สรุปหนังสือ Tribe of Mentors : คำแนะนำจากบรรดาคนเก่งๆของโลก เขียนโดย Tim Ferriss

ทุกคนมีความฝัน แต่ไม่มีเวลาแม้แต่จะชาร์จแบตตัวเองให้เต็มก่อน 9 โมงเช้า Tim Ferriss ทำในสิ่งที่พวกเราทำไม่ได้ นั่นคือ "เขียนอีเมลหาคนดัง แล้วพวกเขาตอบกลับ"
.
Tribe of Mentors ไม่ได้เริ่มจากแรงบันดาลใจระดับจักรวาล หรือเสียงกระซิบจากดาวเสาร์ แต่มาจากคำถามธรรมดาๆ ที่ดูเหมือนคนมีภาวะ midlife crisis จดลงในสมุดเช้าวันหนึ่ง เช่น "เราควรพูดยังไงดีเวลาจะปฏิเสธไปงานแต่งเพื่อนที่ไม่สนิท?" "ความล้มเหลวชนิดไหนที่ควรรู้สึกดี?" หรือ "เราจะหาคำตอบให้ชีวิตโดยไม่ต้องลงคอร์ส 3 แสนที่สอนให้หายใจเข้าออกได้ยังไง?"
.
แทนที่จะนั่งจ้องเทียนแล้วภาวนา Tim เลือกที่จะส่งคำถาม 11 ข้อไปยังผู้คนระดับตำนาน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ นักกีฬาโอลิมปิก นักเขียน นักคิด และบางคนที่ดูเหมือนจะใช้เวลาเพียง 3 วินาทีต่อวันในการทำให้เราอิจฉาชีวิตเขาอย่างเป็นระบบ แล้วพวกเขาก็ตอบ…ตอบแบบจริงจังจนเรารู้สึกผิดที่เคยคิดว่า "พวกนี้คงไม่มีเวลาว่างหรอก"
.
แต่ละคนแบ่งปันมุมมองที่คุณไม่คาดว่าจะได้จากคนที่มีเงิน 9 หลัก เช่น "ฉันล้มเหลวมาแล้วสามรอบก่อนจะเริ่มเข้าใจตัวเอง" "ฉันเคยซื้อของไม่จำเป็นแล้วกลายเป็นของสำคัญที่สุดในชีวิต" "ฉันเรียนรู้ว่าการนอนหลับคือการลงทุนแบบ passive income ที่ดีที่สุด" (ใช่ครับ ต้นทุนคือการไม่ดู Netflix ตอนห้าทุ่ม)
.
นี่ไม่ใช่หนังสือที่คุณจะอ่านจบในคืนเดียวพร้อมกับกาแฟแก้วที่สาม แต่มันเหมือนหนังสือที่คุณจะวางไว้ข้างเบาะ โผล่มาเปิดตอนชีวิตเริ่มเอียง แล้วพบประโยคหนึ่งที่ทำให้คุณคิดว่า "เออแฮะ…ใช่เลย" แล้วคุณก็ทำหน้าขรึม กลบเสียงหัวเราะเบาๆ ไว้ในใจ เหมือนนักปรัชญาผู้เจนจัดที่กำลังอ่านปรัชญาเซนใน Starbucks ครับ
.
และนี่คือ 11 คำถามที่เขาใช้

1. What is the book (or books) you've given most as a gift, and why?

2. What purchase of $100 or less has most positively impacted your life?

3. How has a failure set you up for later success? What's your "favorite failure"?

4. If you had a gigantic billboard anywhere with anything on it, what would it say and why?

5. What is one of the best or most worthwhile investments you've ever made?

6. What is an unusual habit or absurd thing that you love?

7. In the last five years, what new belief, behavior, or habit has most improved your life?

8. What advice would you give to a smart, driven college student about to enter the "real world"?

9. What are bad recommendations you hear in your profession?

10.What have you become better at saying "no" to?

11. When you feel overwhelmed or unfocused, what do you do?
.
.
=================================
.
1. "What is the book (or books) you've given most as a gift, and why?"
.
หนังสืออะไรที่คุณมักมอบเป็นของขวัญมากที่สุด และเพราะเหตุใด?

.
.
Man's Search for Meaning : Viktor Frankl

หนังสือที่มนุษย์ในยุค Burnout ควรอ่านก่อนหยุดหายใจทางอารมณ์ หลายคนในหนังสือ Tribe of Mentors เลือกเล่มนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่การเอาชีวิตรอดจากค่ายกักกันของนาซี แต่เป็นบทเรียนที่บอกว่า…ต่อให้คุณถูกพรากไปทุกอย่าง คุณยังมีเสรีภาพสุดท้าย นั่นคือ "การเลือกท่าทีต่อความทุกข์" Adam Robinson, Maria Popova, Esther Perel, และ Neil Strauss ต่างเลือกเล่มนี้ เพราะมันเปลี่ยนวิธีที่พวกเขา "เห็นชีวิต" ไม่ใช่แค่ "ใช้ชีวิต" "เมื่อคุณไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ สิ่งที่คุณทำได้คือเปลี่ยนตัวคุณเอง" - Viktor Frankl
.
.
The Rational Optimist : Matt Ridley

คู่มือเอาตัวรอดทางจิตในโลกที่ข่าวร้ายขายดีกว่าอาหาร Tim Ferriss, Naval Ravikant, และอีกหลายคนรักเล่มนี้ เพราะมันบอกว่า ถึงแม้โลกจะดูเหมือนกำลังพัง แต่จริงๆ แล้วเราอยู่ในยุคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (ในเชิงสถิติ) หากคุณกำลังคิดว่าความหวังเป็นเรื่องงี่เง่า…ลองอ่านเล่มนี้ก่อน มันอาจทำให้คุณมองเศรษฐกิจแบบคนไม่ดราม่า และมองอนาคตแบบคนไม่ประชดตัวเอง
.
.
Poor Charlie's Almanack : Charlie Munger

หนังสือของชายที่เป็นเศรษฐี แต่พูดเหมือนตาแก่ปากเสียที่รักคุณ หลายคนเลือกหนังสือนี้เพราะ Munger คือปราชญ์เงียบข้าง Warren Buffett และเนื้อหาในเล่มเต็มไปด้วย "mental models" ที่เข้าใจง่าย แต่ยากจะลืม Ramit Sethi, Marc Andreessen, และ Scott Belsky ต่างยกย่องว่า นี่ไม่ใช่แค่หนังสือการเงิน แต่คือคู่มือการ "คิดให้เป็นระบบในโลกไร้ระบบ"
.
.
Sapiens : Yuval Noah Harari

ถ้าคุณเคยคิดว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ฉลาด… Yuval จะทำให้คุณเปลี่ยนใจ นี่คือหนังสือที่หลายคนในเล่ม Tribe of Mentors ให้เป็นของขวัญ เพราะมันสอนประวัติศาสตร์มนุษย์แบบที่ไม่มีครูคนไหนกล้าสอน Harari สอนว่าศาสนา เงินตรา ประเทศ และแม้แต่บริษัท ล้วนเป็น "มายาหมู่" ที่เราร่วมกันเชื่อ และที่น่าสนใจคือ…ถึงแม้จะจิกกัดแบบอารมณ์ดี แต่มันไม่ได้ทำให้เราสิ้นหวัง ตรงกันข้าม - มันทำให้เรารู้ว่า เราสร้างสิ่งที่ไร้สาระให้ยิ่งใหญ่ได้ เราก็สร้างสิ่งยิ่งใหญ่จากศูนย์ได้เหมือนกัน
.
.
Letters from a Stoic : Seneca

