สรุปหนังสือ THE ART OF WAR ตำราพิชัยสงคราม โดย ซุนวู
The Art of War ถือเป็นคัมภีร์ยุทธศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดของโลก ไม่เพียงแต่ในแง่ของศาสตร์การทหารเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการบริหารจัดการในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล องค์กรธุรกิจ ไปจนถึงการบริหารรัฐ
.
สิ่งที่ทำให้ตำราเล่มนี้โดดเด่นและยังคงมีความหมายข้ามกาลเวลากว่าสองพันห้าร้อยปี คือแก่นแท้ที่มุ่งเน้นไปที่ “ชัยชนะอย่างยั่งยืนด้วยการสูญเสียน้อยที่สุด” ไม่ใช่ชัยชนะที่แลกมาด้วยการทำลายล้างอย่างไร้เหตุผล
.
หนังสือเล่มนี้วางอยู่บนฐานคิดแบบเต๋า (Taoism) อย่างเข้มข้นและซับซ้อน ตั้งแต่การวิเคราะห์จิตวิทยามนุษย์ การสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไปจนถึงวิธีคิดแบบ "ทำให้น้อยแต่ได้มาก" (Effortless Efficacy) หรือที่เรียกว่า Wu Wei ในปรัชญาเต๋า
.
ด้วยเหตุนี้ แม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็น "ตำราศึก" แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว กลับพบว่าแฝงไว้ด้วย "ศิลปะแห่งการป้องกันความขัดแย้ง" ซึ่งสอดรับกับสำนวนคลาสสิกของซุนวูที่ว่า "ชนะโดยไม่ต้องรบ ย่อมดีที่สุด" และอุดมคตินี้ถูกวางเป็นแนวแกนหลักที่ทอดยาวตลอดทั้งเล่ม
.
.
======================================
.
1. ปรัชญาเต๋าในตำราศึก
.
หากไม่เข้าใจพื้นฐานของปรัชญาเต๋า เราจะสามารถอ่าน The Art of War ได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะโครงสร้างความคิดของซุนวูตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานของเต๋าอย่างชัดเจน อาทิ คู่ตรงข้ามที่สัมพันธ์กันอย่างไม่อาจแยกออกจากกัน หยิน–หยาง, หลักการ "ว่าง–เต็ม" (Emptiness–Fullness), การวางแผนเชิงป้องกันก่อนวิกฤตจะเกิดขึ้น (Preventive Strategy), และการกระทำที่สอดคล้องกับจังหวะเวลาที่เหมาะสม (Timing) มากกว่าการพึ่งพากำลังดิบ
.
ทั้งหมดนี้มิใช่เพียงศัพท์เทคนิคทางการทหารล้วนๆ แต่เป็นภาษาของเต๋าที่แทรกซึมอยู่ในทุกบทของตำรา ตัวอย่างเช่น แนวคิดเรื่อง "ไร้รูป" (Formlessness) ที่ซุนวูเน้นย้ำเพื่อให้ศัตรูไม่สามารถคาดเดาเจตนาและการเคลื่อนไหวของเราได้ ความลี้ลับทำให้รอดพ้นจากอันตราย และความยืดหยุ่นทำให้สามารถคว้าชัยชนะได้ในทุกสถานการณ์
.
หนังสือเล่มนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับคัมภีร์สำคัญของลัทธิเต๋า อย่าง Tao Te Ching และ I Ching โดยเฉพาะหลักการที่ว่า "ทำสิ่งยากตั้งแต่ยังง่าย ทำสิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังเล็ก" เป็นหลักคิดที่ซุนวูนำมาประยุกต์ใช้กับศาสตร์การสงครามอย่างชาญฉลาด การป้องกันปัญหาก่อนที่มันจะก่อตัวขึ้น (Pre-emption), การหลีกเลี่ยงการปะทะแบบเผชิญหน้าโดยตรง, และการใช้ประโยชน์จากจังหวะเวลาร่วมกับภูมิประเทศให้กลายเป็นแต้มต่อทางยุทธศาสตร์ มากกว่าการวัดกันด้วยจำนวนทหารหรืออาวุธยุทโธปกรณ์เพียงอย่างเดียว
.
.
2. นิทานแพทย์สามพี่น้อง
.
ในบทนำของคัมภีร์ฉบับที่มีคำอธิบายโดย Thomas Cleary มีการยกนิทานโบราณของจีนเรื่องแพทย์สามพี่น้องมาเป็นอุปมาอุปไมย นิทานนี้สะท้อนแก่นของยุทธศาสตร์ซุนวูได้อย่างลึกซึ้ง:
.
“พี่ใหญ่” เป็นหมอที่เก่งที่สุดเพราะสามารถรักษาโรคตั้งแต่ยังไม่ปรากฏอาการใดๆ ผลคือเขา "ไม่มีชื่อเสียง" เลย เพราะไม่มีคนป่วยมาถึงมือเขา ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเคยป่วยและได้รับการรักษาแล้ว
.
“พี่คนกลาง” รักษาโรคได้ตั้งแต่อาการยังเพียงเล็กน้อย เขาจึงมีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น เป็นที่รู้จักในละแวกบ้าน
.
ส่วน “น้องคนสุดท้อง” เชี่ยวชาญการรักษาโรคร้ายแรง ต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อน ทั้งการลงเข็ม การต้มยา การนวดบีบจุดต่างๆ ผู้คนจึงเห็นความสามารถของเขาอย่างชัดเจน ชื่อเสียงของเขาจึงเลื่องลือไปถึงบรรดาขุนนางและผู้มีอำนาจ
.
นิทานนี้ถูกตีความว่าเป็นการสื่อถึงแก่นยุทธศาสตร์ของซุนวู “ระดับสูงสุดของการทำสงครามคือการตัดไฟแต่ต้นลม” ป้องกันความขัดแย้งไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก รองลงมาคือการสะกัดแผนการและทำลายพันธมิตรของศัตรู ถัดลงไปจึงเป็นการโจมตีกำลังทหารของศัตรู และต่ำสุดคือการล้อมและโจมตีเมือง
.
นี่ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไม The Art of War ถึงให้ความสำคัญกับ "ความรู้และการจัดการก่อนวิกฤต" มากกว่าความห้าวหาญหรือความกล้าหาญในสนามรบ เพราะคุณภาพของการตัดสินใจที่วางแผนไว้ล่วงหน้าคือตัวชี้ขาดต้นทุนและผลตอบแทนที่แท้จริงของสงคราม
.
.
3. สงครามคือไฟ ต้องควบคุม
.
เส้นใยทางจริยศาสตร์ของปรัชญาเต๋าปรากฏอย่างชัดเจนตลอดทั้งเล่ม ซุนวูกล่าวว่าอาวุธคือ "เครื่องมืออัปมงคล" ที่ควรใช้เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น สงคราม…แม้จะได้ชัยชนะมาแล้ว ก็ยังคงก่อผลร้ายต่อแผ่นดินและประชาชน ดังที่ Tao Te Ching กล่าวไว้ว่า "หนามใหญ่จะขึ้นตามทางที่กองทัพเดินผ่าน ปีแห่งความอดอยากจะตามหลังสงครามใหญ่"
.
ดังนั้นจริยธรรมพื้นฐานของการทำสงครามตามแนวทางซุนวูคือ การยุติความรุนแรงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และ "อย่าเฉลิมฉลองชัยชนะ" อย่างโอ้อวด เพราะความกระหายเลือดและความชื่นชอบในการทำลายล้างจะทำให้ไม่สามารถปกครองโลกได้อย่างยั่งยืน กรอบคิดนี้สอดคล้องกับคำเตือนของซุนวูเกี่ยวกับอันตรายของ "โทสะและความโลภ" ที่อาจทำให้แม่ทัพตัดสินใจผิดพลาด และย้ำถึงความจำเป็นของภาวะความสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหวทางอารมณ์ในตัวผู้นำทางทหาร
.
.
4. มิติ "ไร้รูป–คาดเดาไม่ได้"
.
แกนยุทธศาสตร์สำคัญอีกชุดหนึ่งของซุนวูคือการทำให้ตนเอง "ไร้รูป–ไร้ร่องรอย" การป้องกันอย่างลึกล้ำราวกับซ่อนอยู่ใต้ผืนดิน, การโจมตีอย่างสูงราวกับโผล่มาจากฟ้า, การเคลื่อนไหวในลักษณะที่ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถสร้างแบบจำลองหรือคาดการณ์พฤติกรรมของเราได้ ผลที่ตามมาคือการบังคับให้ศัตรูต้องคิดและเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ผิด ในขณะที่เรายังคงสามารถ "รู้จักเขา" ได้อย่างแม่นยำแต่ไม่เปิดเผยไพ่ของตนเองก่อนเวลาอันควร
.
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการลวง (Deception) จึงถูกยกให้เป็นหลักการสากลในการทำสงคราม แม้คุณพร้อมแล้ว ต้องแสดงท่าทีเหมือนยังไม่พร้อม แม้คุณอยู่ใกล้ ต้องทำให้ดูเหมือนอยู่ไกล เพื่อให้ศัตรูรับข้อมูลที่ผิดพลาดตั้งแต่ขั้นตอนแรกของกระบวนการคิดและวางแผน ในเชิงเทคนิคสมัยใหม่ นี่คือการควบคุม "ข้อมูล–แบบจำลอง–ความคาดหมาย" (Information-Model-Expectation) ของคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็น "ทรัพยากร" ที่มักถูกประเมินค่าต่ำกว่ากำลังพลและยุทโธปกรณ์ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันให้ผลทวีคูณต่อการตัดสินใจในทุกขั้นตอนของฝ่ายตรงข้าม
.
