม่ของเธอก็ป่วยหนัก ทำให้เธอต้องตัดสินใจครั้งใหญ่: จะไปทำงานที่ McKinsey เพื่อความมั่นคงทางการเงิน หรือจะเสี่ยงเดินหน้าต่อในเส้นทางวิทยาศาสตร์?
.
เธอเลือกอย่างที่เรารู้—เดินต่อบนเส้นทางวิทยาศาสตร์ เพราะ passion ไม่ได้เป็นเพียงความชอบ แต่มันคือคำตอบเดียวที่ทำให้ชีวิตเธอ “มีความหมาย”
.
.
14. การสร้าง Dataset แรก
.
ความคิดที่ว่า “การมองเห็นคือการจำแนก” ทำให้เธอและทีมสร้าง dataset ที่ชื่อว่า Caltech 101 ซึ่งประกอบด้วยภาพวัตถุ 101 ประเภท ตั้งแต่รถยนต์ ไปจนถึงหมีแพนด้า Dataset นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการ computer vision เพราะมันเป็นหนึ่งในครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า “ถ้าอยากให้เครื่องจักรเห็นโลกเหมือนมนุษย์ เราต้องสอนมันด้วยภาพจำนวนมหาศาล”
.
Caltech 101 จึงเป็นมากกว่า dataset มันเป็นการปักธงว่า “ทิศทางวิทยาศาสตร์ใหม่คือ Data-Driven” และนี่คือแนวคิดที่จะต่อยอดไปสู่ ImageNet ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
.
.
15. การเดินทางที่เต็มไปด้วยหมุดหมายเล็กๆ
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ Fei-Fei ไม่ได้มอง dataset แรก ๆ เหล่านี้ว่าเป็น “สุดยอดผลงาน” แต่เธอมองมันเหมือนก้าวเล็ก ๆ ที่นำไปสู่ North Star ของเธอ: ความเข้าใจเรื่องการจำแนกและการมองเห็น
.
เธอเล่าว่า ขณะทำงานวิจัย เธอรู้สึกเหมือนนักเดินทางที่มองดาวเหนือแล้วเดินทีละก้าว ไม่ได้รู้ว่าปลายทางคืออะไร แต่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน และแต่ละก้าวเล็ก ๆ ก็สะสมเป็นการปฏิวัติใหญ่ในอนาคต
.
เมื่อย้อนมองวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต Fei-Fei เห็นว่า “แสงแรก” ไม่ได้เปลี่ยนแค่การอยู่รอด แต่มันเปลี่ยน trajectory ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในทำนองเดียวกัน dataset อย่าง Caltech 101 ก็เป็นแสงแรกของการปฏิวัติ AI เล็กน้อยในตอนนั้น แต่สำคัญอย่างยิ่งในระยะยาว
.
.
16. หนทางสู่การกำเนิด ImageNet
.
หลังจากประสบความสำเร็จกับ Caltech 101 Fei-Fei รู้ว่านั่นเป็นเพียง “ก้าวเล็ก ๆ” dataset 101 ประเภทกับภาพไม่กี่พันรูปยังไม่เพียงพอที่จะสร้างเครื่องจักรที่มองเห็นโลกได้จริง ๆ โลกจริงไม่ได้มีวัตถุแค่ร้อยประเภท แต่มันเต็มไปด้วย “ล้าน ๆ อย่าง” ตั้งแต่กาน้ำชา โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงช้างหรือเรือดำน้ำ
.
เธอเริ่มตั้งคำถามใหญ่: “ถ้าเราจะสร้าง AI ที่เห็นโลกเหมือนมนุษย์ เราต้องสร้าง dataset ที่สะท้อนโลกจริงให้มากที่สุด—แล้วทำไมไม่ทำล่ะ?”
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของ ImageNet โครงการที่ตอนแรกฟังดูแทบเป็นไปไม่ได้
.
.
17. ไอเดียจาก WordNet และการต่อจิ๊กซอว์
.
แรงบันดาลใจของ Fei-Fei มาจาก WordNet คลังข้อมูลเชิงภาษาศาสตร์ที่รวบรวมความสัมพันธ์ของคำศัพท์นับแสนคำ จัดหมวดหมู่เป็น synsets (synonym sets) อย่างเป็นระบบ
.
