สรุปหนังสือ The Wealth of Nations เขียนโดย Adam Smith

ในปี 1776 โลกได้ของขวัญชิ้นโหดสองชิ้นในเวลาเดียวกัน หนึ่งคืออเมริกาประกาศอิสรภาพจากจักรวรรดิอังกฤษ
.
และสองคือ “Adam Smith ประกาศอิสรภาพของเศรษฐกิจจากพ่อค้า–นักการเมืองหัวหมอ” ผ่านหนังสือ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations
.
ผลลัพธ์คือโลกต้องทนทั้งการปฏิวัติทางการเมืองและการปฏิวัติทางเศรษฐศาสตร์พร้อมกัน เรียกได้ว่าเป็นปีที่นักประวัติศาสตร์เขียนรายงานไม่ทันเลยทีเดียว
.
Smith เริ่มจากโรงงานหมุดเล็ก ๆ ในสกอตแลนด์ แต่เล่นใหญ่ไปจนถึงโครงสร้างของจักรวรรดิ เขาบอกเราว่า ความมั่งคั่งไม่ได้อยู่ที่คลังทองคำแบบที่พวกเมอร์แคนไทล์เชื่อ แต่ซ่อนอยู่ในแรงงาน การแบ่งงานกันทำ และการแลกเปลี่ยนเสรี พูดง่าย ๆ คือถ้าอยากรวย ก็อย่ากักตุนทอง กักตุนเพื่อนร่วมงานที่ขยันดีกว่า
.
Wealth of Nations เป็นเหมือนคู่มือเล่มใหญ่ที่อธิบายตั้งแต่เหรียญเงินของโรมันไปจนถึงการค้าข้ามทวีป โดยมี “Invisible Hand” เป็นมุกตลกที่ยังไม่ตายแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 200 ปี มือที่มองไม่เห็นที่ชอบผลักเราซื้อของเซลล์โดยไม่รู้ตัว
.
.
=============================
.
1. จากทองคำสู่แรงงาน
.
ลองจินตนาการว่าคุณเป็นพ่อค้าในศตวรรษที่ 18 คุณคงเชื่อแบบที่ทุกคนเชื่อว่า ประเทศไหนมีทองคำเยอะที่สุดคือประเทศที่รวยที่สุด นี่คือหัวใจของ "ลัทธิเมอร์แคนไทล์" (Mercantilism) ที่ครองความคิดของยุโรปมานานหลายร้อยปี
.
ระบบนี้ทำให้ประเทศต่างๆ แข่งกันสะสมทองคำ ห้ามส่งทองออกนอกประเทศเด็ดขาด พยายามขายของให้ต่างชาติมากที่สุด แต่ซื้อน้อยที่สุด เพื่อให้ทองคำไหลเข้ามาฝ่ายเดียว
.
สเปนที่ขุดทองจากอเมริกาใต้มาเป็นเรือ ก็เลยคิดว่าตัวเองรวยสุดๆ แต่แปลกใจมากที่กลับจนลงเรื่อยๆ ในขณะที่อังกฤษและฮอลแลนด์ที่ไม่มีเหมืองทองกลับรวยขึ้น นี่มันเรื่องบ้าอะไร?
.
Adam Smith เปิดหนังสือด้วยการทิ้งระเบิดใส่ความเชื่อนี้ทันที เขาไม่ได้อ้อมค้อมหรือเขียนบทนำยาวเหยียดแบบนักวิชาการยุคนั้นชอบทำ แต่ตรงเข้าประเด็นเลยว่า
.
"The annual labour of every nation is the fund which originally supplies it with all the necessaries and conveniences of life which it annually consumes, and which consist always either in the immediate produce of that labour, or in what is purchased with that produce from other nations."
.
แปลเป็นภาษาบ้านๆ ก็คือ "เฮ้ย! ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ว่ามีทองกี่ตัน แต่อยู่ที่ว่าคนในประเทศผลิตอะไรได้บ้าง"
.
.
2. ตัวอย่างที่ทำให้ตาสว่าง
.
Smith ยกตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ลองเปรียบเทียบหัวหน้าเผ่าในแอฟริกาที่อาจมีทองคำเต็มถ้ำ กับพนักงานธรรมดาๆ ในลอนดอนที่ไม่มีทองซักสลึง ใครอยู่สบายกว่ากัน?
.
หัวหน้าเผ่าอาจมีทองเป็นตัน แต่ก็ต้องนอนบนเสื่อ กินอาหารง่ายๆ ใช้ชีวิตลำบาก ในขณะที่กรรมกรในลอนดอน แม้จะ "จน" แต่กลับมีเสื้อผ้าหลายชุด มีรองเท้าหนัง นอนบนเตียง กินขนมปังอบใหม่ทุกเช้า ดื่มเบียร์หลังเลิกงาน อ่านหนังสือพิมพ์ ดูละครเวที
.
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เพราะพนักงานในลอนดอนเข้าถึง "ผลผลิตของแรงงาน" นับล้านคน! มีคนปลูกข้าวสาลีให้เขา คนอบขนมปังให้เขา คนทอผ้าให้เขา คนทำรองเท้าให้เขา คนสร้างบ้านให้เขา ฯลฯ ในขณะที่หัวหน้าเผ่าได้แค่ผลผลิตของคนในเผ่าไม่กี่ร้อยคน
.
นี่คือการเปลี่ยนมุมมองครั้งใหญ่ ความมั่งคั่งไม่ได้อยู่ที่การ "มี" (Having) แต่อยู่ที่การ "ผลิต" (Producing) มันเหมือนกับการบอกว่า "อย่าไปนับเงินในกระเป๋าเลย ไปดูว่าคุณทำอะไรได้บ้างดีกว่า!"
.
.
3. ผลกระทบต่อนโยบาย
.
การเปลี่ยนมุมมองนี้มีผลมหาศาล ถ้าความมั่งคั่งคือการผลิต ไม่ใช่ทองคำ นโยบายที่ห้ามส่งทองออกนอกประเทศก็ไร้ความหมาย การพยายามกักเก็บทองไว้เหมือนกักน้ำในอ่าง แต่ถ้าไม่มีการผลิต น้ำก็จะแห้งไปในที่สุด
.
Smith ยังชี้ให้เห็นว่าเงินตราเป็นแค่ "ล้อของการหมุนเวียน" (Wheel of Circulation) ไม่ใช่ความมั่งคั่งที่แท้จริง เหมือนถนนที่ช่วยขนส่งสินค้า แต่เราไม่ได้กินถนน เราต้องการสินค้าต่างหาก
.
.
4. โรงงานหมุดในตำนาน
.
หลังจากพลิกความคิดเรื่องความมั่งคั่งแล้ว Smith ก็ต้องอธิบายว่าทำไมบางสังคมถึงผลิตได้มากกว่าสังคมอื่น คำตอบของเขาคือ "การแบ่งงานกันทำ" (Division of Labour)
.
เขาเลือกใช้ตัวอย่างที่ดูธรรมดาแต่กลับกลายเป็นตำนานของวงการเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ "โรงงานทำหมุด"
.
Smith เล่าว่าเขาไปเยี่ยมชมโรงงานทำหมุดแห่งหนึ่ง สิ่งที่เห็นทำให้เขาตะลึง ในสมัยก่อน ช่างเหล็กคนหนึ่งถ้าต้องทำหมุดตั้งแต่ต้นจนจบคนเดียว ต้องทำ 18 ขั้นตอน ตั้งแต่ดึงลวดให้ยาว ทำให้ลวดตรง ตัดเป็นท่อน แต่งปลายให้แหลม บดส่วนที่จะทำเป็นหัว ทำหัวหมุด และขั้นตอนอื่นๆ อีกมากมาย ช่างที่เก่งมากๆ อาจทำได้วันละ 20 อัน ถ้าโชคดี
.
แต่ในโรงงานที่ Smith เห็น 10 คนแบ่งงานกันทำ คนแรกดึงลวดอย่างเดียวทั้งวัน คนที่สองทำให้ตรงอย่างเดียว คนที่สามตัดอย่างเดียว และต่อๆ ไปจนครบทุกขั้นตอน
.
"One man draws out the wire, another straights it, a third cuts it, a fourth points it, a fifth grinds it at the top for receiving the head..."
.
ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก 10 คนทำหมุดได้วันละ 48,000 อัน! จากคนละ 20 อันเป็นคนละ 4,800 อัน ผลิตภาพพุ่งขึ้นมหาศาล!
.
.
5. เวทมนตร์เกิดขึ้นได้อย่างไร?
.
Smith วิเคราะห์ว่าปาฏิหาริย์นี้เกิดจาก 3 เหตุผลหลัก
.
เหตุผลแรกคือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialization) คนที่ดึงลวดทั้งวันทุกวันจะดึงได้เร็วและแม่นยำมาก เหมือนคนที่เล่นเกมด่านเดียวซ้ำ 1,000 รอบจนปิดตาก็ผ่านได้ มือจะจำท่า กล้ามเนื้อจะคุ้นเคย ทำได้เร็วจนน่าทึ่ง Smith เล่าว่าเขาเคยเห็นเด็กชายที่ทำหน้าที่แค่ห่อหมุดใส่กระดาษ ทำได้เร็วจนตาไม่ทันเห็นการเคลื่อนไหวของมือ!
.
เหตุผลที่สองคือการประหยัดเวลา (Time Saving) ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนงาน เปลี่ยนเครื่องมือ เปลี่ยนท่าทาง เหมือนไม่ต้องรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ทุกครั้งที่เปลี่ยนโปรแกรม Smith คำนวณว่าช่างเหล็กสมัยก่อนเสียเวลาเปลี่ยนเครื่องมือและท่าทางวันละหลายชั่วโมง แต่คนที่ทำงานเดียวไม่ต้องเสียเวลานี้เลย