.
5. ทำไมสงครามต้องเริ่มจากการคิด
.
ไม่มีใครเดินเข้าร้านอาหารโดยไม่รู้ว่าตนมีเงินเพียงพอที่จะจ่ายหรือไม่ ในทำนองเดียวกัน ไม่มีผู้นำคนใดควรพาประเทศชาติเข้าสู่สงครามโดยไม่ได้ประเมินอย่างรอบคอบว่าตนมีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะหรือไม่ ซุนวูเปิดตำราของเขาไว้อย่างชัดเจนและน่าเกรงขามว่า "สงครามเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของรัฐ เป็นพื้นที่แห่งความเป็นและความตาย เป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความอยู่รอดหรือความหายนะ จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน"
.
การทำสงครามไม่ใช่เรื่องของ "ความกล้าหาญ" หรือ "ศักดิ์ศรี" หรือแม้แต่ "ความรักชาติ" เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ “คณิตศาสตร์แห่งชีวิตมนุษย์นับแสนนับล้าน” การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงการล่มสลายของทั้งอาณาจักร การสูญเสียคนรุ่นหนึ่งทั้งรุ่น และความทุกข์ทรมานที่จะสืบต่อไปหลายชั่วอายุคน
.
.
6. Strategic Assessments ห้าปัจจัย: ระบบประเมินสงครามแบบองค์รวม
.
ซุนวูได้สร้างกรอบคิด "ห้าประการ" ที่เปรียบเสมือน Matrix หรือตารางวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกมิติของการทำสงคราม
.
.
I. The Way (道) — ความเป็นเอกภาพระหว่างผู้ปกครองและประชาชน
.
นี่คือปัจจัยแรกและสำคัญที่สุด The Way หมายถึงความสอดคล้องกันของอุดมการณ์ ค่านิยม และเป้าหมายระหว่างผู้นำกับประชาชน เมื่อ Way มีความเข้มแข็ง ประชาชนจะพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อผู้นำและประเทศชาติ
.
หากประชาชนไม่ศรัทธาในผู้นำ แม้จะมีกองทัพขนาดใหญ่เพียงใด ก็เปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้หัวใจ ไม่มีพลังชีวิตที่แท้จริง
.
ซุนวูกำลังบอกเราว่าความชอบธรรมทางการเมือง คือพลังงานเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนเครื่องจักรสงคราม
.
.
II. Heaven (天) — สภาพฟ้าอากาศ ฤดูกาล และจังหวะเวลา
.
Heaven ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพอากาศเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงปัจจัยทางธรรมชาติและเวลาทั้งหมดที่ส่งผลต่อการทำสงคราม
.
แสงแดดที่ร้อนจัดทำให้ทหารอ่อนเพลียและขาดน้ำ
ฝนตกหนักทำให้การขนส่งเสบียงล่าช้าและอาวุธชื้นใช้การไม่ได้
หิมะและความหนาวเย็นทำให้การเคลื่อนทัพช้าลงและต้องใช้เสบียงมากขึ้น
.
การทำศึกที่ดีต้องเลือก "เวลา" ให้เหมาะสมพอๆ กับการเลือก "สถานที่"
.
.
III. Earth (地) — ภูมิประเทศ ระยะทาง และลักษณะพื้นที่
.
ภูมิประเทศคือ "เครื่องมือเชิงกลศาสตร์" ของแม่ทัพที่ชาญฉลาด ซุนวูให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ภูมิประเทศอย่างละเอียด
.
ช่องเขาแคบสามารถใช้กำลังน้อยสกัดกั้นกำลังมาก
แม่น้ำกว้างเป็นอุปสรรคธรรมชาติแต่ก็เป็นเส้นทางขนส่งได้
ที่ราบโล่งเหมาะกับการใช้ทหารม้าและการเคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว
ป่าทึบและภูเขาให้ที่ซ่อนแต่ก็ทำให้การสื่อสารและการเคลื่อนทัพยากลำบาก
.
ตัวอย่าง: ศึกฉีบี้ในยุคสามก๊ก—โจโฉมีกองทัพเรือขนาดใหญ่ แต่ภูมิประเทศแคบของแม่น้ำแยงซีและความไม่คุ้นเคยกับการรบทางน้ำ ทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
.
.
IV. The Commander (將) — คุณธรรมและความสามารถของแม่ทัพ
.
แม่ทัพที่ดีต้องมีคุณสมบัติครบ 5 ประการ ซึ่งแต่ละอย่างมีความสำคัญและสัมพันธ์กัน:
.
ปัญญา : ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ วางแผน และตัดสินใจอย่างถูกต้อง
.
ความซื่อสัตย์ : ความน่าเชื่อถือที่ทำให้ทหารไว้วางใจและปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่ลังเล
.
ความเมตตา : ความห่วงใยทหารทำให้พวกเขาพร้อมสละชีวิตเพื่อแม่ทัพ
.
ความกล้าหาญ : ความกล้าที่จะตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤติและนำทหารฝ่าอันตราย
.
ความเข้มงวด : การรักษาวินัยอย่างเคร่งครัดเพื่อให้กองทัพเป็นระเบียบ
.
.
V. Method & Discipline (法) — ระบบและระเบียบวินัย
.
นี่คือโครงสร้างองค์กรที่ทำให้กองทัพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
.
การจัดโครงสร้างหน่วยและสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน
การแบ่งเบี้ยหวัดและค่าตอบแทนอย่างยุติธรรม
การควบคุมเส้นทางเสบียงและลอจิสติกส์อย่างมีระบบ
ระบบการให้รางวัลและการลงโทษที่ชัดเจนและบังคับใช้อย่างเสมอภาค
.
.
7. สงครามคือการลวง
.
หลังจากวางรากฐานด้วยการประเมินอย่างรอบคอบแล้ว ซุนวูจึงเปิดเผยหลักการสำคัญที่สุดประการหนึ่ง: "สงครามทั้งหมดตั้งอยู่บนการลวง" ประโยคนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการสอนให้ "โกหก" หรือ "หลอกลวง" ในความหมายที่เป็นลบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซุนวูกำลังชี้ให้เห็นความจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้น
.
การลวงในที่นี้คือการเข้าใจว่าศัตรูตัดสินใจจากสิ่งที่เขารับรู้ ไม่ใช่จากความเป็นจริงที่แท้จริง ดังนั้น หากเราสามารถควบคุมการรับรู้ (Perception) ของศัตรูได้ เราก็สามารถควบคุมการตัดสินใจและการกระทำของเขาได้ด้วย นี่คือหลักการที่ยังคงใช้ได้ผลในทุกรูปแบบของการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ธุรกิจ หรือแม้แต่การกีฬา
.
ซุนวูให้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม: ทำให้ศัตรูคิดว่าเราอยู่ใกล้เมื่อจริงๆ แล้วเราอยู่ไกล ทำให้เขาคิดว่าเราอ่อนแอเมื่อจริงๆ แล้วเราแข็งแกร่ง ทำให้เขาเฝ้าระวังจุดหนึ่งขณะที่เราโจมตีอีกจุดหนึ่ง การควบคุมข้อมูลที่ศัตรูได้รับจึงมีพลังมากกว่าการควบคุมกำลังทหารเสียอีก
.
ตัวอย่างคลาสสิกจากประวัติศาสตร์จีนคือเมื่อขงเบ้งใช้ "กลยุทธ์เมืองร้าง" โดยเปิดประตูเมืองกว้างและนั่งเล่นพิณอย่างสงบ เมื่อโจโฉเห็นภาพนี้กลับคิดว่าเป็นกับดักและสั่งถอยทัพ ทั้งที่ความจริงแล้วในเมืองแทบไม่มีทหารเหลืออยู่เลย นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังแห่งการควบคุมการรับรู้
.
.
8. เศรษฐศาสตร์ของสงคราม
.
ซุนวูเปลี่ยนจากการพูดถึงปรัชญาและหลักการ มาสู่การวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ของสงครามอย่างตรงไปตรงมาและไม่ออมค้อม เขาเริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นต้นทุนมหาศาลของการทำสงคราม
.
การยกกองทัพใหญ่หมายถึงการดึงแรงงานจำนวนมากออกจากภาคการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจในสมัยนั้น ชาวนาที่กลายเป็นทหารไม่สามารถทำนาได้ ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ราคาอาหารสูงขึ้น ประชาชนที่เหลืออยู่ต้องแบกรับภาระภาษีที่หนักขึ้นเพื่อเลี้ยงกองทัพ
.
การขนส่งเสบียงจากระยะไกลยิ่งเพิ่มต้นทุนอย่างทวีคูณ ซุนวูคำนวณว่าการขนส่งเสบียงหนึ่งหน่วยไปยังแนวหน้า อาจต้องใช้เสบียงถึงยี่สิบหน่วยสำหรับการขนส่งเอง เมื่อรวมกับค่าจ้างคนขน ค่าดูแลสัตว์พาหนะ และความเสี่ยงจากการถูกปล้นระหว่างทาง ต้นทุนจึงสูงมากจนแทบจะแบกรับไม่ไหว
.
ที่สำคัญกว่านั้น สงครามที่ยืดเยื้อไม่เพียงแต่ทำลายเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังทำลายขวัญกำลังใจของทั้งทหารและประชาชน ความกระตือรือร้นในช่วงแรกจะค่อยๆ เสื่อมถอยไปเมื่อเวลาผ่านไป ครอบครัวที่รอคอยทหารกลับบ้านจะเริ่มไม่พอใจ การสนับสนุนจากประชาชนจะลดลง และในที่สุดอาจนำไปสู่การต่อต้านภายใน
.
