สรุปหนังสือ The Innovator’s Dilemma โดย Clayton M. Christensen

หลายองค์กรไม่ได้ล้มเพราะขาดความสามารถ แต่ล้มเพราะระบบที่"เก่งเกินไป" ปฏิเสธสิ่งใหม่อย่างสุภาพ
.
สิ่งที่ฆ่าเทคโนโลยีใหม่จึงไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือ Excel, KPI, และเสียงในห้องประชุมที่พูดว่า “ลูกค้ายังไม่ขอ” , “ตลาดยังเล็ก” , “ปีนี้เรามีเป้าอยู่แล้ว อย่าเพิ่งซ่า”
.
สุดท้าย “ของใหม่” ก็ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักเดียวกับเอกสารที่เคยบอกว่า Blockbuster ควรซื้อ Netflix ตั้งแต่ปี 2000
.
และนี่คือ 25 ข้อคิด และ 6 ข้อสรุปปิดท้าย (ถ้าคุณขี้เกียจอ่านยาวๆ) ของหนังสือ The Innovator’s Dilemma
.
--------------------------------------
.
1. ความเก่งกลายเป็นกับดักของตัวเอง (When Excellence Becomes a Trap)
.
ถ้าคุณเป็นผู้บริหารที่ทำทุกอย่าง “ถูกต้อง” ตามตำราการบริหารสมัยใหม่—ฟังลูกค้าเก่ง, ลงทุนอย่างมีเหตุผล, พัฒนาเทคโนโลยีให้ดีที่สุดในตลาด—คุณอาจคิดว่าบริษัทคุณจะอยู่ยั้งยืนยง
.
แต่… Clayton Christensen อยากบอกว่าคุณอาจ “กำลังขุดหลุมฝังตัวเองด้วยระบบที่ดูดีมากๆนั่นแหละ” แบบไม่รู้ตัว
.
ปริศนาแห่งความพินาศขององค์กรที่เก่งที่สุด
.
Christensen เปิดเล่มมาด้วยคำถามแทงใจดำ
.
“ทำไมบริษัทที่ดีเลิศที่สุดในยุคหนึ่ง ถึงล้มเหลวในยุคถัดมา?”
.
ไม่ใช่บริษัทแย่นะครับ เขายกตัวอย่างบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับเทพ เช่น
IBM, Sears, Xerox, DEC, Digital Equipment Corporation (DEC)—ทั้งหมดนี้เคยถูกยกย่องว่าเป็นสุดยอดของวงการ แต่กลับแพ้ภัยตัวเอง
.
Sears เคยถูก Fortune ชื่นชมในยุค 60s ว่า “เหมือนทุกคนในองค์กรทำสิ่งที่ถูกต้องไปพร้อมกันโดยไม่ต้องใช้กลโกงอะไร”
…ซึ่งฟังดูเหมือนสวรรค์ของสายบริหาร
.
IBM ก็เคยเป็นเจ้าตลาด mainframe
แต่พลาด minicomputer แล้วก็โดน Apple ล้ำหน้าไปกับ PC
.
สิ่งน่าตกใจก็คือ:
พวกเขาไม่ได้ล้มเพราะทำผิด
แต่ล้มเพราะ “ทำถูกในบริบทที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง”
.
--------------------------------------
.
2. แนวคิด “Disruptive Technology” กับ “Sustaining Technology”
.
Clayton Christensen แบ่งเทคโนโลยีออกเป็น 2 สายพันธุ์หลักที่ฟังดูเหมือนตัวละครคู่กัด:
.
2.1 Sustaining Technology
.
คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้สินค้าดีขึ้นในสิ่งที่ลูกค้าเดิมอยากได้ เช่น เร็วขึ้น ใหญ่ขึ้น ฉลาดขึ้น หรือ...แพงขึ้นอย่างมีระดับ เช่น ซีพียูเร็วขึ้น กล้องชัดขึ้น ทีวีบางลง
.
.
2.2 Disruptive Technology
.
คือของใหม่ที่...ดูแย่ในตอนแรก ใช้แล้วเหมือนของเด็กเล่น แต่มี “คุณค่าใหม่” ที่ลูกค้าใหม่ให้ความสำคัญ เช่น ถูกกว่า ใช้ง่ายกว่า เบากว่า
.
ตัวอย่างเช่น PC ที่แย่กว่า mainframe แต่คนทั่วไปใช้ได้, มือถือยุคแรกที่สัญญาณเหมือนหลอนวิญญาณ แต่ตอนนี้ทุกคนติดมือถือยิ่งกว่าออกซิเจน
.
บริษัทใหญ่ทั้งหลายจึง “เก่งเกินไป” กับ Sustaining Tech เพราะมันทำให้ลูกค้าเดิมแฮปปี้และยอดขายทะลุเป้า
.