เธอคิดว่า: “ถ้า WordNet ทำได้กับภาษา ทำไมเราจะทำกับภาพไม่ได้?”
.
แทนที่จะจัดแค่คำ เราสามารถจัด “ภาพ” ของวัตถุแต่ละประเภทนับพัน ๆ ใบเข้าไปอยู่ในกล่องเดียวกัน
.
ความคิดนี้บ้าบิ่น เพราะในยุคนั้นวงการ AI ยังเชื่อว่าการแก้ปัญหามาจาก “อัลกอริทึมที่ฉลาดขึ้น” ไม่ใช่จากการสะสมข้อมูลมหาศาล Fei-Fei กลับคิดต่างว่า “ข้อมูล” นี่แหละคือเชื้อเพลิงที่ขาดหาย
.
.
18. อุปสรรคแรก: ภาพจากที่ไหน?
.
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ เธอจะเอาภาพมาจากไหน? การสร้าง dataset ระดับล้านภาพไม่อาจทำได้ด้วยทีมวิจัยเล็ก ๆ ในห้องแล็บ วิธีแบบเก่าคือให้นักศึกษา graduate มานั่งคัดทีละรูป แต่นั่นเป็นไปไม่ได้เลย
.
จังหวะนั้นเอง เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อ Amazon Mechanical Turk (MTurk) เพิ่งถือกำเนิดขึ้น มันคือแพลตฟอร์ม crowdsourcing ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วโลกเข้ามาทำงานเล็ก ๆ (เช่น ตอบแบบสอบถาม หรือกดปุ่มตรวจสอบ) แลกกับค่าตอบแทนเล็กน้อย
.
Fei-Fei และทีมจึงใช้ MTurk ให้คนช่วยกัน “แท็กภาพ” จากอินเทอร์เน็ต = คือดูรูปแล้วบอกว่ามันเป็นอะไร ขั้นตอนฟังดูง่าย แต่เมื่อทำในสเกลล้าน ๆ ภาพ มันคือการปฏิวัติ
.
.
19. ความกังวลและความล้มเหลวครั้งแรก
.
แม้ไอเดียจะชัด แต่การนำเสนอไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนที่เธอพยายามนำเสนอ ImageNet ครั้งแรกต่อที่ประชุมวิชาการ เธอถูกวิจารณ์หนัก นักวิจัยบางคนมองว่า “นี่ไม่ใช่งานวิทยาศาสตร์ เป็นแค่การเก็บข้อมูล” บางคนถึงกับบอกตรง ๆ ว่า “สิ่งนี้ไม่มีคุณค่าทางวิชาการ”
.
Fei-Fei แทบถอดใจ เพราะสำหรับวงการคอมพิวเตอร์วิชาการแล้ว “การสร้าง dataset” ดูเป็นงานแรงงาน ไม่ใช่งานที่ใช้สมอง นักวิจัยที่อยากสร้างชื่อมักเลือกสร้างโมเดลใหม่ ๆ มากกว่า
.
แต่สิ่งที่ทำให้เธอเดินต่อคือความเชื่อว่า dataset ที่ใหญ่พอจะ “เปลี่ยนเกม”
.
.
20. ความสำเร็จที่ต้องใช้ความดื้อรั้น
.
สุดท้าย ImageNet ก็ถือกำเนิดขึ้น มีภาพมากกว่า 14 ล้านภาพ ครอบคลุม 20,000 synsets จาก WordNet—ใหญ่กว่าที่ใครคาดฝัน มันคือแหล่งข้อมูลที่ใกล้เคียงกับ “โลกจริง” ที่สุดในเวลานั้น
.
การประกาศเปิดตัว ImageNet ในปี 2009 แม้ไม่ได้รับเสียงชื่นชมถล่มทลาย แต่ก็เริ่มมีคนเห็นคุณค่ามัน และที่สำคัญ มันปูทางไปสู่สิ่งที่จะกลายเป็น turning point ของวงการ AI การแข่งขัน ImageNet Challenge
.
.
21. ImageNet Challenge
.
