สรุปหนังสือ The 33 Strategies of War เขียนโดย Robert Greene

เคยสังเกตไหมครับว่า หลังโต๊ะทำงานของผู้บริหารใหญ่มักจะมี "Good to Great" กับ "Leaders Eat Last" วางโชว์เด่นๆ ข้างกระถางต้นไม้มงคล...
.
แต่ถ้าคุณแอบเปิดตู้เซฟเขา คุณอาจจะเจอ "The 33 Strategies of War" ของ Robert Greene ซุกอยู่ระหว่างสัญญาลับกับซองใส่เงินสด
.
ตอนประชุมใหญ่ เขาพูดถึง "Servant Leadership" และ "การนำด้วยคุณธรรม" จนน้ำตาคลอ แต่พอปิดห้องประชุม กลับหยิบ Strategy 31 "Destroy from Within" มาจัดการคู่แข่งในบริษัท
.
หรือตอนสัมมนา "The Speed of Trust" แต่ในใจเขากำลังคิดถึง Strategy 23 "Weave a Seamless Blend of Fact and Fiction" (ผสมความจริงกับความเท็จ) ตอนเขียนรายงานให้บอร์ด
.
ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่แปลกหรอกครับ...
.
เพราะโลกธุรกิจมันก็เหมือนสงครามนั่นแหละ แค่เปลี่ยนจากดาบเป็น PowerPoint จากม้าศึกเป็น Benz S-Class และจากการโจมตียามค่ำคืนเป็นการ "ประชุมฉุกเฉินวันศุกร์เย็น"
.
ถ้าคุณเป็นพนักงานที่กำลังงงว่าทำไมบริษัทถึงมี "ค่านิยมองค์กร" แต่ความจริงมันไม่เหมือนที่เขียนไว้บนผนัง...
.
อาจถึงเวลาแล้วที่คุณต้องลองอ่าน 33 กลยุทธ์นี้ดูสักที
.
.
===========================
.
Strategy 1: Declare War on Your Enemies – The Polarity Strategy
.
“จงประกาศสงครามกับศัตรูของคุณ – กลยุทธ์แห่งการแบ่งขั้ว”
.
หัวใจของกลยุทธ์แรก คือการเลิกหลอกตัวเองว่าโลกนี้สามารถอยู่ได้โดยไม่มีศัตรู มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยถูกบีบให้เลือกข้างเสมอ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในเผ่ากรีกโบราณ เมืองรัฐอิตาลี หรือจักรวรรดิโรมัน ย่อมมี “อีกฝ่าย” ที่ยืนอยู่ตรงข้าม และนั่นคือสิ่งที่นิยามคุณอย่างชัดเจน ศัตรูไม่ใช่สิ่งที่คุณเลือกเสมอไป บางครั้งพวกเขาเลือกคุณ และเมื่อถึงเวลานั้น คุณมีเพียงสองทางเลือก—ประกาศสงครามอย่างตรงไปตรงมา หรือถูกกินทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว
.
การประกาศศัตรูคือการสร้าง “ความแตกต่าง” ที่ชัดเจน มันบอกทั้งตัวคุณและผู้ตามว่าคุณยืนอยู่ตรงไหน ตัวอย่างจากโลกโบราณคือการที่กรีกไม่เคยปล่อยให้ความทรงจำเรื่องการรุกรานของเปอร์เซียเลือนหาย หลังศึกมาราธอนและซาลามิส ความรู้สึกว่า “เปอร์เซียคือศัตรู” กลายเป็นแกนกลางของการรวมพลัง แม้กรีกจะแตกออกเป็นนครรัฐมากมาย แต่ภาพของเปอร์เซียในฐานะศัตรูร่วม ทำให้พวกเขารวมใจกันได้ในยามคับขัน
.
กลยุทธ์นี้บอกเราว่า การไม่ประกาศศัตรูคือการเปิดประตูให้ความคลุมเครือเข้ามา คุณอาจหวังจะรักษาความสงบ แต่ผลลัพธ์จริงคือความลังเลของผู้ตาม และการขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ศัตรูคือเงาที่ทำให้เราเห็นแสง หากไม่มีเงา คุณก็ไม่รู้ว่าคุณยืนอยู่ตรงไหน
.
.
Strategy 2: Do Not Fight the Last War – The Guerrilla-War-of-the-Mind Strategy
.
“อย่าติดกับสงครามครั้งก่อน – กลยุทธ์กองโจรทางความคิด”
.
ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของแม่ทัพและจักรวรรดิ คือการต่อสู้กับ “ภาพลวงตาของอดีต” มากกว่ากับศัตรูตรงหน้า ทุกคนต่างถูกชัยชนะในอดีตล่อลวง ทำให้เชื่อว่าวิธีการที่เคยใช้ได้ผล จะใช้ได้ผลตลอดไป แต่เงื่อนไขของสงครามเปลี่ยนแปลงเสมอ ศัตรูปรับตัวเสมอ และภูมิประเทศแห่งความขัดแย้งไม่มีวันซ้ำกัน
.
กรุงเอเธนส์พิสูจน์ให้เห็นอย่างเจ็บปวด หลังจากมีชัยชนะทางทะเลเหนือเปอร์เซีย พวกเขาหลงเชื่อว่าทะเลคือจุดแข็งนิรันดร์ แต่เมื่อสงครามเพโลพอนนีเซียนปะทุขึ้น สปาร์ตาลากการต่อสู้ขึ้นบก ใช้กองทัพราบบดขยี้กำลังของเอเธนส์ที่ยึดติดกับทัพเรือ ผลคือมหาอำนาจทางทะเลต้องพ่ายแพ้ย่อยยับ
.
นี่คือสิ่งที่ Robert Greene เรียกว่า “Guerrilla-War-of-the-Mind” — คุณต้องเป็นเหมือนกองโจรที่ไม่ติดพันกับพื้นที่ใด ๆ ไม่ผูกมัดกับอาวุธใด ๆ พร้อมจะปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ การยึดติดกับชัยชนะเดิมไม่ต่างอะไรกับการใช้กุญแจผิดดอกไขประตูใหม่ เมื่อคุณสู้สงครามครั้งก่อน คุณก็แพ้สงครามครั้งนี้ไปแล้ว
.
.
Strategy 3: Amidst the Turmoil of Events, Do Not Lose Your Presence of Mind – The Counterbalance Strategy
.
“ท่ามกลางความโกลาหล จงอย่าสูญเสียสติ – กลยุทธ์แห่งการถ่วงดุล”
.