ดังนั้น ซุนวูจึงสรุปว่าเป้าหมายคือ "ชนะให้เร็วที่สุด" เพราะ "ชัยชนะที่ช้าคือความพ่ายแพ้ที่แน่นอน" แม้ว่าจะชนะในสนามรบ แต่หากใช้เวลานานเกินไป ประเทศก็อาจล้มละลายหรือแตกแยกจากภายในอยู่ดี
.
.
9. หลักการ "กินจากศัตรู"
.
เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนมหาศาลของสงคราม ซุนวูเสนอแนวทางที่ปฏิวัติวงการทหารในยุคนั้น นั่นคือการใช้ทรัพยากรของศัตรูให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่โดยสิ้นเชิง แต่ซุนวูเป็นคนแรกที่ยกระดับมันให้เป็นหลักยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบ
.
การยึดเสบียงอาหารจากศัตรูมาใช้แทนการขนส่งจากบ้านตนเอง ไม่เพียงแต่ลดต้นทุนการขนส่งเท่านั้น แต่ยังทำให้ศัตรูขาดแคลนเสบียงไปพร้อมกันด้วย อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ยึดมาได้ควรนำมาใช้ทันที ไม่ควรทิ้งหรือทำลายอย่างสิ้นเปลือง
.
ที่สำคัญไม่แพ้กัน ซุนวูเน้นการปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างดี ไม่ใช่เพราะเหตุผลทางมนุษยธรรมเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเชลยที่ได้รับการปฏิบัติดีสามารถกลายเป็นกำลังเสริมของเราได้ พวกเขาอาจให้ข้อมูลสำคัญ หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมรบเพื่อเราหากเห็นว่าเราปฏิบัติต่อพวกเขาดีกว่าผู้นำเดิม
.
แนวคิดนี้คือการทำให้ "สงครามเลี้ยงตัวเอง" ซึ่งเป็นหลักการที่ถูกนำไปใช้ในสงครามสำคัญหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ทำสงครามกับชนเผ่าซงหนู โดยใช้ยุทธศาสตร์ "กินจากศัตรู" ยึดทรัพยากรตามแนวชายแดนของศัตรูมาใช้ในการตั้งค่ายและเลี้ยงกองทัพ ทำให้สามารถรบได้นานขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการส่งเสบียงจากแผ่นดินใหญ่
.
.
10. ปรัชญาแห่งการรักษาไว้ซึ่งทุกสิ่ง คือลำดับชั้นสูงสุดแห่งชัยชนะ
.
ซุนวูนำเสนอแนวคิดที่อาจดูขัดแย้งในตัวเองสำหรับตำราการสงคราม นั่นคือการชนะโดยรักษาทุกสิ่งให้คงความสมบูรณ์มากที่สุด แนวคิดนี้สะท้อนอิทธิพลของปรัชญาเต๋าที่เชื่อว่าการทำลายล้างไม่ใช่หนทางสู่อำนาจที่แท้จริง หากแต่การควบคุมและการนำมาใช้ประโยชน์ต่างหากที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
.
"ในการทำสงคราม วิธีที่ดีที่สุดคือการยึดประเทศของศัตรูโดยสมบูรณ์ การทำลายมันไม่ใช่สิ่งที่ดี"
.
การ "รักษาความสมบูรณ์" ในที่นี้มีความหมายหลายระดับ ในระดับที่เป็นรูปธรรมที่สุด หมายถึงการยึดเมือง ทรัพยากร และกำลังคนของศัตรูมาใช้ประโยชน์ได้ทันที แทนที่จะทำลายจนไม่เหลืออะไร ในระดับที่ลึกกว่า หมายถึงการรักษาโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของดินแดนที่ยึดครองไว้ เพื่อให้สามารถปกครองได้อย่างราบรื่น
.
ซุนวูจึงจัดลำดับวิธีการทำสงครามตามหลักการนี้
.
I. “อันดับแรกและดีที่สุด” คือการทำลายแผนการของศัตรู นี่หมายถึงการทำให้ศัตรูไม่สามารถวางแผนหรือดำเนินการตามแผนได้ตั้งแต่แรก อาจทำได้โดยการสร้างความสับสน การให้ข้อมูลผิดๆ หรือการทำให้ผู้นำของศัตรูตัดสินใจผิดพลาด
.
II. “อันดับที่สองคือการทำลายพันธมิตรของศัตรู” สงครามไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ ทุกรัฐต่างมีพันธมิตรและเครือข่ายการสนับสนุน การตัดขาดหรือพลิกพันธมิตรของศัตรูมาเป็นพวกเรา จะทำให้ศัตรูอ่อนแอลงอย่างมากโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
.
III. “อันดับที่สามจึงเป็นการโจมตีกองทัพของศัตรู” แม้จะเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงและต้นทุนสูง แม้จะชนะ ฝ่ายเราก็ย่อมมีความเสียหาย และกองทัพที่ถูกทำลายก็ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
.
IV. “อันดับสุดท้ายและเลวร้ายที่สุดคือการล้อมและตีเมือง” ซุนวูอธิบายว่าการเตรียมการตีเมืองต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน และการล้อมเมืองอาจใช้เวลาอีกสามเดือนหรือมากกว่า ในระหว่างนั้น ทหารจะเบื่อหน่าย อดอยาก และเจ็บป่วย ขวัญกำลังใจตกต่ำ และเมื่อถึงเวลาโจมตี อาจสูญเสียทหารถึงหนึ่งในสามโดยที่ยังไม่แน่ใจว่าจะยึดเมืองได้
.
.
11. ความเร็วที่แท้จริง = เร็วแต่ไม่รีบร้อน
.
ซุนวูแยกแยะความแตกต่างระหว่าง "ความเร็ว" กับ "ความรีบร้อน" อย่างชัดเจน ความเร็วที่แท้จริงเกิดจากการเตรียมการที่ดีและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การรีบเร่งอย่างไม่มีแผนการ
.
การเตรียมการที่ดีหมายถึงการวางแผนอย่างรอบคอบ การจัดเตรียมทรัพยากรให้พร้อม การฝึกซ้อมจนชำนาญ และการประสานงานที่ราบรื่น เมื่อทุกอย่างพร้อม การดำเนินการจะรวดเร็วและแม่นยำ ดังคำกล่าวที่ว่า "ช้าในการวางแผน เร็วในการลงมือ"
.
ในทางตรงกันข้าม ความรีบร้อนที่เกิดจากความอดทนไม่ได้หรือแรงกดดันทางการเมือง มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด การเตรียมการที่ไม่รอบคอบ และการดำเนินการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมาคือความล่าช้าที่มากกว่าเดิมและความเสียหายที่ไม่จำเป็น
.
.
12. ชัยชนะอย่างเด็ดขาด
.
เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว ซุนวูเน้นความสำคัญของการ "ชนะอย่างเด็ดขาด" นี่ไม่ได้หมายถึงการทำลายล้างศัตรูจนสิ้นซาก แต่หมายถึงการสร้างสภาพที่ศัตรูไม่สามารถฟื้นตัวหรือต่อต้านได้อีก
.
การชนะอย่างเด็ดขาดต้องคำนึงถึงระยะยาว หากชนะแต่ต้องคงกองกำลังขนาดใหญ่ไว้ควบคุมดินแดนที่ยึดครอง นั่นไม่ใช่ชัยชนะที่สมบูรณ์ เพราะต้นทุนในการรักษาชัยชนะอาจสูงกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ
.
ซุนวูจึงเสนอแนวคิดการ "บัญชีต้นทุนเต็มรูปแบบ" (Full-Cost Accounting) ของสงคราม ที่ไม่มองเพียงผลของยุทธการเฉพาะหน้า แต่คิดถึงต้นทุนทั้งหมดตลอดระยะเวลาของการยึดครองและการปกครอง รวมถึงต้นทุนทางการเมืองและสังคมที่อาจเกิดขึ้นจากความเกลียดชังของประชาชนในดินแดนที่ถูกยึดครอง
.
.
13. ห้าทางรู้ผู้ชนะ
.
ซุนวูสรุปหลักการสำคัญในการประเมินโอกาสชนะเป็น "ห้าทางรู้ผู้ชนะ" ซึ่งแต่ละข้อล้วนสะท้อนความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของสงคราม
.
“ประการแรก ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรรบและเมื่อใดไม่ควรรบ” นี่คือหลักการพื้นฐานที่สุดแต่ก็ยากที่สุด เพราะต้องต้านทานแรงกดดันทางการเมือง ความภาคภูมิใจ และอารมณ์ชั่ววูบ การเลือกเวลาที่เหมาะสมในการเข้าต่อสู้อาจเป็นปัจจัยชี้ขาดระหว่างชัยชนะกับความพ่ายแพ้
.
“ประการที่สอง ต้องรู้วิธีใช้กำลังทั้งมากและน้อยให้เหมาะสม” กองทัพใหญ่ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกสถานการณ์ บางครั้งหน่วยเล็กที่คล่องตัวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า การเลือกใช้กำลังให้เหมาะสมกับภารกิจคือศิลปะที่แม่ทัพต้องเรียนรู้
.
“ประการที่สาม บนและล่างต้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” เมื่อทั้งผู้นำและผู้ตามมีเป้าหมายและความมุ่งมั่นร่วมกัน กองทัพจะมีพลังมหาศาล ในทางตรงกันข้าม หากมีความแตกแยกภายใน แม้จะมีกำลังมากก็ไร้ประสิทธิภาพ
.
“ประการที่สี่ การเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับผู้ที่ไม่พร้อม” นี่คือหลักการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ฝ่ายที่เตรียมการมาอย่างดีย่อมมีความได้เปรียบอย่างมากเหนือฝ่ายที่ประมาท
.