ในปี 2010 Fei-Fei และทีมประกาศ ImageNet Large Scale Visual Recognition Challenge (ILSVRC) การแข่งขันที่ให้ทีมวิจัยจากทั่วโลกใช้ dataset ImageNet แข่งกันสร้างโมเดลเพื่อจำแนกภาพ
.
โจทย์คือ: ให้คอมพิวเตอร์จำแนกรูปจากหมวดหมู่ 1,000 categories ที่ยากสุด ๆ (เช่น แยก “เสือจากัวร์” ออกจาก “เสือดาว”) และ dataset ขนาดล้านกว่ารูป
.
การแข่งขันนี้กลายเป็นสนามทดสอบที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับ AI ไม่ใช่แค่โมเดลที่ฉลาด แต่ใครมีพลัง data + computing ที่แท้จริงก็จะโดดเด่น
.
.
22. ความก้าวหน้าทีละปี และรายชื่อในตำนาน
.
ปี 2010–2011 ทีมวิจัยหลายทีมลองแข่งขัน แต่ความแม่นยำยังต่ำอยู่ราว 70% (top-5 accuracy) ความผิดพลาดสูงจนดูเหมือนคอมพิวเตอร์ยังห่างจากมนุษย์หลายปี
.
แต่ปี 2012 ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อทีมจาก University of Toronto นำโดย “Geoff Hinton” และลูกศิษย์ของเขา “Alex Krizhevsky” และ “Ilya Sutskever” ใช้โมเดล deep learning แบบใหม่ชื่อ AlexNet เข้าร่วมแข่งขัน
.
ผลลัพธ์คือ AlexNet ชนะขาดลอย ลด error rate จาก 26% เหลือ 15% ในปีเดียว A Quantum Leap ที่ไม่มีใครคาดคิด
.
.
23. AlexNet แสงที่สองของวิวัฒนาการ AI
.
ชัยชนะของ AlexNet ไม่ใช่แค่ชนะการแข่งขัน แต่มันเป็นการพิสูจน์ว่า deep learning + big data (ImageNet) + GPU computing คือสูตรลับของ AI ยุคใหม่
.
Fei-Fei ย้อนเล่าว่า ตอนเห็นกราฟผลการแข่งขัน เธอถึงกับขนลุก เพราะมันไม่ใช่การปรับปรุงเล็ก ๆ แต่มันคือ “paradigm shift”
.
ImageNet กลายเป็นเวทีที่เปิดประตูให้ deep learning ครองโลก ไม่ใช่เพราะทีมของ Fei-Fei สร้างโมเดลเอง แต่เพราะเธอสร้างสนามและลูกบอล dataset ที่ใหญ่พอให้ deep learning เปล่งประกาย
.
.
24. ผลกระทบที่เกินกว่าวงวิชาการ
.
หลังจากชัยชนะของ AlexNet โลก AI ไม่เหมือนเดิม บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ Google, Facebook, Microsoft แห่กันเข้าสู่สนาม deep learning การประยุกต์ใช้ก็พุ่งทะยาน ตั้งแต่การจดจำใบหน้า การแปลภาษาอัตโนมัติ ไปจนถึงรถยนต์ไร้คนขับ
.
และทุกคนก็ยอมรับตรงกันว่า ImageNet คือจุดเปลี่ยน มันคือ “CERN moment” ของ AI เหมือนการค้นพบ Higgs Boson ในฟิสิกส์ ที่ทำให้ทั้งวงการต้องเปลี่ยนทิศทาง
.
.
25. ความรู้สึกของผู้หญิงเบื้องหลัง
.
ท่ามกลางเสียงยกย่อง Fei-Fei ก็ยังรู้สึกว่าตัวเอง “อยู่เบื้องหลัง” เพราะเธอไม่ได้เป็นคนสร้าง AlexNet เอง เธอเป็นคนสร้างสนามแข่งขัน เธอเล่าว่า บางครั้งนักข่าวหรือนักวิชาการยังคงลดคุณค่าของงาน dataset ว่าเป็น “งานเบื้องหลัง”
.