ในสนามรบ ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แม้แต่แผนที่ร่างอย่างดีที่สุดก็ถูกทำลายทันทีที่ลูกธนูดอกแรกถูกยิงออกไป สิ่งที่ชี้ชะตาไม่ใช่ว่าใครมีแผนสมบูรณ์กว่า แต่ใครสามารถรักษาสติในความโกลาหลได้ดีกว่า
.
ฮันนิบาลคือผู้ที่เข้าใจสิ่งนี้ดีที่สุด ยุทธการคานเนย์ (Cannae) คือหลักฐาน เขาเผชิญหน้ากับโรมันที่มีกำลังพลมากกว่าหลายเท่า แต่ในขณะที่นายทัพโรมันพุ่งเข้ามาด้วยความมั่นใจจนมองไม่เห็นกับดัก ฮันนิบาลกลับนิ่งสงบ รักษาสติ วางกำลังให้อ่อนตรงกลาง แข็งด้านข้าง จนโรมันถลำลึกเข้าไปและถูกโอบล้อมทั้งหมด ชัยชนะไม่ได้มาจากจำนวน แต่จากการมีสติในขณะที่อีกฝ่ายตื่นตระหนกและรีบร้อน
.
กลยุทธ์นี้สอนว่า ในความโกลาหล ผู้ที่ยังถ่วงดุลจิตใจตัวเองได้จะกลายเป็นแกนกลางโดยอัตโนมัติ ในขณะที่คนอื่นวิ่งวุ่น คุณจะเป็นผู้เดียวที่เห็นเส้นทาง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณควบคุมเกมได้
.
.
Strategy 4: Create a Sense of Urgency and Desperation – The Death-Ground Strategy
.
“สร้างสภาวะเร่งด่วนและไร้ทางถอย – กลยุทธ์แห่งแดนตาย”
.
มนุษย์ไม่เคยใช้พลังเต็มที่หากยังมีเส้นทางถอย ความปลอดภัยทำให้เราผ่อนแรง แต่ความสิ้นหวังคือเชื้อไฟที่ผลักเราสู่ศักยภาพที่เหนือกว่าตัวเอง “แดนตาย” คือสถานการณ์ที่คุณไม่มีหนทางกลับ และเพราะไม่มีหนทางกลับ คุณจึงต้องชนะให้ได้
.
คอร์เตส (Hernán Cortés) ใช้หลักการนี้ในการพิชิตเม็กซิโก หลังจากยกพลขึ้นบก เขาสั่งเผาเรือทั้งหมด เพื่อบอกทหารว่าไม่มีการหวนกลับ มีเพียงสองทาง—พิชิตหรือพินาศ เมื่อทุกคนรู้ว่าหนีไม่ได้ พวกเขาจึงทุ่มสุดกำลัง ความสิ้นหวังกลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เป็นไปได้ในสิ่งที่ปกติไม่มีใครกล้าทำ
.
แดนตายไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่จริงเสมอไป บางครั้งคุณสร้างมันในใจตนเองและทีม เมื่อทุกคนรู้ว่ามีเพียง “สู้จนชนะ” พลังที่ถูกกดทับก็จะถูกปลดปล่อย
.
.
Strategy 5: Avoid the Snares of Groupthink – The Command-and-Control Strategy
.
“หลีกเลี่ยงกับดักของความคิดฝูงชน – กลยุทธ์แห่งการบัญชาการและควบคุม”
.
ในกลุ่มคนจำนวนมาก เสียงส่วนใหญ่ดูเหมือนจะสร้างพลัง แต่บ่อยครั้งกลับเป็นกับดักที่ทำให้เกิดการตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุด ความคิดฝูงชน (Groupthink) ทำงานด้วยแรงกดดันทางสังคม: เมื่อทุกคนพยักหน้า คุณก็พยักหน้าตาม แม้ลึก ๆ จะรู้ว่ามีบางอย่างผิดพลาด นี่คือสิ่งที่ Greene เตือนว่าอันตรายกว่าดาบของศัตรู
.
ตัวอย่างชัดคือกรุงทรอย—ภายในสภามีคนเตือนว่าอย่านำม้าไม้เข้ามา แต่เสียงส่วนใหญ่กลับเลือกความสุขสบายในชั่วขณะ พวกเขาปล่อยให้ฝูงชนครองเหตุผล ผลคือการทำลายล้างทั้งเมือง ผู้บัญชาการที่แท้จริงต้องสร้างระบบที่เสียงค้านยังถูกฟัง ต้องเปิดพื้นที่ให้ “ผู้กล้าพูดความจริง” ไม่ให้ความเห็นถูกกดทับ เพราะการตัดสินใจที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากเสียงมากที่สุด แต่จากเสียงที่มีเหตุผลที่สุด
.
.
Strategy 6: Segment Your Forces – The Controlled-Chaos Strategy
.
“แบ่งกำลังของคุณ – กลยุทธ์แห่งความโกลาหลที่ถูกควบคุม”
.
การรวมกำลังไว้ในกองเดียวดูเหมือนเป็นพลังที่แข็งแรง แต่แท้จริงแล้วมันคือความเปราะบาง เพราะกองทัพก้อนเดียวเคลื่อนไหวช้า ปรับตัวช้า และหากถูกทำลายก็พังทั้งหมด ศิลปะที่แท้จริงคือการ “แตกออกเป็นหน่วยย่อย” ที่มีความเป็นอิสระพอจะเคลื่อนที่ได้ แต่ยังประสานกันภายใต้คำสั่งใหญ่
.
โรมันคือปรมาจารย์ด้านนี้ Legion ถูกแบ่งออกเป็น Cohort และ Century แต่ละหน่วยมีกองบัญชาการย่อย สามารถตัดสินใจเฉพาะหน้าได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งตรงจากแม่ทัพใหญ่ ผลคือความยืดหยุ่นสูงสุด ศัตรูที่เผชิญกับโครงสร้างแบบนี้มักแพ้ เพราะไม่สามารถทำนายการเคลื่อนไหวได้ง่าย
.
นี่คือ “ความโกลาหลที่ถูกควบคุม” มองจากภายนอกเหมือนทุกหน่วยเคลื่อนไหวกระจัดกระจาย แต่จริง ๆ แล้วถูกเชื่อมโยงกันด้วยเส้นใยของคำสั่งรวม—เป็นการผสมระหว่างอิสระกับวินัยที่สมดุล
.
.
Strategy 7: Transform Your War into a Crusade – The Morale Strategy
.
“เปลี่ยนสงครามให้เป็นศรัทธา – กลยุทธ์แห่งขวัญและกำลังใจ”
.