จดหมายจากชายที่ไม่กลัวตาย ถึงคุณที่กลัวตกงาน Ryan Holiday, Derek Sivers, และคนอื่นๆ ยกให้เล่มนี้คือยาแก้ panic ในยุคที่ทุกอย่างคือด่วน และต้อง perfect เซเนกาเขียนจดหมายในช่วงที่โรมกำลังจะพัง แต่ยังพูดด้วยจังหวะใจเย็นของคนที่เข้าใจธรรมชาติของชีวิต Ferriss ถึงกับบอกว่า ถ้าให้อ่านหนังสือเล่มเดียวทุกวันไปตลอดชีวิต เขาจะเลือกเล่มนี้ "เราทุกคนกลัวความตาย แต่สิ่งที่เราควรกลัวมากกว่าคือการไม่เคยมีชีวิตอยู่จริงเลย"
.
.
The War of Art : Steven Pressfield

หนังสือที่ศิลปินทั่วโลกใช้ตบหน้าตัวเองให้เริ่มต้นเสียที หลายคนรักเล่มนี้เพราะมันไม่ได้พูดถึงแรงบันดาลใจ แต่มันพูดถึง "แรงต้าน" สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เรานั่งลงแล้วเริ่มต้น Chase Jarvis, Seth Godin, Susan Cain และ Amanda Palmer เลือกเล่มนี้เพราะมันสอนว่า… "แรงต้านคือสัญญาณว่าคุณมาถูกทางแล้ว" ถ้าคุณเขียนนิยายค้างไว้สามบท มีแผนธุรกิจอยู่ในไดรฟ์มา 3 ปี และยังไม่ได้ออกจากงานสักที นี่คือหนังสือที่คุณควรให้ตัวเองเป็นของขวัญ
.
.
The Tao Te Ching : Laozi

ปรัชญาที่ไม่มี Timeline แต่มี Deadline บางคนมอบเล่มนี้ให้เพื่อนที่เครียดเกินไปในการ "ควบคุมทุกอย่าง" เพราะ เต๋า สอนให้เรารู้ว่า…พยายามบังคับทุกอย่าง คือการเร่งให้พังเร็วขึ้น "น้ำคือสิ่งอ่อนโยนที่สุด แต่เจาะหินได้" คือคติที่หลายคนในวงการลงทุน ธุรกิจ และกีฬาใช้เป็นเครื่องนำทาง
.
.
Meditations : Marcus Aurelius

คู่มือการเป็น บอสของจักรวรรดิโดยไม่หลงตัวเอง หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยการสะท้อนตนแบบไม่อวดดี ผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในโลก ยังเขียนเตือนตัวเองทุกวันว่า "วันนี้คุณจะเจอคนเห็นแก่ตัว ขี้โมโห และไม่รู้บุญคุณ จงให้อภัยพวกเขา เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร" ใครที่คิดว่าหนังสือโบราณน่าเบื่อ ลองเปิดหน้าไหนก็ได้ของเล่มนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า "ตาแก่โรมันคนนึง เข้าใจความรู้สึกคุณมากกว่าครูแนะแนวทั้งชีวิต"
.
.
============================
.
2. "What purchase of $100 or less has most positively impacted your life?"
.
สิ่งของราคาไม่เกิน 100 ดอลลาร์ ที่เปลี่ยนชีวิตคุณได้มากที่สุดคืออะไร?

.
.
ถ้าคุณคิดว่าการเปลี่ยนชีวิตต้องใช้เงินล้าน Tim Ferriss ขอเถียงเบาๆ ด้วยคำถามที่งงแต่จริงใจว่า "มีอะไรที่คุณซื้อไม่เกิน 100 เหรียญ แล้วมันเปลี่ยนชีวิตคุณได้บ้าง?" คำถามนี้เหมือนเล่น ๆ ใช่ไหมครับ? แต่พอถามคนที่เคยขายบริษัทให้ Google หรือแข่ง Ironman ระดับโลกแล้วตอบว่า "หูฟังไร้สาย" หรือ "ที่ตัดเล็บ" มันก็พาเราเริ่มสงสัยว่า ชีวิตดีขึ้นได้จากสิ่งเล็กน้อยจริงๆ หรือเปล่า? และเรากำลังละเลย "ของสำคัญที่ไม่เคยขึ้นป้าย SALE" หรือไม่? มาดูกันว่า เหล่าคนดังใน Tribe of Mentors เขาซื้ออะไรในงบที่เท่ากับมื้อเย็นในร้านสเต๊ก แล้วได้กลับมามากกว่าความอิ่ม
.
.
หูฟังตัดเสียงรบกวน

Maria Popova บอกว่า "หูฟัง noise-canceling ทำให้ฉันได้ยิน 'ตัวเอง' อีกครั้ง" สำหรับคนที่ต้องเขียน คิด หรืออยู่กับตัวเอง หูฟังไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่มันคือกรอบกันเสียงของโลกภายนอก ที่ช่วยให้เสียงภายในชัดเจนขึ้น Naval Ravikant เองก็ชอบของ gadget เล็ก ๆ ที่ทำให้เขาทำงานได้โดยไม่ต้องสู้กับสิ่งเร้า
.
.
สมุดโน้ตคุณภาพดี

Soman Chainani เล่าว่าเขามีสมุดโน้ตหลายเล่มที่ช่วยเขาเก็บความคิดระหว่างเดินทาง และไอเดียที่จดแบบเล่นๆ เหล่านั้น กลายเป็นนิยายขายดีระดับโลก The School for Good and Evil สมุดเปล่าราคาไม่กี่เหรียญ แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นอาจมีมูลค่าทางความคิดมากกว่าเงินเดือนทั้งปีของคุณ
.
.
เทียนหอม + ชุดชงชา

หลายคนพูดถึง "ความสุนทรีย์" เล็ก ๆ ที่เติมพลังให้ชีวิต เช่น ชุดชงชาเซรามิกจากญี่ปุ่น เทียนหอมจากร้าน local หรือแม้แต่การซื้อเกลืออาบน้ำแบบ handmade Dita Von Teese บอกว่า "ความหรูหราไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่คุณได้รู้สึกว่า 'ฉันคู่ควรกับสิ่งดีๆ' ทุกวัน"
.
.
ลูกบอลโยนเล่นกับหมา

Kevin Kelly (ผู้ร่วมก่อตั้ง Wired) บอกว่า "ช่วงเวลาที่ฉันปั่นจักรยาน เดินเล่นกับหมา หรือโยนบอล มันทำให้สมองฉันแก้ปัญหาที่ค้างอยู่ได้ดีกว่าตอนจ้องหน้าจอ 4 ชั่วโมงติด" บางครั้งเราไม่ต้องการ productivity tool แต่ต้องการ "ของที่ช่วยให้เลิกพยายามคิด" เพื่อให้ความคิดเดินทางของมันเอง
.
.
มีดทำครัวดีๆ

Samin Nosrat ผู้เขียน Salt, Fat, Acid, Heat เล่าว่า เธอเคยซื้อมีดเชฟราคาไม่ถึง $100 ที่เปลี่ยนการทำอาหารจาก "งานบ้าน" เป็น "ศิลปะ" "ตอนที่คุณหั่นแครอทด้วยมีดที่ดี คุณจะรู้ว่าความสุขมันซ่อนอยู่ในจังหวะของใบมีด ไม่ใช่รสของอาหาร"
.
.
สบู่ที่ชอบ

Jocko Willink, อดีต Navy SEAL ผู้ดุดัน อาจดูไม่ใช่คนสายสปา แต่เขาบอกว่า "การเริ่มต้นวันด้วยกลิ่นสบู่ที่คุณชอบ เป็นการประกาศแก่โลกว่า วันนี้ผมมีจุดยืน" บางคนฟังแล้วอาจขำ แต่ใครก็ตามที่เคยผ่านวันแย่ๆ จะรู้ว่า กลิ่นที่ใช่ = พลังงานชีวิตที่ฟื้นได้
.
.
ปากกาดีๆ