“ประการที่ห้า และอาจเป็นข้อที่ละเอียดอ่อนที่สุด คือแม่ทัพต้องมีความสามารถและไม่ถูกแทรกแซงจากส่วนกลางที่ไม่เข้าใจสถานการณ์จริง” ซุนวูไม่ได้สนับสนุนให้ทหารไม่เชื่อฟังรัฐบาลพลเรือน แต่ชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจทางยุทธวิธีต้องอาศัยความเข้าใจในสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสนามรบอาจไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
.
.
14. Force พลวัตของพลัง
.
ซุนวูนำเสนอแนวคิดที่ซับซ้อนและลึกซึ้งที่สุดของตำรา นั่นคือธรรมชาติของ "พลัง" (Shì) และ "ความว่าง-ความเต็ม" แนวคิดทั้งสองนี้เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก และสะท้อนอิทธิพลของปรัชญาเต๋าอย่างชัดเจนที่สุด
.
.
I. พลังและโมเมนตัม
.
ซุนวูเริ่มต้นด้วยการอธิบายว่ากลยุทธ์ทั้งหมดในการสงครามเกิดจากการผสมผสานระหว่างสองแนวทางพื้นฐาน คือ วิธีตั้งต้นหรือ Orthodox และวิธีพลิกแพลงหรือ Unorthodox
.
“วิธีตั้งต้น” คือการกระทำที่คาดเดาได้ เป็นไปตามหลักการทั่วไป เช่น การตั้งแนวรับที่แข็งแกร่ง การโจมตีจากด้านหน้า การใช้กำลังหลักในการเผชิญหน้า
.
ในขณะที่ “วิธีพลิกแพลง” คือการกระทำที่ไม่คาดคิด ผิดแปลกจากธรรมเนียม เช่น การโจมตีทางอ้อม การใช้กลลวง การซุ่มโจมตีในเวลาที่ไม่คาดคิด
.
สิ่งที่ลึกซึ้งคือ ซุนวูไม่ได้บอกว่าวิธีใดดีกว่าวิธีใด แต่เน้นว่าทั้งสองต้องใช้ร่วมกันและสลับกันอย่างต่อเนื่อง เขาใช้คำเปรียบเทียบที่งดงามว่า "ตั้งต้นและพลิกแพลงหมุนเวียนกันไม่สิ้นสุด ดุจวงกลมที่หมุนซ้อนกัน ใครเล่าจะหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดได้"
.
ความหมายที่แท้จริงคือ สิ่งที่เป็นวิธีพลิกแพลงในวันนี้ อาจกลายเป็นวิธีตั้งต้นในวันพรุ่งนี้เมื่อศัตรูคุ้นเคยและหาทางรับมือได้แล้ว ดังนั้น พลังที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการมี "สูตรลับ" แต่เกิดจากความสามารถในการสลับระหว่างตรงและพลิกอย่างคล่องแคล่วและสร้างสรรค์
.
ซุนวูใช้อุปมาที่ทรงพลังเพื่ออธิบายธรรมชาติของพลัง: "การใช้พลังเหมือนการกลิ้งหินลงจากภูเขาสูงพันจาง เริ่มแรกต้องออกแรงเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อพลังสะสมขึ้น มันจะกลายเป็นแรงที่ไม่อาจหยุดยั้ง"
.
นี่คือการเข้าใจเรื่องโมเมนตัม (Momentum) ในเชิงฟิสิกส์ที่นำมาประยุกต์กับการสงคราม พลังไม่ได้เกิดจากแรงมหาศาลที่ใช้ในคราวเดียว แต่เกิดจากการสะสมแรงเล็กๆ ที่ถูกปล่อยออกมาในจังหวะที่เหมาะสม เหมือนคันธนูที่ดึงไว้เต็มที่แล้วปล่อยออกในชั่วพริบตา
.
แนวคิดนี้มีนัยสำคัญในการวางแผนยุทธศาสตร์ แทนที่จะพยายามใช้กำลังทั้งหมดในการโจมตีครั้งเดียว ผู้นำที่ชาญฉลาดจะค่อยๆ สร้างเงื่อนไข สะสมความได้เปรียบ และรอจังหวะที่เหมาะสมในการปล่อยพลังทั้งหมดออกมา
.
.
II. การจัดการพลังที่กระจายและพลังที่รวม
.
ซุนวูเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างพลังที่กระจายและพลังที่รวมอย่างชัดเจน พลังที่กระจายเหมือนน้ำที่ไหลกระจายบนพื้นราบ ไม่มีแรงพอที่จะเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวาง ศัตรูสามารถรับมือได้ทีละส่วนโดยไม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่แท้จริง
.
ในทางตรงกันข้าม พลังที่รวมเหมือนน้ำที่ถูกเก็บไว้หลังเขื่อนแล้วปล่อยออกมาในคราวเดียว หรือเหมือนฟ้าผ่าที่รวมพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดลงในจุดเดียว สร้างผลลัพธ์ที่รุนแรงเกินกว่าที่แรงที่ใช้จริง
.
ดังนั้น ศิลปะของการใช้พลังคือการรู้ว่าเมื่อใดควรกระจายเพื่อล่อลวง และเมื่อใดควรรวมเพื่อทำลาย การรวมกำลังทั้งหมดในจุดที่สำคัญที่สุดและอ่อนแอที่สุดของศัตรู ณ เวลาที่เหมาะสมที่สุด คือหัวใจของการใช้พลัง
.
.
III. พลังเป็น "พลวัต" ไม่ใช่ "ปริมาณ"
.
สิ่งที่ซุนวูต้องการสื่อคือ พลังที่แท้จริงไม่ได้วัดจากการนับจำนวนทหารหรืออาวุธ แต่เป็นการสร้างสภาพพลวัต (dynamic conditions) ที่เอื้อต่อชัยชนะ กระบวนการนี้ประกอบด้วยสามขั้นตอนหลัก คือ การสะสม (accumulation) การกดดัน (pressure) และจังหวะของการปล่อยพลัง (timing of release)
.
.
15. Emptiness and Fullness
.
ซุนวูนำเสนอแนวคิดคู่ขนานที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ "ความว่าง" และ "ความเต็ม" ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีรากฐานมาจากปรัชญาเต๋าโดยตรง
.
"เต็ม" หมายถึงสภาวะที่ศัตรูรวมกำลัง เตรียมพร้อม ตั้งรับแน่นหนา มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ขวัญกำลังใจดี และพร้อมรบ ในขณะที่ "ว่าง" หมายถึงสภาวะที่ศัตรูกระจายกำลัง ไม่ระวังตัว อ่อนแอ ขาดแคลนทรัพยากร ขวัญกำลังใจตกต่ำ หรือไม่พร้อมรบ
.
ซุนวูกล่าวสั้นแต่ได้ใจความว่า "โจมตีเมื่อศัตรูว่าง ป้องกันเมื่อศัตรูเต็ม" นี่คือหลักการพื้นฐานที่ดูเรียบง่าย แต่การนำไปปฏิบัติต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการสังเกตที่แม่นยำ
.
.
I. การสร้าง "ว่าง" และ "เต็ม" ด้วยตนเอง
.
สิ่งที่ทำให้ซุนวูยิ่งใหญ่คือ เขาไม่ได้สอนให้รอโอกาสเท่านั้น แต่สอนให้สร้างเงื่อนไขขึ้นมาเอง ผู้ที่ชำนาญจะไม่รอให้ศัตรู "ว่าง" เอง แต่จะหาทางทำให้ศัตรู "ว่าง" ในจุดที่ต้องการ
.
วิธีการทำให้ศัตรู "เต็ม" ในที่ที่ไม่สำคัญ อาจทำได้โดยการลวงให้เขาคิดว่าเราจะโจมตีจุดนั้น ทำให้เขาทุ่มกำลังไปป้องกันจุดที่ไม่ใช่เป้าหมายจริง ในขณะเดียวกัน ทำให้ศัตรู "ว่าง" ในที่ที่สำคัญ โดยการตัดเสบียง ก่อกวนให้วุ่นวาย หรือบีบบังคับให้เขาต้องแบ่งกำลังไปที่อื่น
.
นี่คือการควบคุมสนามรบผ่านการสร้างสภาพ (Creating Conditions) ไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อสภาพที่มีอยู่ เป็นการเปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำ (Reactive) มาเป็นผู้กระทำ (Proactive)
.
.
II. ไร้รูป
.
ซุนวูยกระดับแนวคิดนี้ไปสู่จุดสูงสุดด้วยแนวคิด "ไร้รูป" เขากล่าวว่า "กองทัพที่ไร้รูป ศัตรูไม่รู้จะป้องกันตรงไหน เมื่อเขาป้องกันทุกที่ เขาก็อ่อนแอทุกที่"
.
"ไร้รูป" ไม่ได้หมายถึงความวุ่นวายหรือการไร้ระเบียบ ตรงกันข้าม มันต้องการระเบียบวินัยที่สูงมากเพื่อรักษาความลับและควบคุมการเคลื่อนไหว ภายในองค์กรต้องมั่นคง มีวินัยแน่นหนา การสื่อสารชัดเจน แต่ภายนอกต้องคลุมเครือ แปรเปลี่ยนไม่สิ้นสุด ไม่แสดงรูปแบบที่จับได้
.
ความไร้รูปนี้ทำให้ศัตรูไม่สามารถวางแผนรับมือได้ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ความไม่แน่นอนนี้บังคับให้ศัตรูต้องกระจายกำลังป้องกันทุกจุด ทำให้ไม่มีจุดใดแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการโจมตีที่รวมพลังได้
.
.
III. หลักการควบคุมการเคลื่อนไหวของศัตรู
.
