สรุปหนังสือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters โดย Brian Klaas

คนเรามักคิดว่าชีวิตคือเรื่องของการวางแผน การลงมือ และความพยายาม
.
...จนกระทั่งลื่นล้มในห้องน้ำตอนจะไปสัมภาษณ์งานที่ฝันไว้ทั้งชีวิต แล้วไปจบที่ห้องฉุกเฉินแทนบริษัท
.
หนังสือ Fluke ของ Brian Klaas จะไม่มาบอกคุณให้ “ยอมรับโชคชะตา” แต่มันจะมานั่งข้าง ๆ คุณ แล้วถามว่า
.
“ระหว่างที่คุณพลาดงานในฝัน เพราะรองเท้าลื่น … คุณเคยคิดมั้ยว่า นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้คุณไม่กลายเป็นหัวหน้าที่ถูกฟ้องในอีกหกเดือนข้างหน้า?”
.
มันเป็นหนังสือที่บอกว่า… โลกไม่มีแผน, ชีวิตไม่มีสคริปต์ และความสำเร็จอาจเกิดขึ้นเพราะคุณเดินชนประตูผิดบาน
.
แต่ก่อนที่คุณจะรีบปิดหนังสือเพราะคิดว่านี่คือหนังสือปรัชญาเชิงลบอีกเล่ม ขอให้รอก่อน
.
Klaas ไม่ได้บอกว่าชีวิตไร้ความหมาย ตรงกันข้าม เขากำลังชี้ให้เห็นว่าในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความโกลาหล และความบังเอิญ ทุกการกระทำของเรากลับมีความหมายมากกว่าที่เราเคยจินตนาการ
.
.
=================================
.
1. ทฤษฎีปีกผีเสื้อในชีวิตจริง
.
Klaas เริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่อาจฟังดูเหมือนหนังฮอลลีวูด แต่เกิดขึ้นจริง: Ivan ชายที่กำลังจะจมน้ำตายในทะเล กำลังหมดแรง หมดหวัง และคิดว่าชีวิตกำลังจะจบลง แต่แล้วลูกฟุตบอลลูกหนึ่งก็ลอยมาพอดี เขาเกาะมันไว้และรอดชีวิต
.
ที่น่าทึ่งคือ ลูกบอลนั้นถูกเด็กคนหนึ่งเตะลงทะเลเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า เด็กคนนั้นไม่มีทางรู้เลยว่าการเตะบอลเล่นๆ ของเขาจะกลายเป็นการช่วยชีวิตคนที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันไมล์
.
นี่คือสิ่งที่ Klaas เรียกว่า "ความเชื่อมโยงที่มองไม่เห็น" ของชีวิต เราทุกคนต่างคิดว่าเราเป็นตัวเอกในหนังชีวิตของตัวเอง ควบคุมบทบาทและเขียนบทเอง แต่ความจริงคือ เราเป็นทั้งตัวเอกและตัวประกอบในชีวิตของคนอื่นๆ นับไม่ถ้วน โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
.
.
2. ทฤษฎีความโกลาหล
.
ในอดีต Pierre-Simon Laplace นักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศสเคยเสนอแนวคิดเรื่อง "ปีศาจของลาปลาส" (Laplace's Demon) - สิ่งมีชีวิตสมมติที่หากรู้ตำแหน่งและความเร็วของทุกอนุภาคในจักรวาล ก็จะสามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ นี่คือแนวคิดที่ว่าจักรวาลเป็นเหมือนนาฬิกาขนาดยักษ์ที่ทำงานอย่างแม่นยำและคาดเดาได้
.
แต่แล้ว Edward Norton Lorenz นักอุตุนิยมวิทยาก็มาพลิกโลกทัศน์นี้คว่ำ ในปี 1961 ขณะที่เขากำลังรันโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อพยากรณ์อากาศ เขาใส่ค่าตัวเลข 0.506 แทนที่จะเป็น 0.506127 คิดว่าตัวเลขหลังจุดทศนิยมตำแหน่งที่ 4-6 คงไม่สำคัญ
.
ผลที่ได้? การพยากรณ์อากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากอากาศแจ่มใสกลายเป็นพายุ
.
นี่คือที่มาของ "ปรากฏการณ์ปีกผีเสื้อ" (Butterfly Effect) - แนวคิดที่ว่าผีเสื้อกระพือปีกในบราซิลอาจก่อให้เกิดพายุทอร์นาโดในเท็กซัสได้ ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่นี่คือความจริงของระบบที่ซับซ้อน: การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ สามารถขยายผลจนกลายเป็นความแตกต่างมหาศาลได้
.
.
3. ลัทธิปัจเจกนิยม
.
Klaas วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดปัจเจกนิยม (individualism) ที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเผ็ดร้อน เขาชี้ให้เห็นว่าความเชื่อที่ว่า "ฉันเป็นนายของชะตาชีวิตตัวเอง" หรือ "ความสำเร็จของฉันมาจากความสามารถของฉันเอง" เป็นภาพลวงตาที่อันตราย
.
ตัวอย่างที่ Klaas ยกมาน่าคิด: คุณอาจคิดว่าคุณประสบความสำเร็จเพราะคุณเก่ง ขยัน และฉลาด แต่ลองคิดดู:
.
คุณเกิดในประเทศที่มีระบบการศึกษาดี (โชคดีแล้ว)
พ่อแม่คุณไม่ได้ป่วยหนักตอนคุณเป็นเด็ก (โชคดีอีก)
คุณไม่ได้เกิดในช่วงสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง (โชคดีมาก)
อาจารย์คนหนึ่งเห็นความสามารถในตัวคุณและให้กำลังใจ (ใครจะรู้ว่าถ้าไม่มีเขา/เธอ ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร?)
.
Klaas ไม่ได้บอกว่าความพยายามไม่สำคัญ แต่เขาต้องการให้เราตระหนักว่าความสำเร็จและความล้มเหลวเป็นผลจากปัจจัยนับไม่ถ้วนที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ไม่ใช่แค่ความสามารถส่วนบุคคล
.