ทหารอาจรบเพราะคำสั่ง แต่จะตายอย่างไม่ลังเลก็ต่อเมื่อพวกเขาเชื่อว่าตนกำลังต่อสู้เพื่อสิ่งยิ่งใหญ่กว่าชีวิตตนเอง การสร้างศรัทธาและเรื่องเล่าคืออาวุธที่ทำให้กองทัพไม่เพียงเชื่อฟัง แต่พร้อมจะเสียสละ
.
สงครามครูเสดเป็นภาพสะท้อนที่ชัด ผู้คนเดินทางจากยุโรปไปสู่ดินแดนห่างไกล เสี่ยงตาย ทิ้งครอบครัวและทรัพย์สิน เพียงเพราะเชื่อว่ากำลังทำเพื่อพระเจ้า เมื่อสงครามถูกยกระดับจาก “การแย่งชิงผลประโยชน์” ไปเป็น “ภารกิจศักดิ์สิทธิ์” พลังทางจิตวิญญาณก็ทำให้คนธรรมดากลายเป็นนักรบผู้ไม่ยอมถอย
.
นี่คือสิ่งที่ผู้นำทุกยุคต้องเข้าใจ: ขวัญกำลังใจไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องถูกสร้าง สร้างด้วยคำพูด เรื่องเล่า และสัญลักษณ์ที่ใหญ่กว่าชีวิต เพื่อให้คนเชื่อว่าการตายก็ยังมีความหมาย
.
.
Strategy 8: Pick Your Battles Carefully – The Perfect-Economy Strategy
.
“เลือกศึกอย่างระมัดระวัง – กลยุทธ์แห่งเศรษฐกิจสมบูรณ์”
.
ทุกสงครามคือการใช้ทรัพยากร—คน เงิน เสบียง เวลา—และทุกอย่างมีขีดจำกัด ศิลปะของแม่ทัพไม่ใช่การสู้ทุกศึก แต่คือการเลือกศึกที่คุ้มค่าที่สุด และหลีกเลี่ยงศึกที่ต้นทุนสูงเกินผลประโยชน์
.
ซุนวูเตือนว่า “การรู้ว่าเมื่อใดไม่ควรรบ นั่นแหละคือชัยชนะ” หลายรัฐในยุคชุนชิวและจ้านกั๋วอยู่รอดได้เพราะไม่ถูกลากเข้าสู่ศึกที่ตนไม่มีทางชนะ การถอนตัวหรือการเจรจาบางครั้งจึงเป็นกลยุทธ์ ไม่ใช่ความขี้ขลาด
.
ผู้นำที่เก่งย่อมมองเกมยาว ว่าศึกใดคือก้าวสำคัญ และศึกใดคือการเสียเลือดเสียเนื้อเปล่า ชัยชนะไม่ได้วัดจากจำนวนศึกที่คุณชนะ แต่จากความสามารถในการรักษาทรัพยากรไว้เพื่อศึกที่สำคัญที่สุด
.
.
Strategy 9: Turn the Tables – The Counterattack Strategy
.
“พลิกสถานการณ์ – กลยุทธ์แห่งการโต้กลับ”
.
ไม่มีการป้องกันใดที่สมบูรณ์แบบ ทุกการโจมตีมีช่องโหว่ และศิลปะของแม่ทัพคือการรอคอยจังหวะนั้นเพื่อพลิกกลับทันที การโต้กลับที่เด็ดขาดเพียงครั้งเดียวสามารถทำลายพลังมหาศาลที่ศัตรูสะสมมาเป็นปี ๆ
.
ฮันนิบาลใช้หลักการนี้หลายครั้ง เขาล่อศัตรูให้พุ่งเข้ามาอย่างเต็มแรง แล้วใช้แรงนั้นย้อนกลับไปทำลายพวกเขา คล้ายกับการใช้แรงของหอกที่ศัตรูขว้างมาเป็นอาวุธย้อนใส่เขาเอง กลยุทธ์นี้ไม่ได้หมายถึงการรอแบบเฉื่อยชา แต่คือการรออย่างมีเป้าหมาย พร้อมจะพลิกเกมในเสี้ยววินาที
.
นี่คือเหตุผลที่การโต้กลับเป็นศิลปะที่สูงกว่า—มันต้องอาศัยทั้งความอดทน สติ และความกล้าที่จะโจมตีทันทีเมื่อเห็นโอกาส ไม่ช้ากว่าหรือเร็วกว่าแม้เสี้ยววินาทีเดียว
.
.
Strategy 10: Create a Threatening Presence – Deterrence Strategies
.
“สร้างเงาความหวาดหวั่น – กลยุทธ์แห่งการยับยั้ง”
.
บางครั้งศัตรูไม่กล้าโจมตีเลย เพียงเพราะภาพลักษณ์ของคุณแข็งแกร่งเกินไป การสร้างเงาแห่งความหวาดหวั่นคือการยับยั้งไม่ให้สงครามเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น
.
สปาร์ตาเป็นตัวอย่างอันชัดเจน แม้จะเป็นนครรัฐเล็ก แต่ชื่อเสียงของ “นักรบสปาร์ตา” ทำให้รัฐอื่นเกรงใจโดยไม่ต้องเปิดศึกใหญ่บ่อยครั้ง ความหวาดกลัวในชื่อเสียงคือกำแพงที่แข็งแกร่งกว่ากำแพงหิน
.
นี่คือกลยุทธ์ที่ใช้พลังของภาพลักษณ์แทนการใช้กำลังจริง คุณไม่จำเป็นต้องชนะศึกมากมาย เพียงแต่สร้างชื่อเสียงว่า “ไม่อาจเอาชนะได้” ศัตรูก็จะถอยเอง
.
.
Strategy 11: Trade Space for Time – The Non-Engagement Strategy
.
“แลกพื้นที่เพื่อเวลา – กลยุทธ์แห่งการไม่ปะทะ”
.
การถอยไม่ใช่ความพ่ายแพ้เสมอไป หากการถอยนั้นซื้อเวลาเพื่อให้ศัตรูอ่อนแรงเอง รัสเซียเข้าใจสิ่งนี้ดี ทั้งในสมัยนโปเลียนและฮิตเลอร์ พวกเขาเลือกเผาพื้นที่และถอยลึกเข้าไปในแผ่นดิน กองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจึงถูกทำลายด้วยความหนาว ความหิว และการหมดเสบียง
.
นี่คือการยอมเสียบางสิ่งเพื่อได้สิ่งที่ใหญ่กว่า พื้นที่สามารถยึดคืนได้ แต่เวลาที่ทำให้ศัตรูย่อยสลายไปเองนั้นประเมินค่าไม่ได้ การถอยอย่างมียุทธศาสตร์จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดที่สุด
.