แต่พอเจอ Disruptive Tech—ที่ลูกค้าเก่าเมินใส่ แล้วตลาดใหม่ก็ยังเล็กเกิน บริษัทใหญ่ก็เลยปล่อยผ่าน
.
จนกระทั่งตลาดใหม่นั้นโตจนกลายเป็นคลื่นสึนามิ กลับมา disrupt บริษัทเก่าแบบถอนรากถอนโคน
.
--------------------------------------
.
3. วงจรหายนะ: ทำไมบริษัทใหญ่ถึง "ไม่กล้าเปลี่ยน" ทั้งที่เห็น
.
การล้มของบริษัทเก่ง ๆ ไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ แต่เกิดจาก "ตรรกะอันยอดเยี่ยมของระบบภายใน" นี่แหละครับ:
.
ลูกค้ารายใหญ่ ไม่ต้องการของใหม่ → ผู้บริหารก็ไม่กล้าทำ
.
ฝ่ายการเงิน จะค้านทันทีเพราะผลตอบแทนต่ำ ขนาดตลาดเล็ก กำไรบางเฉียบ
.
นักลงทุน กดดันให้โตเร็ว โตใหญ่ โตชัวร์ → Disruptive Tech เลยไม่มีที่ยืนในงบประมาณ
.
พูดง่าย ๆ คือ "บริษัทใหญ่มีระบบฆ่าความเสี่ยงที่ดีเกินไป จนมันไปฆ่าอนาคตของตัวเอง"
.
--------------------------------------
.
4. กรณีศึกษา: ฮาร์ดดิสก์ กับอนาคตที่บริษัทใหญ่ไม่ทันรู้ว่าเริ่มขึ้นแล้ว
.
Christensen ยกอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์มาเป็นตัวอย่างมหากาพย์ เพราะเปลี่ยนเทคโนโลยีเร็วแบบ Fruit Fly (เกิด-แก่-ตายภายในไม่กี่ปี)
.
ลำดับ Disruption:
.
14 นิ้ว → 8 นิ้ว → 5.25 นิ้ว → 3.5 นิ้ว → 2.5 นิ้ว → SSD
.
ทุกครั้งที่ "ขนาด" เล็กลง บริษัทหน้าใหม่จะครองตลาดก่อนเสมอ
บริษัทใหญ่ในรุ่นก่อน ๆ มัก "ฟังลูกค้า" แล้วตัดสินใจว่า “ของเล็กๆน่ะ ไม่จำเป็นหรอกครับ”
ผลคือ บริษัทเก่าโดนเด็กรุ่นใหม่แซงเหมือนนักวิ่งที่มัวแต่รอเช็กลายรองเท้าอยู่
.
สาระจริงจังที่ซ่อนอยู่ในเรื่องตลกนี้
.
“ฟังลูกค้า” มากเกินไปอาจทำให้คุณพลาดสิ่งที่ลูกค้าคนต่อไปต้องการ
.
“วางแผนดี” อาจกลายเป็น “ขังตัวเองอยู่กับแผนที่วางเมื่อวาน”
.
“ลงทุนเฉพาะสิ่งที่คุ้มค่าตามตัวเลข” อาจหมายถึง “คุณจะมองไม่เห็นอนาคตที่ไม่มีตัวเลขให้ดู”
.
--------------------------------------
.
5. โครงสร้างภายในที่ฆ่าความเปลี่ยนแปลง (The Inner Logic That Kills Innovation)
.
บางครั้งบริษัทไม่ได้ล้มเพราะ โดนคู่แข่งโจมตี แต่ล้มเพราะ โครงสร้างภายในเองเป็นคนหันปืนกลับมายิง
.
Christensen เรียกสิ่งนี้ว่า "Failure Framework" หรือกรอบแห่งความล้มเหลว—ซึ่งไม่ได้เกิดจากความโง่ แต่เกิดจาก “ระบบที่ฉลาดเกินไป”
.
ความเข้าใจผิดเรื่องเทคโนโลยี = ไม่ใช่แค่เรื่องใหม่หรือเก่า
.
หลายคนเข้าใจว่าเทคโนโลยีที่ disrupt องค์กรต้องเป็นของใหม่ที่ไฮเทค หรือยากระดับ NASA เท่านั้น
.
ผิดครับ… เพราะบางอย่างที่ “disrupt” ได้จริง ๆ คือของที่:
.
-แย่กว่าเดิม
-ถูกกว่า
-ขายให้คนที่ไม่เคยอยู่ในตลาด
.
ตัวอย่างเช่น กล้องดิจิทัลแรก ๆ ภาพแตกเหมือนมาจากกล้องวงจรปิดที่นกบินผ่าน แต่พอถูก ใช้ง่าย แชร์ได้ ก็ครองโลกภายในไม่กี่ปี
.