แต่ความจริงคือ ถ้าไม่มี ImageNet โมเดลอย่าง AlexNet คงไม่มีเวทีให้แสดงศักยภาพ นี่คือบทเรียนว่า “ไม่ใช่ทุกคนต้องเป็นผู้เล่นในสนาม บางครั้งการสร้างสนามเองก็คือการปฏิวัติ”
.
.
26. Stanford AI Lab
.
หลังจาก ImageNet กลายเป็นแรงระเบิดที่ส่ง AI เข้าสู่ยุค deep learning โลกวิชาการและอุตสาหกรรมต่างจับตามอง Fei-Fei Li และทีมงาน ในจังหวะเดียวกัน เธอได้รับโอกาสกลับมาที่ Stanford เพื่อดูแล Stanford Artificial Intelligence Laboratory (SAIL)
.
การกลับมาครั้งนี้มีความหมายมากกว่าแค่ตำแหน่งใหม่ เพราะ SAIL คือห้องทดลองที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ยุคบุกเบิก AI เป็นบ้านที่เคยสร้างหุ่นยนต์ Shakey, คิดค้น natural language processing รุ่นแรก ๆ และเป็นหนึ่งในรากฐานของวิทยาการคอมพิวเตอร์สมัยใหม่
.
แต่ในตอนที่ Fei-Fei เข้ามารับช่วงต่อ SAIL ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนในอดีต มันเหมือนบ้านที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง นักศึกษาเก่ง ๆ หลายคนเริ่มไหลออกไปทำงานกับบริษัทเทคโนโลยีแทน เธอจึงต้องหาทาง “ชุบชีวิต” บ้านหลังนี้ให้กลับมาเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมอีกครั้ง
.
.
27. การสร้างวัฒนธรรมใหม่
สิ่งที่ Fei-Fei นำมาสู่ SAIL ไม่ใช่แค่โครงการวิจัยใหม่ แต่คือวัฒนธรรมแบบใหม่
.
Collaboration มากกว่าการแข่งขัน = เธอเชื่อว่าความก้าวหน้าของ AI ไม่ควรเกิดจากการแก่งแย่งชิงเครดิต แต่ควรเป็นการร่วมแรงระหว่างนักวิจัย นักศึกษา และแม้แต่ภาคอุตสาหกรรม
.
เปิดกว้างต่อความหลากหลาย = เธอตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้แล็บนี้ไม่ใช่พื้นที่ของ “เด็กผู้ชายเก่ง ๆ เพียงไม่กี่คน” แต่เป็นที่ที่ผู้หญิง คนผิวสี และคนจากชุมชนด้อยโอกาสสามารถเข้ามาเติบโตได้
.
เชื่อมโยงกับโลกจริง = งานวิจัยต้องไม่ติดอยู่แค่ในห้องทดลอง แต่ต้องออกไปช่วยแก้ปัญหาของสังคม ตั้งแต่การแพทย์ ไปจนถึงการศึกษา
.
บรรยากาศในแล็บเริ่มเปลี่ยนไปจริง ๆ นักศึกษาหลายคนบอกว่า การอยู่ใน SAIL สมัย Fei-Fei ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกำลัง “ร่วมสร้างอนาคต” มากกว่าการทำวิจัยเดี่ยว ๆ
.
.
28. AI กับการแพทย์ และแรงบันดาลใจจากแม่
.
แม้ Fei-Fei จะประสบความสำเร็จทางวิชาการมาก แต่ในชีวิตส่วนตัวเธอยังเผชิญกับความท้าทายใหญ่ที่สุด—สุขภาพของแม่ที่ป่วยเรื้อรัง
.
เธอเล่าว่า เวลาไปโรงพยาบาล เธอมักเห็นหมอและพยาบาลต้องทำงานหนัก ใช้เวลาจำนวนมากไปกับการดูภาพ CT, MRI, หรือเอกซเรย์ทีละแผ่น เธอคิดขึ้นมาทันทีว่า
.
“ถ้า AI สามารถช่วยหมออ่านภาพเหล่านี้ได้ มันจะลดภาระของพวกเขา และช่วยชีวิตผู้ป่วยมากมาย”
.
นี่คือจุดเริ่มต้นของการเชื่อม AI เข้ากับการแพทย์
.