.
Strategy 12: Lose Battles but Win the War – The Grand Strategy
.
“แพ้ศึกเล็กแต่ชนะสงคราม – กลยุทธ์มหาศึก”
.
ในทุกการรบ สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่การแพ้ศึกหนึ่งครั้ง แต่คือการลืมว่า “สงครามทั้งหมด” คือสิ่งที่สำคัญที่สุด หากคุณมัวหลงกับชัยชนะระยะสั้น คุณก็จะหมดพลังไปกับสิ่งที่ไม่ชี้ขาด ในทางกลับกัน หากคุณมองภาพใหญ่ คุณสามารถยอมเสียบางศึกเพื่อเก็บกำลังไว้ชนะในศึกสุดท้าย
.
โรมันคือตัวอย่างที่เด่นชัด พวกเขาไม่เคยกังวลเกินไปเมื่อแพ้ศึกย่อย ๆ กับฮันนิบาล ตราบใดที่ยังรักษาทรัพยากร กำลังคน และเส้นทางยุทธศาสตร์ในระยะยาวได้ เมื่อเวลาผ่านไป ความได้เปรียบด้านทรัพยากรจึงทำให้โรมันสามารถกลับมาโต้และเอาชนะได้ในที่สุด
.
นี่คือแก่นแท้ของ Grand Strategy: อย่าให้การสูญเสียเล็กน้อยทำให้คุณเสียการควบคุมใหญ่ บางครั้งการยอมถอยหรือเสียสละคือการลงทุนเพื่อชัยชนะสุดท้าย
.
.
Strategy 13: Know Your Enemy – The Intelligence Strategy
.
“รู้จักศัตรูของคุณ – กลยุทธ์ข่าวกรอง”
.
ไม่มีชัยชนะใดที่เกิดจากความมืดบอด ศัตรูที่คุณไม่รู้จักย่อมอันตรายกว่ากองทัพที่มองเห็นตรงหน้า ข้อมูลคืออาวุธที่คมกว่าดาบ และผู้ที่รู้จักศัตรูในระดับลึกจะชนะได้แม้กำลังน้อยกว่า
.
ซุนวูเน้นชัดว่า “หากรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งย่อมไม่พ่ายแพ้” อาณาจักรกรีกหลายครั้งสามารถพลิกสถานการณ์ได้เพราะมีสายลับในแดนศัตรู หรือเพราะเข้าใจโครงสร้างการเมืองภายในของอีกฝ่าย ข่าวกรองไม่ใช่เพียงข้อมูลตัวเลข แต่รวมถึงนิสัยผู้นำ ความทะเยอทะยาน จุดอ่อนทางอารมณ์ และสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด
.
ในโลกโบราณ แม่ทัพที่ล้มเหลวส่วนใหญ่ไม่ใช่เพราะมีกำลังน้อย แต่เพราะประเมินศัตรูผิด การรู้ศัตรูจึงเท่ากับการควบคุมศึกครึ่งหนึ่งตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
.
.
Strategy 14: Overwhelm Resistance with Speed and Suddenness – The Blitzkrieg Strategy
.
“ทลายการต่อต้านด้วยความเร็วและความฉับพลัน – กลยุทธ์สายฟ้าแลบ”
.
การป้องกันแข็งแกร่งที่สุดก็พังทลายได้ หากถูกโจมตีด้วยความเร็วและความไม่คาดคิด กรีนชี้ว่าความเร็วไม่เพียงโจมตีร่างกาย แต่ยังทำลายจิตใจของศัตรู ความตื่นตระหนกทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด และความเสียหายจึงทวีขึ้นอย่างทวีคูณ
.
อเล็กซานเดอร์มหาราชคือผู้ใช้กลยุทธ์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ในศึกที่อิสซัส เขาใช้กองทัพม้าที่รวดเร็วพุ่งเข้าหัวใจศัตรูอย่างฉับพลัน ทำให้กองทัพเปอร์เซียที่ใหญ่กว่าหลายเท่าแตกกระเจิง ความเร็วกลายเป็นตัวทำลาย “การต่อต้าน” ก่อนที่มันจะมีเวลาเติบโต
.
บทเรียนคือ หากคุณเคลื่อนที่เร็วกว่าที่ศัตรูคาด เขาจะไม่สามารถจัดกำลังรับมือได้เลย และเมื่อเขาเริ่มแตกตื่น คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังมากนักเพื่อทำลายเขาทั้งหมด
.
.
Strategy 15: Control the Dynamic – Forcing Strategies
.
“ควบคุมพลวัต – กลยุทธ์แห่งการบังคับสถานการณ์”
.
การป้องกันที่แท้จริงไม่ใช่การสร้างกำแพงรอบตัว แต่คือการทำให้ศัตรูต้องเล่นตามกติกาที่คุณกำหนด ศิลปะแห่งการบังคับพลวัตคือการสร้างสถานการณ์ที่บีบให้ศัตรูตัดสินใจในเงื่อนไขที่คุณได้เปรียบ
.
ฮันนิบาลมักใช้เทคนิคนี้ เขาสร้างกับดักทางภูมิประเทศ ทำให้โรมันต้องรบในที่ที่เขาเลือก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แคบที่กองทัพใหญ่ไม่อาจเคลื่อนไหว หรือพื้นที่ที่ทัพม้าของเขาได้เปรียบ ศัตรูจึงถูกลากเข้าสู่เกมของเขาโดยไม่รู้ตัว
.
นี่คือกลยุทธ์ที่เตือนเราว่า การควบคุมสงครามไม่ได้อยู่ที่ใครมีกำลังมากกว่า แต่อยู่ที่ใครกำหนด “สนามและกติกา” ได้ การบังคับให้ศัตรูเคลื่อนไหวในกรอบที่คุณเตรียมไว้เท่ากับคุณชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว
.
.
Strategy 16: Hit Them Where It Hurts – The Center-of-Gravity Strategy
.
“โจมตีจุดตาย – กลยุทธ์ศูนย์กลางพลัง”
.
ไม่มีอาณาจักรหรือกองทัพใดแข็งแกร่งทุกจุดเสมอไป ทุกระบบมี “หัวใจ” ที่หล่อเลี้ยงมันอยู่ หากโจมตีโดยรอบ แม้อาจสร้างบาดแผล แต่ไม่ถึงตาย แต่หากคุณเจาะเข้าศูนย์กลางแห่งพลัง ทุกอย่างจะล้มพังอย่างรวดเร็ว
.