.
4. ปรัชญาตะวันออก vs ตะวันตก: เมื่อ "ตัวตน" ไม่ได้แยกจาก "สิ่งแวดล้อม"
.
Klaas ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่น่าสนใจระหว่างมุมมองตะวันออกและตะวันตก:
.
ตะวันตก: มองว่าบุคคลเป็นหน่วยอิสระ แยกจากสิ่งแวดล้อม เหมือนลูกบิลเลียดที่ชนกันแล้วแยกจากกัน
.
ตะวันออก: มองว่าบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายความสัมพันธ์ที่ใหญ่กว่า เหมือนคลื่นในมหาสมุทร - แยกออกมาดูเหมือนเป็นคลื่นเดี่ยวๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของน้ำทั้งหมด
.
นักปรัชญาอย่าง Derek Parfit แนะนำว่าการยอมรับมุมมองแบบเชื่อมโยงนี้จะทำให้เรามีชีวิตที่เป็นอิสระและสมบูรณ์มากขึ้น เพราะเราจะเลิกยึดติดกับอัตตาที่แข็งทื่อและเริ่มเห็นว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า
.
.
5. การกลายพันธุ์ของกุ้ง การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และคุณ – เรื่องราวของความบังเอิญในวิวัฒนาการ
.
ถ้าคุณคิดว่าการที่คุณเกิดมาเป็นเรื่องธรรมดา Klaas จะทำให้คุณต้องคิดใหม่ เขาเริ่มจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 พันล้านปีก่อน เมื่อแบคทีเรียตัวหนึ่งบังเอิญเข้าไปอยู่ในเซลล์โพรคาริโอต และแทนที่จะถูกย่อย กลับอยู่ร่วมกันจนกลายเป็นไมโตคอนเดรีย - โรงไฟฟ้าของเซลล์
.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์โลก ครั้งเดียว! ถ้ามันไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ไม่มีพืช ไม่มีสัตว์ และแน่นอน ไม่มีคุณ
.
เรื่องราวของกุ้งหินอ่อน (marmorkrebs) เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของความบังเอิญที่ส่งผลกระทบมหาศาล ทุกอย่างเริ่มจากร้านขายสัตว์เลี้ยงเล็กๆ ในเยอรมนี กุ้งตัวเมียตัวหนึ่งเกิดการกลายพันธุ์แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน – มันสามารถสืบพันธุ์ได้เองโดยไม่ต้องมีตัวผู้
.
ผลที่ตามมา? กุ้งชนิดนี้แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสายพันธุ์รุกรานในมาดากัสการ์ แต่ที่น่าประหลาดใจคือ แทนที่จะเป็นหายนะ กลับกลายเป็นพรสำหรับประชากรท้องถิ่น กุ้งเหล่านี้กลายเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูกสำหรับคนจำนวนมาก ช่วยแก้ปัญหาความหิวโหยและทุพโภชนาการ
.
Klaas ใช้เรื่องนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า:
.
1. การกลายพันธุ์แบบสุ่มสามารถมีผลกระทบมหาศาล
2. สิ่งที่ดูเหมือนเป็น "ความผิดพลาด" อาจกลายเป็น "โอกาส"
3. เราไม่สามารถทำนายผลกระทบระยะยาวของเหตุการณ์ใดๆ ได้อย่างแม่นยำ
.
"ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมีเหตุผล" - ประโยคปลอบใจที่อาจทำร้ายมากกว่าช่วย
.
Klaas วิเคราะห์วลียอดนิยมนี้อย่างลึกซึ้ง เขาชี้ให้เห็นว่าแม้วลีนี้อาจให้ความสบายใจในยามทุกข์ แต่ก็มีด้านมืด:
.
มันทำให้คนที่ประสบเคราะห์กรรมรู้สึกว่าพวกเขา "สมควร" ได้รับสิ่งเลวร้าย
มันทำให้คนที่ประสบความสำเร็จคิดว่าพวกเขา "สมควร" ได้รับมากกว่าคนอื่น
มันปิดกั้นความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจในความซับซ้อนของชีวิต
.
แทนที่จะยึดติดกับความเชื่อนี้ Klaas แนะนำให้เรายอมรับว่าหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลที่ลึกซึ้ง และนั่นไม่ได้ทำให้ชีวิตไร้ความหมาย ตรงกันข้าม มันทำให้เราตระหนักถึงความมหัศจรรย์ของการมีชีวิตอยู่
.
.
6. การทดลองวิวัฒนาการระยะยาว: เมื่อ E. coli สอนเราเรื่องชีวิต
.
Richard Lenski นักชีววิทยา เริ่มการทดลองที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ เขาเลี้ยงแบคทีเรีย E. coli 12 สายพันธุ์ที่เหมือนกันทุกประการ ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันทุกประการ
.
ผลลัพธ์? หลังจากหลายหมื่นชั่วรุ่น แบคทีเรียแต่ละสายพันธุ์วิวัฒนาการไปคนละทาง บางสายพันธุ์พัฒนาความสามารถในการกินสารอาหารชนิดใหม่ที่ E. coli ปกติกินไม่ได้ บางสายพันธุ์เติบโตเร็วขึ้น บางสายพันธุ์เปลี่ยนขนาดและรูปร่าง
.
การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า:
.
แม้จะเริ่มต้นเหมือนกันและอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ผลลัพธ์ก็ยังแตกต่างกันได้
ความบังเอิญและการกลายพันธุ์แบบสุ่มมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของวิวัฒนาการ
ถ้าเราย้อนเวลากลับไปและปล่อยให้วิวัฒนาการเกิดขึ้นใหม่ ผลลัพธ์อาจแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
.
.
7. ทำไมเราจึงเห็นรูปแบบที่ไม่มีอยู่จริง
.