ในทางกลับกัน เทคโนโลยีที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แบบ CPU เร็วขึ้น หรือกล้องละเอียดขึ้น มักไม่ทำให้ใครล้ม เพราะมันอยู่ใน “สนามเดิม”
.
Christensen เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า Sustaining Technology
.
สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ:
.
เทคโนโลยีเก่งขึ้น = Sustaining
.
เทคโนโลยีที่ดูแย่ แต่สร้างตลาดใหม่ = Disruptive
.
--------------------------------------
.
6. กราฟลับของการตาย: เทคโนโลยีพัฒนาเร็วกว่า “ความต้องการของตลาด”
.
ประเด็นนี้โคตรคม: เทคโนโลยีดีขึ้นเรื่อย ๆ จน “เก่งเกินไป” สำหรับคนส่วนใหญ่
.
ลองนึกภาพเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่มี 99 โปรแกรม แต่คนใช้แค่ “ซักธรรมดา” กับ “ปั่นแห้ง”
.
เมื่อผลิตภัณฑ์เก่งกว่าที่ตลาดต้องการ = โอกาสทองของคนที่มาด้วยของ “พอใช้” ราคาถูกกว่า ใช้ง่ายกว่า
.
และนั่นคือช่องที่ Disruptive Tech เจาะเข้ามา
.
--------------------------------------
.
7. ทำไมบริษัทใหญ่ถึงไม่กล้าลงทุนในของที่จะปฏิวัติตัวเอง
.
ฟังดูย้อนแย้งใช่ไหมครับ?
.
บริษัทใหญ่มีทั้งเงิน คน ความรู้ และเทคโนโลยี
แต่กลับ “ไม่กล้าทำของใหม่” ที่อาจ disrupt ตัวเอง
.
เหตุผลมี 3 ข้อหลักๆ:
.
7.1 ลูกค้าเดิมไม่อยากได้ของใหม่
.
ลูกค้ารายใหญ่ที่ทำเงินให้บริษัทจะพูดว่า
“เราต้องการความเร็ว ความแม่นยำ ความเชื่อถือได้”
ไม่เคยมีใครบอกว่า “เราต้องการของที่แย่ลง แต่ราคาถูกกว่า”
ผลคือ ฝ่ายการตลาดก็ไม่เสนอ ฝ่ายพัฒนาก็ไม่กล้าทำ
.
.
7.2 ตลาดใหม่ยังเล็กเกินกว่าจะสนใจ
.
บริษัทพันล้านจะไม่สนของที่จะขายได้แค่ไม่กี่ล้านในปีแรก
เพราะมันไม่ขยับกราฟรายได้
แต่ลืมไปว่าทุกตลาดใหญ่ในวันนี้ เคยเป็นตลาดเล็กเมื่อวาน
.
.
7.3 ROI ไม่สวยพอจะเขียนลงสไลด์ให้ผู้บริหารอนุมัติ
.
Disruptive Tech กำไรน้อย, คู่แข่งเยอะ, ลูกค้าไม่มี Loyalty
ถ้าวัดด้วยแว่น Excel มันจะ “ไม่คุ้ม” เสมอ
จนกว่าจะสายเกินไป แล้วคู่แข่งใหม่กินตลาดไปเรียบร้อย
.
--------------------------------------
.
8. กับดักของการฟังลูกค้า: อันตรายที่แฝงมาใน Feedback
.
Christensen บอกว่า หนึ่งในตำนานบริหารที่อันตรายที่สุดคือ:
.
“ฟังลูกค้าเข้าไว้ แล้วคุณจะไม่มีวันหลงทาง”
.
คำนี้จริงแค่ในโลกที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครับ
.
แต่ถ้าโลกหมุนเร็วขึ้น… ลูกค้าเดิมจะกลายเป็น “GPS เก่า” ที่พาเราหลงเข้าป่า
.
ลูกค้ามักขอให้คุณทำสิ่งที่ “ดีขึ้นในสิ่งที่เขารู้จัก”
แต่โลกใบใหม่มักเริ่มต้นจากสิ่งที่ลูกค้า “ยังไม่รู้ว่าต้องการ”
.
เหมือนตอนแรกที่คนหัวเราะใส่รถยนต์ เพราะ “ม้าก็วิ่งดีอยู่แล้ว”
หรือคนบอกว่า “มือถือเอาไว้โทร จะเอากล้องมาทำไม”
.
--------------------------------------
.
9. กับดักแรก: ทรัพยากรไม่ได้อยู่ในมือผู้บริหาร แต่อยู่ที่ “เสียงของลูกค้าและนักลงทุน”
.