คลาสสิกที่สุดคือการรบของกรีกกับเปอร์เซีย การโจมตีไม่ได้มุ่งไปที่การบดขยี้กำลังพลทุกกอง แต่เลือกโจมตีเส้นทางเสบียงและจุดบัญชาการ เมื่อตัดหัวใจที่หล่อเลี้ยงกองทัพ แม้จะยังมีกำลังพลนับแสน แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงร่างกายที่ขาดเลือด
.
หลักการนี้เตือนว่าคุณไม่ควรเสียพลังไปกับการฟันแขนขา แต่ต้องหาว่าศัตรูหายใจด้วยอะไร แล้วตัดสิ่งนั้น หากคุณทำให้หัวใจของเขาหยุดเต้น ศึกทั้งหมดก็จบลงในทันที
.
.
Strategy 17: Defeat Them in Detail – The Divide-and-Conquer Strategy
.
“ทำลายพวกเขาทีละส่วน – กลยุทธ์แบ่งแยกแล้วปกครอง”
.
ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่าศัตรูที่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียว และไม่มีสิ่งใดง่ายเท่าศัตรูที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ หากคุณเผชิญหน้ากับพลังมหึมาตรง ๆ คุณอาจพ่ายแพ้ แต่หากคุณแยกมันออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ คุณสามารถทำลายทีละส่วนโดยใช้พลังที่น้อยกว่ามาก
.
ฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนียและต่อมาคืออเล็กซานเดอร์มหาราชเข้าใจสิ่งนี้ดี พวกเขาไม่บุกโจมตีรัฐกรีกทั้งหมดพร้อมกัน แต่ใช้เล่ห์ทางการทูตและกำลังทหารผสมกันเพื่อทำให้แต่ละนครรัฐแตกแยก เมื่อกรีกไม่อาจรวมกำลังได้ พวกเขาก็ถูกยึดครองทีละส่วนโดยแทบไม่ต้องเสียเลือดมาก
.
นี่คือบทเรียนอมตะ: อย่าพยายามตัดไม้ทั้งต้นในครั้งเดียว แต่ฟันกิ่งทีละกิ่งจนล้มลงเอง การทำให้ศัตรูหันมาสู้กันเองก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพราะสุดท้ายคุณเพียงก้าวเข้าไปเก็บซากโดยไม่ต้องออกแรงมาก
.
.
Strategy 18: Expose and Attack Your Opponent’s Soft Flank – The Turning Strategy
.
“โจมตีปีกอ่อน – กลยุทธ์แห่งการเบี่ยงและตีโอบ”
.
ไม่มีเกราะใดที่ป้องกันได้ทุกทิศ การโจมตีตรงหน้าอาจทำให้คุณเจอพลังเต็มที่ของศัตรู แต่การโจมตีจากด้านข้างหรือปีกที่เขาไม่ทันระวังต่างหากที่ทำให้กองทัพพังลง
.
ฮันนิบาลคือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เขาไม่เคยโจมตีจุดแข็งของโรมันตรง ๆ แต่ใช้การเบี่ยงเบน ล่อให้โรมันพุ่งเข้ามาในตำแหน่งที่เขาต้องการ แล้วโจมตีจากด้านข้างหรือโอบปีกเข้าใส่ จนกองทัพใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้นยังต้องพ่ายแพ้
.
หลักการคือ: อย่าชนกำแพงตรง ๆ แต่หาช่องว่างเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครระวัง ช่องว่างนั้นมักอยู่ด้านข้างหรือจุดที่ถูกมองข้ามเสมอ และเมื่อคุณเจอแล้ว ให้ใช้พลังทั้งหมดเจาะเข้าไปจนศัตรูแตก
.
.
Strategy 19: Envelop the Enemy – The Annihilation Strategy
.
“โอบล้อมศัตรู – กลยุทธ์แห่งการทำลายล้าง”
.
ไม่มีสิ่งใดทำลายขวัญศัตรูได้เท่าการถูกโอบล้อม เมื่อไม่มีทางถอย ศัตรูจะเสียการควบคุมและตัดสินใจผิดพลาดอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์แห่งการโอบล้อมไม่เพียงโจมตีร่างกาย แต่โจมตีจิตใจโดยตรง
.
ยุทธการคานเนย์ของฮันนิบาลคือบทเรียนคลาสสิก เขาใช้กองกำลังตรงกลางถอยช้า ๆ หลอกให้โรมันพุ่งเข้าไป แล้วใช้ปีกสองด้านบีบเข้าหากัน จากนั้นส่งทัพม้าปิดด้านหลัง ผลคือกองทัพโรมันที่ใหญ่กว่าถูกโอบจนไม่มีทางออกและถูกทำลายอย่างสิ้นซาก
.
นี่คือการสอนว่า ศัตรูที่ไม่มีทางหนีย่อมเป็นศัตรูที่แพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง การโอบล้อมทำให้เขาไม่เหลือทางเลือก นอกจากแตกกระเจิงหรือยอมจำนน
.
.
Strategy 20: Maneuver Them into Weakness – The Ripening-for-the-Sickle Strategy
.
“จงบังคับให้ศัตรูเข้าสู่จุดอ่อน – กลยุทธ์แห่งการทำให้สุกงอมพร้อมเก็บเกี่ยว”
.
ไม่จำเป็นต้องโจมตีทันทีเสมอไป ศิลปะของการรบคือการบังคับให้ศัตรูเคลื่อนไหวไปในทิศที่คุณต้องการ จนเขาเผยจุดอ่อนออกมาเอง คล้ายกับการทำให้ผลไม้สุกจนพร้อมเกี่ยว
.
โรมันใช้กลยุทธ์นี้กับศัตรูหลายครั้ง พวกเขาไม่รีบรบตรง ๆ แต่ใช้การกดดัน การปิดเสบียง และการรบเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อบังคับให้ศัตรูเคลื่อนไหวผิดทิศ เมื่อศัตรูเหนื่อยและสับสน จุดอ่อนก็เผยออกมา และนั่นคือเวลาที่โรมันใช้เคียวเก็บเกี่ยวชัยชนะ
.
นี่คือแก่นแท้ของการรบเชิงรุก: ไม่ใช่เพียงการโจมตีทันที แต่คือการสร้างเงื่อนไขให้ศัตรูอ่อนกำลังเอง แล้วโจมตีตอนที่เขาไม่เหลืออะไรให้ป้องกัน
.
.
Strategy 21: Negotiate While Advancing – The Diplomatic-War Strategy
.