ซุนวูเน้นย้ำหลักการสำคัญ: "เราต้องทำให้ศัตรูมาตามที่เรากำหนด ไม่ใช่เราไปตามที่เขากำหนด" นี่คือแก่นแท้ของการใช้หลักว่าง-เต็ม
.
การควบคุมการเคลื่อนไหวของศัตรูทำได้หลายวิธี เช่น การล่อด้วยผลประโยชน์ที่เขาไม่อาจปฏิเสธ การข่มขู่ด้วยอันตรายที่เขาไม่อาจเพิกเฉย การสร้างโอกาสปลอมที่ดูน่าสนใจ หรือการสร้างภัยคุกคามปลอมที่ดูน่ากลัว ทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือทำให้ศัตรูเคลื่อนไหวตามที่เราต้องการ
.
เมื่อเราเป็นผู้กำหนดเส้นทางและจังหวะ ศัตรูจะกลายเป็นผู้ถูกบังคับให้เลือกจากตัวเลือกที่เราสร้างขึ้น ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหน ล้วนอยู่ในแผนการของเรา
.
.
16. สงครามไม่ใช่การรบเพียงครั้งเดียว
.
ซุนวูทำลายความเข้าใจผิดที่ว่าสงครามคือการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ครั้งเดียว ในความเป็นจริง สงครามคือการต่อสู้ที่ต่อเนื่องและซับซ้อน ประกอบด้วยการปะทะกันในหลายระดับและหลายรูปแบบ
.
ระดับแรกคือระดับยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นการวางกำลังโดยรวม การเลือกทิศทางหลักของการรุก การกำหนดเป้าหมายระยะยาว นี่คือระดับที่ผู้บัญชาการสูงสุดต้องคิดและตัดสินใจ
.
ระดับที่สองคือระดับยุทธวิธี ซึ่งเป็นการชนกันของกองร้อย กองพัน การเลือกตำแหน่ง การจัดแนวรบ การใช้อาวุธต่างๆ นี่คือระดับที่แม่ทัพระดับกลางต้องจัดการ
.
ระดับที่สามคือระดับปฏิบัติการ ซึ่งรวมถึงการจู่โจม การซุ่มโจมตี การลาดตระเวน การหลอกล่อ นี่คือระดับที่นายทหารระดับล่างและทหารต้องดำเนินการ
.
ซุนวูเน้นว่าสงครามจึงเป็นการต่อสู้ที่ "ซ้อนชั้น" ของพลังเล็กน้อยจำนวนมาก ซึ่งถ้าถูกประสานและใช้ในเวลาที่เหมาะสม จะสร้างชัยชนะใหญ่ได้ การมองสงครามเป็นเพียงการปะทะครั้งเดียวจึงเป็นความเข้าใจที่ผิดและอันตราย
.
ซุนวูย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญของการใช้ทั้งวิธีตรง (Orthodox) และวิธีพลิก (Unorthodox) เขาเจาะลึกถึงการประยุกต์ใช้ในระดับยุทธวิธี
.
วิธีตรงทำหน้าที่ "ประคอง" คือทำให้ศัตรูต้องตอบสนอง ต้องใช้กำลังหลักในการรับมือ ทำให้เขาเหนื่อยและสูญเสียพลัง เหมือนนักมวยที่ใช้หมัดแจ็บเพื่อรบกวนและทำให้คู่ต่อสู้ต้องป้องกัน
.
วิธีพลิกทำหน้าที่ "ชี้ขาด" คือการลงดาบสุดท้ายที่คาดไม่ถึง เมื่อศัตรูกำลังยุ่งอยู่กับการรับมือวิธีตรง เหมือนนักมวยที่ใช้หมัดน็อกเมื่อคู่ต่อสู้เปิดช่อง
.
สิ่งสำคัญคือ การต่อสู้ที่แท้จริงไม่ใช่แค่การ "เผชิญหน้าตรงๆ" แต่คือการสลับใช้สองขั้วนี้อย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ศัตรูไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรคือการโจมตีจริง อะไรคือการหลอกล่อ
.
.
17. การสร้าง "ความไม่สิ้นสุด" ในการรบ
.
ซุนวูใช้อุปมาที่สวยงามเพื่ออธิบายความไม่จำกัดของกลยุทธ์: "ในดนตรีมีเพียงห้าโน้ต แต่การผสมผสานของห้าโน้ตนี้สร้างทำนองได้มากจนฟังไม่หมด ในจิตรกรรมมีเพียงห้าสีพื้นฐาน แต่การผสมสีสร้างภาพได้มากจนดูไม่จบ"
.
ในทำนองเดียวกัน กลยุทธ์การรบมีพื้นฐานเพียงไม่กี่แบบ แต่การผสมผสานและการประยุกต์ใช้กลับไม่มีขอบเขต ผู้ที่เชี่ยวชาญจะไม่ติดอยู่กับสูตรสำเร็จ แต่สร้างสรรค์วิธีการใหม่ๆ จากพื้นฐานเดิม ทำให้ศัตรูไม่สามารถเตรียมรับมือได้
.
นี่คือหลักการที่ตรงข้ามกับการท่องจำตำรา ซุนวูไม่ได้ให้ "สูตรสำเร็จ" แต่ให้ "หลักการสร้างสรรค์" ที่สามารถนำไปประยุกต์ได้ไม่จำกัด
.
.
18. การบริหารพลังเล็กเพื่อผลลัพธ์ใหญ่
.
การรบไม่อาจหวังชัยชนะด้วยการทุ่มพลังทั้งหมดในคราวเดียว ซุนวูเน้นความสำคัญของการ "แบ่งพลังออกเป็นชั้นๆ" และใช้อย่างมีลำดับขั้น
.
ขั้นแรก ใช้พลังเล็กๆ เพื่อ "ทดสอบ" ดูปฏิกิริยาของศัตรู เหมือนนักหมากรุกที่เดินเบี้ยทดสอบเพื่อดูว่าคู่ต่อสู้จะตอบสนองอย่างไร
.
ขั้นที่สอง ใช้พลังเพื่อ "รบกวน" ทำลายจังหวะและแผนการของศัตรู ทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนและใช้พลังงานโดยไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
.
ขั้นที่สาม รอจนกว่าจะเห็น "โอกาส" ที่เกิดจากความผิดพลาดหรือความอ่อนแอของศัตรู แล้วจึงใช้พลังหลักเพื่อ "ตัดสิน"
.
กระบวนการนี้สอดคล้องกับหลักของ Force ที่กล่าวว่า พลังที่สะสมอย่างถูกเวลาจะขยายตัวเองโดยธรรมชาติ การใช้พลังเล็กๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างเงื่อนไข จะให้ผลมากกว่าการใช้พลังใหญ่แต่ไม่มีการเตรียมการ
.
.
19. กองทัพที่สมบูรณ์คือกองทัพที่ "ไร้รูปถาวร"
.
ซุนวูนำเสนอหลักการที่อาจขัดกับสัญชาตญาณของนักรบหลายคน นั่นคือการไม่ยึดติดกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เขากล่าวว่า "กองทัพไม่มีรูปที่แน่นอน เช่นเดียวกับน้ำที่ไม่มีรูปร่างถาวร"
.
การเปรียบเทียบกับน้ำนี้ลึกซึ้งมาก น้ำไม่มีรูปร่างของตัวเอง แต่ปรับตัวตามภาชนะที่บรรจุ น้ำหลีกเลี่ยงที่สูงและไหลลงที่ต่ำตามธรรมชาติ น้ำอาจอ่อนโยนเมื่อไหลเบาๆ แต่ทรงพลังเมื่อรวมกันเป็นกระแสน้ำเชี่ยว
.
ในทำนองเดียวกัน กองทัพที่ดีต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เมื่อศัตรูแข็ง เราต้องอ่อน เมื่อศัตรูถอย เราต้องไล่ เมื่อศัตรูรวมกำลัง เราต้องกระจาย เมื่อศัตรูกระจายกำลัง เราต้องรวม ไม่มีสูตรตายตัว มีแต่การตอบสนองที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์
.
การปรับตัวที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความสามารถในการ "อ่านสนามรบ" อย่างแม่นยำ แม่ทัพที่เชี่ยวชาญต้องรู้ว่าเมื่อใดควรเร็ว เมื่อใดควรช้า เมื่อใดควรตั้งรับ เมื่อใดควรโจมตี เมื่อใดควรซ่อน เมื่อใดควรเปิดเผย
.
การอ่านสนามรบไม่ใช่เพียงการดูกำลังทหารหรือตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ แต่รวมถึงการเข้าใจสภาพอากาศ ขวัญกำลังใจ การเมืองภายในของศัตรู สถานะเสบียง และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ทุกอย่างล้วนเป็นข้อมูลที่ต้องนำมาประกอบการตัดสินใจ
.
ซุนวูเน้นว่า "ผู้ที่รู้จักศัตรูและรู้จักตนเอง สามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมได้เสมอ ผู้ที่ไม่รู้จักศัตรูแต่รู้จักตนเอง จะชนะบ้างแพ้บ้าง ผู้ที่ไม่รู้จักทั้งศัตรูและตนเอง จะแพ้ทุกครั้ง"
.
.
20. การไม่ขัดกับธรรมชาติ
.
หลักการสำคัญของ Adaptation คือการไม่ขัดกับธรรมชาติ แต่ใช้ประโยชน์จากมัน ซุนวูใช้ตัวอย่างของน้ำอีกครั้งเพื่ออธิบายแนวคิดนี้
.