บริษัทใหญ่ๆ มักตัดสินใจลงทุนตามสิ่งที่ลูกค้าหลักต้องการ และสิ่งที่นักลงทุนพอใจ
.
Christensen เรียกสิ่งนี้ว่า Resource Dependence
คือแม้คุณจะมี CEO ที่กล้าบริหารโลก แต่ถ้าลูกค้ารายใหญ่บอกว่า “ยังไม่อยากเปลี่ยน”
งบพัฒนาสินค้าใหม่ก็จะถูกฆ่าทิ้งด้วยเหตุผล “ลูกค้ายังไม่พร้อม”
.
หนทางรอดของบริษัทใหญ่ที่อยากจับ Disruptive Tech ก็คือ:
.
แยกทีมออกมาตั้งบริษัทลูกเล็ก ๆ
.
ให้มันเติบโตด้วยกลไกของตัวเอง
.
และ “ไม่ต้องไปรอไฟเขียวจากบริษัทแม่ทุกเช้า”
.
--------------------------------------
.
10. กับดักสอง: บริษัทใหญ่โตเกินไปสำหรับตลาดเล็ก
.
นี่คืออีกกับดักที่ฟังดูดีมาก:
.
“เราควรโฟกัสแต่ตลาดใหญ่เท่านั้น”
.
แต่ปัญหาคือ Disruptive Tech มักเริ่มจากตลาดเล็ก และบริษัทใหญ่ก็ “มองไม่เห็นค่ามัน”
จนกระทั่งมันโตจนกลืนคุณเข้าไปทั้งองค์กร
.
บริษัทเล็กขายของได้แค่ 8 ล้าน ก็โต 20% ได้
แต่บริษัทพันล้านต้องหายอดขายใหม่ถึง 200 ล้านเพื่อให้โตเท่าเดิม
.
ไม่มีตลาดเล็กไหนโตทันความหิวของบริษัทใหญ่
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม “คนตัวเล็กจึงมักเป็นผู้ปฏิวัติ”
.
--------------------------------------
.
11. กับดักสาม: ตลาดที่ยังไม่มี...วิเคราะห์ไม่ได้
.
คำพูดนี้อาจทำให้หลายคนในฝ่ายการตลาดสะดุ้ง:
.
“Markets that don’t exist can’t be analyzed.”
.
เพราะมันขัดกับทุกอย่างที่เราถูกสอนมา — ว่าก่อนจะลงมือทำอะไรต้อง “วิเคราะห์ตลาด” ก่อน
.
แต่ในโลกของ Disruptive Innovation ตลาดใหม่มัก:
.
ยังไม่มีข้อมูล
ยังไม่มีลูกค้าชัดเจน
และ “ความต้องการ” ยังไม่ได้ก่อร่างสร้างตัว
.
สิ่งที่คุณมี…คือความไม่แน่นอนเต็มมือ กับความกล้าหาญในใจนิดๆ
.
--------------------------------------
.
12. ยุทธศาสตร์แบบคนพายเรือในหมอก: Discovery-Driven Planning
.
Christensen เสนอวิธีคิดใหม่แทนการ “วิเคราะห์ก่อน → ทำทีหลัง”
.
นั่นคือ “วางแผนเพื่อการค้นพบ ไม่ใช่เพื่อการควบคุม” (Discovery-Driven Planning)
.
หลักของมันคือ:
.
เริ่มจากสมมติฐาน ไม่ใช่ความมั่นใจ
.
ลงมือเร็ว เรียนรู้เร็ว ผิดเร็ว แล้วปรับให้เร็วกว่าเดิม
.
คิดแบบนักวิทยาศาสตร์: ทุกแผนคือสมมติฐานที่รอการทดสอบ
.
ยอมรับว่าแผนที่วางไว้...อาจผิดทั้งหมด และนั่นไม่ใช่ปัญหา
.
นี่คือวิธีที่ Airbnb, Uber, Dropbox และ startup แทบทุกรายในโลกจริงใช้
เพราะพวกเขารู้ว่าไม่มีใครวางแผนแม่นยำในตลาดที่ยังไม่เกิด
.
--------------------------------------
.
13. กับดักสี่: ความสามารถขององค์กร = ข้อจำกัดของมันด้วย
.
Christensen บอกว่า:
.
“Organization capabilities reside not just in people, but in processes and values.”
.
คนเก่งย้ายที่ทำงานได้
.
แต่กระบวนการ (processes) และค่านิยม (values) ย้ายไม่ได้ง่าย ๆ
.
ลองนึกภาพ:
.
บริษัทที่เก่งด้านการพัฒนาโปรเจกต์ 100 ล้าน…จะทำโปรเจกต์ 5 ล้านไม่เป็น
ทีมที่วัดความสำเร็จด้วย margin 40%…จะไม่มีวันให้โอกาส product ที่ margin แค่ 5%
.