.
เหตุผลที่สามคือนวัตกรรม (Innovation) คนที่ทำงานเดิมซ้ำๆ มักคิดหาวิธีทำให้ง่ายขึ้น เหมือนพนักงานออฟฟิศที่สร้าง macro ใน Excel จนเทพ หรือโปรแกรมเมอร์ที่เขียน script เพื่อทำงานซ้ำๆ โดยอัตโนมัติ Smith เล่าเรื่องน่ารักว่า มีเด็กชายคนหนึ่งทำหน้าที่เปิดปิดวาล์วเครื่องจักรไอน้ำ ต้องดึงเชือกขึ้นลงทั้งวัน เด็กเบื่อมากจึงผูกเชือกเข้ากับส่วนที่เคลื่อนไหวของเครื่อง ทำให้วาล์วเปิดปิดเอง เขาก็ไปเล่นได้! นี่คือต้นแบบของระบบอัตโนมัติ!
.
.
6. แต่ทำไมมนุษย์ถึงแบ่งงานกันได้?
.
Smith ตั้งคำถามลึกซึ้งว่า ทำไมมนุษย์ถึงแบ่งงานกันได้ ในขณะที่สัตว์ทำไม่ได้? คำตอบของเขาคือมนุษย์มี "a certain propensity... to truck, barter, and exchange one thing for another" (แนวโน้มที่จะแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน)
.
มีสำนวนที่ขำแต่ลึกซึ้งว่า
.
"Nobody ever saw a dog make a fair and deliberate exchange of one bone for another with another dog." (ไม่มีใครเคยเห็นหมาสองตัวแลกกระดูกกันอย่างยุติธรรมและตั้งใจ)
.
หมาอาจแย่งกระดูกกัน อาจแบ่งให้กันกิน แต่ไม่มีการ "แลกเปลี่ยน" ที่แต่ละฝ่ายตกลงกันว่ากระดูกไก่ 2 ชิ้นแลกกับกระดูกหมู 1 ชิ้น นี่คือความพิเศษของมนุษย์
.
.
7. ขีดจำกัดของการแบ่งงาน ขนาดของตลาด
.
แต่ Smith เตือนว่าการแบ่งงานมีขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับ "extent of the market" (ขนาดของตลาด)
.
ในหมู่บ้านเล็กๆ 100 คน ช่างไม้ต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ประตู หน้าต่าง เพราะถ้าทำแต่เก้าอี้อย่างเดียว ทั้งหมู่บ้านซื้อกันคนละตัว เขาก็อดตาย
.
แต่ในลอนดอนที่มีคนล้านคน อาจมีช่างทำแต่ขาเก้าอี้โดยเฉพาะ ช่างทำแต่พนักพิง ช่างทำแต่เบาะ ช่างประกอบ และช่างขัดเงา ทุกคนเชี่ยวชาญในงานของตัวเอง ทำได้เร็วและดีมาก
.
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการคมนาคมทางน้ำจึงสำคัญในประวัติศาสตร์ เรือลำหนึ่งบรรทุกของได้เท่ากับเกวียน 100 เล่ม แต่ใช้คนแค่ 6-8 คน ต้นทุนต่ำมาก ทำให้ขนส่งสินค้าไปไกลได้ ตลาดจึงใหญ่ขึ้น
.
Smith สังเกตว่าอารยธรรมใหญ่ๆ ทั้งหมดเกิดริมแม่น้ำหรือทะเล อียิปต์ริมแม่น้ำไนล์ เมโสโปเตเมียริมไทกรีส-ยูเฟรตีส จีนริมแม่น้ำเหลือง กรีกและโรมริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะน้ำคือทางหลวงของโลกโบราณ ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นมีการค้า มีตลาดใหญ่ มีการแบ่งงาน มีความเจริญ
.
.
8. ปัญหาการแลกเปลี่ยนโดยตรง
.
หลังจากอธิบายเรื่องการแบ่งงานแล้ว Smith ก็เจอปัญหาใหม่: ถ้าทุกคนทำงานเฉพาะทาง แล้วจะแลกของกันยังไง?
.
ลองนึกภาพสังคมที่มีการแบ่งงาน คุณเป็นช่างทำรองเท้า มีรองเท้าแต่ไม่มีอาหาร คนทำขนมปังมีขนมปังแต่ไม่มีเสื้อผ้า คนทอผ้ามีผ้าแต่ไม่มีเครื่องมือ ช่างตีเหล็กมีเครื่องมือแต่ไม่มีรองเท้า
.
ทีนี้คุณอยากได้ขนมปัง แต่คนทำขนมปังไม่อยากได้รองเท้า เขาอยากได้เสื้อ คุณต้องไปหาคนทอผ้า แต่คนทอผ้าไม่อยากได้รองเท้า เขาอยากได้เครื่องมือ...
.
วุ่นวายมาก! Smith เรียกปัญหานี้ว่า "Double Coincidence of Wants" (ความบังเอิญที่ความต้องการต้องตรงกันพอดีของสองฝ่าย) ชื่อฟังดูเท่มาก แต่แปลง่ายๆ ก็คือ "โคตรยากที่จะหาคนที่อยากได้สิ่งที่เรามี และมีสิ่งที่เราอยากได้พอดี"
.
.
9. สิ่งแปลกประหลาดที่เคยใช้เป็นเงิน
.
มนุษย์จึงต้องหาของบางอย่างที่ทุกคนยอมรับเป็นสื่อกลาง Smith เล่าว่าในประวัติศาสตร์ มนุษย์ใช้ของแปลกๆ มากมายเป็น "เงิน"
.
ชาวอาบิสซิเนีย (เอธิโอเปียโบราณ) ใช้เกลือเป็นเงิน เข้าท่าดีเพราะทุกคนต้องการสำหรับปรุงอาหารและถนอมอาหาร เก็บได้นานไม่เน่าเสีย แบ่งย่อยได้ง่าย และที่น่าสนใจคือคำว่า "salary" (เงินเดือน) ก็มาจาก "sal" (เกลือในภาษาละติน) เพราะทหารโรมันเคยได้รับค่าจ้างเป็นเกลือ
.
หอยเบี้ยใช้กันแพร่หลายในเอเชียและแอฟริกา เพราะสวยงาม เก็บง่าย พกพาสะดวก หาได้ยากต้องไปเก็บจากทะเลลึก ปลอมแปลงยาก และบางที่ใช้จนถึงศตวรรษที่ 20!
.
ในอาณานิคมอเมริกา โดยเฉพาะเวอร์จิเนีย ใช้ใบยาสูบเป็นเงิน ข้อดีคือใช้สูบได้ด้วย (ถ้าเงินเฟ้อมากก็สูบทิ้งไป!) ปลูกได้แต่ต้องใช้แรงงานมาก รัฐบาลต้องออกกฎควบคุมคุณภาพ ไม่งั้นจะมีแต่ใบยาเน่าๆ
.
ในสก็อตแลนด์โบราณใช้ตะปู เพราะใช้ประโยชน์ได้จริง ทำยากต้องใช้ฝีมือ Smith เล่าว่าราคาสินค้าบางอย่างบอกเป็น "กี่พันตะปู"
.
สังคมเลี้ยงสัตว์ใช้วัวมาตั้งแต่สมัยโฮเมอร์ แต่ปัญหาคือแบ่งย่อยไม่ได้ (ขาววัวครึ่งตัวมันตายนะ!) เลี้ยงยากกินเยอะ และคำว่า "pecuniary" (เกี่ยวกับเงิน) ก็มาจาก "pecus" (วัวในภาษาละติน)
.
.
10. ทำไมต้องเป็นโลหะ?
.
ในที่สุดเกือบทุกอารยธรรมก็มาลงเอยที่โลหะ โดยเฉพาะทอง เงิน และทองแดง Smith อธิบายว่าโลหะมีคุณสมบัติเพอร์เฟกต์สำหรับการเป็นเงิน
.
โลหะทนทาน ไม่เน่า ไม่เสื่อม ไม่แห้ง ไม่ตาย เก็บไว้ 100 ปียังใช้ได้ ไม่เหมือนปลาที่ต้องรีบใช้ภายใน 3 วัน โลหะแบ่งย่อยได้ง่าย ผ่าครึ่งได้ครึ่งราคาพอดี ไม่เหมือนเพชรที่ผ่าครึ่งแล้วราคาตก หรือวัวที่ผ่าครึ่งแล้ว... อย่าพูดถึงเลย
.
คุณภาพของโลหะสม่ำเสมอ ทอง 1 กรัมจากจีนกับทอง 1 กรัม จากเปรู มีค่าเท่ากัน ไม่ต้องเถียงกันว่าใบยาใครดีกว่า วัวใครอ้วนกว่า และที่สำคัญโลหะหายาก ขุดได้จำกัด ไม่ใช่หาได้ทั่วไป ถ้าใช้ใบไม้เป็นเงิน เดี๋ยวทุกคนก็ไปเก็บใบไม้กันหมด
.
.
11. จากก้อนโลหะสู่เหรียญกษาปณ์
.
แต่ใช้โลหะเป็นก้อนๆ ก็ลำบาก ต้องชั่งทุกครั้ง ต้องตรวจสอบความบริสุทธิ์ อาจโดนโกงได้ง่าย ในสมัยโบราณ พ่อค้าต้องพกตาชั่งไปด้วยตลอด และต้องมีความรู้เรื่องโลหะด้วย ไม่งั้นจะโดนหลอกขายทองเจือทองแดง
.
ด้วยความลำบากนี้ จึงเกิดการประทับตราบนโลหะเพื่อรับรองน้ำหนักและความบริสุทธิ์ ตอนแรกประทับแค่ด้านเดียว ต่อมาประทับทั้งสองด้าน เพื่อป้องกันการตัดขอบ (clipping) ไปขายต่อ
.
นี่คือกำเนิดของเหรียญกษาปณ์ รัฐเข้ามามีบทบาทในการรับรองมาตรฐาน ทำให้การแลกเปลี่ยนสะดวกขึ้นมาก ไม่ต้องชั่ง ไม่ต้องตรวจ ดูตราประทับก็รู้ว่าน้ำหนักและคุณภาพเท่าไหร่
.
แต่ก็มีปัญหาใหม่ รัฐบางแห่งโกงด้วยการลดปริมาณโลหะในเหรียญแต่ประกาศว่ามีค่าเท่าเดิม (debasement) ทำให้เกิดเงินเฟ้อ Smith เล่าว่าเหรียญโรมันสมัยจักรพรรดิ Augustus มีเงินเกือบจะ 100% แต่สมัย Gallienus เหลือแค่ไม่เกิน 5% ที่เหลือเป็นทองแดง