น้ำไหลตามภูมิประเทศโดยไม่ต้องใช้แรง มันหาเส้นทางที่ง่ายที่สุดเสมอ เมื่อเจอสิ่งกีดขวาง มันไม่พยายามทะลุทะลวงด้วยแรง แต่ไหลอ้อมหรือค่อยๆ กัดเซาะจนกว่าจะผ่านไปได้
.
กองทัพก็ควรเป็นเช่นนั้น ต้องปรับตัวตามภูมิประเทศ ไม่ฝืนสู้กับสภาพแวดล้อม ต้องหาทางที่ประหยัดพลังที่สุด ไม่ใช่ทางที่ดูหรูหราหรือน่าชื่นชม ต้องแปรรูปเพื่อตอบสนองต่ออุปสรรค ไม่ใช่พยายามทำลายทุกอุปสรรคด้วยกำลัง
.
นี่คือหลักการ Wu Wei ของเต๋า ที่หมายถึงการกระทำโดยไม่ฝืนธรรมชาติ ซึ่งกลับได้ผลมากกว่าการใช้กำลังบังคับ
.
.
21. การทำให้ศัตรูผิดพลาด
.
การปรับตัวไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันตนเองหรือหาทางรอด แต่เป็นเครื่องมือในการทำให้ศัตรูผิดพลาด เมื่อเราเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึง ศัตรูที่เตรียมรับมือกับรูปแบบเดิมจะตกอยู่ในความสับสน
.
ตัวอย่างเช่น ศัตรูคิดว่าเราจะใช้วิธี "ตรง" เพราะเราใช้มาตลอด แต่เราเปลี่ยนมาใช้วิธี "พลิก" ศัตรูคิดว่าเราจะตั้งรับเพราะเราอยู่ในตำแหน่งที่ดี แต่เรากลับรุกออกไป ศัตรูคิดว่าเราอ่อนแอเพราะเราแสดงอาการเหนื่อยล้า แต่เรากลับแข็งแกร่งเมื่อถึงเวลาสำคัญ
.
การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้แผนการและการเตรียมการของศัตรูไร้ประโยชน์ เขาต้องใช้เวลาและพลังงานในการปรับตัว และในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้น เราจะได้เปรียบอย่างมาก
.
.
22. ห้าอันตรายสำหรับแม่ทัพ
.
แม้ว่าความยืดหยุ่นจะสำคัญ แต่ซุนวูก็เตือนถึงอันตรายของการเปลี่ยนแปลงที่มากเกินไปหรือไร้หลักการ การเปลี่ยนแปลงต้องมีเหตุผลและจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่เปลี่ยนเพื่อเปลี่ยน
.
"มีห้าอันตรายสำหรับแม่ทัพ" ซุนวูเตือน
.
"ผู้ที่กล้าหาญเกินไปจะถูกฆ่า
ผู้ที่ขลาดเกินไปจะถูกจับ
ผู้ที่โกรธง่ายจะถูกยั่วยุ
ผู้ที่รักศักดิ์ศรีมากเกินไปจะถูกดูหมิ่นจนทำผิดพลาด
ผู้ที่รักทหารมากเกินไปจะลังเลไม่กล้าตัดสินใจ"
.
ข้อเตือนนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่คุณสมบัติที่ดี หากมีมากเกินไปหรือไม่รู้จักปรับใช้ให้เหมาะสม ก็กลายเป็นจุดอ่อนได้ การปรับตัวที่แท้จริงจึงรวมถึงการปรับสมดุลของคุณสมบัติต่างๆ ในตัวเองด้วย
.
.
23. Terrain ภูมิประเทศ
.
ซุนวูเคยกล่าวไว้ว่า สนามรบคือครูผู้ไม่เคยโกหก กำลังพลอาจโกหกเรื่องความแข็งแกร่งของตน ข่าวกรองอาจผิดพลาดจากความจริง แม้แต่สายลับที่ดีที่สุดอาจถูกหลอก แต่ภูมิประเทศ ระยะทาง และการเคลื่อนพลไม่เคยโกหกใคร พวกมันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งแม่ทัพที่ฉลาดต้องเรียนรู้ที่จะอ่านและใช้ประโยชน์
.
"ผู้ที่ไม่รู้จักภูมิประเทศ ไม่รู้วิธีใช้เส้นทาง ไม่รู้ลักษณะของภูเขา แม่น้ำ ป่าเขา และหนองบึง ย่อมไม่อาจนำกองทัพได้" ซุนวูประกาศอย่างเด็ดขาด เพราะเขาเข้าใจว่าแม่ทัพที่มองข้าม "ดินแดน" และ "การเคลื่อน" คือผู้ที่กำลังมุ่งหน้าสู่ความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มรบ
.
ซุนวูจัดภูมิประเทศออกเป็นหกชนิดหลัก แต่การจำแนกนี้ไม่ใช่เพื่อบรรยายลักษณะทางภูมิศาสตร์เท่านั้น หากแต่เพื่อสอนวิธีคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
.
พื้นที่เปิดโล่ง (Accessible Terrain) คือพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายสามารถเคลื่อนเข้าออกได้อย่างอิสระ ไม่มีอุปสรรคทางธรรมชาติขวางกั้น ในพื้นที่เช่นนี้ ปัจจัยชี้ขาดไม่ใช่ภูมิประเทศ แต่เป็นคุณภาพของการนำทัพ ขวัญกำลังใจ และความเร็วในการเคลื่อนที่ ผู้ที่ครองใจทหารและควบคุมจังหวะการรบได้ดีกว่าจะเป็นผู้ชนะ เหมาะสำหรับการปะทะแบบเปิดเผย เพราะไม่มีข้อจำกัดเชิงพื้นที่มาเป็นตัวแปรแทรกซ้อน
.
พื้นที่ขัดขวาง (Entangling Terrain) มีลักษณะพิเศษคือเข้าง่ายแต่ออกยาก เหมือนกับดักที่ล่อให้เข้าไปแล้วติดอยู่ ซุนวูเตือนว่าในพื้นที่เช่นนี้ ต้องประเมินอย่างรอบคอบก่อนเข้า หากศัตรูไม่พร้อมและเราสามารถโจมตีแล้วถอยได้รวดเร็ว ควรใช้โอกาสนั้น แต่หากศัตรูตั้งรับอยู่แล้ว อย่าเสี่ยงเข้าไป เพราะแม้จะชนะ การถอยออกมาก็ยากลำบากและอาจกลายเป็นการพ่ายแพ้ในที่สุด
.
พื้นที่คับแคบ (Temporizing Terrain) เช่นช่องเขาแคบหรือสะพานข้ามแม่น้ำ เป็นจุดที่กองทัพจำนวนน้อยสามารถต้านทานกองทัพจำนวนมากได้ หากเราครองจุดนี้ก่อน ต้องปิดช่องทางและตั้งรับให้แน่นหนา รอให้ศัตรูมาชนเอง แต่หากศัตรูครองก่อนและตั้งรับเต็มที่แล้ว อย่าพยายามบุกเข้าไป ให้หาทางอ้อมหรือล่อให้ศัตรูออกมาแทน
.
พื้นที่ชัน (Precipitous Terrain) ได้แก่ภูเขาสูงชันหรือหน้าผา ผู้ที่อยู่บนที่สูงมีข้อได้เปรียบมหาศาล ทั้งในการมองเห็น การยิง และขวัญกำลังใจ ซุนวูเน้นย้ำว่าอย่าบุกขึ้นโจมตีศัตรูที่อยู่บนที่สูง เพราะจะเหนื่อยก่อนถึงและเป็นเป้าง่าย หากจำเป็นต้องรบในพื้นที่แบบนี้ ให้ล่อศัตรูลงมาหรือหาทางขึ้นไปโดยที่ศัตรูไม่รู้ตัว
.
พื้นที่ไกล (Distant Terrain) หมายถึงสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างไกลกันมาก หากกำลังใกล้เคียงกัน ไม่ควรเป็นฝ่ายเดินทัพไปหา เพราะจะเหนื่อยจากการเดินทางและเสียเสบียงมาก ในขณะที่ฝ่ายรอจะพักผ่อนเต็มที่และเลือกสนามรบได้ นอกจากจะมีข้อได้เปรียบอื่นที่ชดเชยได้
.
พื้นที่อันตราย (Focal Terrain) เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง เช่น การข้ามแม่น้ำกว้าง การผ่านป่าทึบที่อาจมีการซุ่มโจมตี หรือการเดินในหุบเขาแคบที่อาจถูกปิดทางหนี หากจำเป็นต้องผ่าน ต้องทำอย่างรวดเร็ว มีระเบียบ และระมัดระวังสูงสุด พร้อมรับมือกับภัยที่อาจเกิดขึ้นทุกขณะ
.
ซุนวูสอนว่าภูมิประเทศในสมการสงคราม มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจเรา แต่เราสามารถเลือกวิธีใช้ประโยชน์จากมันได้ แม่ทัพที่ฉลาดจะไม่มองแผนที่เป็นเพียงเส้นทางเดินทัพ แต่มองเป็นกระดานหมากรุกสามมิติที่ทุกตารางมีค่าเชิงกลยุทธ์แตกต่างกัน
.
การเลือกที่ตั้งค่ายเพียงครั้งเดียวอาจตัดสินชะตาของกองทัพทั้งหมด ตั้งค่ายในที่ต่ำอาจถูกน้ำท่วมเมื่อฝนตก ตั้งค่ายหันหลังให้แม่น้ำอาจถูกตัดทางหนี ตั้งค่ายในที่โล่งเกินไปอาจถูกโจมตีจากทุกทิศ ตั้งค่ายในที่คับแคบเกินไปอาจไม่สามารถจัดแนวรบได้เมื่อถูกโจมตี
.
.
24. การเคลื่อนพล
.