.
29. การร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์และการแพทย์
.
Fei-Fei เริ่มสร้างความร่วมมือกับแพทย์ นักรังสีวิทยา และโรงพยาบาลหลายแห่ง โครงการแรก ๆ ของเธอคือการพัฒนา computer vision ที่สามารถตรวจจับเนื้องอกหรือโรคจากภาพถ่ายทางการแพทย์
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอไม่ได้มองแค่ความถูกต้องของโมเดล แต่สนใจว่า หมอจะใช้มันจริงอย่างไร ตัวอย่างเช่น:
.
ถ้า AI แม่นยำแต่ใช้งานยาก หมอก็จะไม่ใช้
.
ถ้า AI ทำงานเป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้แทน” หมอจะยอมรับมากกว่า
.
ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรักษา “ศักดิ์ศรีของผู้ป่วย” ไม่ให้เทคโนโลยีกลายเป็นกำแพงที่ทำให้คนไข้รู้สึกเป็น “ข้อมูล” แทนที่จะเป็น “มนุษย์”
.
แนวคิดนี้คือจุดกำเนิดของสิ่งที่เธอเรียกว่า Human-Centered AI
.
AI ที่ไม่เพียงถูกสร้างมาเพื่อความแม่นยำ แต่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับชีวิตจริงของมนุษย์
.
.
30. ความท้าทายทางจริยธรรม
.
เมื่อพูดถึง AI ในการแพทย์ คำถามเรื่อง ethics ก็โผล่มาเสมอ เช่น:
.
ถ้า AI ผิดพลาด ใครต้องรับผิดชอบ?
.
จะทำอย่างไรกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วย?
.
จะป้องกันการใช้ AI แบบไม่เท่าเทียมระหว่างโรงพยาบาลใหญ่กับคลินิกเล็กได้อย่างไร?
.
Fei-Fei ไม่ได้ปัดคำถามเหล่านี้ออกไปเหมือนนักวิจัยบางคน แต่เธอเชื่อว่าการสร้างเทคโนโลยีต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ การเดินเข้าไปพูดคุยกับหมอ คนไข้ และครอบครัวคนไข้ทำให้เธอเห็นภาพชัดว่า AI จะต้อง “รับใช้มนุษย์” ไม่ใช่แค่โชว์ความเก่งทางวิศวกรรม
.
.
31. Stanford Medicine และ AI Lab
.
หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นคือความร่วมมือระหว่าง SAIL กับ Stanford Medicine เพื่อใช้ deep learning วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อตรวจหาปอดบวม AI ที่พวกเขาพัฒนาสามารถตรวจจับได้แม่นยำพอ ๆ กับหมอรังสีวิทยามืออาชีพ
.
แต่ Fei-Fei ย้ำเสมอว่า AI ไม่ควรแทนที่หมอ เป้าหมายไม่ใช่สร้าง “หุ่นยนต์หมอ” แต่คือการสร้าง “ผู้ช่วยที่ทรงพลัง” ให้หมอมีเวลาไปทำในสิ่งที่เครื่องจักรทำไม่ได้—การพูดคุย ปลอบใจ และให้ความหวังแก่ผู้ป่วย
.
.
32. “ลูกสาวของหมอ”
.
บท The Doctor’s Daughter เล่าถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของ Fei-Fei กับแม่
.
แม้แม่ของเธอจะไม่ใช่หมอ แต่เธอเคยพา Fei-Fei ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลบ่อยครั้ง และทำให้ลูกสาวซึมซับโลกของการแพทย์มาโดยไม่รู้ตัว
.
เธอเรียกตัวเองว่า “ลูกสาวของหมอ” ในเชิงเปรียบเปรย ไม่ใช่เพราะแม่เป็นหมอ แต่เพราะแม่คือ “คนไข้” ที่ทำให้เธอเห็นค่าของความเมตตาและศักดิ์ศรีในการรักษา และนั่นทำให้เธอตั้งคำถามเสมอว่า
.
“AI จะทำให้โลกการแพทย์เป็นมนุษย์มากขึ้น หรือทำให้มันเย็นชาและห่างเหินกว่าเดิม?”