.
.
12. Value in Use กับ "Value in Exchange
.
หลังจากอธิบายเรื่องเงินแล้ว Smith ก็เจอปริศนาที่ทำให้นักคิดปวดหัวมานาน: ทำไมน้ำที่จำเป็นต่อชีวิตถึงแทบไม่มีราคา แต่เพชรที่ไร้ประโยชน์ (นอกจากสวยๆ) กลับแพงระยับ?
.
Smith แยกแยะระหว่าง "Value in Use" (มูลค่าใช้สอย) กับ "Value in Exchange" (มูลค่าแลกเปลี่ยน) น้ำมีมูลค่าใช้สอยสูงมาก ไม่มีน้ำคนตาย แต่มูลค่าแลกเปลี่ยนต่ำ แทบฟรี เพชรตรงกันข้าม ไม่มีเพชรก็อยู่ได้ แต่ราคาสูงมาก
.
ปริศนานี้ที่เรียกว่า "Water-Diamond Paradox" ทำให้ Smith ต้องขุดลึกลงไปว่าแล้วอะไรกำหนดมูลค่าแลกเปลี่ยน?
.
คำตอบของ Smith คือ
.
"Labour... is the real measure of the exchangeable value of all commodities." แรงงานคือมาตรวัดที่แท้จริงของมูลค่า!
.
เขาอธิบายว่าเวลาเราซื้ออะไร เราไม่ได้แค่จ่ายเงิน แต่กำลังแลก "แรงงานของเรา" (ที่แปลงเป็นเงิน) กับ "แรงงานของคนอื่น" (ที่ฝังอยู่ในสินค้า) ยิ่งใช้แรงงานผลิตมาก ของก็ยิ่งแพง
.
น้ำถูกเพราะหาง่าย ขุดบ่อก็ได้ ไปตักที่แม่น้ำก็ได้ ใช้แรงงานน้อย แต่เพชรต้องขุดลึกลงไปใต้ดิน ต้องคัดแยก ต้องเจียระไน ใช้แรงงานมหาศาล เพชร 1 กะรัตอาจต้องขุดดินเป็นตัน
.
.
13. Labour Theory of Value
.
แนวคิดนี้กลายเป็น "Labour Theory of Value" ที่ดังมาก David Ricardo เอาไปพัฒนาต่อให้เป็นระบบ Karl Marx เอาไปใช้วิพากษ์ทุนนิยมว่านายทุนขูดรีดแรงงาน
.
แต่สำหรับ Smith มันเป็นวิธีอธิบายว่า "ของไม่ได้มีค่าเพราะแพง แต่แพงเพราะต้องใช้แรงงานเยอะในการผลิต" และเป็นการย้ำว่าแรงงานคือรากฐานของความมั่งคั่ง ไม่ใช่ทองคำหรือที่ดิน
.
แม้ทฤษฎีนี้จะถูกแทนที่ด้วย Marginal Utility Theory ในเวลาต่อมา แต่ข้อสังเกตของ Smith ยังคงมีค่า เพราะมันชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแรงงาน การผลิต และมูลค่าในระบบเศรษฐกิจ
.
.
14. ราคาในฝัน vs ราคาในตลาด “สองราคาในสินค้าเดียว”
.
คราวนี้ Smith ต้องอธิบายปรากฏการณ์ที่ทุกคนเจอ ทำไมราคาของถึงขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด? วันนี้ผักแพง พรุ่งนี้ถูก ทำไมไม่คงที่ซะที?
.
เขาแยกราคาเป็นสองแบบ ราคาธรรมชาติ (Natural Price) คือราคา "ในอุดมคติ" ที่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด รวมค่าแรง กำไร และค่าเช่าในระดับปกติ ส่วนราคาตลาด (Market Price) คือราคาจริงๆ ที่เกิดขึ้นในตลาด ขึ้นลงตามอุปสงค์อุปทาน
.
Smith บรรยายว่า
.
"The natural price... is the central price, to which the prices of all commodities are continually gravitating." ราคาธรรมชาติเหมือนแม่เหล็กที่ดึงราคาตลาดให้เข้าหา แต่ไม่เคยนิ่ง เหมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมา
.
Smith อธิบายกลไกการทำงานอย่างละเอียด เมื่อราคาตลาดสูงกว่าราคาธรรมชาติ แปลว่ามีกำไรงาม คนเห็นแล้วอยากทำบ้าง พากันแห่เข้ามาผลิต อุปทานเพิ่มขึ้น ราคาก็ค่อยๆ ตกลงมา
.
ในทางกลับกัน เมื่อราคาตลาดต่ำกว่าราคาธรรมชาติ ผู้ผลิตขาดทุน บางรายเลิกทำ บางรายลดกำลังผลิต อุปทานน้อยลง ราคาก็ค่อยๆ ขึ้น
.
เหมือนมีมือล่องหนที่คอยปรับสมดุล ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครควบคุม แต่ระบบปรับตัวเองได้ นี่คือความมหัศจรรย์ของตลาด!
.
.
15. ข้อยกเว้นและการผูกขาด
.
แต่ Smith ก็รู้ดีว่าบางครั้งราคาไม่กลับสู่ธรรมชาติ เช่น เมื่อมีการผูกขาด (monopoly) ผู้ขายรายเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ สามารถตั้งราคาสูงได้ตลอด เพราะไม่มีคู่แข่งเข้ามา
.
เขายกตัวอย่าง East India Company ที่ผูกขาดการค้ากับอินเดียและจีน สามารถขายเครื่องเทศและชาในราคาสูงลิ่ว เพราะรัฐอังกฤษให้สิทธิพิเศษ คนอื่นค้าขายไม่ได้
.
Smith วิจารณ์การผูกขาดอย่างรุนแรง เพราะมันทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ และทำให้ทรัพยากรถูกใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าตลาดเปิดเสรี จะมีคนเข้ามาแข่งขัน ราคาจะถูกลง คุณภาพจะดีขึ้น ทุกคนได้ประโยชน์
.
.
16. สามเหลี่ยมแห่งรายได้ แรงงาน ทุน ที่ดิน
.
เมื่อแกะราคาธรรมชาติลึกลงไป Smith พบว่ามันประกอบด้วยรายได้สามประเภท
.
ประเภทแรกคือค่าแรง (Wages) ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของคนทำงาน Smith เห็นใจคนงานมาก เขาบอกว่าค่าแรงต้องพออยู่พอกินและเลี้ยงครอบครัวได้ ไม่งั้นแรงงานจะหมดไปเลย เขาเขียนไว้อย่างซาบซึ้งว่า "The wages of labour are the encouragement of industry" (ค่าแรงคือแรงจูงใจของความขยัน)
.
แต่เขาก็รู้ดีว่านายจ้างมักมีอำนาจต่อรองเหนือกว่า นายจ้าง 10 คนตกลงกันง่ายกว่าคนงาน 1,000 คน และนายจ้างอดได้นานกว่า (มีเงินเก็บ) ขณะที่คนงานต้องทำงานทุกวันเพื่อมีกิน Smith สังเกตว่านายจ้างมักแอบตกลงกันเพื่อกดค่าแรง แต่เมื่อคนงานรวมตัวกันเรียกร้อง กลับถูกมองว่าผิดกฎหมาย
.
ประเภทที่สองคือกำไร (Profit) ซึ่งเป็นรางวัลของนายทุน นี่คือส่วนแบ่งของคนที่ลงทุนซื้อเครื่องจักร วัตถุดิบ จ้างคน Smith มองว่ากำไรคือค่าตอบแทนของการเสี่ยงและการจัดการ นายทุนต้องตัดสินใจว่าจะผลิตอะไร จ้างใคร ขายให้ใคร ถ้าตัดสินใจผิดก็ขาดทุน
.
แต่เขาก็เตือนว่าถ้าไม่มีการแข่งขัน กำไรอาจสูงเกินควร และนายทุนมักพยายามสร้างการผูกขาดเพื่อรักษากำไรสูง ไม่ว่าจะโดยการขอสิทธิพิเศษจากรัฐ หรือการตกลงร่วมกันเพื่อไม่แข่งขันด้านราคา
.
ประเภทที่สามคือค่าเช่า (Rent) ซึ่งเป็นรายได้ของเจ้าของที่ดิน Smith มองค่าเช่าแตกต่างจากสองอย่างแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะเจ้าของที่ดินไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มีที่ดินก็เรียกค่าเช่าได้ เขาเรียกว่า "unearned income" (รายได้ที่ไม่ได้มาจากการทำงาน)
.
เขาวิเคราะห์ว่าค่าเช่าเกิดจากการที่ที่ดินมีจำกัดและมีความแตกต่างกัน ที่ดินใจกลางเมืองหรือที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ย่อมให้ค่าเช่าสูง ที่ดินห่างไกลหรือไม่อุดมสมบูรณ์ให้ค่าเช่าต่ำหรืออาจไม่มีเลย
.
ที่น่าสนใจคือ Smith มองเห็นความขัดแย้งระหว่างสามกลุ่มนี้ ค่าแรงสูง กำไรก็ต่ำ ค่าเช่าสูง ทั้งแรงงานและนายทุนก็ลำบาก เหมือนเค้กก้อนเดียวที่ต้องแบ่งกันสามคน ใครได้มาก คนอื่นก็ได้น้อย
.