Klaas เปรียบเทียบมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตสองแบบในจินตนาการ:
.
"สิ่งมีชีวิตแห่งความจริง" (Truth Creature): เห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น ทุกอะตอม ทุกคลื่นแสง ทุกรายละเอียด ผลลัพธ์: ตายภายใน 5 นาที เพราะสมองโอเวอร์โหลดจากข้อมูลมากเกินไป
.
"สิ่งมีชีวิตแห่งทางลัด" (Shortcut Creature): เห็นเฉพาะสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่รอด ตัดข้อมูลที่ไม่สำคัญออก สร้างแบบรูปง่ายๆ ผลลัพธ์: อยู่รอดและสืบพันธุ์ได้
.
เราคือ Shortcut Creature ที่ประสบความสำเร็จ
.
.
8. Fitness Beats Truth
.
Donald Hoffman นักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้ เสนอทฤษฎีที่ท้าทาย: สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ความจริง แต่เป็น "ภาพจำลอง" (manifest image) ที่สมองสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เราอยู่รอด
.
เปรียบเหมือนหน้าจอคอมพิวเตอร์ - สิ่งที่คุณเห็นคือไอคอนและหน้าต่างสีสันสดใส แต่ความจริงคือมันเป็นแค่การแสดงผลของโค้ด 0 และ 1 นับล้านตัว คุณไม่จำเป็นต้องเห็นโค้ดเหล่านั้นเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ การเห็นแค่ไอคอนก็เพียงพอและมีประสิทธิภาพมากกว่า
.
สมองของเราผ่านกระบวนการที่เรียกว่า synaptic pruning - การตัดการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทที่ไม่ได้ใช้ออก เหมือนการลบแอพที่ไม่ได้ใช้ออกจากมือถือเพื่อให้มีพื้นที่และทำงานเร็วขึ้น
.
กระบวนการนี้ทำให้สมองของเรามีประสิทธิภาพ แต่ก็ทำให้เรา "ตาบอด" ต่อหลายสิ่งหลายอย่าง:
.
เราไม่เห็นรังสีอัลตราไวโอเลตเหมือนผึ้ง
เราไม่ได้ยินเสียงความถี่สูงเหมือนสุนัข
เราไม่รับรู้สนามแม่เหล็กเหมือนนกอพยพ
.
Klaas อธิบายอคติทางความคิดหลายแบบที่ทำให้เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับโลก:
.
1. Teleological Bias (อคติทางจุดมุ่งหมาย) เราชอบคิดว่าทุกอย่างมีจุดประสงค์ เช่น "ฝนตกเพื่อให้ต้นไม้เติบโต" แต่ความจริงคือฝนตกเพราะกระบวนการทางฟิสิกส์ ต้นไม้แค่ปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากฝน
.
2. Confirmation Bias (อคติการยืนยัน) เราสังเกตและจดจำเฉพาะสิ่งที่สนับสนุนความเชื่อของเรา คนที่เชื่อเรื่องดวงจะจำแต่ครั้งที่ดูดวงแล้วแม่น แต่ลืมครั้งที่ผิดไปหมด
.
3. Pattern Recognition Gone Wild (การมองเห็นแบบรูปมากเกินไป) สมองเราถูกโปรแกรมให้หารูปแบบ ซึ่งดีเมื่อต้องหาผลไม้ในป่าหรือหนีสัตว์ร้าย แต่ในโลกสมัยใหม่ มันทำให้เราเห็น:
.
ใบหน้าพระเยซูบนขนมปังปิ้ง
ทฤษฎีสมคบคิดในเหตุการณ์บังเอิญ
ความหมายลึกซึ้งในความบังเอิญธรรมดา
.
.
9. กับดักวิวัฒนาการ
.
Klaas ยกตัวอย่างที่น่าเศร้าของเต่าทะเลที่ฟักออกมาแล้ววิ่งไปหาแสงไฟของเมืองแทนที่จะวิ่งลงทะเล เพราะวิวัฒนาการสอนให้พวกมันวิ่งไปหา "แสงสว่าง" ซึ่งในอดีตคือแสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ แต่ในโลกสมัยใหม่ แสงสว่างกลับมาจากถนนและตึก
.
หรือด้วงอัญมณีในออสเตรเลียที่พยายามผสมพันธุ์กับขวดเบียร์ เพราะขวดมีลักษณะมันวาวและสีน้ำตาลคล้ายด้วงตัวเมีย แต่ใหญ่กว่ามาก ด้วงตัวผู้จึงคิดว่าเจอ "ด้วงตัวเมียในฝัน" และเสียเวลาพยายามผสมพันธุ์กับขวดจนแทบสูญพันธุ์
.
บทเรียน? สิ่งที่ช่วยให้เราอยู่รอดในอดีต อาจกลายเป็นกับดักในปัจจุบัน
.
.
10. Phase Transition
.
10.1 ตั๊กแตน
.
ปกติตั๊กแตนเป็นแมลงที่อยู่โดดเดี่ยว สีเขียว ขี้อาย หลบหนีเมื่อเจอพวกเดียวกัน แต่เมื่อความหนาแน่นของประชากรถึงจุดวิกฤต มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ Klaas เรียกว่า "phase transition":
.
สีเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง-ดำ
พฤติกรรมเปลี่ยนจากขี้อายเป็นก้าวร้าว
จากอยู่คนเดียวกลายเป็นรวมฝูง
จากกินใบไม้นิดๆ หน่อยๆ กลายเป็นกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
.
นักวิทยาศาสตร์พบว่าจุดเปลี่ยนอยู่ที่ความหนาแน่น 74 ตัวต่อตารางเมตร พอถึงจุดนี้ ตั๊กแตนจะเริ่มเดินเป็นแถว เป็นกลุ่ม เป็นฝูง และในที่สุดกลายเป็นกองทัพมหึมา
.
.
10.2 มนุษย์
.