Tim Ferriss เองเคยบอกว่า เขาซื้อปากกาดีๆ ที่ใช้แล้วลื่น ให้ตัวเองเป็นรางวัลหลังจบโปรเจกต์ ไม่ใช่เพราะมันแพง แต่เพราะมันบอกว่า "ไอเดียของคุณมีค่าพอที่จะถูกเขียนด้วยเครื่องมือที่คู่ควร" มันคือพิธีกรรมส่วนตัวที่บอกว่า คุณกำลังทำสิ่งสำคัญ แม้วันนี้มันจะยังไม่มีใครอ่าน
.
.
ขวดน้ำดีไซน์ดี

หลายคนพูดถึง "ขวดน้ำ" ที่ทำให้พวกเขาดื่มน้ำได้สม่ำเสมอ เพราะมันอยู่ตรงหน้า สวย และทำให้รู้สึกว่า "การดูแลตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ" และใครที่เคยลืมดื่มน้ำจนหัวหมุน จะเข้าใจว่าขวดน้ำ $25 อาจช่วยประหยัดค่าหมอได้หลายพัน
.
.
ไพ่ ปริศนา รูบิค หรือของเล่นที่ไม่ต้องชนะ

Tim Urban, เจ้าของเว็บ Wait But Why บอกว่า "เวลาเครียด ฉันหยิบรูบิคขึ้นมาเล่น ไม่ใช่เพื่อแก้…แต่เพื่อเตือนว่าบางอย่างไม่ต้องสำเร็จก็ได้" ของเล่นที่ไม่มีความจำเป็น มีอยู่เพื่อเตือนว่า "ชีวิตไม่ต้อง productive ทุกนาที"
.
.
===============================
.
3. "How has a failure set you up for later success? What's your 'favorite failure'?"
.
ความล้มเหลวใดที่กลายเป็นสะพานสู่ความสำเร็จในภายหลัง - และมันคือ "ความล้มเหลวโปรด" ของคุณหรือเปล่า?

.
.
.
ทุกคนอยากโชว์ความสำเร็จบนโปรไฟล์ LinkedIn พร้อมภาพถ่ายตอนรับโล่รางวัลขณะหันข้าง 45 องศา Tim Ferriss กลับถามคำถามที่ตบหน้า ego ด้วยถ้อยคำอ่อนโยนว่า "คุณเคยล้มอะไรแบบเละเทะบ้างครับ แล้วมันกลายเป็นของขวัญให้ชีวิตคุณได้ยังไง?" คนที่ตอบคำถามนี้ ไม่ได้พูดถึงความล้มเหลวแบบคลาสสิก แต่พูดถึงความล้มเหลวแบบ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" เจ็บปวด ขัดใจ ไม่สวยงาม แต่ก็จำเป็น
.
.
Amelia Boone = จากคดีสู่โคลน


อดีตทนายความสาวที่วันหนึ่งตัดสินใจ "เลิกเขียนคำฟ้อง" แล้วไปวิ่งลุยโคลน 24 ชั่วโมง ในรายการ World's Toughest Mudder เธอ "ล้ม" จริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ บาดเจ็บ ไม่ชนะ ไม่มีใครรู้จัก แต่หลังจากนั้น เธอเริ่มฝึกใหม่ และกลายเป็นแชมป์ OCR (Obstacle Course Racing) ระดับโลก "ฉันล้มเหลวในการแข่งแรก แต่มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันอยู่ถูกที่"
.
.
Tim Ferriss = หนังสือโดนปฏิเสธ 27 ครั้ง


ก่อนจะกลายเป็นนักเขียนผู้เปลี่ยนโลกด้วย The 4-Hour Workweek Tim Ferriss ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ 27 แห่ง บางแห่งไม่แม้แต่จะตอบกลับ บางแห่งตอบว่า "นี่ไม่ใช่หนังสือที่ขายได้" Ferrissเกือบจะทิ้งต้นฉบับ แต่เขาเชื่อในเนื้อหา และตัดสินใจ "เดินเอง" ผ่าน self-publishing + การตลาดแบบ guerrilla ความล้มเหลวในสายตาสำนักพิมพ์ = จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการ productivity
.
.
Darren Aronofsky = โปรเจกต์ที่โดนล้มกลางคัน


ผู้กำกับ Black Swan และ The Wrestler เล่าว่าเคยถูก "ยกเลิก" โปรเจกต์โดยไม่ให้เหตุผล ทุกอย่างหายไปในชั่วข้ามคืน เขารู้สึกเหมือนโดนแทงกลางหลังโดย invisible hand ของฮอลลีวูด แต่ความว่างเปล่านั้น กลายเป็นพื้นที่ที่ทำให้เขาเขียนบทใหม่ บทที่กลายเป็น Requiem for a Dream "ความล้มเหลวคือ moment of pause ที่ทำให้เราฟังสิ่งที่ยังไม่เคยกล้าพูดกับตัวเอง"
.
.
Tim Urban = บล็อกที่ไม่มีใครอ่าน


เจ้าของ Wait But Why เคยเขียนบทความ 12 ชิ้นที่แทบไม่มีคนอ่าน มีคนแชร์แค่ 4 คน (รวมแม่เขา) เขาเคยเกือบเลิกเขียน เพราะคิดว่า "นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนต้องการ" แต่เขายังเขียนต่อ ชิ้นต่อมาคือบทความ "The Procrastination Monkey" ซึ่งกลายเป็น TED Talk และมีคนอ่านนับสิบล้าน "ความล้มเหลวไม่ใช่บทสุดท้าย มันแค่บท preface ที่คุณต้องอดทนอ่านผ่านไปให้ได้ก่อน"
.
.
Jesse Williams = แสดงหนังล้มเหลว


นักแสดงจาก Grey's Anatomy บอกว่า หนังอินดี้ที่เขาทุ่มสุดตัวกลายเป็นหายนะ ไม่มีคนดู โดนรีวิวด่า และทำให้เขาหายไปจากเรดาร์วงการ แต่เขากลับมามองว่า บทบาทนั้นช่วยให้เขาเข้าใจตัวละคร และเปลี่ยนมุมมองต่อการแสดง เขากลับมาด้วยความเข้าใจลึก จนกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงผิวสีที่มีอิทธิพลด้าน activism ที่สุดในยุค
.
.
=============================
.
4. "If you had a gigantic billboard anywhere with anything on it, what would it say and why?"
.
ถ้าคุณมีป้ายบิลบอร์ดยักษ์ติดที่ไหนก็ได้บนโลก พร้อมข้อความอะไรก็ได้ - คุณจะเขียนว่าอะไร และเพราะเหตุใด?

.
.
Tim Ferriss อยากรู้ว่า ถ้าให้คนที่เขานับถือมีโอกาส "ซื้อพื้นที่ใจกลางเมือง" สักแผ่น เพื่อพูดกับโลกแบบตรงๆ พวกเขาจะเลือก "พูดอะไร" บ้าง? คำตอบบางอันเรียบง่าย บางอันเหมือนคาถา บางอันเหมือนโดนตบเบาๆ ด้วยความหวังดี มาดูกันว่าป้ายโฆษณาทางความคิดจากเหล่าคนเก่งที่สุดในโลก จะบอกเราว่าอะไร
.
.
Naval Ravikant

"Desire is a contract you make with yourself to be unhappy until you get what you want." ความปรารถนา คือสัญญาว่าคุณจะไม่มีความสุข…จนกว่าจะได้ในสิ่งที่อยาก

.
เพราะ Naval เชื่อว่า การวิ่งไล่ตามสิ่งที่ไม่มีวันพอ คือกับดัก ไม่ใช่เพราะมันผิด แต่เพราะมัน "เหนื่อยฟรี" เขาเลือกให้บิลบอร์ดเตือนผู้คนว่า ความสุขไม่ได้รออยู่ข้างหน้าความอยาก แต่มันอยู่ข้างหลังความเข้าใจ
.
.
Brene Brown

"Vulnerability is not weakness. It's courage." ความเปราะบาง ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือ "ความกล้าหาญ"