แต่เขาก็พยายามหาจุดร่วม เช่น ในระยะยาว ถ้าเศรษฐกิจเติบโต เค้กใหญ่ขึ้น ทุกคนได้มากขึ้น แรงงานได้ค่าจ้างสูงขึ้น นายทุนมีโอกาสลงทุนมากขึ้น เจ้าของที่ดินเรียกค่าเช่าได้มากขึ้น
.
แต่ในระยะสั้น การต่อสู้เพื่อแบ่งส่วนแบ่งยังคงดำเนินต่อไป และนี่คือรากฐานของความขัดแย้งทางชนชั้นที่ Marx จะหยิบไปขยายความในศตวรรษถัดมา
.
.
17. Stock ทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี
.
ใน Book II Smith อธิบายเรื่อง "Stock" ซึ่งในยุคนั้นหมายถึงทรัพย์สินทั้งหมดที่คนเรามี ไม่ว่าจะเป็นเงิน ของ เครื่องมือ หรือสินค้า
.
เขาเริ่มจากสังคมดั้งเดิมที่ไม่มีการแบ่งงาน ทุกคนผลิตของใช้เองทั้งหมด Stock ที่ต้องการก็แค่ของใช้สองสามวัน อาหารติดตัว เครื่องมือง่ายๆ
.
แต่พอสังคมมีการแบ่งงาน ทุกอย่างเปลี่ยน ช่างทำรองเท้าต้องมี Stock ของหนัง ด้าย เครื่องมือ และที่สำคัญคืออาหารกินระหว่างทำรองเท้า เพราะเขาทำแต่รองเท้า ไม่ได้ปลูกข้าวเอง
.
ยิ่งการแบ่งงานซับซ้อน ยิ่งต้องการ Stock มาก โรงงานผลิตรถยนต์ต้องมีโรงงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ และเงินจ่ายคนงานหลายพันคนเป็นเวลาหลายเดือนกว่ารถจะเสร็จและขายได้
.
.
18. แบ่งทุนเป็นสองประเภท
.
Smith แบ่ง Stock ที่ใช้หาผลกำไร (ซึ่งเขาเรียกว่า Capital) เป็นสองประเภท
.
ทุนคงที่ (Fixed Capital) คือของที่ใช้ได้นานๆ ไม่ต้องขาย ให้ผลตอบแทนโดยที่ยังเป็นของเรา เครื่องจักรในโรงงาน อาคาร เครื่องมือ ล้วนเป็นทุนคงที่ ใช้ผลิตของอื่นได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องขายตัวเครื่องจักรเอง
.
ที่น่าสนใจคือ Smith รวมทักษะของคนงานเป็นทุนคงที่ด้วย เขาเรียกว่า "acquired and useful abilities" (ความสามารถที่ได้มาและมีประโยชน์) ฟังดูเหมือน "human capital" ในยุคนี้เลย แต่ยุคนั้นยังไม่มีคำนี้
.
ทุนหมุนเวียน (Circulating Capital) คือของที่ต้องขายหรือใช้ไปเพื่อได้กำไร วัตถุดิบที่ซื้อมาต้องแปรรูปและขายออกไป สินค้าสำเร็จรูปต้องขายเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน เงินสดต้องใช้ซื้อของมาขายต่อ ต้องเติมใหม่เรื่อยๆ เหมือนน้ำมันในรถ
.
สิ่งที่ลึกซึ้งคือ Smith ชี้ให้เห็นว่าทุนคงที่ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีทุนหมุนเวียน เครื่องจักรที่ดีที่สุดก็ไร้ค่าถ้าไม่มีวัตถุดิบมาป้อน ไม่มีเงินจ่ายคนงาน ไม่มีตลาดรับซื้อสินค้า
.
ในทางกลับกัน ทุนหมุนเวียนจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นถ้ามีทุนคงที่ที่ดี วัตถุดิบจะกลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้นถ้าผ่านเครื่องจักรที่ทันสมัย
.
นี่คือการมองเศรษฐกิจเป็นระบบที่ส่วนต่างๆ พึ่งพากัน ไม่ใช่แค่กองเงินหรือกองสินค้า แต่เป็นกระบวนการผลิตที่ต่อเนื่อง
.
.
19. ลำดับการพัฒนาสังคมในอุดมคติ
.
Smith เปิด Book III ด้วยการวางทฤษฎีว่าสังคม "ควร" พัฒนาอย่างไร เหมือนอาจารย์สอนนักเรียนว่าควรทำการบ้านก่อนเล่นเกม
.
ตามทฤษฎีของเขา สังคมควรเริ่มจาก
.
I. เกษตรกรรม (ปลูกข้าวผักผลไม้ เลี้ยงหมูไก่วัวควาย)
.
II. อุตสาหกรรม (พอมีอาหารเหลือกิน ก็มาทำเครื่องมือ เสื้อผ้า บ้านเรือน)
.
III. การค้า (พอมีของเหลือใช้ ก็เอาไปขายแลกเปลี่ยน)
.
Smith บอกว่านี่คือ "ลำดับธรรมชาติ" เพราะมันตรงกับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ กินก่อน สวมใส่ก่อน แล้วค่อยมาคิดเรื่องซื้อขายทีหลัง
.
.
20. แต่ยุโรปเดินหน้าแบบงงๆ
.
พอ Smith ไปดูประวัติศาสตร์จริง เขาถึงกับอุทาน "WTF! ทำไมมันไม่เป็นไปตามทฤษฎีเลย!"
.
เพราะหลังจักรวรรดิโรมันล่มสลาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…
.
ขุนนางยึดที่ดินไว้หมด ชาวนากลายเป็นไพร่
ขุนนางไม่สนใจพัฒนาเกษตร แค่เก็บส่วยจากชาวนา
เมืองกลับเจริญก่อนชนบท
พ่อค้าในเมืองรวยก่อนชาวนาในชนบท
.
Smith เขียนตรงๆ เลยว่า "In the European nations, the progress of opulence was quite opposite to what naturally should have been expected" (ในชาติยุโรป ความเจริญรุ่งเรืองเป็นไปตรงข้ามกับที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ)
.
.
21. เมืองในยุคกลาง
.
คำตอบอยู่ที่ "เมือง" ในยุคกลาง เมืองเป็นเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย พ่อค้าและช่างฝีมือหนีการกดขี่จากขุนนางมารวมตัวกันในเมือง สร้างกิลด์ (สมาคมอาชีพ) ตั้งกฎกติกาของตัวเอง
.
เมืองหลายแห่ง "ซื้อ" เสรีภาพจากขุนนางหรือกษัตริย์ จ่ายเงินก้อนใหญ่แลกกับสิทธิปกครองตนเอง มีศาลของตัวเอง มีทหารของตัวเอง มีกฎหมายที่แน่นอน
.
Smith เปรียบเทียบว่าในชนบท ชีวิตและทรัพย์สินขึ้นอยู่กับอารมณ์ขุนนาง วันนี้อารมณ์ดีก็ปลอดภัย พรุ่งนี้อารมณ์ไม่ดีอาจโดนยึดทรัพย์หรือแย่กว่านั้น แต่ในเมือง มีกฎหมายคุ้มครอง มีความยุติธรรม
.
ผลคือ? คนเก่งๆ เงินทอง และความคิดสร้างสรรค์หลั่งไหลเข้าเมือง เมืองเลยรวยและเจริญก่อนชนบท
.
.
22. สถาบันเหนือกว่าภูมิศาสตร์
.
Smith ใช้ประวัติศาสตร์ยุโรปเป็นกรณีศึกษาว่า "สถาบัน" (institutions) สำคัญแค่ไหน ชนบทมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่มีกฎหมายดี ไม่มีความปลอดภัย ผลผลิตอาจถูกขุนนางยึดได้ทุกเมื่อ คนจึงไม่อยากลงทุนพัฒนา
.
เมืองมีที่ดินน้อย ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ แต่มีกฎหมายดี มีความยุติธรรม มีอิสรภาพ คนจึงกล้าลงทุน กล้าทำธุรกิจ กล้าสร้างสรรค์
.
นี่คือบทเรียนที่ยังใช้ได้ทุกวันนี้ ทำไมสิงคโปร์ที่แทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติถึงรวยกว่าประเทศที่มีน้ำมันเต็มแผ่นดิน? คำตอบคือเพราะมีสถาบันที่ดี
.
.
23. พลังมหัศจรรย์ของตลาด
.
แม้การพัฒนาจะ "ผิดลำดับ" แต่ Smith กลับชื่นชม เพราะเขาเห็นว่าเมืองกลับมาช่วยปลดปล่อยชนบทจากระบบศักดินา โดยที่ไม่มีใครตั้งใจ!
.
มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ง่ายมาก เมืองต้องการอาหาร ชนบทมีอาหาร เมืองจึงซื้ออาหารจากชนบท ชาวนาเริ่มมีรายได้จากการขายผลผลิต ไม่ต้องพึ่งขุนนางอย่างเดียว
.
ยิ่งเมืองใหญ่ขึ้น ความต้องการอาหารยิ่งมาก ชาวนายิ่งมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ขุนนางเองก็อยากได้เงินไปซื้อของหรูหราจากเมือง ต้องปล่อยให้ชาวนามีอิสระมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิต
.