สรุปคือ:
.
สิ่งที่ทำให้คุณ "เก่ง" ในสนามหนึ่ง
จะกลายเป็น "อุปสรรค" ถ้าคุณต้องย้ายสนาม
.
--------------------------------------
.
14. โจทย์ใหม่ = ระบบใหม่
.
ถ้าคุณเจอโจทย์ใหม่ เช่น ตลาดใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
คุณต้องไม่แค่ "หาคนเก่ง"
แต่ต้อง "สร้างระบบใหม่" ที่ยอมให้สิ่งนั้นเติบโตได้
.
Christensen แนะนำให้สร้างหน่วยงานเล็กๆที่:
.
มีวิธีคิดคนละแบบ
มี KPI คนละชุด
มีโครงสร้างต้นทุนที่ “เอาตัวรอดได้” ใน margin ที่ต่ำ
.
--------------------------------------
.
15. กับดักห้า: การพัฒนาเทคโนโลยี มักเร็วกว่าความต้องการของตลาด
.
Christensen วาดภาพออกมาในกราฟง่ายๆที่ทรงพลัง:
.
เส้นหนึ่งคือ “ความต้องการของลูกค้า” (เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ)
.
อีกเส้นคือ “ความสามารถของเทคโนโลยี” (พุ่งขึ้นเป็นเส้นเฉียงแรงมาก)
.
เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาเร็วเกินไป มันจะ “เก่งเกินที่ตลาดต้องการ”
แล้วลูกค้าก็เริ่มไม่สนใจว่าใครเร็วกว่าอีก 10%
เพราะสิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือ “ใช้ง่าย”, “ไว้ใจได้”, และ “ไม่แพง”
.
จังหวะนี้แหละครับ…
ที่ Disruptor จะเข้ามา แล้วพูดว่า:
.
“เราไม่ได้เก่งที่สุด...แต่เรา ‘พอดีที่สุด’ กับสิ่งที่คุณต้องการในชีวิตจริง”
.
--------------------------------------
.
16. ทางรอดไม่ได้อยู่ในแผน แต่ซ่อนอยู่ใน “ขนาด” ของทีม
.
หลังจากที่ Christensen ได้ชำแหละ "กลไกความล้มเหลว" ไปเรียบร้อยแล้ว เขาพาเรากลับมาดู ทางรอดที่เป็นไปได้จริง
.
ข่าวดี: มีวิธีอยู่รอดครับ
.
ข่าวร้าย: มันต้อง “วางระบบใหม่” ทั้งระบบ ไม่ใช่แค่เปิดโปรเจกต์ใหม่ แล้วติดโลโก้คำว่า “นวัตกรรม” ไว้หน้าห้อง
.
--------------------------------------
.
17. ปัญหาใหญ่ของบริษัทใหญ่: โครงการเล็ก ๆ ไม่ได้แปลว่าไม่ดี…มันแค่เล็กไปสำหรับคุณ
.
Christensen บอกว่า…
“บริษัทใหญ่มองไม่เห็นโอกาส เพราะโอกาสมัน...เล็กเกินไป”
.
ยกตัวอย่างง่าย ๆ:
.
ถ้าคุณเป็นบริษัทมูลค่า 100 ล้าน → หาเงินเพิ่มปีละ 20 ล้านเพื่อโต 20%
.
ถ้าคุณเป็นบริษัทมูลค่า 10,000 ล้าน → ต้องหาเงินเพิ่มปีละ 2,000 ล้านเพื่อโตเท่าเดิม
.
แปลว่า:
.
ตลาดใหม่ที่มีมูลค่าแค่ 500 ล้าน…จะไม่ make sense สำหรับบริษัทใหญ่
.
แต่บริษัทเล็ก ๆ ที่โตจาก 10 ล้าน → 100 ล้านได้ในตลาดนี้ จะ “เก็บหมด” ก่อนที่ยักษ์ใหญ่จะหันมามอง
.
บริษัทใหญ่เลยแพ้เพราะ "สายตาสั้น" หรือเปล่า?
ไม่ใช่ครับ… มันแพ้เพราะ “สายตามันกว้างเกินไป” จนมองไม่เห็นสิ่งเล็ก ๆ
.
.
Christensen ยกตัวอย่างให้เห็นว่า…
.
บริษัทที่ “อยากเปลี่ยน” แต่ใช้ระบบเดิม ก็เหมือน “หมีขั้วโลกที่พยายามเต้นบัลเลต์”
ทุกอย่างขยับได้ช้า เก้งก้าง และไม่เหมาะกับเวทีที่เล็กและรวดเร็ว
.
วิธีที่เวิร์กจึงไม่ใช่การ "ปรับองค์กรใหญ่ให้คล่อง"
.