Klaas ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ก็คล้ายตั๊กแตน แต่ซับซ้อนกว่ามาก:
.
อดีต: มนุษย์อยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ 150 คนหรือน้อยกว่า (Dunbar's Number) ทุกคนรู้จักกัน พฤติกรรมคาดเดาได้
.
ปัจจุบัน: เราอยู่ในเมืองนับล้านคน เชื่อมต่อกับคนทั่วโลกผ่านอินเทอร์เน็ต พฤติกรรมกลายเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
.
เหมือนตั๊กแตนที่เปลี่ยน phase พฤติกรรมของมนุษย์ในกลุ่มใหญ่ก็แตกต่างจากพฤติกรรมแบบปัจเจกอย่างสิ้นเชิง
.
.
10.3 Self-Organized Criticality
.
Per Bak นักฟิสิกส์ เสนอแนวคิด "self-organized criticality" ผ่านการทดลองง่ายๆ:
.
หยดทรายลงบนพื้นทีละเม็ด
ทรายจะกองสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นภูเขา
ถึงจุดหนึ่ง เม็ดทรายเพียงเม็ดเดียวจะทำให้เกิดการพังทลาย
.
ที่สำคัญคือ: เราไม่มีทางรู้ว่าเม็ดไหนจะเป็นเม็ดสุดท้าย และการพังทลายจะใหญ่แค่ไหน
.
สังคมมนุษย์ก็เหมือนภูเขาทราย ความตึงเครียดสะสมเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เหตุการณ์เล็กๆ กลายเป็นชนวนของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่:
.
การลอบสังหาร Archduke Franz Ferdinand → สงครามโลกครั้งที่ 1
Mohamed Bouazizi จุดไฟเผาตัว → Arab Spring
ตำรวจจับ George Floyd → การประท้วง Black Lives Matter ทั่วโลก
.
วิกฤตการเงิน 2008
Klaas วิเคราะห์วิกฤตการเงิน 2008 ในมุมมองของระบบซับซ้อน:
.
ผีเสื้อ: สินเชื่อ subprime ในสหรัฐฯ
การกระพือปีก: คนเริ่มผิดนัดชำระหนี้
ผลกระทบ: ธนาคารใหญ่ล้ม → ตลาดหุ้นดิ่ง → เศรษฐกิจโลกถดถอย → คนตกงานนับล้าน
.
ไม่มีใครคาดคิดว่าปัญหาบ้านราคาถูกในอเมริกาจะทำให้คนในไอซ์แลนด์ กรีซ หรือไทยต้องเดือดร้อน แต่นี่คือธรรมชาติของระบบที่เชื่อมโยงกัน
.
.
11. กฎของเฮราคลิตุส - ทุกอย่างอยู่ในสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
.
เฮราคลิตุส นักปรัชญากรีกโบราณ เคยกล่าวไว้ว่า "ไม่มีใครลงแม่น้ำสายเดิมได้สองครั้ง เพราะน้ำไหลเปลี่ยนไปแล้ว และตัวคุณเองก็เปลี่ยนไปแล้ว"
.
Klaas ใช้แนวคิดนี้เพื่ออธิบายความท้าทายในการทำนายอนาคต ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
.
มนุษย์ = เครื่องจักรทำนายที่ (ไม่ค่อย) แม่นยำ
.
สมองของเราคือเครื่องจักรทำนาย เราใช้ประสบการณ์ในอดีตเพื่อคาดการณ์อนาคต:
.
เห็นเมฆดำ → คิดว่าฝนจะตก → หาที่หลบ
เห็นคนขมวดคิ้ว → คิดว่าโกรธ → เตรียมรับมือ
เห็นตลาดหุ้นขึ้น → คิดว่าเศรษฐกิจดี → ลงทุนเพิ่ม
.
แต่ในโลกที่ซับซ้อน การทำนายแบบนี้มักพลาด เพราะ:
.
ข้อมูลมากเกินกว่าจะประมวลผลได้หมด
ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลไม่เป็นเส้นตรง
มี "unknown unknowns" - สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
.
.
12. ประวัติศาสตร์ของความน่าจะเป็น
.
Klaas เล่าประวัติศาสตร์ของทฤษฎีความน่าจะเป็น ซึ่งน่าแปลกที่มนุษย์ใช้เวลานานมากกว่าจะคิดค้นขึ้นมา:
.
กรีกโบราณเล่นลูกเต๋า แต่ไม่มีทฤษฎีความน่าจะเป็น
จีนโบราณมี I Ching แต่ไม่ได้คิดเชิงความน่าจะเป็น
ยุโรปยุคกลางเล่นการพนัน แต่ยังไม่มีคณิตศาสตร์รองรับ
.
จนกระทั่งศตวรรษที่ 17 Pascal และ Fermat จึงวางรากฐานทฤษฎีความน่าจะเป็น แต่ Klaas เตือนว่าเครื่องมือนี้มีข้อจำกัด:
.
.
12.1 ความเสี่ยง (Risk) vs ความไม่แน่นอน (Uncertainty)
.
ความเสี่ยง: ทอยลูกเต๋า - รู้ว่ามี 1/6 โอกาสได้หน้าไหนก็ได้
ความไม่แน่นอน: อนาคตของ AI - ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
.
Frank Knight นักเศรษฐศาสตร์ แยกแยะสองสิ่งนี้ออกจากกัน และ Klaas เน้นว่าชีวิตจริงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนมากกว่าความเสี่ยง
.
.
12.2 Heraclitean Uncertainty: ความไม่แน่นอนแบบพิเศษ
.
นอกจากความไม่แน่นอนทั่วไป Klaas เสนอ "Heraclitean Uncertainty" - ความไม่แน่นอนที่เกิดจากการที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา:
.
ตัวอย่าง: การทำนายว่าใครจะชนะการเลือกตั้งในอีก 20 ปีข้างหน้า
.