Smith เขียนไว้ว่า "Order and good government, and along with them the liberty and security of individuals, were established in cities, long before they were established in the country" (ระเบียบและการปกครองที่ดี พร้อมกับเสรีภาพและความปลอดภัย เกิดขึ้นในเมืองนานก่อนชนบท)
.
แล้วพอโคลัมบัสค้นพบอเมริกา วาสโก ดากามา หาเส้นทางไปอินเดีย ทุกอย่างยิ่งเร่งขึ้นอีก ทองคำจากอเมริกาใต้ เครื่องเทศจากเอเชีย น้ำตาลจากแคริบเบียน ทำให้เมืองในยุโรปร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
ขุนนางเห็นสินค้าหรูหราก็อยากได้ ต้องหาเงิน วิธีเดียวคือเพิ่มผลผลิตจากที่ดิน แต่ชาวนาที่เป็นไพร่ไม่มีแรงจูงใจทำงานหนัก ขุนนางจึงต้องให้อิสระมากขึ้น ให้เช่าที่ดิน ให้เป็นเจ้าของผลผลิต
.
.
24. Unintended Consequences
.
นี่คือสิ่งที่ Smith เรียกว่า "Unintended Consequences" (ผลที่ไม่ได้ตั้งใจ) ที่เขาชื่นชมมาก
.
ไม่มีใครตั้งใจจะทำลายระบบศักดินา
พ่อค้าแค่อยากทำกำไร
ขุนนางแค่อยากได้ของหรูหรา
ชาวนาแค่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น
.
แต่เมื่อทุกคนแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่! ระบบศักดินาที่ดำรงมานับพันปีค่อยๆ ล่มสลาย โดยไม่ต้องมีการปฏิวัตินองเลือด ไม่ต้องมีผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ แค่ปล่อยให้ตลาดทำงาน
.
Smith เห็นว่านี่คือความมหัศจรรย์ของระบบตลาด มันเปลี่ยนโครงสร้างสังคมได้อย่างสันติ ค่อยเป็นค่อยไป แต่ทรงพลังและยั่งยืน
.
.
25. สงครามกับลัทธิ Mercantilism
.
ถ้า Book I-III เป็นการอธิบายว่าเศรษฐกิจทำงานอย่างไร Book IV คือการประกาศสงครามกับความคิดผิดๆ ที่ครอบงำยุโรปมา 200 ปี
.
Smith เปิดฉากด้วยการแขวะ Mercantilism อย่างไม่ไว้หน้า
.
Smith ชี้ว่า Mercantilism สร้างปัญหาใหญ่ 3 อย่าง:
.
I. สงครามการค้า - ทุกประเทศคิดว่าการค้าเป็น zero-sum game ฝรั่งเศสรวย = อังกฤษจน, สเปนรวย = โปรตุเกสจน ผลคือ? ทุกคนพยายามทำลายการค้าของกันและกัน กีดกัน แย่งชิง สุดท้ายก่อสงครามจริงๆ เพื่อแย่งอาณานิคมและเส้นทางการค้า คนตายเป็นแสนเพื่ออะไร? เพื่อกองทองคำ!
.
II. การผูกขาด - บริษัทอย่าง East India Company ได้สิทธิ์ผูกขาดการค้ากับเอเชีย ผลคือ? ขายของแพงให้คนอังกฤษ (จะซื้อที่อื่นไม่ได้) ซื้อของถูกจากคนอินเดีย (จะขายให้คนอื่นไม่ได้) กดขี่ทั้งสองฝั่ง! รัฐให้สิทธิพิเศษเพราะคิดว่าจะควบคุมการไหลของทองคำได้ง่าย แต่ลืมคิดถึงประชาชน
.
III. การใช้ทรัพยากรผิดๆ - อังกฤษพยายามปลูกองุ่นในเรือนกระจกท่ามกลางหิมะ สเปนฝืนทอผ้าทั้งที่ไม่ถนัด ฝรั่งเศสทำเหมืองถ่านหินทั้งที่ไม่มีถ่านหินดี ทำไม? เพราะไม่อยากซื้อจากต่างประเทศ กลัวทองไหลออก! ผลคือใช้ทรัพยากรอย่างไร้ประสิทธิภาพสุดๆ
.
Mercantilism = ระบบของพ่อค้า เพื่อพ่อค้า โดยพ่อค้า
.
Smith สรุปแบบเข้าใจง่ายว่า Mercantilism คือ "mercantile system" (ระบบพาณิชย์) ที่ออกแบบมาเพื่อพ่อค้า ไม่ใช่เพื่อประชาชน
.
พ่อค้าได้อะไร? การผูกขาด สิทธิพิเศษ การกีดกันคู่แข่ง กำไรงาม ประชาชนได้อะไร? ของแพง ไม่มีทางเลือก คุณภาพแย่
.
Smith เตือนนักการเมืองด้วยประโยคที่คมคาย: "ข้อเสนอใดๆ จากกลุ่มพ่อค้า ควรถูกพิจารณาด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด... เพราะมาจากกลุ่มคนที่ผลประโยชน์ไม่เคยตรงกับประโยชน์สาธารณะ"
.
พ่อค้าจะบอกรัฐบาลว่า "ช่วยกันสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ" แต่จริงๆ แปลว่า "ช่วยกีดกันคู่แข่งของผมที"
.
.
26. Invisible Hand ประโยคที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์
.
ท่ามกลางการทุบ Mercantilism, Smith ทิ้งระเบิดความคิดที่จะดังไปอีก 300 ปี
.
"By pursuing his own interest he frequently promotes that of the society more effectually than when he really intends to promote it." (ด้วยการแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง เขามักส่งเสริมผลประโยชน์ของสังคมได้ดีกว่าตอนที่ตั้งใจจะส่งเสริมจริงๆ)
.
และ
.
"It is not from the benevolence of the butcher, the brewer, or the baker that we expect our dinner, but from their regard to their own interest." (เราไม่ได้หวังอาหารเย็นจากความใจดีของคนขายเนื้อ คนทำเบียร์ หรือคนทำขนมปัง แต่จากการที่พวกเขาคิดถึงประโยชน์ตัวเอง)
.
Invisible Hand ทำงานยังไง?
.
Smith อธิบายแบบเข้าใจง่าย: คนทำขนมปังไม่ได้ตื่นตี 4 เพราะรักคุณ แต่เพราะอยากขายขนมปังหาเงิน แต่ผลที่ตามมาคือ? คุณได้กินขนมปังอร่อยๆ ทุกเช้า
.
นี่แหละคือ "มือที่มองไม่เห็น" (Invisible Hand) ที่จัดการให้:
.
คนทำขนมปังได้เงิน
คุณได้ขนมปัง
สังคมมีอาหาร
ทุกคนมีความสุข
.
ไม่มีใครสั่ง ไม่มีแผนการใหญ่ ไม่มีกระทรวงขนมปัง แต่ขนมปังก็มีขายทุกวัน ในปริมาณที่พอดี ราคาที่เหมาะสม
.
.
27. แต่มันไม่ได้ใช้ได้ทุกกรณีนะ
.
แต่ Smith ไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่า Invisible Hand มีเงื่อนไขจำกัด
.
I. ต้องมีการแข่งขัน - ถ้าผูกขาด มือล่องหนก็พัง คนผูกขาดจะตั้งราคาแพง คุณภาพแย่ เอาเปรียบผู้บริโภค
.
II. ต้องมีกฎกติกา - ถ้าโกงกันได้ มือล่องหนก็แป๊ก คนขายของปลอม คนโกงตาชั่ง คนผิดสัญญา ระบบก็พัง
.
III. ต้องมีข้อมูล - ถ้าผู้ซื้อไม่รู้ว่าของดีหรือไม่ ก็ถูกหลอกได้ง่าย มือล่องหนทำงานได้ดีเมื่อทุกคนมีข้อมูลพอสมควร
.
IV. ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นสินค้า - บางอย่างไม่ควรปล่อยให้ตลาดจัดการ เช่น ความยุติธรรม ความปลอดภัย การศึกษาพื้นฐาน (Smith เองก็บอกแบบนี้ใน Book V)
.
แนวคิด Invisible Hand กลายเป็นรากฐานของระบบทุนนิยมและตลาดเสรี ฝ่ายขวายกย่องว่าเป็นหลักการสำคัญที่ทำให้โลกเจริญ ฝ่ายซ้ายวิจารณ์ว่า Smith อยู่ในยุคที่ธุรกิจเล็ก ไม่มีบรรษัทยักษ์ ไม่มีวิกฤตการเงินโลก มือล่องหนอาจล้าสมัยแล้ว
.
.
28. การค้าเสรีในมุมมองของ Smith
.
Smith ทุบแนวคิด Mercantilism ที่มองการค้าเป็นสงคราม โดยเสนอมุมมองใหม่: การค้าไม่ใช่เกมที่ต้องมีคนแพ้คนชนะ (zero-sum game) แต่ทุกฝ่ายชนะได้ (positive-sum game)!
.
เขายกตัวอย่างง่ายๆ จนเด็กก็เข้าใจ:
.
โปรตุเกสทำไวน์เก่ง (อากาศดี ดินดี องุ่นหวาน)
.
อังกฤษทำผ้าเก่ง (แกะเยอะ เทคโนโลยีดี ฝีมือเยี่ยม)
.