“เจรจาไปพร้อมกับการรุก – กลยุทธ์สงครามทางการทูต”
.
การรบที่เฉียบคมที่สุดบางครั้งไม่ใช่บนสนาม แต่คือการผสมผสานคมดาบกับถ้อยคำ เจรจาและรุกไปพร้อมกัน ทำให้ศัตรูสับสน: จะเห็นคุณเป็นพันธมิตรหรือผู้รุกรานกันแน่? ในขณะที่เขาลังเล คุณก็ก้าวเข้ายึดพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
.
จักรวรรดิโรมันคือปรมาจารย์ในเรื่องนี้ พวกเขามักส่งคณะทูตไปสร้างพันธมิตรและข้อตกลงในขณะเดียวกันก็ขยายอำนาจทหารอย่างไม่หยุด พันธมิตรเล็ก ๆ จึงตระหนักช้าเกินไปว่าตนเองถูกพันธนาการในข้อตกลงที่โรมันกำหนด และเมื่อจะหันมาใช้กำลัง ก็ไม่มีโอกาสแล้ว
.
นี่คือหลักการที่เตือนว่า การเจรจาไม่ใช่หยุดสงคราม แต่คือ “สนามรบอีกแห่ง” ที่คุณต้องใช้ควบคู่กับการเคลื่อนทัพจริง ๆ ผู้ที่เจรจาไป รุกไป ย่อมควบคุมทั้งสองสนามได้ในเวลาเดียวกัน
.
.
Strategy 22: Know How to End Things – The Exit Strategy
.
“รู้จักปิดฉาก – กลยุทธ์การยุติอย่างมีชั้นเชิง”
.
การชนะไม่เพียงเกิดจากการเริ่มต้นที่ดี แต่จากการรู้ว่าจะจบอย่างไร ศึกที่ยืดเยื้อเกินไปมักทำลายผู้ชนะเอง เพราะทรัพยากรหมด ขวัญเสีย และศัตรูที่พ่ายก็ได้เวลาฟื้น การรู้จัก “ปิดเกม” คือศิลปะของแม่ทัพที่แท้จริง
.
ตัวอย่างโรมันกับคาร์เธจในการสงครามพิวนิกครั้งที่สามชี้ให้เห็นความเด็ดขาดนี้ หลังจากต่อสู้กันมายาวนาน พวกเขาเลือกปิดฉากโดยการทำลายคาร์เธจจนสิ้น นี่คือ “Exit Strategy” ที่ไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูกลับมาอีก
.
หลักการคือ: จงชัดเจนว่าจะยุติเมื่อไร และอย่างไร หากคุณปล่อยให้ชัยชนะค้างคา ศัตรูอาจหวนคืนมาพร้อมความแค้นที่รุนแรงกว่าเดิม แต่หากคุณปิดเกมแน่นอน ไม่ให้มีที่เหลือ คุณก็เป็นผู้กำหนดจุดจบของเรื่องราวเอง
.
.
Strategy 23: Weave a Seamless Blend of Fact and Fiction – Misperception Strategies
.
“ถักทอความจริงกับภาพลวง – กลยุทธ์แห่งการสร้างการรับรู้ที่ผิดพลาด”
.
มนุษย์ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความจริงแท้ แต่ด้วยสิ่งที่เขารับรู้ และการรับรู้นั้นสามารถบิดเบือนได้ง่ายที่สุดเมื่อผสมทั้งความจริงและเท็จเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน ความโกหกที่ไร้รากฐานมักถูกจับได้ แต่ความโกหกที่วางอยู่บนความจริงเพียงบางส่วน กลับกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเชื่อโดยไม่ตั้งคำถาม
.
ม้าไม้แห่งทรอยคือบทเรียนอมตะ มันเป็นของจริงที่สัมผัสได้ แต่ความหมายที่แฝงอยู่ข้างในคือการโกหก เมื่อทรอยเชื่อว่าม้าเป็นของกำนัลศักดิ์สิทธิ์ เมืองทั้งเมืองก็ถูกทำลายด้วยการหลงเชื่อใน “ความจริงครึ่งเดียว”
.
กลยุทธ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ในสงครามการรับรู้ ความจริงที่ถูกปั้นแต่งคืออาวุธอันทรงพลัง ผู้ที่ควบคุมเรื่องเล่าได้ย่อมควบคุมผลลัพธ์ของสงครามได้เช่นกัน
.
.
Strategy 24: Take the Line of Least Expectation – The Ordinary-Extraordinary Strategy
.
“เลือกเส้นทางที่ศัตรูไม่คาดคิด – กลยุทธ์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”
.
ศัตรูมักเตรียมการป้องกันตรงจุดที่คาดว่าจะถูกโจมตี นั่นทำให้เส้นทางที่ดูธรรมดา ไร้ค่า และไม่น่าเป็นไปได้ กลับกลายเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด ศิลปะของแม่ทัพคือการกล้าเลือกเส้นทางนั้น
.
ฮันนิบาลเข้าใจสิ่งนี้เมื่อเขานำกองทัพข้ามเทือกเขาแอลป์ การเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครคิดว่าทำได้ ทำให้เขาปรากฏตัวในอิตาลีโดยไม่ทันตั้งตัว ศัตรูที่มัวระวังเส้นทางปกติกลับไม่พร้อมรับมือกับเส้นทางที่ไม่คาดฝัน
.
นี่คือกลยุทธ์ที่เตือนว่า ความธรรมดาอาจกลายเป็นอาวุธร้ายแรงที่สุด หากถูกใช้ในเวลาที่เหมาะสมและในที่ที่ศัตรูละเลย ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าศัตรูที่โผล่มาจากทางที่คุณไม่เคยเฝ้า
.
.
Strategy 25: Occupy the Moral High Ground – The Righteous Strategy
.
“ยึดพื้นที่ศีลธรรม – กลยุทธ์แห่งความชอบธรรม”
.
ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าคุณสามารถพ่ายแพ้ได้ หากคุณทำให้โลกเห็นว่าเขาคือฝ่ายอธรรม การรบที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่ในสนาม แต่ในสายตาของผู้คนรอบข้าง หากคุณยืนอยู่บน “ที่สูงทางศีลธรรม” ศัตรูย่อมถูกมองว่าเลวร้าย แม้เขาจะชนะด้วยกำลัง แต่จะสูญเสียความชอบธรรมไปตลอดกาล
.
โรมันใช้สิ่งนี้บ่อยครั้ง พวกเขาประกาศศึกว่าเป็นการ “ป้องกัน” หรือ “ปลดปล่อย” แทนที่จะบอกตรง ๆ ว่าเป็นการรุกราน ศัตรูจึงกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาโลก เมื่อชัยชนะเกิดขึ้น มันจึงไม่ใช่แค่กำลังทหาร แต่คือชัยชนะทางภาพลักษณ์
.