.
Brown ต้องการเตือนโลกที่เต็มไปด้วยเกราะว่า ความกล้าที่แท้จริง คือการกล้าเปิดเผย กล้ายอมรับว่าเรายังไม่สมบูรณ์ และกล้าเป็นมนุษย์ หากใครเคยฟัง TED Talk ของเธอ จะเข้าใจว่าข้อความนี้ไม่ได้สวยงามอย่างเดียว แต่มัน "กู้ศักดิ์ศรีของการล้มเหลว" กลับคืนมาให้เราทุกคน
.
.
Neil Gaiman

"Make good art." ทำงานศิลป์ที่ดี

.
เรียบง่าย เหมือนจะไร้รายละเอียด แต่ในความเรียบนี้คือคำสั่งที่หนักแน่น Gaiman ไม่ได้บอกให้คุณดัง ไม่ได้บอกให้ขายได้ เขาแค่บอกให้ "ทำต่อไป" เพราะสุดท้าย ความสำเร็จไม่ใช่เป้าหมาย แต่มันคือผลพลอยได้ของคนที่อดทนกับความเงียบได้นานพอ
.
.
Esther Perel

"The quality of your life ultimately depends on the quality of your relationships." คุณภาพชีวิตคุณ = คุณภาพความสัมพันธ์

.
Esther เป็นนักบำบัดที่พูดถึงความรักได้คมยิ่งกว่าหนังรักฝรั่งเศส เธอเตือนว่า "เราอาจจะวัดความสำเร็จจากรายได้ แต่ชีวิตที่อยากตื่นมาใช้ มักถูกกำหนดด้วยคนที่ตื่นมาข้างๆ กัน"
.
.
Kevin Kelly

"Don't be the best. Be the only." อย่าพยายามเป็นคนที่ดีที่สุด พยายามเป็น "คนเดียวที่ทำแบบนี้ได้"

.
Kelly เชื่อว่าโลกจะเปลี่ยนจากการแข่งขันมาเป็นการสร้าง Niche คนที่อยู่ได้ในอนาคต ไม่ใช่คนที่แกร่งกว่า แต่คือคนที่ "แปลกและจริง" จนคนอื่นเลียนแบบไม่ได้ บิลบอร์ดนี้จะสะกิดคุณว่า ถ้าคุณรู้สึกไม่เหมือนคนอื่น บางทีคุณอาจกำลังอยู่ใกล้ "สิ่งที่คุณต้องทำ" มากกว่าที่คิด
.
.
Sam Harris

"You are not controlling the storm. And you are not lost in it. You are the storm." คุณไม่ได้ควบคุมพายุ คุณก็ไม่ได้หลงอยู่ในพายุ แต่…คุณคือพายุ

.
บิลบอร์ดนี้คือลูกผสมของพุทธ-สโตอิก-ไซไฟ มันไม่ได้บอกให้ยอมแพ้ แต่มันบอกว่า สิ่งที่คุณกลัว คือสิ่งที่คุณเป็นส่วนหนึ่ง คุณไม่ต้องหนีมัน คุณแค่ต้องตระหนักว่าคุณมีพลังมากกว่าที่คิด
.
.
Debbie Millman

"Busy is a decision." คำว่า "ยุ่ง" คือการตัดสินใจ ไม่ใช่ข้ออ้าง

.
Millman โกรธเบาๆ กับคนที่ตอบว่า "ยุ่งอยู่" ตลอดเวลา เพราะมันมักเป็นคำอ้างที่เราบอกตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่สำคัญจริงๆ บิลบอร์ดของเธอไม่ปลอบใจ แต่ผลักคุณให้ซื่อสัตย์กับสิ่งที่คุณ "เลือกจะไม่ทำ"
.
.
Tim Ferriss

"You are the average of the five people you most associate with." คุณคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่คุณใช้เวลาด้วยมากที่สุด


Ferriss ชอบบิลบอร์ดนี้เพราะมันไม่ต้องการให้คุณเปลี่ยนโลก แค่เปลี่ยนวงสนทนา ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ แต่ล้อมรอบตัวด้วยคนที่บ่นเรื่องหวย บางทีมันไม่ใช่ดวงที่คุณควรพึ่ง แต่เป็น "คน" ที่คุณควรเลือกคบ
.
.
===============================
.
5. "What is one of the best or most worthwhile investments you've ever made?"
.
อะไรคือหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตคุณ - และทำไมมันถึงคุ้มค่า?

.
.
คำว่า "ลงทุน" ใน Tribe of Mentors ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันคือการ "ฝากบางสิ่งในวันนี้ เพื่อได้บางอย่างในวันหน้า" และที่น่าสนใจคือ การลงทุนที่คนระดับโลกมองว่าคุ้มค่าที่สุด มักไม่เคยมีในหลักสูตร MBA มาดูกันว่า พวกเขาลงทุนอะไร แล้วผลตอบแทนแบบไหนที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง
.
.
ลงทุนกับการบำบัดจิต

Neil Strauss ผู้เขียน The Game บอกว่า การใช้เวลาและเงินไปกับการทำ therapy เป็นการลงทุนที่เปลี่ยนชีวิตเขา "ผมเรียนรู้ว่าความเจ็บปวดในวัยเด็กมันฝังอยู่ในทุกการตัดสินใจของผม และการเข้าใจมัน ทำให้ผมมีอิสระในการเลือกใหม่อีกครั้ง" หลายคนลงทุนกับการเรียนรู้วิธีพูด แต่ลืมลงทุนกับ "การฟังตัวเองอย่างแท้จริง"
.
.
ลงทุนในร่างกาย

Jocko Willink อดีต Navy SEAL บอกว่า "การตื่นตี 4 เพื่อออกกำลังกายทุกวัน ไม่ใช่เรื่องเท่ มันคือเรื่องจำเป็น เพราะชีวิตไม่เคยใจดีพอให้เราตื่นสาย" เขาเชื่อว่าการดูแลร่างกายคือการ "เคารพภารกิจของตัวเอง" เพราะไม่ว่าคุณจะฝันใหญ่แค่ไหน ถ้าคุณหอบขึ้นบันได 3 ขั้น… ก็ไม่ต้องหวังปีนยอดเขา
.
.
ลงทุนซื้อหนังสือ

Maria Popova ผู้ก่อตั้ง Brain Pickings บอกว่า "ฉันซื้อหนังสือทุกเดือน แม้จะไม่มีเวลาอ่านหมด เพราะฉันไม่เคยรู้ว่า…คำตอบของปัญหาชีวิตจะอยู่ในหน้าที่เท่าไร" การซื้อหนังสือจึงไม่ใช่แค่การ "ซื้อสิ่งที่เรารู้ว่าอยากรู้" แต่มันคือการ "เปิดประตูให้ความรู้ที่เรายังไม่รู้ว่าอยากรู้เข้ามา"
.
.
ลงทุนกับการนั่งสมาธิ

Rick Rubin โปรดิวเซอร์ระดับตำนาน บอกว่า เขาลงทุนกับการเรียนรู้การอยู่เฉย "ผมเคยเข้าใจว่าความคิดสร้างสรรค์มาจากการทำเยอะ จนผมพบว่า…มันมาจาก 'การไม่ทำอะไรเลย' ต่างหาก" การนั่งนิ่งๆ คือการสร้างพื้นที่ให้จิตใจได้ย่อยความคิด คล้ายๆ กับการไม่กวนกาแฟเพื่อให้ตะกอนตกและน้ำใสขึ้น
.
.
ลงทุนกับครูที่ดี

Mike Maples Jr. นักลงทุนใน Twitter และ Lyft บอกว่า หนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดคือ "จ่ายเงินให้คนที่เก่งกว่ามาสอนเราโดยตรง" ไม่ว่าจะเป็นครูร้องเพลง โค้ชพูดในที่สาธารณะ หรือที่ปรึกษาด้านการตัดสินใจ "การลงทุนกับคนเก่ง ช่วยให้คุณข้ามหลุมพรางที่เขาเคยตกมาแล้วได้ใน 1 ชั่วโมง แทนที่จะเรียนรู้จากการเจ็บเอง 1 ปี"
.
.
ลงทุนกับ "การไปที่ที่ไม่คุ้นเคย"