ถ้าทั้งสองประเทศดื้อทำทุกอย่างเอง = อังกฤษต้องปลูกองุ่นในเรือนกระจก ได้ไวน์แพงและห่วย, โปรตุเกสต้องเลี้ยงแกะในอากาศร้อน ได้ผ้าคุณภาพแย่
.
แต่ถ้าแต่ละประเทศทำสิ่งที่ถนัดแล้วแลกกัน = อังกฤษได้ไวน์ดีๆ ราคาถูก, โปรตุเกสได้ผ้าเนื้อดีราคาย่อมเยา = ทั้งคู่ WIN
.
Smith วิจารณ์การกีดกันสินค้านำเข้า ว่าโง่สุดๆ เหมือนบอกคนสก็อตแลนด์ว่า "ห้ามซื้อส้มจากสเปน ต้องปลูกเองในบ้าน!"
.
ผลคือ? คนสก็อตแลนด์ต้องสร้างเรือนกระจกขนาดใหญ่ ใช้ถ่านหินให้ความร้อนตลอดปี จ้างคนดูแลเป็นร้อย เพื่อได้ส้มห่วยๆ ราคาแพงกว่าส้มสเปน 100 เท่า
.
Smith เขียนตรงๆ ว่า: "ถ้าประเทศอื่นผลิตได้ถูกกว่า ก็ซื้อจากเขาด้วยสิ่งที่เราผลิตได้ดีกว่าซะ จะดื้อทำเองทำไม?" มันเหมือนหมอที่ผ่าตัดเก่งแต่ดันไปปลูกผักกินเอง ทั้งที่ใช้เวลาผ่าตัดไม่กี่ชั่วโมง ได้เงินพอซื้อผักทั้งชีวิต
.
.
29. รากฐานของ Free Trade Theory
.
แนวคิดของ Smith กลายเป็นรากฐานให้ David Ricardo พัฒนาต่อเป็น "Comparative Advantage" (ความได้เปรียบเปรียบเทียบ) ที่บอกว่า “แม้จะด้อยกว่าทุกด้าน ก็ยังได้ประโยชน์จากการค้า”
.
ตัวอย่างคลาสสิก ทนายความเทพอาจพิมพ์ดีดเร็วกว่าเลขา แต่ถ้าเขาใช้เวลา 1 ชั่วโมงพิมพ์เอง เขาเสียโอกาสทำงานทนายที่ได้ค่าแรงสูงกว่า ดังนั้นจ้างเลขาดีกว่า แม้เลขาพิมพ์ช้ากว่า
.
นี่คือความอัจฉริยะ ทุกคนมีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจโลก ไม่มีใครไร้ค่าจนไม่มีอะไรให้แลกเปลี่ยน
.
การค้าเสรี = สันติภาพ?
.
Smith มองการค้าเสรีไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องศีลธรรมและสันติภาพด้วย
.
เมื่อประเทศค้าขายกัน พึ่งพากัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน โอกาสที่จะทำสงครามกันน้อยลง คุณจะไปทิ้งระเบิดใส่โรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนให้บริษัทคุณหรือ? จะไปยิงลูกค้าที่ซื้อสินค้าคุณปีละพันล้านหรือ?
.
การค้าสร้างสายใยระหว่างประเทศ ทำให้คนต่างชาติต่างภาษาเข้าใจกัน เห็นว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นมนุษย์ที่อยากมีชีวิตที่ดี ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องทำลาย
.
นี่คือวิสัยทัศน์ของ Smith โลกที่ประเทศต่างๆ ร่วมมือกันผ่านการค้า แทนที่จะแย่งชิงกันผ่านสงคราม
.
.
30. วิจารณ์แนวคิด Physiocracy
.
หลังจากถล่ม Mercantilism จนไม่เหลือซาก Smith หันมาวิเคราะห์ Physiocracy ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังฮิตในฝรั่งเศส
.
Physiocrats นำโดย François Quesnay (หมอประจำพระองค์หลุยส์ที่ 15 ที่หันมาเล่นเศรษฐศาสตร์) เชื่อว่าเฉพาะเกษตรเท่านั้นที่สร้าง "ผลผลิตสุทธิ" (net product) ส่วนอื่นๆ แค่ "sterile" (เป็นหมัน)
.
Smith ให้เครดิตก่อนเลยว่า Physiocracy ดีกว่า Mercantilism มาก อย่างน้อยก็รู้ว่าความมั่งคั่งมาจากการผลิต ไม่ใช่กองเหรียญ
.
เขาเขียนแบบให้เกียรติว่า: "That system, with all its imperfections, is perhaps the nearest approximation to the truth that has yet been published upon the subject of political economy." (ระบบนั้น แม้มีข้อบกพร่อง แต่คงใกล้ความจริงที่สุดที่เคยมีใครเขียนเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมือง)
.
แต่มันแคบเกินไป!
.
Smith วิจารณ์ว่า Physiocracy จำกัดตัวเองมากไป การบอกว่าเฉพาะเกษตรเท่านั้นที่ผลิตของจริง ส่วนอื่นแค่เปลี่ยนรูป มันไม่ถูกต้อง
.
เขาโต้แย้งแบบใช้เหตุผล
.
"ช่างทำรองเท้าไม่ได้แค่ 'เปลี่ยนรูป' หนัง แต่เพิ่มมูลค่าด้วยฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ หนังวัว 100 บาท กลายเป็นรองเท้า 1,000 บาท ส่วนต่าง 900 บาท คือผลผลิตสุทธิที่ช่างสร้างขึ้น!"
.
"คนขนส่งไม่ได้แค่ 'ย้าย' ของจาก A ไป B แต่สร้างมูลค่าโดยทำให้ของไปอยู่ที่ที่ต้องการ ข้าวในนาชนบทราคาถูก แต่พอขนมาถึงกรุงเทพฯ ราคาแพงขึ้น ส่วนต่างคือมูลค่าที่การขนส่งสร้าง"
.
"ครูไม่ได้แค่ 'พูด' แต่สร้างความรู้และทักษะให้นักเรียน เด็กที่ไม่รู้หนังสือกลายเป็นคนมีการศึกษา นี่ไม่ใช่การผลิตหรือไง?"
.
“ทุกอาชีพสร้างความมั่งคั่ง”
.
Smith ยืนยันว่าทุกภาคส่วนสร้างความมั่งคั่ง ไม่ว่าเกษตร อุตสาหกรรม บริการ ตราบใดที่ตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์
.
การจำกัดว่าเฉพาะเกษตรเท่านั้นที่ "ผลิต" เหมือนบอกว่าเฉพาะแม่เท่านั้นที่ "เลี้ยงลูก" ส่วนพ่อ ครู หมอ แค่ "ช่วย" จริงหรือ? ทุกคนมีส่วนสำคัญในการเลี้ยงเด็กให้เติบโต เศรษฐกิจก็เช่นกัน
.
การวิจารณ์ Physiocracy ของ Smith เปิดทางให้เศรษฐศาสตร์มองภาพรวม ไม่ยกย่องภาคใดภาคหนึ่งเป็นพิเศษ นี่ทำให้การวิเคราะห์ครอบคลุมและเป็นธรรมมากขึ้น
.
.
31. Book V รัฐต้องทำอะไรบ้าง? (สปอยล์… ไม่ใช่หายไป)
.
หลังจากใช้เวลา 4 Book แรกสรรเสริญตลาดเสรี ยกย่อง invisible hand ถล่ม mercantilism และ physiocracy จนราบ หลายคนคงคิดว่า Book 5 จะเป็นการตะโกนว่า "รัฐบาลออกไปให้พ้น! ปล่อยให้ตลาดจัดการทุกอย่าง!"
.
แต่ผิดถนัด! Smith ใช้ Book V ทั้งเล่ม เพื่ออธิบายว่ารัฐมีบทบาทสำคัญที่ตลาดทำไม่ได้
.
Smith ระบุ "3 หน้าที่" ของรัฐ
.
"The sovereign has only three duties... first, protecting the society from violence and invasion... secondly, protecting every member from injustice or oppression... thirdly, erecting and maintaining certain public works."
.
แปลเป็นภาษาคน: รัฐมีหน้าที่แค่ 3 อย่าง แต่ทั้ง 3 อย่างสำคัญมาก: ( 1 ) ป้องกันประเทศจากศัตรูภายนอก ( 2 ) ปกป้องประชาชนจากการเอารัดเอาเปรียบกันเอง ( 3 ) สร้างและดูแลสิ่งสาธารณะที่เอกชนไม่คุ้มทำแต่สังคมต้องการ
.
ฟังดูแค่ 3 ข้อ แต่พอ Smith อธิบายละเอียด กลายเป็นภารกิจมหาศาลที่ครอบคลุมตั้งแต่กองทัพ ตำรวจ ศาล ไปจนถึงถนน สะพาน โรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย
.
.
หน้าที่แรก: ป้องกันประเทศ
.
Smith เริ่มจากหน้าที่ที่ชัดเจนที่สุด “การป้องกันประเทศ” เขาบอกตรงๆ ว่าไม่ว่าสังคมจะมั่งคั่งแค่ไหน มีตลาดเสรีแค่ไหน ถ้าไม่มีความปลอดภัยจากการรุกราน ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
.
"ความมั่งคั่งเป็นเหยื่อล่อใจให้ถูกรุกราน" Smith เขียน ประเทศรวยที่ไม่มีกองทัพแข็งแกร่งเหมือนแกะอ้วนพีในฝูงหมาป่า ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกิน
.