หลักการคือ: หากคุณครอบครองความชอบธรรม ศัตรูจะเสียเปรียบเสมอ เพราะไม่มีใครอยากสู้ตายเพื่อสิ่งที่ทั้งโลกบอกว่าผิด
.
.
Strategy 26: Deny Them Targets – The Strategy of the Void
.
“อย่าให้ศัตรูมีเป้า – กลยุทธ์แห่งความว่างเปล่า”
.
ศัตรูที่หาที่โจมตีคุณไม่ได้ จะหมดแรงไปเอง กลยุทธ์แห่งความว่างคือการไม่ให้ศัตรูมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการไม่เปิดเผยกำลัง การเคลื่อนไหวตลอดเวลา หรือการทำตัวเล็กจนไม่คุ้มค่าโจมตี ศัตรูที่หงุดหงิดจะเสียขวัญ และใช้พลังงานโดยเปล่าประโยชน์
.
จีนโบราณชอบใช้กลยุทธ์นี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีกำลังเหนือกว่า พวกเขาไม่สู้ตรง ๆ แต่ถอยเข้าไปในที่รกร้าง เผาเสบียงและบ้านเมืองเพื่อไม่ให้ศัตรูมีอะไรยึด ศัตรูจึงหมดพลังเองโดยไม่ได้ต่อสู้จริง ๆ
.
นี่คือศิลปะของการ “ชนะโดยไม่รบ” คุณไม่จำเป็นต้องทำลายศัตรู หากคุณทำให้เขาไม่สามารถลงดาบได้เลย
.
.
Strategy 27: Seem to Work for the Interests of Others While Furthering Your Own – The Alliance Strategy
.
“ทำเหมือนเพื่อคนอื่น แต่แท้จริงเพื่อตัวเอง – กลยุทธ์พันธมิตร”
.
พันธมิตรเป็นทั้งเกราะและกับดัก หากคุณใช้มันอย่างฉลาด มันคือการเพิ่มพลังโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรตัวเอง แต่พันธมิตรที่แท้จริงในสงครามหาได้ยาก สิ่งที่ควรทำคือการสร้างภาพว่าคุณช่วยเหลือผู้อื่น แต่จริง ๆ แล้วคุณกำลังขับเคลื่อนผลประโยชน์ของตัวเอง
.
เอเธนส์ในสมัยจักรวรรดิดีเลียนเป็นตัวอย่าง พวกเขารวมพันธมิตรเพื่อป้องกันเปอร์เซีย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงินสนับสนุนจากพันธมิตรกลับถูกใช้เพื่อสร้างอำนาจของเอเธนส์เอง จนพันธมิตรกลายเป็นแค่ผู้สนับสนุนความรุ่งเรืองของเอเธนส์โดยไม่รู้ตัว
.
นี่คือกลยุทธ์ที่เตือนว่า การจับมือกันไม่ใช่เพราะมิตรภาพ แต่เพราะผลประโยชน์ หากคุณทำให้ทุกคนเชื่อว่ากำลังได้ประโยชน์ร่วม พวกเขาจะไม่ทันสังเกตว่าที่จริงแล้ว คุณคือผู้ได้มากที่สุด
.
.
Strategy 28: Give Your Rivals Enough Rope to Hang Themselves – The One-Upmanship Strategy
.
“ให้เชือกกับคู่แข่งจนเขาผูกคอตัวเอง – กลยุทธ์การยั่วยุจนพลาด”
.
บางครั้งวิธีชนะที่ง่ายที่สุดคือการไม่ต้องทำอะไร เพียงปล่อยให้ศัตรูทำร้ายตัวเอง คุณยั่วยุเล็กน้อย ปล่อยพื้นที่เล็ก ๆ ให้เขารู้สึกมั่นใจเกินไป และเมื่อเขาเผลอทำเกินขอบเขต ความผิดพลาดนั้นจะกลับมาทำลายเขาเอง
.
จักรวรรดิโรมันใช้วิธีนี้บ่อย พวกเขายอมให้เผ่าเล็ก ๆ ลุกฮือ แต่ไม่รีบปราบ จนเผ่านั้นเผลอแสดงความอ่อนแอออกมา และเมื่อถึงจุดนั้น โรมนำทัพบดขยี้อย่างสิ้นซาก ศัตรูที่มั่นใจเกินไปจึงเป็นศัตรูที่พังง่ายที่สุด
.
นี่คือกลยุทธ์แห่งการ “ชนะด้วยความอดทน” เพราะบางครั้งสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับศัตรู ไม่ใช่คมดาบของคุณ แต่คือความผิดพลาดของเขาเองที่คุณปล่อยให้เกิดขึ้น
.
.
Strategy 29: Take Small Bites – The Fait Accompli Strategy
.
“กัดกินทีละคำ – กลยุทธ์บีบให้ยอมรับสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้”
.
ไม่มีอะไรทำให้ศัตรูอึดอัดเท่าการถูกบังคับให้ยอมรับความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนได้ การ “กัดทีละคำ” หมายถึงการเคลื่อนที่เล็ก ๆ ที่ดูไม่สำคัญ แต่สะสมจนกลายเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่ศัตรูไม่อาจปฏิเสธได้
.
โรมันใช้วิธีนี้บ่อย พวกเขาไม่ยึดครองทีเดียวทั้งแผ่นดิน แต่เริ่มจากการส่งทหารไปตั้งทัพย่อย ควบคุมเมืองเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ขยายเขต เมื่อรัฐเล็ก ๆ ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนถูกโอบล้อมไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ศัตรูที่ยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว จะเสียกำลังใจ และไม่เหลือพลังใจพอจะลุกขึ้นสู้
.
นี่คือศิลปะของการคืบคลาน ไม่สร้างแรงเสียดทานใหญ่ แต่สร้างข้อเท็จจริงเล็ก ๆ ซ้ำ ๆ จนอีกฝ่ายหมดสิทธิ์ปฏิเสธ
.
.
Strategy 30: Penetrate Their Minds – Communication Strategies
.
“เจาะเข้าสู่จิตใจ – กลยุทธ์การสื่อสาร”
.
การชนะศึกไม่ได้ขึ้นอยู่กับการควบคุมร่างกาย แต่กับการควบคุมความคิด ศัตรูที่ถูกครอบงำทางความคิดย่อมแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง กลยุทธ์นี้คือการใช้ถ้อยคำ สัญลักษณ์ และข่าวสารเพื่อเจาะเข้าสู่ใจของศัตรูและผู้คนรอบข้าง
.