ไม่ใช่แค่ไม่รู้ว่าใครจะลงสมัคร
แต่ระบบการเมืองเองอาจเปลี่ยน
วิธีการเลือกตั้งอาจต่างไป
หรืออาจไม่มีการเลือกตั้งแบบที่เรารู้จักแล้ว
.
.
13. ทฤษฎีการตัดสินใจแบบมีเหตุผล
.
Adam Smith และนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิกเชื่อว่ามนุษย์คือ "Homo economicus" - สัตว์เศรษฐกิจที่มีเหตุผล คำนวณต้นทุน-ผลประโยชน์ และตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดของตนเอง
.
Klaas หัวเราะเยาะแนวคิดนี้ หากมนุษย์มีเหตุผลจริง:
.
ทำไมเราถึงซื้อลอตเตอรี่ทั้งที่โอกาสถูกน้อยมาก?
ทำไมเราถึงกินอาหารขยะทั้งที่รู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ?
ทำไมเราถึงตกหลุมรักคนที่ "ไม่เหมาะสม"?
ทำไมเราถึงเชื่อข่าวปลอมทั้งที่มีข้อมูลจริงให้ตรวจสอบ?
.
Herbert Simon เสนอแนวคิด "bounded rationality" - มนุษย์ไม่ได้หาทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หาทางเลือกที่ "พอใจได้"
.
ตัวอย่าง: การเลือกร้านอาหารกลางวัน
.
Homo economicus = สำรวจร้านทั้งหมดในรัศมี 1 กม. เปรียบเทียบราคา คุณภาพ บรรยากาศ ระยะทาง คำนวณ utility maximization
.
มนุษย์จริง = "ร้านนี้ก็ได้ ไม่ไกล ราคาโอเค เคยกินแล้วไม่ท้องเสีย"
.
.
14. เรื่องเล่าที่ช่วยชีวิต
.
Klaas ยกตัวอย่างชาว Moken (ชาวเล) ที่รอดจากสึนามิ 2004 พวกเขามีเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษ:
.
"เมื่อไรที่ทะเลถอยออกไปไกลผิดปกติ ให้วิ่งขึ้นที่สูงทันที เพราะลาบูน (คลื่นกินคน) กำลังจะมา"
.
ขณะที่นักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูปปรากฏการณ์ "ทะเลแห้ง" ชาว Moken วิ่งขึ้นเขา พวกเขาจึงรอด
.
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า:
.
1. เรื่องเล่าสามารถเก็บและถ่ายทอดความรู้สำคัญได้
2. บางครั้ง "นิทานโบราณ" มีประโยชน์มากกว่า "ความรู้ทันสมัย"
3. วิธีการถ่ายทอดความรู้ (เรื่องเล่า vs ข้อมูลดิบ) มีผลต่อการจดจำและนำไปใช้
.
.
15. Path Dependency: เมื่ออดีตล็อคอนาคต
.
Klaas อธิบายแนวคิด "path dependency" - เมื่อการตัดสินใจในอดีตจำกัดทางเลือกในอนาคต
.
ตัวอย่างคลาสสิก: คีย์บอร์ด QWERTY
.
ออกแบบให้พิมพ์ช้าลงเพื่อไม่ให้แขนพิมพ์ดีดติดกัน
ปัจจุบันไม่มีปัญหานี้แล้ว มีแบบที่ดีกว่า (Dvorak)
แต่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะทุกคนชินกับ QWERTY แล้ว
.
ตัวอย่างอื่นๆ:
.
ความกว้างรางรถไฟ = ความกว้างเกวียนม้า = ความกว้างถนนโรมัน = ก้นม้า 2 ตัว
เมืองใหญ่มักอยู่ริมแม่น้ำ แม้ปัจจุบันการขนส่งทางน้ำไม่สำคัญแล้ว
ซิลิคอนวัลเลย์เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี เพราะมีบริษัทเทคอยู่ก่อน เพราะมีคนเก่งอยู่ก่อน
.
.
16. ความน่าอัศจรรย์ของการที่คุณเกิดมา
.
Klaas เปิดบทด้วย… "ขอแสดงความยินดี! คุณกำลังเปลี่ยนแปลงโลกอยู่ในตอนนี้ เพราะสมองของคุณกำลังปรับเปลี่ยนเล็กน้อยจากการอ่านคำที่ผมเขียน"
.
เขาอธิบายความน่าอัศจรรย์ของการที่คุณเกิดมา
.
ถ้าพ่อแม่คุณมีเพศสัมพันธ์ช้าหรือเร็วแค่ 1 วินาที อสุจิตัวอื่นอาจเข้าถึงไข่ก่อน
ถ้าปู่ย่าตายายคุณไม่ได้พบกัน คุณก็ไม่มีทางเกิด
ถ้าบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่งในสายวิวัฒนาการนับล้านปีถูกกินตอนเด็ก...
.
การที่คุณอ่านประโยคนี้อยู่ เป็นผลจากความบังเอิญนับไม่ถ้วนที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแม่นยำ
.
.
17. ทฤษฎี Great Man vs Social Forces ใครกำหนดประวัติศาสตร์?
.
Klaas นำเสนอการถกเถียงคลาสสิกในประวัติศาสตร์:
.
ทฤษฎี Great Man (Thomas Carlyle): ประวัติศาสตร์ถูกกำหนดโดยบุคคลสำคัญ - Napoleon, Churchill, Gandhi
.
ทฤษฎี Social Forces (Herbert Spencer): ประวัติศาสตร์ถูกขับเคลื่อนโดยกระแสสังคม บุคคลเป็นแค่ตัวแทน
.
Klaas แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผล แต่ความจริงซับซ้อนกว่า:
.
ตัวอย่าง: สงครามกลางเมืองอเมริกา
.
ถ้า Confederate sniper ยิง General John Sedgwick ช้า 1 วินาที Sedgwick คงไม่ตาย
ถ้า Sedgwick ไม่ตาย อาจนำกองทัพได้ดีกว่า
ผลของสงครามอาจต่างไป การเลิกทาสอาจล่าช้า
.