การเดินทัพไม่ใช่แค่การเคลื่อนย้ายคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่เป็นศิลปะในการเคลื่อนย้ายพลังมหาศาลโดยไม่ให้แตกสลายระหว่างทาง ซุนวูเปรียบเทียบว่าการเคลื่อนทัพเหมือนการถือน้ำเต็มถ้วย ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ไม่เช่นนั้นน้ำจะหกและเก็บกลับไม่ได้
.
กองทัพเล็กอาจเคลื่อนที่ได้คล่องตัวเหมือนม้าตัวเดียว แต่กองทัพใหญ่เหมือนขบวนช้างที่ต้องการการประสานงานอย่างพิถีพิถัน การเคลื่อนผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เช่น หน่วยหน้าเร็วเกินไปจนขาดจากหน่วยหลัง หรือปีกซ้ายขวาห่างกันเกินไป อาจนำไปสู่การถูกตัดขาดและทำลายเป็นส่วนๆ
.
I. ปัจจัยหลักในการเคลื่อนพล: สามเสาหลักแห่งการเดินทัพ
.
“เวลา” เป็นปัจจัยแรกและสำคัญที่สุด การเดินทัพก่อนศัตรูหมายถึงการได้เลือกสนามรบ ได้ตั้งรับในจุดที่ดีที่สุด ได้พักผ่อนก่อนการต่อสู้ ในทางกลับกัน การมาถึงช้ากว่าหมายถึงต้องรบในสนามที่ศัตรูเลือก ต้องเหนื่อยจากการเดินทางแล้วรบทันที ต้องรับมือกับกับดักที่ศัตรูเตรียมไว้ ซุนวูจึงกล่าวว่า "จังหวะเวลาในสงครามมีค่าเท่ากับกองทัพหนึ่งกอง"
.
“เสบียง” เป็นเส้นเลือดของกองทัพ ซุนวูคำนวณว่ายิ่งเดินทัพไกล ยิ่งต้องใช้เสบียงมาก ไม่ใช่แค่สำหรับการเดินทางไป แต่รวมถึงการเดินทางกลับหรือการรอคอยด้วย กองทัพที่ขาดอาหารจะไร้พลังในการรบ ขาดน้ำจะอ่อนแรงก่อนถึงสนามรบ ขาดเสื้อผ้าจะทนความหนาวไม่ได้ ดังนั้นการวางแผนเส้นทางต้องคำนึงถึงแหล่งเสบียงตลอดทาง รวมถึงการ "กินจากศัตรู" เมื่อมีโอกาส
.
“ระเบียบ” คือสิ่งที่ทำให้กองทัพเป็นกองทัพ ไม่ใช่ฝูงชน กองทัพใหญ่ยิ่งต้องการระเบียบมาก สัญญาณต้องชัดเจน ทั้งธงในเวลากลางวัน กลองในเวลากลางคืน ควันไฟสำหรับระยะไกล นกหวีดสำหรับระยะใกล้ ทุกคนต้องรู้ตำแหน่งของตน รู้หน้าที่ของตน รู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อได้รับสัญญาณต่างๆ มิฉะนั้นกองทัพจะกลายเป็นฝูงชนที่ควบคุมไม่ได้
.
.
II. กลยุทธ์แห่งการเคลื่อนพล
.
“เคลื่อนเพื่อลวง” คือการแสร้งเคลื่อนไปทิศหนึ่งเพื่อดึงความสนใจและกำลังของศัตรู แล้วเปลี่ยนทิศทางกะทันหันไปยังเป้าหมายที่แท้จริง เหมือนนักมายากลที่ใช้มือข้างหนึ่งดึงความสนใจ ขณะที่มืออีกข้างทำกลจริง
.
“เคลื่อนเพื่อตัด” มุ่งปิดเส้นทางเสบียง เส้นทางหนี หรือเส้นทางเสริมกำลังของศัตรู ทำให้ศัตรูอยู่ในสภาพ "จนมุม" ต้องรบในสภาพที่เสียเปรียบ
.
“เคลื่อนเพื่อกดดัน” คือการเคลื่อนที่รวดเร็วและคาดเดาไม่ได้ ทำให้ศัตรูตื่นตระหนก ต้องตัดสินใจอย่างเร่งรีด มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
.
ใจความคือ การเดินทัพไม่ใช่แค่การเคลื่อนตัว แต่เป็นการสร้าง "ภาพลวงตา" และการบีบให้ศัตรูเคลื่อนไหวผิดจังหวะ ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบก่อนการรบจะเริ่มขึ้น
.
.
III. เก้าพื้นที่แห่งจิตวิทยา
.
นำเสนอ "เก้าพื้นที่" ซึ่งเป็นกรอบคิดระดับสูงสุดในการมองสนามรบ ไม่ใช่แค่ในเชิงภูมิศาสตร์ แต่ในเชิงจิตวิทยาและยุทธศาสตร์
.
“Dispersive Ground” คือเมื่อรบในแผ่นดินของตนเอง ทหารยังอยู่ใกล้บ้าน จิตใจยังผูกพันกับครอบครัว มักคิดถึงบ้านและอาจหนีกลับไปได้ง่าย ซุนวูแนะนำว่าไม่ควรรบในพื้นที่นี้ ถ้าจำเป็นต้องรวมกำลังให้เร็วและนำทหารออกจากพื้นที่นี้โดยเร็ว
.
“Facile Ground” เมื่อเพิ่งเข้าไปในดินแดนศัตรูไม่ลึกนัก ทหารยังสามารถถอยกลับได้ง่าย จิตใจยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่รู้สึกว่าต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ควรเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว ไม่หยุดพักนาน
.
“Contentious Ground” เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต้องการครอบครอง ผู้ที่ได้ก่อนจะได้เปรียบอย่างมาก ต้องรีบเข้ายึดครอง แต่ถ้าศัตรูได้ก่อนแล้ว อย่าโจมตีโดยตรง ให้หาทางอื่น
.
“Open Ground” เป็นจุดที่เส้นทางหลายสายมาบรรจบกัน เป็นศูนย์กลางการคมนาคม ผู้ที่ครองจุดนี้สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของทุกฝ่าย ควรสร้างพันธมิตรกับกำลังท้องถิ่น
.
“Intersecting Ground” อยู่ลึกในดินแดนศัตรู ล้อมรอบด้วยศัตรูหลายฝ่าย ต้องระมัดระวังการถูกโจมตีจากหลายทิศทาง ควรสร้างพันธมิตรให้มากที่สุด
.
“Heavy Ground” อยู่ลึกในแดนศัตรูมาก ผ่านเมืองมาหลายเมือง ยากที่จะถอยกลับ ทหารไม่มีทางเลือกนอกจากสู้ ควรใช้โอกาสนี้ปลุกขวัญให้สู้อย่างเต็มที่
.
“Bad Ground” เป็นภูมิประเทศที่เดินทางลำบาก เช่น ป่าทึบ บึงลึก ภูเขาสูง ต้องผ่านให้เร็วที่สุด ไม่หยุดรบ
.
“Surrounded Ground” มีทางเข้าแคบ ทางออกคดเคี้ยว ถ้าถูกล้อมจะหนีไม่พ้น ต้องใช้กลอุบายมากกว่ากำลัง เตรียมทางหนีสำรองเสมอ
.
“Desperate Ground” ไม่มีทางถอย ไม่สู้ก็ตาย ซุนวูกล่าวว่า "บนพื้นที่ตาย ให้สู้" เพราะเมื่อทหารรู้ว่าไม่มีทางรอด พวกเขาจะสู้อย่างดุเดือดที่สุด
.
.
25. สามมิติของสนามรบ
.
เมื่อนำภูมิประเทศ การเคลื่อนพล และเก้าพื้นที่มารวมกัน เราจะได้ภาพ "สามมิติของสนามรบ" ที่สมบูรณ์:
.
“มิติแห่งกายภาพ” (ภูมิประเทศ) คือความเป็นจริงที่จับต้องได้ ภูเขา แม่น้ำ ทางแคบ ที่ราบ ซึ่งกำหนดว่าอะไรเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ในเชิงกายภาพ
.
“มิติแห่งการเคลื่อนไหว” (การเคลื่อนพล) คือพลวัตของการเปลี่ยนแปลง เวลา ระเบียบ เสบียง จังหวะ ซึ่งทำให้แผนที่กลายเป็นความจริง
.
“มิติแห่งสภาวะ” (เก้าพื้นที่) คือผลทางจิตวิทยาและยุทธศาสตร์ ที่บังคับให้ทหารและแม่ทัพคิดและรู้สึกในแบบต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจและความกล้าในการสู้
.
แม่ทัพผู้ชำนาญคือผู้ที่มองเห็นและเข้าใจทั้งสามมิติพร้อมกัน สามารถใช้ภูมิประเทศเพื่อสร้างข้อได้เปรียบ ใช้การเคลื่อนพลเพื่อสร้างโอกาส และใช้สภาวะของพื้นที่เพื่อจัดการจิตใจของทั้งฝ่ายเราและฝ่ายศัตรู
.
26. กลยุทธ์พิชิตศึก Fire Attacks & Use of Spies
.
หลังจากกล่าวถึงการประเมิน การจัดกำลัง การเคลื่อนพล และการใช้ภูมิประเทศอย่างครบถ้วนแล้ว ซุนวูปิดตำราของเขาด้วยสองเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการยุติสงคราม นั่นคือ ไฟ (火) ในฐานะพลังทำลายล้างที่สร้างผลเด็ดขาด และ สาย (間) ในฐานะดวงตาและหูที่ทะลุทะลวงความลับของศัตรู
.