แต่คือ…
สร้างทีมเล็ก ที่ ขนาดพอดี กับโอกาสใหม่
.
--------------------------------------
.
18. กฎทอง: ขนาดองค์กรต้อง “เข้ากับ” ขนาดตลาด
.
Christensen เรียกสิ่งนี้ว่า:
“Match the size of the organization to the size of the market.”
.
ตลาดเล็ก → ต้องใช้ทีมเล็ก
ตลาดทดลอง → ต้องใช้ระบบที่กล้าผิด
ตลาดใหม่ที่ยังไม่มี ROI → ต้องการทีมที่ไม่โดนวัดด้วย KPI เดิม
.
ยิ่งคุณตั้งความคาดหวังน้อยลงในระยะสั้น โอกาสรอดในระยะยาวจะมากขึ้น
.
--------------------------------------
.
19. กรณีศึกษา: บริษัทที่รอด คือบริษัทที่ “แยกร่าง” ได้ทันเวลา
.
บริษัทที่เจอกับ Disruption แล้วรอด มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือ:
.
“เขาไม่พยายามฝืนให้ระบบเดิมไปยอมรับของใหม่”
แต่ “เขาสร้างระบบใหม่ เพื่อให้ของใหม่มีพื้นที่เติบโตของตัวเอง”
.
ตัวอย่างเช่น:
.
IBM สร้างทีมอิสระเพื่อทำธุรกิจ PC ตอนปี 1980
Hewlett-Packard แตกหน่วยออกมาทำ inkjet printer
Johnson & Johnson จัดการหน่วยธุรกิจใหม่แบบ decentralized ทำให้แต่ละกลุ่มมีอิสระทางกลยุทธ์
.
ทีมเหล่านี้ ไม่ต้องถูกดึงกลับไปพิสูจน์ตัวเองต่อหน้า “ระบบใหญ่” ทุกวัน
เพราะพวกเขาอยู่ใน sandbox ของตัวเอง มี KPI แบบใหม่ และมีลูกค้าคนละกลุ่ม
.
--------------------------------------
.
20. ข้อควรระวัง: ถ้าแค่ตั้งทีม แต่ยังรายงานตรง CEO เดิม = ตายอย่างช้าๆ
.
การ “ตั้งหน่วยนวัตกรรม” แต่ยังต้องขออนุมัติจากทีมการเงินเดิม
หรือ “ตั้งโปรเจกต์ใหม่” แต่ยังต้องส่งรายงานแบบเดิม…
นั่นแปลว่า: คุณไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
.
ทีมใหม่จะต้องมี:
.
งบประมาณของตัวเอง
กระบวนการตัดสินใจของตัวเอง
วิธีวัดผลที่ไม่เหมือนเดิม
พื้นที่ให้ล้มเหลว
.
--------------------------------------
.
21. ความสามารถขององค์กร ≠ ความสามารถของ “คนเก่ง”
.
เวลาบริษัทอยากทำอะไรใหม่ ๆ หลายคนมักพูดว่า:
.
“ให้คนเก่งมาทำ เดี๋ยวก็เวิร์ก”
.
แต่ Christensen บอกว่า นั่นคือกับดักทางความคิด
.
เพราะ “คนเก่ง” อย่างเดียวไม่พอ
.
สิ่งที่กำหนดว่าองค์กรทำอะไรได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ “คน”
.
แต่คืออีก 2 อย่างที่ฝังลึกลงในดีเอ็นเอของบริษัท:
.
Processes – วิธีการทำงาน
.
Values – สิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญ และใช้ในการตัดสินใจ
.
--------------------------------------
.
22. วิธีประเมินความสามารถจริงขององค์กร
.
Christensen เสนอ Framework ง่าย ๆ ว่า ความสามารถขององค์กรต้องประเมินจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ People, Processes และ Values โดยต้องพิจารณาว่าในบริบท “โจทย์เดิม” กับ “โจทย์ใหม่” แต่ละองค์ประกอบรับมือได้แค่ไหน:
.
People (คน): หากเป็นโจทย์เดิม คนเก่งสามารถรับมือได้อยู่แล้ว และในกรณีโจทย์ใหม่ พวกเขาก็สามารถปรับตัวได้—ถ้า มีอิสระเพียงพอที่จะทำแบบใหม่
.
Processes (กระบวนการ): หากโจทย์ยังเหมือนเดิม องค์กรที่มี process ดีจะทำซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเยี่ยม
แต่ถ้าเจอโจทย์ใหม่ Process เดิมมักจะเปลี่ยนยากมาก บางครั้งถึงขั้น “ล้มเหลวอย่างเป็นระบบ”
.