.
.
33. การปลูกฝังนักศึกษา
.
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ Fei-Fei ที่ Stanford คือการเป็นอาจารย์ นักศึกษาที่ทำงานกับเธอไม่ได้เรียนแค่เทคนิค deep learning หรือวิธีสร้างโมเดล แต่เรียนถึง ความรับผิดชอบของนักวิทยาศาสตร์
.
เธอมักบอกนักศึกษาว่า:
.
“อย่าถามว่า AI ทำได้หรือไม่ แต่ถามว่าควรทำหรือไม่”
.
“เป้าหมายของคุณไม่ใช่แค่ตีพิมพ์งาน แต่คือการทำให้งานของคุณมีประโยชน์ต่อสังคม”
.
นี่คือการสร้างวัฒนธรรมที่มองไกลกว่า paper และ citation มองไปถึงผลกระทบจริงในชีวิตผู้คน
.
.
34. คลื่นยักษ์ AI ในอุตสาหกรรม
.
หลังจาก ImageNet Challenge และชัยชนะของ AlexNet โลกก็เข้าสู่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า AI Awakening—ยุคที่ deep learning ไม่ได้เป็นเพียงหัวข้อวิจัยในห้องทดลอง แต่ถูกนำไปใช้จริงในทุกมิติของชีวิต
.
Google ใช้ deep learning สร้างระบบแปลภาษาอัตโนมัติ (Google Translate)
.
Facebook ใช้ computer vision ตรวจจับใบหน้าในรูปภาพ
.
Apple และ Amazon ผลักดันผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri และ Alexa
.
บริษัทสตาร์ทอัพและห้องทดลองทั่วโลกแห่กันเข้าสู่วงการ AI อย่างไม่เคยมีมาก่อน
.
Fei-Fei เห็นสิ่งนี้ด้วยความรู้สึกสองด้าน: ด้านหนึ่งคือความตื่นเต้น—งานวิจัยที่เธอผลักดันมาหลายปีในที่สุดก็เบ่งบานและเปลี่ยนโลกจริง อีกด้านหนึ่งคือความกังวล เพราะเทคโนโลยีที่ทรงพลังเช่นนี้หากไม่ถูกกำกับ ก็อาจสร้างผลเสียมหาศาล
.
.
35. บทบาทใหม่
.
Fei-Fei เริ่มก้าวออกจากบทบาท “นักวิจัยในห้องแล็บ” ไปสู่การเป็น “ผู้นำเชิงสถาบันและนโยบาย” เธอได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานระดับรัฐบาล บริษัทเอกชน และเวทีระหว่างประเทศเพื่อพูดเรื่องอนาคตของ AI
.
หนึ่งในบทบาทสำคัญคือการเป็น Chief Scientist ด้าน AI ที่ Google Cloud ที่นั่นเธอผลักดันแนวคิดว่า Cloud ไม่ควรเป็นแค่โครงสร้างพื้นฐานด้านคอมพิวติ้ง แต่ควรเป็นแพลตฟอร์มที่ democratize AI ให้ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่มีเพียงบริษัทใหญ่ที่ได้ประโยชน์
.
แม้เธอจะใช้เวลาไม่นานที่ Google แต่ประสบการณ์นั้นย้ำกับเธอว่า “นักวิทยาศาสตร์ไม่ควรยืนอยู่นอกอุตสาหกรรม” เพราะการเปลี่ยนแปลงจริงเกิดในตลาดและสังคม เธอจึงต้องเข้าไปเป็น “เสียง” ที่เตือนว่า AI ควรรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่ตลาดเพียงอย่างเดียว
.
.
36. Stanford HAI
.
ในปี 2019 Fei-Fei ร่วมก่อตั้ง Stanford Institute for Human-Centered AI (HAI) เป้าหมายของ HAI คือการวาง “กรอบใหม่” ให้กับการวิจัยและพัฒนา AI—ไม่ใช่ AI ที่แค่แม่นยำที่สุดหรือเร็วที่สุด แต่คือ AI ที่ออกแบบโดยคิดถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
.
HAI ทำงานในสามด้านหลัก:
.