Samantha Power อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เล่าว่าเธอลงทุนเดินทางไปเขตสงครามตอนยังเรียนอยู่ ไม่ใช่เพื่อความเท่ แต่เพื่อเข้าใจโลกในแบบที่ไม่มีในห้องเรียน "พื้นที่ที่เรากลัวจะไป อาจเป็นที่ที่ความกล้าของเรารออยู่" การเดินทางจึงไม่ใช่แค่ท่องเที่ยว แต่มันคือ "การปะทะกับชีวิตในแบบที่เราไม่คุ้น"
.
.
ลงทุนกับ "การพูด"

Debbie Millman บอกว่า เธอลงทุนกับการสมัครพูดในที่ประชุมแม้จะกลัวจับใจ เธอรู้ว่าทุกคำพูดแรกมันแย่ แต่ถ้าไม่เริ่มตอนแย่…มันก็ไม่มีวันที่จะดี "เราจะไม่มีวันกลายเป็นนักพูดที่ดี ถ้าเรายังรอวันที่เรารู้สึกว่า 'ฉันพร้อมแล้ว'"
.
.
==============================
.
6. "What is an unusual habit or absurd thing that you love?"
.
คุณมีนิสัยประหลาด หรือพฤติกรรมไร้สาระแบบไหน…ที่คุณรักมันมาก?

.
.
Tim Ferriss = เคี้ยวหมากฝรั่งรสซินนามอนก่อนเขียนทุกครั้ง
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขาพบว่า กลิ่นและรสซินนามอนช่วยให้เข้าสู่โหมด flow ได้ไวขึ้น "มันเหมือน Pavlov's Dog เวอร์ชันนักเขียน — ซินนามอน = ถึงเวลาเขียนแล้วนะ" การสร้าง "trigger ทางประสาทสัมผัส" ให้กับกิจกรรมสำคัญ คือเทคนิคที่ Ferriss ใช้บ่อย เพื่อหลอกสมองตัวเองให้ลื่นเหมือนทาน้ำมัน
.
.
Terry Crews = พกโยเกิร์ตและเนื้ออบตลอดเวลา

ดารานักกล้ามสายฮาคนนี้มีนิสัย "กินทุก 2 ชั่วโมง" ไม่ใช่เพราะหิว แต่เพราะเขาบอกว่า "มันทำให้ผมรู้สึกควบคุมร่างกาย และได้พักจากโลก" เขาพกขนมเนื้อไปแม้กระทั่งในงานเลี้ยงหรู ซึ่งเคยทำให้โดนทักว่า "คุณมาจากดาวไหน?" คำตอบของเขาคือ "ดาวที่โปรตีนต้องมาเป็นอันดับหนึ่งครับ"
.
.
Seth Godin = อาบน้ำร้อนเพื่อไอเดียเยี่ยม

นักเขียนสายมินิมอลอย่าง Seth บอกว่า "ห้องน้ำคือน่านน้ำอุดมไอเดีย" เขามักอาบน้ำก่อนเริ่มงานทุกเช้า แม้จะเพิ่งตื่นมาแค่ 10 นาที และจะไม่ออกจากห้องน้ำจนกว่าจะคิดอะไรได้อย่างน้อย 1 บรรทัด บางคนคิดว่าบ้า แต่เขากลับบอกว่า "ทุกคนควรมีพิธีกรรมแปลกๆ ที่ทำให้สมองรู้ว่า…ตอนนี้ถึงเวลาคิดแล้ว"
.
.
Ben Stiller = ล้างมือ 8 ครั้งก่อนนอน

ไม่ใช่โรคย้ำคิดย้ำทำแบบในหนัง แต่เขาบอกว่าการล้างมือ 8 ครั้งทำให้เขา "รู้สึกปลอดภัย" เหมือน ritual ส่วนตัว มันเป็นนิสัยที่เริ่มมาตั้งแต่เด็ก และแม้จะรู้ว่ามันไม่จำเป็น…เขาก็ยังทำอยู่ เพราะในโลกที่เปลี่ยนเร็ว บางทีสิ่งไร้เหตุผลบางอย่างก็คือ "เข็มทิศส่วนตัว"
.
.
Kevin Kelly = เดินเปลือยในบ้านเพื่อไอเดียใหม่

ใช่ครับ อ่านไม่ผิด เขาบอกว่า การไม่มีเสื้อผ้าทำให้รู้สึก "ไม่มีบทบาทสังคม" และช่วยให้คิดอย่างไร้กรอบ "ในโลกที่เราต้องใส่ Uniform ตลอดเวลา บางครั้งการไม่มีอะไรเลย…ทำให้เราจำได้ว่าเราคือใคร" อย่าลองในออฟฟิศนะครับ ขอเตือนไว้ก่อน
.
.
Susan Cain = พูดคำเดิมซ้ำๆ เวลาคิดหนัก

ผู้เขียน Quiet เล่าว่า เวลาที่ต้องคิดอะไรยากๆ เธอจะพูดคำว่า "hmmmmmmm… let's find the music" ซ้ำไปเรื่อยๆ เหมือนจะงง แต่เธอบอกว่า มันเหมือน "mantra" ที่ช่วยจับจังหวะสมองให้ไหล "ใครๆ ก็มีเสียงในหัว ของฉันแค่เลือกจะเปิดลำโพงให้มันมีจังหวะหน่อยเท่านั้น"
.
.
Liv Boeree = คุยกับตัวเองเป็นบทละคร

อดีตแชมป์โป๊กเกอร์โลกบอกว่า เวลาคิดเรื่องใหญ่ เธอจะจัดฉากเป็นบทสนทนา 2 ตัวละครในหัว คนหนึ่งเป็นฝ่าย emotional อีกคนคือ rational "มันเหมือนเอา Inner Conflict มาดีเบตกัน ไม่ต้องใช้กรรมการ เพราะผู้ฟังคือตัวฉันเองอยู่แล้ว" วิธีนี้ทำให้เธอเข้าใจความลังเลของตัวเองอย่างลึก และลดการตัดสินใจที่ขาดสติได้มาก
.
.
Hugh Jackman = ฟังเพลงเดียววน 50 รอบ

ก่อนขึ้นเวทีหรือต้องถ่ายซีนสำคัญ เขาจะเลือกเพลงหนึ่งเพลง แล้วฟังมันซ้ำไปเรื่อยๆ แม้จะฟังจนจำเบสได้ทุกจังหวะ "มันเหมือนสร้าง Soundtrack ให้กับชีวิตตัวเองชั่วคราว เพื่อเข้าถึงอารมณ์ที่ต้องการอย่างแม่นยำ"
.
.
===========================
.
7. "In the last five years, what new belief, behavior, or habit has most improved your life?"
.
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ความเชื่อ พฤติกรรม หรือ นิสัยใหม่แบบไหนที่ช่วยพัฒนาชีวิตคุณได้มากที่สุด?