Values (คุณค่าที่องค์กรยึดถือ): ถ้าอยู่ในบริบทเดิม มันคือเข็มทิศที่ช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วและแม่น
แต่ถ้าเข้าสู่บริบทใหม่ มันจะกลายเป็นกรอบจำกัดความคิด เช่น “ถ้ากำไรไม่ถึง 30% ไม่ทำ”—แม้ว่าในตลาดใหม่ ความคาดหวังเรื่อง margin จะต่างออกไปสิ้นเชิง
.
แปลว่า:
.
ถ้าคุณอยาก “ทำสิ่งใหม่” จริง ๆ ให้เวิร์กได้ในระดับองค์กร คุณต้องไม่หยุดที่แค่จ้างคนใหม่เก่ง ๆ เข้ามา แล้วโยนเข้าไปในเครื่องจักรเดิม
.
แต่ต้อง “เปลี่ยน Process และ Value System” ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจในทุกวันด้วย
.
--------------------------------------
.
23. แล้วเราจะสร้างความสามารถใหม่ได้อย่างไร?
.
Christensen เสนอ 3 ทางเลือก:
.
A. สร้างกระบวนการใหม่ในทีมเดิม
→ ยากมาก ต้องมี sponsor ที่อำนาจสูง และอดทนมาก
.
B. แยกหน่วยออกมา แล้วให้ทีมใหม่มีอิสระเต็มที่
→ เวิร์กที่สุดสำหรับ Disruption
.
C. ซื้อบริษัทเล็กที่กำลังทำสิ่งนั้นอยู่แล้ว (Acquisition)
→ ใช้ได้เฉพาะกรณีที่ “คุณปล่อยให้เขาโตตามวิธีของเขา”
→ ถ้าซื้อมาแล้วดึงเข้าระบบเดิม = ตายคู่
.
--------------------------------------
.
24. ปัญหาที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยกล้าคิด: “ลูกค้าต้องการแค่พอใช้” ไม่ใช่ “ดีที่สุดในโลก”
.
บริษัทมักสู้กันว่าใครจะทำผลิตภัณฑ์ที่เร็วกว่า ชัดกว่า บางกว่า แรงกว่า
แต่สิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการกลับเป็น...
.
“พอใช้ ไม่แพง ใช้ง่าย เสถียร ไม่ต้องอัปเดตบ่อย”
.
Christensen ชี้ให้เห็นว่า ตลาดมักจะถึงจุด ๆ หนึ่งที่ “เทคโนโลยีพัฒนาเร็วกว่า ความต้องการของลูกค้า”
และเมื่อถึงจุดนั้น...
.
คนที่พยายามอัปเกรดต่อไป กลับแพ้ให้กับคนที่ “หยุด” แล้วหันไปทำอะไรที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ
.
Christensen อธิบายแนวคิดนี้ด้วยกราฟ 2 เส้น:
.
เส้นที่ 1: ความสามารถของเทคโนโลยี (Performance of Tech) → พุ่งขึ้นเรื่อยๆ
.
เส้นที่ 2: ความต้องการของลูกค้า (Market Need) → เพิ่มขึ้นช้ากว่า
.
เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาเร็วกว่าที่ลูกค้าจะตามทัน
.
มันเปิดพื้นที่ให้ Disruptor เข้ามาด้วย “สินค้าแย่กว่า” ที่กลับตอบโจทย์ “พอดีเป๊ะ” ในตอนนั้น
.
Christensen ชวนคิดกลับหัวว่า: “ความเก่ง” ในการพัฒนาเทคโนโลยี = ดาบสองคม
.
ในบางกรณี บริษัทที่เก่งมากจะ…
.
พัฒนาเร็วเกินไป
ทำของที่แพงเกินจริง
เพิ่มคุณสมบัติที่ลูกค้าไม่ต้องการ
แล้วเสียเวลาแข่งขันในสนามที่ลูกค้ากำลังเดินออกจากมัน
.
--------------------------------------
.
25. หลักคิดแบบ Disruptor: สร้าง “สิ่งที่เพียงพอ” แทนที่จะ “ดีที่สุดในโลก”
.
Disruptor ไม่แข่งว่าใครดีที่สุด
แต่แข่งว่าใคร “พอเหมาะ” กับคนกลุ่มใหม่มากที่สุด
.
แทนที่จะถามว่า:
“เราจะทำให้เร็วขึ้นอีก 20% ได้อย่างไร?”
.
พวกเขาถามว่า:
“จะทำยังไงให้คนที่ไม่เคยเข้าถึง...เข้าถึงได้ง่ายที่สุด?”
.
นั่นคือจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีใหม่เกือบทั้งหมดในประวัติศาสตร์
.
.
==========================
.
[ บทสรุป 6 ข้อ ]
.
.
1. สัจธรรมข้อแรก: คุณจะล้มเหลว ไม่ใช่เพราะทำผิด...แต่เพราะทำถูกในบริบทที่เปลี่ยนไป
.