จักรพรรดิออกัสตุสคือผู้เข้าใจสิ่งนี้ เขาไม่ได้ใช้เพียงกองทัพ แต่ใช้วาทศิลป์ สัญลักษณ์แห่งสันติ และภาพลักษณ์ของ “ผู้กอบกู้” เพื่อครองใจโรมัน การชนะใจทำให้การชนะด้วยกำลังทหารเป็นเรื่องง่าย
.
นี่คือบทเรียนว่า ผู้ที่ควบคุมเรื่องเล่า ควบคุมการรับรู้ และปลูกฝังภาพในใจ ย่อมควบคุมศึกได้แม้ยังไม่ลงมือ
.
.
Strategy 31: Destroy from Within – The Inner-Front Strategy
.
“ทำลายจากภายใน – กลยุทธ์แนวรบในใจศัตรู”
.
การโจมตีจากนอกกำแพงนั้นตรงไปตรงมา แต่การทำลายจากภายในคือสิ่งที่ศัตรูแทบไม่ทันระวัง หากคุณทำให้ระบบศัตรูพังจากข้างใน ไม่ว่าจะด้วยการซื้อตัวคนสำคัญ การสร้างความแตกแยก หรือการบ่อนทำลายสถาบัน เมื่อถึงเวลาที่คุณโจมตีภายนอก กำแพงก็จะพังลงเอง
.
จักรวรรดิโรมันในปลายยุคคือตัวอย่าง พวกเขาไม่ได้ล้มเพราะศัตรูภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่เพราะการคอร์รัปชัน ความแตกแยกภายใน และการเสื่อมของศีลธรรมที่บั่นทอนพลังจากข้างในจนเหลือแต่เปลือก
.
หลักการคือ: หากคุณทำให้ศัตรูหันไปสงสัยกันเอง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย คุณไม่จำเป็นต้องยกดาบเลยด้วยซ้ำ ศัตรูจะเป็นผู้ทำลายตนเองแทนคุณ
.
.
Strategy 32: Dominate While Seeming to Submit – The Passive-Aggression Strategy
.
“ครองอำนาจในขณะที่ดูเหมือนจำยอม – กลยุทธ์ก้าวรุกในคราบอ่อนน้อม”
.
ศิลปะของการบุกที่ซ่อนคมที่สุดคือการทำตัวเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อง ยอมตามศัตรูทุกอย่าง แต่ภายในค่อย ๆ สอดอำนาจ ควบคุมกระบวนการ และแทรกซึมโครงสร้างจนศัตรูไม่รู้ตัว เมื่อเขาหันมาอีกที คุณก็คือผู้คุมเกมแล้ว
.
ราชวงศ์หลายยุคสร้างอำนาจด้วยวิธีนี้ ขุนนางที่แสร้งเป็นผู้จงรักภักดี ใช้เวลาแทรกซึมโครงสร้างการเมือง จนวันหนึ่งทุกเสาอำนาจถูกดึงมาอยู่ในมือของตน ศัตรูที่เคยคิดว่ามีผู้ช่วยเหลือ กลับพบว่าตัวเองถูกยึดอำนาจเงียบ ๆ ไปแล้ว
.
นี่คือกลยุทธ์ของการ “บุกในคราบยอม” เพราะการโจมตีตรงอาจสร้างแรงต้าน แต่การคืบคลานแบบเงียบจะทำให้คุณได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องประกาศสงครามเลย
.
.
Strategy 33: Sow Uncertainty and Panic Through Acts of Terror – The Chain-Reaction Strategy
.
สร้างความสับสนและตื่นตระหนกด้วยการกระทำอันน่าหวาดกลัว – กลยุทธ์ปฏิกิริยาลูกโซ่
.
ชัยชนะไม่จำเป็นต้องมาจากการบดขยี้กำลังทหารโดยตรง บางครั้งการโจมตีจิตใจด้วยความหวาดกลัวมีพลังร้ายแรงยิ่งกว่า การกระทำที่สร้างความตื่นตระหนกอย่างฉับพลันอาจทำให้ศัตรูแตกแถวเองโดยไม่ต้องเผชิญหน้าจริง ๆ
.
ในประวัติศาสตร์หลายครั้ง การก่อกวนที่เล็กแต่โหดเหี้ยมทำให้กองทัพใหญ่ตื่นตระหนก สูญเสียความมั่นใจ และล่มลงเพราะความโกลาหลภายใน ความกลัวแพร่กระจายเร็วกว่าความจริงเสมอ และเมื่อมันลาม ศัตรูจะกลายเป็นฝ่ายที่ทำลายตนเอง
.
นี่คือกลยุทธ์สุดท้ายที่ Greene วางไว้: หากคุณสามารถจุดประกายความกลัวเล็ก ๆ ในใจศัตรู มันจะลามเป็นไฟเผาผลาญทั้งกองทัพ คุณไม่ต้องลงแรงมาก แต่ผลลัพธ์คือการทำลายล้างทั้งระบบ
.
.
=======================================
.
.
หากคุณอ่านจบแล้วรู้สึกว่า 33 กลยุทธ์ยังไม่เพียงพอ ก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังครับ
.
เพราะยังมีกลยุทธ์ลับที่นักปราชญ์ทุกยุคใช้ได้ผลเสมอ นั่นคือ "การนอนหลับ แล้วบอกตัวเองพรุ่งนี้ค่อยคิดใหม่" ซึ่งแปลกดีที่หลายครั้งมันได้ผลยิ่งกว่ากลยุทธ์ใดๆ
.
แต่ถ้าคุณยังรู้สึกผิด (หรือกลัวใครเห็น) ที่มีหนังสือ "สงคราม" เล่มนี้...
.
ให้ซื้อ "Give and Take" ของ Adam Grant มาวางทับ
.
ซื้อ "How to Win Friends and Influence People" มาวางข้างบน
.
ซื้อ "The 5 Love Languages" มาประกบอีกที สามเล่มนี้คือชุดเกราะบังหน้าอันสมบูรณ์แบบ
.
พอมีใครมาเห็นก็จะอุทานว่า... "โอ้โห คุณอ่านแต่หนังสือดีๆ นี่!"
.
ส่วนหน้า Strategy 23 "ผสมความจริงกับภาพลวง" ที่คุณใส่ที่คั่นหนังสือไว้อยู่... ก็ปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไปครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ The Extended Mind เขียนโดย Annie Murphy Paul