.
.
Naval Ravikant = "การไม่ต้องมีความเห็นเสมอไป"

Naval บอกว่าเขาเคยพยายามมีมุมมองต่อทุกอย่างในโลก จนกระทั่งวันหนึ่งเขารู้ว่า "ผมไม่ต้องมีความเห็นกับทุกเรื่อง และไม่ต้องอธิบายตัวเองทุกครั้งที่เงียบ" นี่กลายเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ เพราะมันทำให้เขาไม่เหนื่อยกับสงครามไม่จำเป็น และประหยัดพลังงานไว้ใช้กับสิ่งที่เขา "อยากพูดจริงๆ"
.
.
Tim Urban = "ระวังเวลาเล็กๆ มากกว่าชั่วโมงใหญ่ๆ"

ผู้เขียน Wait But Why บอกว่า "เรามักใส่ใจการใช้เวลาทำโปรเจกต์ใหญ่ๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตจริงๆ คือการบริหารเวลาเล็กๆ ที่สูญเปล่าในแต่ละวัน" เช่น เวลาระหว่างรอ Uber 5 นาที หรือเวลาที่คุณเช็ก IG แค่ "แป๊บเดียว" 15 ครั้งต่อวัน เขาเริ่มเอาเวลาพวกนี้ไปใช้กับการคิด หรืออ่านบทความสั้นๆ แทน ผลลัพธ์คือ เขารู้สึกเหมือนได้เพิ่มเวลาในชีวิตอีกวันละ 1 ชั่วโมง โดยไม่ต้องนอนน้อยลงเลย
.
.
Scott Belsky = "การสร้าง Momentum ความสำเร็จ"

ผู้ร่วมก่อตั้ง Behance และผู้บริหาร Adobe บอกว่า "สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ทำอะไรได้เยอะ แต่คือการมี momentum ที่ไม่หยุด" เขาเริ่มฝึกนิสัย "ทำอะไรเล็กๆ ทุกวัน ที่ผลักงานให้เดินหน้า" แม้จะเป็นแค่ตอบอีเมลหนึ่งฉบับ หรือปรับ UX หน้าเดียว เพราะสิ่งเล็กๆ เหล่านี้เป็นหินก้อนเล็กที่พาเราขึ้นเขาได้เร็วกว่า sprint แล้วหยุด
.
.
Debbie Millman = "การเขียนบันทึกอย่างไม่มีกรอบ"

เธอเริ่มเขียนไดอารี่แบบ free writing ทุกเช้า โดยไม่เซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่จัดระเบียบ "มันเหมือนการเอาขยะในหัวออกมาระบายให้สมุด แล้วค่อยเริ่มวันแบบมีที่ว่าง" เธอบอกว่า นี่คือการ detox จิตใจที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องจ่ายค่า subscription
.
.
Arianna Huffington = "การหยุดนอนน้อยคือการตื่น"

หลังจากล้มหมดสติจาก overwork เธอตัดสินใจเชื่อในคุณค่าของการพักผ่อน "ฉันเปลี่ยนจากคิดว่านอนคือความขี้เกียจ มาเป็นนอนคือกลยุทธ์" ผลคือ ความคิดชัดขึ้น ตัดสินใจดีขึ้น และไม่ต้องจ่ายค่าหมอบ่อยเท่าเมื่อก่อน
.
.
Jason Fried = "การเลิกประชุมคือการเพิ่มประสิทธิภาพ"

เขาตัดประชุมเกือบทั้งหมดออกจากบริษัท และเปลี่ยนมาใช้ข้อความสั้นๆ หรืออีเมลแทน "การประชุมส่วนใหญ่มีไว้เพื่อพิสูจน์ว่าเราอยู่นั่น แต่ไม่ได้ทำให้เราเดินหน้า" นิสัยนี้ทำให้ทีมงาน Basecamp มีเวลาจริงๆ ไปใช้ทำงานที่สำคัญ ไม่ใช่นั่งฟังสไลด์ที่ไม่มีใครสนใจ
.
.
Neil Gaiman = "เขียนด้วยปากกา"

เขาเริ่มกลับมาเขียนนิยายด้วยมือ ไม่ใช่คีย์บอร์ด "เพราะปากกาไม่มีปุ่ม tab-alt-facebook ให้กด" การเขียนช้าๆ ทำให้เขาคิดก่อนจะเขียน และได้ประโยคที่เรียบง่ายแต่ลึกขึ้น
.
.
Sam Harris = "หายใจแบบรู้ตัว"

เขาเริ่มฝึกสติวันละ 10 นาที ไม่ใช่เพื่อความสงบอย่างเดียว แต่เพื่อเรียนรู้ว่า "คุณไม่ได้เลือกให้ความคิดมันมา แต่มันมาเอง แล้วคุณเลือกได้ว่าจะไปต่อหรือไม่" แค่รู้ทันความคิดที่พุ่งขึ้นมา ก็เพียงพอที่จะไม่โดนลากไปติดกับดักเดิม
.
.
==========================
.
8. "What advice would you give to a smart, driven college student about to enter the 'real world'?"
.
ถ้าคุณต้องให้คำแนะนำกับนักศึกษาหัวดี ไฟแรง ที่กำลังจะเข้าสู่โลกแห่งความจริง… คุณจะพูดอะไรกับเขา?

.
.
Max Levchin = "คุณเก่ง…แต่ยังไม่รู้อะไรเลย"

ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal บอกว่า "เมื่อคุณอายุ 22 คุณอาจเป็นคนฉลาดมาก แต่อย่าสับสนระหว่างความฉลาดกับประสบการณ์ สิ่งที่สำคัญคือการเข้าไปอยู่ในสนามจริง และกล้ายอมรับว่า 'ฉันยังไม่รู้' มากแค่ไหน" คำแนะนำของเขาคือ: ไม่ต้องพยายามดูฉลาดต่อหน้าคนที่มีประสบการณ์กว่า แต่ให้เรียนรู้จากพวกเขาแบบ "มือเปล่า" แล้วค่อยเติมของในกระเป๋า
.
.
Naval Ravikant = "อย่าเลือกงานตามชื่อบริษัท"

Naval เตือนเด็กจบใหม่ที่วิ่งหางานในบริษัทที่มีชื่อเสียง ว่า: "คุณไม่ได้กำลังเลือก 'แบรนด์' คุณกำลังเลือก 'ใครที่คุณจะได้อยู่ใกล้'" เขาเสนอให้เลือกทำงานกับคนที่คุณเคารพ ไม่ใช่แค่บริษัทที่ดูเท่ เพราะสิ่งที่ซึมซับได้ทุกวันไม่ใช่โลโก้บนถ้วยกาแฟ แต่คือ "นิสัย ความคิด และวิธีการตัดสินใจ" ของคนที่นั่งข้างคุณ
.
.
Susan Cain = "ถ้ารู้สึกไม่เข้ากลุ่ม…แปลว่าคุณกำลังฟังเสียงตัวเองอยู่"

เธอบอกว่าในโลกทำงาน คนส่วนใหญ่มักถูกสอนให้ "แอคทีฟ พูดเยอะ กล้าแสดงออก" แต่สำหรับคนอินโทรเวิร์ต เธอกลับบอกว่า: "อย่าฝืนให้ตัวเองเป็นแบบนั้นเพื่อให้ 'เข้ากับองค์กร' เพราะการฟังเงียบๆ อาจเป็นจุดแข็งของคุณที่โลกยังไม่เข้าใจ" คำแนะนำของเธอคือ: ถ้าคุณรู้สึกต่าง มันไม่ผิด ขอแค่คุณต่างอย่างมีคุณภาพ และไม่ลืมเคารพความเป็นตัวเอง
.
.
Mike Maples Jr. = "อย่ารีบทำสิ่งที่คุณทำได้ดีเกินไป"

ฟังดูย้อนแย้งใช่ไหม? Mike บอกว่า "คนฉลาดมักถูกผลักดันให้ไปทำสิ่งที่เขาทำได้ดี แต่ปัญหาคือ ถ้าคุณทำมันดีเกินไป คุณอาจติดอยู่กับมันทั้งชีวิตโดยไม่เคยลองอย่างอื่นเลย" เขาแนะนำว่า: ในช่วง 3-5 ปีแรกของชีวิตการทำงาน ให้ลองหลายอย่างมากกว่าทำแค่สิ่งที่ถนัด เพราะคุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่คุณ 'รักจริงๆ' คืออะไร
.
.
Debbie Millman = "ให้เวลาตัวเองได้งงบ้าง"

เธอบอกว่า ความสับสนในช่วงหลังเรียนจบไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ควรรีบหาคำตอบจนเกินไป "บางคนใช้ชีวิต 10 ปีเพื่อเรียนรู้ว่าเขาไม่อยากเป็นอะไร แล้วใช้เวลาอีก 10 ปีเพื่อสร้างชีวิตที่ใช่ ซึ่งมันก็โอเคมากเลย" ดังนั้น อย่ากลัวการเปลี่ยนทาง เพราะเส้นทางที่ดี…ไม่ค่อยมีป้ายบอกไว้ล่วงหน้า
.
.
Jocko Willink = "ตื่นให้เร็วขึ้นก่อนที่จะรู้สึกว่าไม่มีเวลา"