ทั้งสองเครื่องมือนี้คือ "อาวุธปิดเกม" ที่ทำให้สงครามไม่ต้องยืดเยื้อจนกลายเป็นภาระของประเทศ แต่ทั้งสองก็เป็นดาบสองคม ที่หากใช้ไม่เป็นอาจทำร้ายผู้ใช้เองได้
.
27. กลยุทธ์ไฟ : พลังทำลายล้างและปรัชญาแห่งการควบคุม
.
เมื่อซุนวูพูดถึง "ไฟ" เขาไม่ได้หมายถึงแค่เปลวเพลิงทางกายภาพเท่านั้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังทำลายที่มีลักษณะพิเศษ คือ สามารถกระจายตัวและลุกลามได้เอง เหมือนไวรัสที่แพร่ระบาด หรือข่าวลือที่กระจายไปทั่ว
.
"ไฟ" ในความหมายนี้จึงรวมถึงทุกสิ่งที่มีธรรมชาติของการ "ลุกลาม" และ "ทำลายจากภายใน" ไม่ใช่แค่ทำลายกำลังทหาร แต่ทำลายขวัญกำลังใจ ทรัพยากร โครงสร้างพื้นฐาน และที่สำคัญคือ ความเชื่อมั่นในการนำของศัตรู
.
I. ห้ารูปแบบของการใช้ไฟ
.
ซุนวูแจกแจงการใช้ไฟออกเป็นห้าลักษณะ ซึ่งแต่ละแบบมีเป้าหมายและผลกระทบที่แตกต่างกัน
.
เผาคน (Shāo rén) คือการโจมตีกำลังพลของศัตรูโดยตรง ในยุคโบราณอาจหมายถึงการเผาค่ายทหาร แต่ในความหมายที่กว้างขึ้น หมายถึงการทำลายกำลังคนที่เป็นหัวใจขององค์กร ผลที่ตามมาไม่ใช่แค่การสูญเสียจำนวน แต่เป็นการสร้างความหวาดกลัวในหมู่ผู้ที่เหลือรอด
.
เผาเสบียง (Shāo jī) มุ่งทำลายอาหารและเสบียงที่สะสมไว้ กองทัพที่ไร้อาหารจะกลายเป็นเพียงฝูงชนที่หิวโหย ไม่มีพลังในการรบ อาจถึงขั้นแตกแยกและปล้นชาวบ้านเพื่อหาอาหาร ทำลายความชอบธรรมของตนเอง
.
เผายุทโธปกรณ์ (Shāo zī) ทำลายอาวุธ ยานพาหนะ และเครื่องมือสงคราม ในยุคปัจจุบันอาจเปรียบได้กับการทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ระบบสื่อสาร หรือซัพพลายเชน ทำให้ศัตรูไม่สามารถดำเนินการรบต่อไปได้
.
เผาคลังเสบียง (Shāo kù) แตกต่างจากการเผาเสบียงทั่วไป เพราะมุ่งทำลายคลังใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการกระจายเสบียง เหมือนการทำลายคลังสินค้าหลักในโลกธุรกิจ ผลกระทบจะรุนแรงและยาวนาน
.
เผาเส้นทาง (Shāo dào) ทำลายสะพาน ถนน หรือจุดเชื่อมต่อสำคัญ ตัดการติดต่อระหว่างส่วนต่างๆ ขององค์กรศัตรู ทำให้ไม่สามารถส่งกำลังเสริม ส่งเสบียง หรือสื่อสารกันได้
.
II. เงื่อนไขการใช้ไฟ
.
ซุนวูเน้นว่าการใช้ไฟต้องอาศัยทั้งความรู้เชิงวิทยาศาสตร์และศิลปะในการเลือกจังหวะ:
.
“เวลา” ต้องเลือกฤดูที่แห้ง วันที่ลมแรง เวลาที่ศัตรูประมาท ในความหมายที่กว้างขึ้น หมายถึงการรอจังหวะที่เงื่อนไขทั้งหมดเอื้ออำนวย ไม่ใช่การรีบร้อนใช้เมื่อยังไม่พร้อม
.
“สถานที่” พื้นที่ต้องมีวัสดุที่ติดไฟง่าย มีลมพัดไปทางศัตรู มีทางหนีสำหรับฝ่ายเรา ในเชิงเปรียบเทียบ หมายถึงสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ "ลุกลาม" ของสิ่งที่เราต้องการทำลาย
.
“จังหวะ” ต้องประสานกับการโจมตีด้านอื่น ไฟที่ปล่อยเร็วเกินไปอาจเตือนศัตรูให้ระวัง ช้าเกินไปอาจพลาดโอกาส ต้องให้ไฟลุกขึ้นพอดีกับการโจมตีหลัก
.
.
ซุนวูเตือนว่า "ไฟที่ใช้ถูกต้องจะทำให้ศัตรูเสียหายโดยไม่ต้องปะทะตรงๆ แต่ไฟที่ใช้ผิดเวลาอาจย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง"
.
28. กลยุทธ์สายลับ
.
การที่ซุนวูเลือกปิดตำราด้วยบทว่าด้วยสายลับ แสดงให้เห็นความสำคัญสูงสุดของข้อมูลข่าวสารในการทำสงคราม เขากล่าวว่า "ผู้ที่เป็นแม่ทัพและกษัตริย์อันชาญฉลาด ย่อมชนะด้วยข่าวกรองก่อนที่จะใช้กำลัง"
.
นี่แสดงให้เห็นว่า สงครามที่แท้จริงคือ “สงครามของข้อมูล” ผู้ที่รู้มากกว่า รู้ก่อน รู้แม่นยำกว่า ย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า แม้จะมีกำลังน้อยกว่า
.
I. ห้าประเภทของสายลับ
.
ซุนวูแบ่งสายลับออกเป็นห้าประเภท แต่ละประเภทมีบทบาทและวิธีการที่แตกต่างกัน:
.
สายลับท้องถิ่น (Xiāng jiān) คือการใช้คนในพื้นที่ของศัตรูให้ข้อมูล พวกเขารู้ภูมิประเทศ รู้จักผู้คน เข้าใจวัฒนธรรม สามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่น่าสงสัย ในยุคปัจจุบันอาจเปรียบได้กับการมี "คนใน" ที่เข้าใจตลาดท้องถิ่น
.
สายลับภายใน (Nèi jiān) คือการใช้คนของศัตรูเอง อาจเป็นข้าราชการที่ไม่พอใจ ทหารที่ถูกลงโทษ หรือคนใกล้ชิดผู้นำที่มีความโลภ พวกเขาให้ข้อมูลลับที่คนนอกไม่มีทางรู้
.
สายลับสองหน้า (Fǎn jiān) คือสายของศัตรูที่ถูกซื้อหรือล่อลวงให้มาทำงานให้เรา มีค่าอย่างยิ่งเพราะศัตรูยังเชื่อว่าพวกเขาภักดี จึงสามารถส่งข้อมูลผิดๆ กลับไปให้ศัตรูได้
.
สายลับเดนตาย (Sǐ jiān) คือสายที่ถูกส่งไปพร้อมข้อมูลเท็จ โดยรู้ว่าจะถูกจับและถูกฆ่า แต่ศัตรูจะเชื่อข้อมูลเท็จนั้น เป็นการเสียสละที่โหดร้ายแต่มีประสิทธิภาพสูง
สายลับมีชีวิต (Shēng jiān) คือสายที่มีความสามารถสูง สามารถเข้าไปหาข้อมูลและกลับมาได้อย่างปลอดภัย นำข้อมูลจริงที่มีค่ามาให้ เป็นสายที่มีค่าที่สุดและต้องรักษาไว้ให้ดี
.
II. หลักการใช้สายลับ
.
ซุนวูเน้นว่าการใช้สายต้องอาศัยทั้งห้าประเภทผสมกัน สร้างเป็น "เครือข่าย" ที่ซับซ้อน ข้อมูลจากสายหนึ่งใช้ตรวจสอบข้อมูลจากอีกสายหนึ่ง สายตายใช้ปกป้องสายมีชีวิต สายสองหน้าใช้ส่งข้อมูลผิดๆ ขณะที่สายภายในส่งข้อมูลจริง
.
การจัดการสายต้องอาศัยความสามารถพิเศษของแม่ทัพ ต้องเข้าใจจิตใจคน รู้ว่าใครซื่อสัตย์ ใครโลภ ใครแค้นใคร ต้องรักษาความลับได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีสติปัญญาในการแยกข้อมูลจริงจากข้อมูลเท็จ
.
29. การสังเคราะห์: ไฟและสาย - หยินและหยาง
.
การที่ซุนวูจับคู่ "ไฟ" กับ "สาย" ในตอนท้ายของตำรา แสดงให้เห็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของอำนาจ
.
ไฟ = หยาง เป็นพลังที่เปิดเผย รุนแรง ทำลายล้าง สร้างผลกระทบที่เห็นได้ชัด แต่ควบคุมยาก อาจย้อนกลับมาทำร้ายผู้ใช้
.
สาย = หยิน เป็นพลังที่ซ่อนเร้น นุ่มนวล แทรกซึม ทำงานในที่มืด แต่ให้ผลที่แม่นยำและควบคุมได้
.
เมื่อใช้ร่วมกัน: สายให้ข้อมูลว่าควรใช้ไฟเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร ในขณะที่ไฟสร้างความสับสนวุ่นวายที่เป็นโอกาสให้สายแทรกซึมเข้าไปหาข้อมูลเพิ่ม
.
นี่คือการ ชนะทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรม ใช้ไฟทำลายร่างกายของศัตรู ใช้สายทำลายจิตใจและแผนการ ผลลัพธ์คือชัยชนะที่สมบูรณ์
.
.
.
.
#SuccessStrategies