I. วิจัย (Research) – สนับสนุนงานที่บูรณาการวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กับสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และจริยศาสตร์
.
II. การศึกษา (Education) – เตรียมบุคลากรที่เข้าใจทั้งเทคนิคและผลกระทบทางสังคมของ AI
.
III. นโยบาย (Policy) – ทำงานกับรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศเพื่อวางแนวทางการกำกับดูแล AI
.
นี่คือความพยายามที่จะทำให้ AI ไม่เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่เป็น “สถาบันทางสังคม” ที่โปร่งใสและรับผิดชอบ
.
.
37. การเมือง การค้า และความเหลื่อมล้ำ
.
Fei-Fei ไม่ปิดบังว่า เธอเป็นห่วงอย่างมากกับทิศทางที่ AI กำลังถูกใช้ในโลกจริง โดยเฉพาะในสามเรื่อง:
.
การเมืองและความมั่นคง – รัฐบาลต่าง ๆ แข่งกันพัฒนา AI เพื่อการทหารและการเฝ้าระวัง นี่อาจทำให้ AI กลายเป็นเครื่องมือของสงครามและการควบคุมประชาชน
.
การค้าและอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ – บริษัทเพียงไม่กี่แห่งครองข้อมูลและ computing power ของโลก สิ่งนี้เสี่ยงที่จะทำให้ AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่สร้างความเหลื่อมล้ำมากกว่าลดมัน
.
ความไม่เท่าเทียมทางสังคม – หาก AI ถูกพัฒนาโดยกลุ่มคนที่มีลักษณะคล้ายกัน (เช่น วิศวกรชายผิวขาวใน Silicon Valley) ผลลัพธ์คือ AI ที่ bias และไม่สะท้อนความหลากหลายของมนุษย์
.
.
38. Human-Centered AI คือคำตอบที่เธอเลือก
.
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Fei-Fei ย้ำแนวคิด Human-Centered AI (HCAI) อยู่เสมอ หลักการของมันคือ:
.
Human in the loop: AI ต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ ไม่แทนที่มนุษย์
.
Dignity and values: ทุกการออกแบบ AI ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี ความเป็นส่วนตัว และความยุติธรรม
.
Interdisciplinary approach: ไม่ใช่เรื่องของคอมพิวเตอร์ไซเอนซ์อย่างเดียว แต่ต้องผสานความรู้ด้านกฎหมาย สังคม จริยธรรม และวัฒนธรรม
.
สำหรับ Fei-Fei แนวคิด HCAI เปรียบเสมือน North Star ดวงใหม่ ที่นักวิทยาศาสตร์ควรเงยหน้ามอง เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเธอเคยเงยหน้ามองดาวเหนือเพื่อเข้าใจสมองมนุษย์…และในวันนี้ ดาวดวงนั้นก็กลายเป็นแสงนำทางให้ทั้งโลกเรียนรู้ว่า เทคโนโลยีที่แท้จริงต้องไม่ทอดทิ้งความเป็นมนุษย์ไว้ข้างหลัง
.
.
==========================
.
เมื่อปิดหนังสือเล่มนี้ลง คุณอาจรู้สึกเหมือนได้เดินทางไปกับ Fei-Fei Li ตั้งแต่ร้านซักรีดเล็ก ๆ จนถึงห้องทดลองที่สร้างรุ่งอรุณใหม่ให้โลก AI การเดินทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยหยดเหงื่อ น้ำตา และความดื้อเงียบ ๆ ที่ค่อย ๆ งอกงามเป็นความหวัง
.
และบางทีครับ…เรื่องราวของเธออาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคนที่กำลังนั่งอ่านบทความนี้อยู่ ไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่ในห้องสมุดหรู ๆ หรือกำลังนั่งจ้องเครื่องซักผ้าอยู่ก็ตาม ให้กล้าที่จะเอื้อมมือไปคว้า “ดวงดาว” ของตัวเองดูสักครั้ง
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ The Selfish Gene ยีนเห็นแก่ตัว เขียนโดย Richard Dawkins

Next
Next

A Brief History of Time มหากาพย์แห่งกาลอวกาศ เขียนโดย Stephen Hawking