แต่ที่น่าสนใจคือ Smith วิเคราะห์วิวัฒนาการของการป้องกันประเทศตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงสมัยของเขา (ศตวรรษที่ 18) และเขาสังเกตว่ายิ่งสังคมเจริญ การป้องกันประเทศยิ่งซับซ้อนและแพง
.
ในสมัยโบราณ สังคมล่าสัตว์หรือเลี้ยงสัตว์ ทุกผู้ชายเป็นนักรบ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายพิเศษ พอมีศึกตะโกน ทุกคนคว้าหอกดาบออกไปรบ จบศึกก็กลับมาล่าสัตว์ต่อ
.
พอมาถึงยุคเกษตร เริ่มยุ่งยากหน่อย ชาวนาต้องทิ้งไร่นาไปรบ แต่สงครามสมัยนั้นสั้นๆ รบกันหน้าร้อนตอนว่างจากการเก็บเกี่ยว พอหน้าฝนก็กลับมาทำนา ยังพอไหว
.
แต่ยิ่งสังคมพัฒนา การสงครามยิ่งซับซ้อน อาวุธแพงขึ้น ต้องฝึกทหารนานขึ้น สงครามยืดเยื้อข้ามปี ถึงจุดหนึ่ง สังคมไม่สามารถพึ่งพา "ทหารพาร์ทไทม์" ได้อีกต่อไป ต้องมีกองทัพประจำการ
.
Smith ยกตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ กองทัพโรมันเปลี่ยนจากพลเมืองถือหอกเป็นทหารมืออาชีพ กองทัพกรีกจากฟาแลงซ์ชาวบ้านเป็นทหารรับจ้าง เพราะอะไร? เพราะชาวบ้านที่ฝึกรบปีละเดือนสู้ทหารที่ฝึกทุกวันไม่ได้
.
แต่ Smith ก็เตือนถึงอันตรายของกองทัพใหญ่เกินไป:
.
"Standing armies เป็นภาระอันหนักของประชาชาติ ทั้งในยามสงครามและยามสันติ" เขาเขียน กองทัพกินภาษีมหาศาล คนหนุ่มที่ควรไปผลิตของ กลายเป็นทหารที่ไม่ผลิตอะไร ที่แย่กว่านั้น กองทัพที่แข็งแกร่งเกินไปอาจกลายเป็นภัยต่อเสรีภาพ
.
.
หน้าที่ที่สอง: ความยุติธรรม – หัวใจของสังคมศิวิไลซ์
.
หน้าที่ที่สองที่ Smith ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือการสร้างระบบยุติธรรม เขาเขียนว่า
.
"Where there is no property, or at least none that exceeds the value of two or three days' labour, civil government is not so necessary." (ที่ไหนไม่มีทรัพย์สิน หรือมีแต่ไม่เกินค่าแรง 2-3 วัน รัฐบาลไม่จำเป็นนัก)
.
แต่พอสังคมพัฒนา มีการสะสมทรัพย์สิน มีการค้าขาย มีสัญญา มีหนี้สิน ความจำเป็นของระบบยุติธรรมก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
.
Smith วิเคราะห์วิวัฒนาการของกฎหมายตั้งแต่สังคมดั้งเดิมที่หัวหน้าเผ่าตัดสินคดีเอง มาจนถึงระบบศาลที่ซับซ้อนในสมัยของเขา เขาสังเกตว่ายิ่งสังคมซับซ้อน กฎหมายยิ่งซับซ้อนตาม
.
"ความไม่เท่าเทียมของทรัพย์สิน... จำเป็นต้องนำมาซึ่งการบริหารความยุติธรรม" เขาเขียน คนรวยต้องการปกป้องทรัพย์สิน คนจนต้องการความเป็นธรรม ทั้งสองต้องการกฎกติกาที่ชัดเจน
.
แต่ที่สำคัญกว่านั้น Smith เห็นว่าระบบยุติธรรมที่ดีเป็นรากฐานของความเจริญทางเศรษฐกิจ:
.
สัญญามีผลบังคับ - ถ้าไม่มีศาลบังคับสัญญา ใครจะกล้าทำธุรกิจระยะยาว?
.
ทรัพย์สินได้รับการคุ้มครอง - ถ้าใครก็มาแย่งได้ ใครจะอยากสะสมหรือลงทุน?
.
การค้ามีกติกา - ถ้าโกงกันได้ไม่มีที่ร้องเรียน การค้าจะพัฒนาได้อย่างไร?
.
.
หน้าที่ที่สาม: งานสาธารณะ
.
หน้าที่ที่สามนี้แหละที่แสดงให้เห็นว่า Smith ไม่ใช่ "ตลาดเสรีหัวชนฝา" อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด เขายอมรับว่ามีงานบางอย่างที่จำเป็นต่อสังคมแต่ตลาดทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดี
.
Smith แบ่งงานสาธารณะเป็น 2 ประเภทใหญ่
.
I. งานสาธารณะที่อำนวยความสะดวกทางการค้า
.
นี่คือโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียน Smith ยกตัวอย่างมากมาย:
.
"ถนนดี คลอง และแม่น้ำที่เดินเรือได้ โดยการลดค่าขนส่ง ทำให้ชนบทห่างไกลมีโอกาสใกล้เคียงกับชานเมือง"
.
Smith อธิบายว่าถนนดีๆ สักเส้นอาจเปลี่ยนชีวิตทั้งหมู่บ้าน ชาวนาที่เคยขายผลผลิตไม่ออกเพราะขนส่งลำบาก พอมีถนนก็ขนของไปขายในเมืองได้ ได้ราคาดี มีกำลังซื้อของจากเมือง วงจรเศรษฐกิจหมุน ทุกคนได้ประโยชน์
.
แต่ทำไมเอกชนไม่สร้างถนน? Smith อธิบาย "แม้การสร้างและดูแลถนนหลวงไม่ควรให้เอกชนรับผิดชอบ แต่การซ่อมแซมอาจใช้เงินจากค่าผ่านทาง"
.
ปัญหาคือการลงทุนสร้างถนนใช้เงินมหาศาล แต่การเก็บค่าผ่านทางทำได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ถนนให้ประโยชน์จน "ล้น" (spillover effects) ที่เอกชนเก็บเป็นกำไรไม่ได้
.
Smith ยังพูดถึงสะพาน ท่าเรือ คลอง ประภาคาร ว่าล้วนมีปัญหาคล้ายกัน “จำเป็นต่อการค้า แต่เอกชนลงทุนไม่คุ้ม รัฐจึงต้องทำ”
.
II. งานสาธารณะเพื่อการศึกษา
.
Smith วิเคราะห์ผลเสียของการแบ่งงานที่เขาเคยยกย่องใน Book I
.
“คนที่ใช้ชีวิตทั้งหมดทำงานง่ายๆ ไม่กี่อย่าง... ไม่มีโอกาสใช้ความเข้าใจหรือความคิดสร้างสรรค์... เขาจึงสูญเสียนิสัยการใช้ความคิด และมักกลายเป็นคนโง่เขลาเท่าที่มนุษย์จะเป็นได้”
.
คนงานที่ทำงานซ้ำๆ วันละ 12 ชั่วโมง ไม่มีเวลาคิด ไม่มีโอกาสเรียนรู้ ค่อยๆ กลายเป็นเครื่องจักรที่มีชีวิต Smith เห็นว่านี่ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของปัจเจก แต่เป็นภัยต่อสังคม
.
“ในประเทศเสรี ที่ความปลอดภัยของรัฐบาลขึ้นอยู่กับการตัดสินของประชาชน ย่อมสำคัญที่สุดที่ประชาชนจะไม่ตัดสินอย่างหุนหันพลันแล่น”
.
ประชาชนที่ไร้การศึกษาจะหลงเชื่อคำโกหก ถูกยุยงง่าย ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ประชาธิปไตยจึงล้มเหลว
.
Smith จึงเสนอให้รัฐจัดการศึกษาพื้นฐานให้ทุกคน
.
“ด้วยค่าใช้จ่ายเล็กน้อย รัฐสามารถอำนวยความสะดวก สนับสนุน และแม้แต่บังคับให้ประชาชนเกือบทั้งหมดได้รับการศึกษาในส่วนที่จำเป็นที่สุด”
.
เขาเสนอให้ตั้งโรงเรียนประจำตำบล (parish school) ให้เด็กทุกคนเรียนได้ แม้จะเก็บค่าเรียนบ้าง แต่ต้องถูกพอให้คนจนจ่ายได้ หรือรัฐอุดหนุนให้เด็กจนจริงๆ
.
ที่น่าสนใจคือ Smith เสนอให้ครูได้รับค่าตอบแทนส่วนหนึ่งจากนักเรียนโดยตรง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สอนดี
.
Smith วิจารณ์มหาวิทยาลัยในสมัยนั้น (ทั้งที่ตัวเองเป็นอาจารย์!) โดยเฉพาะ Oxford และ Cambridge ที่อาจารย์ได้เงินเดือนประจำไม่ว่าจะสอนดีหรือไม่
.
"In the university of Oxford, the greater part of the public professors have, for these many years, given up altogether even the pretence of teaching." (ในมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด อาจารย์ส่วนใหญ่เลิกแม้แต่การแสร้งทำเป็นสอนมาหลายปีแล้ว) การที่นักศึกษาจ่ายค่าเรียนแพงแต่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ระบบนี้เอาเปรียบทั้งนักศึกษาและสังคม
.
.