ประวัติศาสตร์อเมริกาและโลกอาจเปลี่ยนไป
.
.
18. Darwin และ Wallace: เมื่อ "ใคร" สำคัญเท่ากับ "อะไร"
.
Charles Darwin และ Alfred Russel Wallace ต่างค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการโดยอิสระ แต่ผลลัพธ์ต่างกันมาก:
.
Darwin:
.
มาจากครอบครัวมั่งคั่ง
มีเครือข่ายในวงการวิทยาศาสตร์
เป็นที่เคารพในสังคม
ทฤษฎีได้รับการยอมรับ (แม้จะถูกต่อต้านในตอนแรก)
.
.
Wallace:
.
มาจากครอบครัวยากจน
ต้องหาเงินเองด้วยการเก็บตัวอย่างสัตว์ขาย
สนใจเรื่อง spiritualism (ติดต่อวิญญาณ)
ถูกมองว่า "แปลก" ในวงการวิทยาศาสตร์
.
Klaas ชี้ว่า: ถ้า Wallace เป็นคนเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการคนแรกและคนเดียว มันอาจถูกปฏิเสธหรือถูกลืม ไม่ใช่เพราะทฤษฎีผิด แต่เพราะ "ผู้ส่งสาร" ไม่น่าเชื่อถือในสายตาสังคม
.
หรือ Lincoln และหมอดู
.
Charles Colchester หมอดูที่ถูกมองว่า "งมงาย" เคยเตือน Lincoln เรื่องแผนลอบสังหาร Lincoln ไม่ฟัง คิดว่าเป็นการหลอกลวง
.
คืนที่ Lincoln ถูกยิง Colchester พยายามเตือนอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ
.
บทเรียน: เรามักตัดสินข้อมูลจาก "ใคร" พูด มากกว่า "อะไร" ที่พูด ซึ่งอาจทำให้พลาดข้อมูลสำคัญ
.
.
19. นาฬิกาแห่งโชคชะตา – เมื่อจังหวะเวลาคือทุกอย่าง
.
Klaas เล่าเรื่องสะเทือนใจของ Joseph Lott และ Elaine Greenberg:
.
11 กันยายน 2001
.
Elaine ทำงานที่ World Trade Center
เธอเห็นเนคไทลาย Monet ที่ร้าน คิดว่าเหมาะกับ Joe เพื่อนร่วมงานเก่า
ซื้อเป็นของขวัญให้ Joe ที่อยู่คนละเมือง
.
.
10 กันยายน 2001
.
Joe บินมานิวยอร์กเพื่อประชุม
แต่เครื่องบินล่าช้าเพราะพายุ
มาถึงดึก นัดเจอ Elaine ตอนเช้าเพื่อรับของขวัญ
.
.
11 กันยายน 2001, เช้า
.
Joe แต่งตัว เตรียมใส่เสื้อขาว
แต่นึกได้ว่าจะได้เนคไทใหม่ เลยเปลี่ยนเป็นเสื้อน้ำเงิน
ออกจากโรงแรมช้าไป 5 นาที
กำลังเดินไปที่ WTC เห็นเครื่องบินชนตึก
.
.
Elaine เสียชีวิต Joe รอดชีวิต
ความแตกต่างระหว่างชีวิตและความตายคือ 5 นาที และการตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อ
.
.
Antoine Augustin Cournot นักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศส เสนอแนวคิดว่า เหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันสามารถมาบรรจบกันโดยบังเอิญและสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญ
.
ในกรณีของ Lott:
.
สายธารเหตุการณ์ที่ 1: พายุในอีกซีกโลก → เครื่องบินล่าช้า
สายธารเหตุการณ์ที่ 2: Elaine เห็นเนคไท → ซื้อเป็นของขวัญ
สายธารเหตุการณ์ที่ 3: ผู้ก่อการร้ายวางแผนโจมตี
สายธารเหตุการณ์ที่ 4: Joe ตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อ
.
ทั้งหมดมาบรรจบกันในวินาทีที่กำหนดว่าใครอยู่ในตึกและใครไม่อยู่
.
.
20. เวลาไม่ใช่แค่ตัวเลข
.
Klaas อธิบายว่าเวลาไม่ได้เป็นสิ่งคงที่อย่างที่เราคิด:
.
ทางฟิสิกส์:
เวลาผ่านช้าลงใกล้วัตถุมวลมาก (General Relativity)
เวลาผ่านช้าลงเมื่อเคลื่อนที่เร็ว (Special Relativity)
GPS ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ ไม่งั้นจะคลาดเคลื่อน
.
ทางชีววิทยา:
ร่างกายเรามีนาฬิกาชีวภาพ (circadian rhythm)
แต่ถูกรบกวนโดยแสงไฟ หน้าจอ การทำงานกะ
Jet lag เกิดเมื่อนาฬิกาภายในไม่ตรงกับเวลาท้องถิ่น
.
ทางสังคม:
สัปดาห์ 7 วัน เป็นการประดิษฐ์ของมนุษย์ ไม่ได้มาจากธรรมชาติ
(ดวงจันทร์โคจร 29.5 วัน, ปีมี 365.25 วัน - ไม่มีอะไรหาร 7 ลงตัว)
แต่จังหวะ 7 วันนี้กำหนดชีวิตเรา - วันทำงาน, วันหยุด, วันนัดหมาย
.
.
21. Garden of Forking Paths: เส้นทางชีวิตที่แตกแยก
.
Jorge Luis Borges นักเขียนชาวอาร์เจนตินา เขียนเรื่องสั้น "The Garden of Forking Paths" เปรียบชีวิตเหมือนสวนที่มีทางแยกนับไม่ถ้วน
.
ทุกวินาที เราเจอทางแยก:
.
กดปุ่ม snooze หรือตื่นเลย?
ใช้เส้นทางไหนไปทำงาน?