Christensen เริ่มต้นเล่มด้วยคำถามที่เหมือนมีดบางๆแต่แทงลึก:
“ทำไมบริษัทที่ทำทุกอย่างถูกต้อง จึงล้มเหลว?”
.
คำตอบตลอดทั้งเล่มคือ:
.
-เพราะพวกเขาฟังลูกค้าเกินไป
-เพราะพวกเขาวางแผนเกินไป
-เพราะพวกเขาตัดสินใจบนพื้นฐานของ ROI, margin, และ performance trajectory
.
และที่สำคัญที่สุด:
เพราะพวกเขานำ “ความเก่งแบบเดิม” มาใช้ในสนามใหม่
.
.
2. Disruptor ไม่ได้ชนะเพราะเก่งกว่า...แต่เพราะคิดคนละแบบ
.
สิ่งที่ Disruptor ทำคือ:
.
-มองเห็น “ตลาดที่ไม่มีใครสนใจ”
-ทำสินค้าที่ “ดูแย่” แต่เข้าถึงง่าย
-ไม่พยายามทำดีที่สุด — แต่ทำให้เหมาะที่สุด
-ไม่พยายามชนะลูกค้ารายใหญ่ — แต่เปลี่ยนกลุ่มลูกค้าใหม่ทั้งเซต
.
และพวกเขา “ไม่ต้องขออนุมัติจากระบบเดิม”
.
.
3. บริษัทที่อยากอยู่รอด = ต้อง “จัดการตัวเองให้ล้มเหลวแบบมีแผน”
.
คำนี้อาจฟังดูย้อนแย้ง… แต่ Christensen หมายความว่า
.
คุณต้องยอมเสีย “บางส่วนของวันนี้” เพื่อซื้อ “อนาคตของทั้งองค์กร”
และคุณต้องสร้างพื้นที่ให้ความล้มเหลวเกิดขึ้นอย่างปลอดภัย
ในทีมเล็ก โครงการเล็ก หรือบริษัทลูกที่ “ไม่ต้องชนะตั้งแต่วันแรก”
.
.
4. เช็กลิสต์ความอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนเร็วเกินวางแผน
.
-คุณแยก “ลูกค้าเดิม” ออกจาก “ลูกค้าใหม่” ได้หรือยัง?
-คุณมีทีมเล็กที่มีอิสระจริง ๆ หรือยัง?
-KPI ของคุณวัด “สิ่งที่มีค่าในอนาคต” หรือแค่ “สิ่งที่เคยได้ผลในอดีต”?
-คุณกล้าทำสิ่งที่ดู “ไม่คุ้มในวันนี้” แต่ “สำคัญในวันหน้า” หรือเปล่า?
-คุณมีพื้นที่ให้คนในองค์กร “ล้มแล้วลุก” โดยไม่โดนตัดงบไหม?
.
.
5. คำแนะนำแบบ Realist จาก Christensen = อย่าพยายามทำให้บริษัทใหญ่ “คล่องแคล่ว” เพราะมันจะไม่มีวันคล่อง
.
บริษัทใหญ่ไม่สามารถขยับแบบ startup ได้
และไม่ควรฝืนให้มันคล่องเหมือน startup
.
แต่ควร:
.
-แยกทีม
-สร้างสนามใหม่
-วัดด้วยชุด KPI ใหม่
-ให้เวลาและความไว้วางใจ
.
Christensen ย้ำเสมอว่า:
“การเปลี่ยนแปลงองค์กร ไม่ใช่แค่การบอกให้ทุกคน ‘คิดนอกกรอบ’
แต่ต้อง ‘สร้างกล่องใหม่ให้คิดในแบบที่เหมาะกับมัน’”
.
.
6. กฎทองของ Disruption (Recap)
.
มาถึงตรงนี้ เราสามารถสรุป “5 หลักการแห่ง Disruption” ของ Christensen ได้ดังนี้:
.
1.ลูกค้าปัจจุบันจะไม่บอกคุณว่าอนาคตคืออะไร
.
2.ตลาดที่ยังไม่มี ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วย Excel
.
3.ขนาดองค์กรต้อง match กับขนาดโอกาส
.
4.Process และ Value คือสิ่งที่กำหนดว่าองค์กรทำอะไรได้/ไม่ได้
.
5.เทคโนโลยีมักพัฒนาเร็วเกินตลาด และนั่นคือโอกาสของคนใหม่
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Lost and Founder คู่มือภาคสนามของโลกสตาร์ทอัพที่เจ็บปวด เขียนโดย Rand Fishkin

Next
Next

สรุปหนังสือ The Minimalist Entrepreneur : ผู้ประกอบการสไตล์มินิมอล