Jocko ผู้เป็นมนุษย์ตี 4 บอกว่า: "ไม่มีใคร 'ว่าง' ให้คุณ คุณต้องขุดเวลาจากมือของโลกออกมาเอง" คำแนะนำของเขาเรียบง่าย: อยากได้ชีวิตที่เหนือกว่าคนอื่น? จงตื่นก่อนพวกเขา
.
.
Tim Urban = "อย่าคิดว่าวันจันทร์หน้าจะมีเวลามากขึ้น"

เขาเตือนว่า นักศึกษาหัวดีมัก "ผัดความฝัน" อย่างชาญฉลาด รอให้พร้อม รอให้ว่าง รอให้มั่นใจ "แต่วันจันทร์หน้าก็ไม่เคยว่าง…มันแค่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับความเหนื่อยมากขึ้น" คำแนะนำคือ: เริ่มก่อน พร้อมทีหลัง
.
.
Adam Robinson = "ความแตกต่างของคนเก่งกับคนพิเศษคือ…ใครกล้าทำในสิ่งที่ไม่มีใครบอกให้ทำ"

เขาแนะนำนักศึกษาว่า "อย่าแค่ทำสิ่งที่ระบบสั่งให้ทำได้ดี แต่จงมองหา 'สิ่งที่ไม่มีใครสั่ง แล้วคุณทำมันได้ยอดเยี่ยม'" นั่นคือโซนของนวัตกรรม และตัวตนของคุณจริงๆ
.
.
==========================
.
9. "What are bad recommendations you hear in your profession?"
.
คำแนะนำแย่ๆ ที่ได้ยินบ่อยในสายงานของคุณคืออะไร?

.
.
Reid Hoffman = "Fake it till you make it"

ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn บอกว่า คำแนะนำนี้อาจเวิร์กถ้าคุณกำลังเล่นละครเวที แต่สำหรับธุรกิจหรือความน่าเชื่อถือระยะยาว… "การแกล้งทำเป็นเก่งกว่าที่คุณเป็น มักจะนำไปสู่การถูกเปิดโปง ไม่ใช่การเติบโต" เขาเสนอคำทางเลือก: "Learn it while you make it" เรียนรู้ไปพร้อมกับลงมือจริง แต่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่คุณยังไม่รู้
.
.
Whitney Cummings = "คุณต้อง 'มีแบรนด์' ของตัวเองให้ชัด"

Whitney นักแสดงและนักเขียนบท บอกว่า คำแนะนำนี้ทำให้คนกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง กลายเป็นติดกับดักของตัวเอง "เราไม่ใช่สินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต เราคือมนุษย์ที่กำลังเติบโตและเปลี่ยนไปได้" เธอเชื่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จจริง ไม่ใช่คนที่ "มีแบรนด์ชัด" แต่คือคนที่ "กล้าเปลี่ยนแบรนด์ของตัวเองเมื่อมันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว"
.
.
Neil Strauss = "แค่ทำงานหนัก แล้วความสำเร็จจะตามมา"

เขาเคยเชื่ออย่างนั้น… จนวันหนึ่งเขาเห็นเพื่อนที่ขยันไม่แพ้กัน แต่ชีวิตไม่ขยับเลย "คุณต้องทำงานหนักในสิ่งที่ถูก ไม่ใช่แค่ 'อะไรก็ได้' และต้องกล้ายอมรับว่า บางครั้งการหยุดคิด อาจดีกว่าการทำต่อ" นี่ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ขี้เกียจ แต่เป็นคำเตือนว่า Productivity โดยไม่มีทิศทาง ก็เหมือนเดินเร็วในเขาวงกต
.
.
Kevin Kelly = "จงตาม Passion"

Kelly บอกว่า คำแนะนำนี้ดีในแง่เจตนา แต่จริงๆ แล้วมันสร้างแรงกดดันให้คนรู้สึกว่า "ถ้ายังไม่เจอ passion แปลว่ายังไม่พร้อมจะเริ่ม" "Passion ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง 'ค้นหา' แต่มันค่อยๆ ปรากฏเมื่อคุณทำบางอย่างไปนานพอ จนเริ่มเข้าใจมัน" ดังนั้นอย่ามัวแต่วิ่งหาความรักในงาน ลองอยู่กับงานให้นานพอ…แล้วคุณอาจเริ่มรักมันโดยไม่รู้ตัว
.
.
Scott Belsky = "รอให้ไอเดียสมบูรณ์ก่อนค่อยเริ่ม"

เขาบอกว่า นี่คือกับดักของนักสร้างสรรค์ "ไอเดียที่สมบูรณ์แบบคือไอเดียที่ยังไม่ถูกใช้จริง และมันมักตายอยู่ใน Google Drive ก่อนจะได้ออกสู่โลก" คำแนะนำของเขาคือ: "เริ่มจากเวอร์ชันที่น่าอาย แล้วค่อยดีขึ้นก็ยังไม่สาย" เพราะ feedback จริงจะไม่มีวันมา…ถ้าคุณไม่กล้าเริ่มจริง
.
.
Ayaan Hirsi Ali = "อย่าทำอะไรที่เสี่ยง"

เธอบอกว่า คำแนะนำนี้มักมาจากคนที่รักคุณ แต่ในทางกลับกัน มันอาจทำให้คุณกลัวทุกอย่างที่ไม่คุ้นเคย "โลกเปลี่ยนเพราะมีคนเสี่ยงในเวลาที่ไม่มีใครกล้า" เธอบอกว่า ความกล้าเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ในชีวิตประจำวัน มักเป็นต้นกำเนิดของเส้นทางที่น่าทึ่ง
.
.
Dita Von Teese = "เป็นตัวของตัวเองเข้าไว้"

แม้จะดูเหมือนดี แต่เธอกลับบอกว่า "ปัญหาคือ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวตนของเราคืออะไร แล้วเราจะ 'เป็น' มันได้อย่างไร?" คำแนะนำของเธอคือ: แทนที่จะ "เป็นตัวของตัวเอง" ลอยๆ ให้ "สร้างตัวของตัวเองขึ้นมา" ด้วยการเลือก ทำ และเรียนรู้ เหมือนออกแบบอวตารของเราเองในโลกจริง
.
.
คำแนะนำที่แย่ที่สุด มักไม่ใช่คำแนะนำจากคนไม่เก่ง แต่มักมาจากคนที่ "เก่งในบริบทของเขา" และ "หวังดีในแบบของเขา" แต่บริบทของคุณไม่เหมือนใคร และบางครั้ง คำแนะนำที่ฟังดูเท่ อาจกลายเป็นลวดหนามที่พันตัวคุณไว้อย่างแนบเนียน
.
.
==========================
.
10. "What have you become better at saying 'no' to?"
.
คุณกล้าปฏิเสธอะไรมากขึ้น?

.
.
Adam Grant = "ผมเริ่มพูดว่า 'ไม่' กับสิ่งที่ผมทำได้ดี…แต่ไม่ได้สำคัญ"


เขาค้นพบว่า สิ่งที่อันตรายไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้ แต่คือสิ่งที่ "ทำได้ดีพอสมควร แต่ไม่ได้พาไปไหน" "เพราะคนเก่งจะมี 'โอกาสดี' เยอะ จนมันกินเวลาของ 'โอกาสดีที่สุด' ไปทีละนิด" Adam เริ่มปฏิเสธงานวิจัยที่ไม่ตรงเป้าหมาย พูดว่า "ไม่" กับงานที่ไม่มี leverage และผลคือเขามีเวลามากขึ้นสำหรับงานที่เปลี่ยนเกมจริงๆ
.