ทักทายคนข้างๆ หรือก้มหน้าเล่นมือถือ?
สั่งกาแฟร้อนหรือเย็น?
.
แต่ละทางเลือกดูเล็กน้อย แต่ Klaas เตือนว่า:
.
ถ้าคุณกด snooze → ออกจากบ้านช้า → ติดไฟแดงคนละชุด → เจอคนคนละกลุ่ม → โอกาสต่างไป
.
ถ้าคุณทักทายคนข้างๆ → อาจได้เพื่อนใหม่ → อาจได้งานใหม่ → อาจเปลี่ยนชีวิต
.
.
22. ทำไมการทำนายสังคมจึงยากกว่าวิทยาการจรวด
.
วิทยาการจรวด แม้ซับซ้อน แต่ทำนายได้:
.
กฎฟิสิกส์ไม่เปลี่ยน
จรวดไม่มีอารมณ์
ไม่มีจรวดตัดสินใจเปลี่ยนวิถีเพราะอ่านข่าวหุ้นตก
.
.
สังคมศาสตร์ ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้:
.
มนุษย์มีเจตจำนงเสรี (หรืออย่างน้อยก็คิดว่ามี)
คนเปลี่ยนพฤติกรรมเมื่อรู้การทำนาย (self-fulfilling/self-defeating prophecy)
ปัจจัยที่ส่งผลมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
.
.
Klaas เล่าเรื่องน่าตกใจของวงการวิจัยสังคมศาสตร์:
.
2010: นักจิตวิทยาชื่อ Daryl Bem ตีพิมพ์งานวิจัยใน journal ชั้นนำ อ้างว่ามนุษย์มีพลังจิต (ESP) - สามารถรู้อนาคตได้
.
ปัญหา: งานวิจัยผ่านทุกมาตรฐานทางสถิติ!
คำถาม: ถ้ามาตรฐานเราพิสูจน์ได้ว่ามนุษย์มีพลังจิต มาตรฐานเรามีปัญหาหรือเปล่า?
.
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบครั้งใหญ่:
.
Open Science Collaboration ทดลองทำซ้ำงานวิจัยจิตวิทยา 100 ชิ้น
ผลลัพธ์: ทำซ้ำได้แค่ 39 ชิ้น!
งานวิจัยที่เราเชื่อมานาน 61% อาจไม่เป็นความจริง
.
.
23. ศิลปะการทรมานข้อมูลจนสารภาพ
.
Ronald Coase นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เคยพูดไว้ว่า "ถ้าคุณทรมานข้อมูลนานพอ มันจะสารภาพ"
.
P-hacking คือการ "ปรุงแต่ง" การวิเคราะห์จนได้ p-value < 0.05 (มาตรฐานทางสถิติ):
.
ทดสอบตัวแปรหลายตัวแต่รายงานแค่ที่ "significant"
เพิ่มหรือตัดข้อมูลจนได้ผลตามต้องการ
วิเคราะห์ซ้ำด้วยวิธีต่างๆ จนเจอวิธีที่ "ได้ผล"
.
ตัวอย่างสุดฮา: งานวิจัยที่ "พิสูจน์" ว่าการฟังเพลง Beatles ทำให้หน้าตาอ่อนเยาว์ (จริงๆ แค่เล่นกับข้อมูลจนเจอความสัมพันธ์ที่ไร้สาระ)
.
File Drawer Problem = เมื่อความล้มเหลวถูกซ่อน
.
งานวิจัยที่ "ไม่เจออะไร" มักไม่ได้รับการตีพิมพ์ ทำให้เกิดภาพบิดเบือน:
.
สมมติมี 20 ทีมทดสอบว่า "กาแฟทำให้ฉลาด"
.
19 ทีมไม่เจอความสัมพันธ์ → ไม่ตีพิมพ์
1 ทีม (โดยบังเอิญ) เจอความสัมพันธ์ → ตีพิมพ์
คนอ่านเห็นแต่ผลบวก → เชื่อว่ากาแฟทำให้ฉลาด
.
.
24. ปริศนาแห่งเจตจำนงเสรี
.
Klaas ตั้งคำถามที่ทำให้นักปรัชญาปวดหัวมานับพันปี: เรามีเจตจำนงเสรีจริงหรือไม่?
.
6 ทางเลือกในการอธิบายโลก
.
1. Idiosyncratic Choices: มนุษย์มีเจตจำนงเสรีแท้ ตัดสินใจได้อิสระ
.
2. Divine Intervention: พระเจ้าแทรกแซงเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์
.
3. Quantum Mechanics: ความสุ่มในระดับควอนตัมสร้างความไม่แน่นอน
.
4. Divine Script: ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า
.
5. Everything Happens for a Reason: มีแผนการใหญ่ที่เราไม่เข้าใจ
.
6. Deterministic Universe: ทุกอย่างเป็นผลจากเหตุ ไม่มีอะไรสุ่มจริง
.
Klaas เน้นไปที่ตัวเลือกสุดท้าย - ลัทธิกำหนดนิยม (Determinism)
.
.
25. ลัทธิกำหนดนิยม
.
ลัทธิกำหนดนิยมเสนอว่า
.
.
ทุกเหตุการณ์เป็นผลจากเหตุการณ์ก่อนหน้า
.
ถ้ารู้ข้อมูลทั้งหมด ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง + รู้กฎธรรมชาติทั้งหมด = ทำนายอนาคตได้ 100%
.
เจตจำนงเสรีเป็นภาพลวงตา
.
Einstein เชื่อในลัทธินี้ เขาเคยเขียนว่า: "ฉันไม่เชื่อในเจตจำนงเสรี... มนุษย์กระทำไปตามความจำเป็นภายในและแรงกดดันภายนอก"
.
.
26. Compatibilism
.
นักปรัชญาอย่าง David Hume เสนอทางออกเรียกว่า “Compatibilism”
.