32. การจัดเก็บภาษี

หลังจากอธิบายหน้าที่ของรัฐ Smith ก็ต้องตอบคำถามสำคัญ: แล้วรัฐจะเอาเงินมาจากไหน?

เขาใช้พื้นที่เกือบครึ่งเล่มของ Book V พูดเรื่องภาษี ซึ่งอาจฟังดูน่าเบื่อ แต่ Smith ทำให้มันน่าสนใจด้วยการวิเคราะห์แบบรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และจิตวิทยา

Smith เริ่มด้วยหลักการพื้นฐาน:

"The subjects of every state ought to contribute towards the support of the government, as nearly as possible, in proportion to their respective abilities; that is, in proportion to the revenue which they respectively enjoy under the protection of the state."

(ประชาชนทุกคนควรสนับสนุนรัฐบาลตามสัดส่วนความสามารถ คือตามสัดส่วนรายได้ที่พวกเขาได้รับภายใต้การคุ้มครองของรัฐ)

นี่คือที่มาของหลัก "ability to pay" (ความสามารถในการจ่าย) ที่ใช้ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน คนรวยควรจ่ายมากกว่าคนจน ไม่ใช่เพื่อ "ลงโทษ" ความรวย แต่เพราะ

คนรวยได้ประโยชน์จากรัฐมากกว่า (ถนนขนสินค้า ตำรวจปกป้องทรัพย์สิน ศาลบังคับสัญญา)

คนรวยจ่ายภาษี 10% กระทบชีวิตน้อยกว่าคนจนจ่าย 10%

หลักการภาษีที่ดี 4 ประการ

1. ความเป็นธรรม (Equity) ภาษีต้องเก็บตามความสามารถในการจ่าย ไม่ใช่เก็บจากคนง่ายๆ อย่างคนจนเพราะหนีไม่พ้น หรือเก็บจากคนรวยน้อยเพราะมีอำนาจต่อรอง

2. ความแน่นอน (Certainty)
ผู้เสียภาษีต้องรู้ชัดเจนว่าต้องจ่ายเท่าไร เมื่อไร อย่างไร Smith เกลียดระบบที่เจ้าหน้าที่มีอำนาจตัดสินใจเอง เพราะเปิดช่องให้คอร์รัปชันและสร้างความไม่แน่นอนให้ธุรกิจ

"The uncertainty of taxation encourages the insolence and favours the corruption of an order of men who are naturally unpopular." (ความไม่แน่นอนของภาษีส่งเสริมความเย่อหยิ่งและการทุจริตของกลุ่มคนที่ไม่เป็นที่นิยมอยู่แล้ว)

3. ความสะดวก (Convenience) ภาษีต้องจัดเก็บในเวลาและวิธีที่สะดวกต่อผู้เสียภาษี อย่าเก็บภาษีพืชผลตอนชาวนายังไม่เก็บเกี่ยว อย่าให้คนต้องเดินทางไกลไปจ่ายภาษี

4. ประสิทธิภาพ (Economy) ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บต้องต่ำที่สุด Smith ยกตัวอย่างภาษีบางประเภทที่เก็บได้ 100 แต่ต้องจ้างเจ้าหน้าที่มากมาย สุดท้ายเหลือเข้าคลังแค่ 20-30

"Every tax ought to be so contrived as both to take out and to keep out of the pockets of the people as little as possible over and above what it brings into the public treasury." (ทุกภาษีควรออกแบบให้ดึงเงินจากกระเป๋าประชาชนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับที่นำเข้าคลัง)

วิเคราะห์ภาษีแต่ละประเภท

Smith ใช้หลักการ 4 ข้อวิเคราะห์ภาษีแต่ละประเภทอย่างละเอียด

ภาษีที่ดิน Smith ค่อนข้างชอบภาษีที่ดินเพราะ:

ที่ดินหนีไม่ได้ ย้ายไปต่างประเทศไม่ได้

มูลค่าที่ดินมักขึ้นเพราะการพัฒนาของสังคม ไม่ใช่ความพยายามของเจ้าของ

จัดเก็บง่าย มีหลักฐานชัดเจน

แต่ก็มีปัญหา เช่น การประเมินราคาที่ดินอาจไม่ยุติธรรม ที่ดินทำเลดีถูกประเมินต่ำ ที่ดินชนบทถูกประเมินสูง

ภาษีกำไร Smith เห็นว่าเก็บยากเพราะ

กำไรซ่อนง่าย ต่างจากที่ดินที่เห็นชัดๆ

ทุนเคลื่อนย้ายได้ ถ้าภาษีสูงเกินไปอาจย้ายไปประเทศอื่น

การตรวจสอบละเมิดความเป็นส่วนตัว

ภาษีค่าแรง Smith ไม่ชอบเพราะ

กระทบคนจนโดยตรง

ทำให้ค่าแรงต้องสูงขึ้นเพื่อชดเชย สุดท้ายนายจ้างแบกภาระ

ยากต่อการจัดเก็บจากแรงงานนอกระบบ

ภาษีการบริโภค Smith แบ่งเป็น 2 ประเภท

ภาษีสินค้าจำเป็น (necessaries) - ไม่ดีเพราะกระทบคนจน

ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย (luxuries) - ดีเพราะคนเลือกจ่ายเอง

เขาชอบภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเพราะ: "Taxes upon luxury are paid by the consumer, and usually in a manner that is very convenient for him. He pays them little by little, as he has occasion to buy the goods." (ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจ่ายโดยผู้บริโภคในลักษณะที่สะดวก จ่ายทีละน้อยตอนซื้อของ)

ภาษีศุลกากร

Smith เกลียดภาษีศุลกากรที่สุด! เขาโจมตีอย่างหนัก

"The customs are... much more expensive in their collection than the excise." (ศุลกากรเก็บแพงกว่าสรรพสามิตมาก)

ปัญหาของภาษีศุลกากร

สร้างแรงจูงใจให้ลักลอบ กลายเป็นอาชญากรรม

ต้องจ้างเจ้าหน้าที่มากมายเฝ้าชายแดน

เปิดช่องให้คอร์รัปชันมหาศาล

บิดเบือนการค้า ทำให้ของแพงโดยไม่จำเป็น

หนี้สาธารณะ: ดาบสองคม

ในตอนท้ายของ Book V Smith พูดถึงหนี้สาธารณะ (public debt) ซึ่งในสมัยนั้นกำลังเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในอังกฤษที่มีหนี้มหาศาลจากสงครามต่อเนื่อง

Smith เริ่มจากประวัติศาสตร์ ในสมัยโบราณ รัฐมักสะสมทรัพย์สมบัติในยามสงบเพื่อใช้ยามสงคราม แต่รัฐสมัยใหม่ทำตรงข้าม ใช้จ่ายหมดในยามสงบ พอสงครามก็ต้องกู้

"The progress of the enormous debts which at present oppress, and will in the long-run probably ruin, all the great nations of Europe, has been pretty uniform." (ความก้าวหน้าของหนี้มหาศาลที่กดดันและอาจทำลายชาติใหญ่ทั้งหมดในยุโรปมีรูปแบบคล้ายกัน)

รัฐในอุดมคติของ Smith

แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องประชาชน

ยุติธรรมพอที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม

ฉลาดพอที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา

ระมัดระวังพอที่จะไม่สร้างหนี้มากเกินไป

ซื่อสัตย์พอที่จะเก็บภาษีอย่างโปร่งใส


===========================
.
และแล้วก็ถึงบทสรุปของ The Wealth of Nations ตำราที่ทรงอิทธิพลพอจะเปลี่ยนโลกเศรษฐกิจไปตลอดกาล เราเรียนรู้เรื่องการแบ่งงานกันทำ มือล่องหน มูลค่าแรงงาน และบทบาทของรัฐกับตลาด…จนบางทีคุณอาจรู้สึกว่าตัวเองพร้อมจะเปิดโรงงานทอผ้า ขยายการค้าเมล็ดข้าวโพด หรืออย่างน้อยก็ไปเสวนาบิตคอยน์แล้วอ้างชื่อ Adam Smith ให้ดูเท่
.
แต่ความจริงที่ชวนอมยิ้มคือ Adam Smith เองไม่เคยทำธุรกิจ ไม่เคยลงทุน ไม่เคยผูกขาดหมุดใด ๆ เขาเป็นอาจารย์ที่อยู่กับแม่ เงินเดือนกลาง ๆ ใช้ชีวิตเรียบง่าย และเดินเหม่อจนเกือบโดนรถม้าเหยียบไปหลายครั้ง และแล้วโลกทั้งโลกก็ได้ “คู่มือทุนนิยม” จากคนที่ไม่เคยเล่นเกมทุนนิยมจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย
.
บางทีนี่อาจเป็นมุกใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ครับ บิดาแห่งทุนนิยม ที่ไม่เคยลงทุนเอง แต่ทำให้โลกลงทุนตามเขามาสองศตวรรษ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Next
Next

สรุปหนังสือ The Changing World Order เขียนโดย Ray Dalio : ทุกจักรวรรดิทะยานฟ้า เพื่อถึงเวลาล่มสลาย