ใช่ ทุกอย่างมีสาเหตุ (determinism จริง)
แต่เรายังมี "เสรีภาพ" ในแง่ที่เราทำตามความปรารถนาของเรา
ความปรารถนาอาจถูกกำหนด แต่การได้ทำตามความปรารถนา = เสรีภาพ
.
เปรียบเหมือนน้ำในแม่น้ำ:
.
น้ำไหลตามกฎฟิสิกส์ (ถูกกำหนด)
แต่น้ำ "อิสระ" ที่จะไหลไปตามทางที่มันไหล
ไม่มีใครบังคับ แม้จะไม่มีทางเลือก
.
.
27. ทำไมทุกสิ่งที่เราทำจึงมีความหมาย
.
การที่เราไม่ได้ควบคุมทุกอย่าง ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราทำไม่สำคัญ ตรงกันข้าม มันสำคัญมากกว่าที่เราคิด
.
"We control nothing, but influence everything"
.
นี่คือประโยคสำคัญที่สุดในหนังสือ:
.
เราไม่ควบคุมอะไรเลย (จริง)
แต่เรามีอิทธิพลต่อทุกอย่าง (จริงเช่นกัน)
.
เหมือนการโยนก้อนหินลงในสระน้ำ:
.
คุณไม่ได้ควบคุมว่าระลอกคลื่นจะไปทางไหน
แต่คุณสร้างระลอกคลื่นที่ส่งผลต่อทั้งสระ
.
Klaas วิพากษ์วัฒนธรรม "Optimization Culture" ที่หมกมุ่นกับการควบคุม:
.
ทุก app ต้อง track พฤติกรรม
ทุกอย่างต้อง "maximize efficiency"
ชีวิตกลายเป็น spreadsheet
.
แต่ความจริงคือ:
.
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตมักเกิดโดยบังเอิญ
การค้นพบที่ยิ่งใหญ่มักมาจากความผิดพลาด
ความรักที่แท้จริงไม่ได้มาจากการ swipe บน algorithm ที่ "optimized"
.
.
28. Explore vs Exploit
.
แนวคิดจาก computer science
.
Exploit: ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่รู้แล้ว (กินร้านเดิม, ทำงานเดิม)
Explore: ค้นหาสิ่งใหม่ (ลองร้านใหม่, เปลี่ยนสายงาน)
.
Klaas แนะนำ: ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การ Explore สำคัญมากขึ้น
.
ร้านอาหารที่ "ดีที่สุด" วันนี้ อาจปิดพรุ่งนี้
อาชีพที่ "มั่นคง" วันนี้ อาจหายไปใน 10 ปี
ความสัมพันธ์ที่ "สมบูรณ์แบบ" อาจพังได้ถ้าไม่ปรับตัว
.
.
10,000 ชั่วโมงกับ 10,000 การทดลอง
.
Malcolm Gladwell เสนอว่าต้องฝึกฝน 10,000 ชั่วโมงเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญ
.
Klaas เสนออีกมุม: ลอง 10,000 การทดลองเล็กๆ
.
ทักทายคนแปลกหน้า 10,000 คน
เขียนไอเดีย 10,000 ข้อ
ลองทำอะไรใหม่ๆ 10,000 อย่าง
.
ในโลกแห่งความบังเอิญ ความหลากหลายของประสบการณ์อาจสำคัญกว่าความเชี่ยวชาญแบบแคบๆ
.
.
29. กอดความไม่แน่นอน แต่อย่าหยุดพยายาม
.
Klaas จบหนังสือด้วยข้อคิดที่ลึกซึ้ง:
.
"ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความโกลาหล และความบังเอิญ ทุกการกระทำของเรายิ่งมีความหมาย ไม่ใช่น้อยลง"
.
เพราะ:
.
1. เมื่อผลลัพธ์ไม่แน่นอน ทุกการกระทำคือการทอยลูกเต๋า แต่เป็นลูกเต๋าที่อาจเปลี่ยนโลก
2. เมื่อทุกอย่างเชื่อมโยงกัน การกระทำเล็กๆ ของเราส่งผลต่อคนนับไม่ถ้วน
3. เมื่อเราไม่รู้ว่าอะไรจะสำคัญ ทุกอย่างจึงสำคัญ
.
.
30. สรุปข้อคิดสำคัญจาก Fluke
.
1. ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน - การกระทำเล็กๆ สามารถมีผลกระทบมหาศาล
.
2. ความบังเอิญมีบทบาทมากกว่าที่คิด - ทั้งในชีวิตส่วนตัวและประวัติศาสตร์
.
3. สมองเราถูกออกแบบให้หลอกตัวเอง - เพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่เพื่อเห็นความจริง
.
4. สังคมมนุษย์คือระบบที่ซับซ้อน - เปราะบางและคาดเดาไม่ได้
.
5. การทำนายอนาคตมีขีดจำกัด - โดยเฉพาะในระบบสังคม
.
6. เรื่องเล่ามีพลัง - มากกว่าข้อมูลดิบในการขับเคลื่อนพฤติกรรม
.
7. ภูมิศาสตร์กำหนดประวัติศาสตร์ - แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
.
8. ทุกคนสำคัญ - ไม่มีใครเป็นแค่ตัวประกอบในประวัติศาสตร์
.
9. จังหวะเวลาคือกุญแจ - Being at the right place at the right time
.
10. เจตจำนงเสรีอาจเป็นภาพลวงตา - แต่นั่นไม่ได้ทำให้การกระทำของเราไร้ความหมาย
.
Brian Klaas ท้าทายให้เรามองโลกแบบใหม่ว่า โลกที่ความแน่นอนเป็นภาพลวงตา ความบังเอิญคือบรรทัดฐาน และทุกการกระทำมีความหมายในวิธีที่เราไม่อาจจินตนาการ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Ultra-Processed People เขียนโดย Chris van Tulleken

Next
Next

สรุปหนังสือ Tribe of Mentors : คำแนะนำจากบรรดาคนเก่งๆของโลก เขียนโดย Tim Ferriss