Brené Brown = "ผมกล้าปฏิเสธสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึก 'ผิด' ถ้าไม่รับ"


เธอบอกว่าหลายครั้งที่รับงานเพราะรู้สึกว่า "ต้องช่วย" หรือ "เดี๋ยวเขาจะเสียใจ" แต่ทุกครั้งที่รับแบบฝืนใจ "ฉันต้องหักหลังตัวเองเพื่อให้คนอื่นพอใจ" เธอเรียนรู้ว่า "No" ไม่ใช่การปฏิเสธคนอื่นเสมอไป แต่คือการ "ตอบรับตัวเอง" อย่างซื่อสัตย์
.


Derek Sivers = "ถ้ามันไม่ใช่ 'Hell yes!' มันต้องเป็น 'No'"


ประโยคนี้กลายเป็น quote ระดับโลก แต่ Derek เอามาใช้จริงในทุกการตัดสินใจ "ผมไม่ตอบรับอะไรกลางๆ อีกแล้ว ถ้ามันไม่ทำให้ผมตื่นเต้นสุดๆ ผมจะไม่รับมันเลย" เขาบอกว่า การตัดโอกาส 80% ทำให้เขามีพื้นที่ 20% ที่เหลือชัดขึ้น สงบขึ้น และเปลี่ยนชีวิตได้ลึกกว่า
.


Jason Fried = "ผมเริ่มปฏิเสธการตอบอีเมลทั้งหมดในช่วงเช้า"


เขาเปลี่ยนเช้าให้เป็น sacred zone เพราะรู้ว่าการตอบอีเมลคืองานที่ "เหมือนทำงาน" แต่จริงๆ ไม่ได้ขยับอะไร "ถ้าคุณเริ่มวันด้วยการตอบคำถามของคนอื่น คุณจะหมดพลังก่อนจะได้เริ่มตอบคำถามของตัวเอง"
.


Jimmy Chin = "ผมกล้าปฏิเสธงานที่คนอื่นอยากได้มาก…ถ้ามันไม่ใช่ตัวผม"


ในฐานะช่างภาพและนักปีนเขาที่ได้รางวัลระดับโลก เขาเล่าว่ามีงานใหญ่ๆ หลายชิ้นที่เขาต้อง "บอกปัด" เพราะมันไม่ตรงกับเส้นทางหรือคุณค่า "การปฏิเสธงานที่ดี เป็นการสร้างชีวิตที่ดีที่สุด"
.


Esther Perel = "ผมเลิกพูดว่า 'ได้สิ' กับทุกคำขอใช้เวลา"


เธอบอกว่า เธอเคยใช้เวลามากกับการฟังเรื่องของคนอื่น จนไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง "ผมกล้าบอกว่า 'ไม่' กับคำเชิญที่ทำให้ผมต้องวิ่งตามตารางของคนอื่น" และนั่นทำให้เธอกลับมามีพื้นที่คิด ค้นหา และสร้างสิ่งใหม่จากความสงบ ไม่ใช่ความวุ่นวาย
.
.
===========================
.
11. "When you feel overwhelmed or unfocused, what do you do?"
.
เวลาเหนื่อยล้า หมดไฟ หรือจิตใจว้าวุ่น คุณทำอย่างไร?

.
.
Tim Ferriss = "เขียนปัญหาลงกระดาษ"


เขาใช้เทคนิคที่เรียกว่า fear-setting ซึ่งเป็นการเขียนออกมาว่า: ถ้าทำสิ่งนี้ จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าไม่ทำ จะเกิดอะไรขึ้น? จะแก้ได้ยังไงถ้าเกิดสิ่งแย่ที่สุด? "การเห็นปัญหาบนกระดาษ ทำให้มันดูเล็กลงกว่าตอนอยู่ในหัวเสมอ"
.


Josh Waitzkin = "ลงน้ำ ดำน้ำ หายใจ"


อดีตแชมป์หมากรุกและนักกีฬา martial arts เลือกใช้กิจกรรม physical เช่นการว่ายน้ำกลางแจ้ง หรือการเดินลุยป่าแบบไม่มีมือถือ "ผมไม่พยายาม 'แก้' ความว้าวุ่น แต่ปล่อยมันไว้ แล้วออกไปหาพื้นที่ที่สติเกิดได้เอง" เขาเชื่อว่า clarity ไม่ใช่ผลจากการบังคับคิด แต่จากการเปิดพื้นที่ให้จิตใจได้พัก
.


Maria Popova = "เขียนเช้า อ่านบ่าย อย่าตอบอีเมลทันที"


ผู้ก่อตั้ง Brain Pickings บอกว่า เธอจัดเวลาชีวิตใหม่เพื่อรักษาความชัดเจนในความคิด = เขียนตอนเช้า (เพราะสมองยังสด) อ่านตอนบ่าย (เพื่อเติมวัตถุดิบ) ตอบอีเมลเป็นรอบ ไม่ใช่ทันที (เพื่อลดแรงสะเทือน) "จังหวะของโลกออนไลน์ไม่ใช่จังหวะของสมองเรา"
.


Bear Grylls = "เข้าธรรมชาติ เพื่อจำว่าเราเล็กแค่ไหน"


เขาบอกว่า เวลาเครียด เขาจะออกไปปีนเขา หรืออย่างน้อยก็เดินในป่า "เวลาเรารู้สึกว่าชีวิตเราใหญ่โตจนอัดแน่น ลองไปอยู่ท่ามกลางภูเขาหรือทะเล แล้วจะรู้ว่า เราเล็กแค่ไหน และปัญหาใหญ่แค่ไหนกันแน่"
.


Neil Gaiman = "เขียนด้วยปากกา และปล่อยให้ตัวละครพาไป"


เขาบอกว่า เมื่อเขาหมดไฟหรือว้าวุ่น เขาจะกลับไปนั่งกับกระดาษและปากกา (ไม่ใช่คอม) "ผมไม่พยายามเขียนอะไรดีๆ แต่แค่เขียนให้ต่อเนื่อง แล้วปล่อยให้จินตนาการค่อยๆ ฟื้นตัวเอง"
.


Esther Perel = "ฟังลมหายใจตัวเอง"


เธอฝึกการฟังลมหายใจ ไม่ใช่แบบแอปสมาธิ 10 นาที แต่คือฟังมันจริงๆ ตอนขับรถ ล้างจาน หรือรอคิว "มันคือการกลับบ้านสู่ร่างกาย เวลาคุณฟุ้งไปไกลเกินไป ลมหายใจจะดึงคุณกลับมา"
.


Kevin Kelly = "ทำให้น้อยลง เพื่อได้มากขึ้น"


เขาบอกว่า เวลาเขารู้สึกว่าทุกอย่างรบกวน เขาจะลบแอป ล้างตาราง และหยุดรับ input "ชีวิตเหมือนแว่นตา ถ้าสกปรกเกินไป...ไม่ต้องหาคำตอบ แค่เช็ดก่อน"
.
.
===================
.
.
หลังจากอ่าน Tribe of Mentors จบ คุณจะได้รู้ว่า…
.
คนเก่งระดับโลกบางคนตื่นตีห้า บางคนตื่นเที่ยง
.
บางคนวิ่งมาราธอน บางคนหลบไปนั่งสมาธิในห้องครัว
.
บางคนบอกให้ “พูดว่า ‘ใช่’ กับทุกโอกาส”
.
บางคนบอกว่า “เรียนรู้ที่จะพูด ‘ไม่’ อย่างสง่างาม”
.
…ซึ่งทั้งหมดขัดกันหมดเลยครับ
.
แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ
.
“ความมั่นใจในการให้คำแนะนำ ที่ขัดกับคำแนะนำของคนอื่นอย่างเต็มภาคภูมิ”
.
นี่คือความงดงามของหนังสือเล่มนี้
.
คุณจะได้เลือกคำแนะนำที่เข้ากับอัตลักษณ์
.
หรือเลือกอัตลักษณ์ให้เข้ากับคำแนะนำก็ได้เหมือนกัน

.
โลกไม่ได้ต้องการคำตอบที่ดีที่สุด เร็วที่สุดเสมอไป บางครั้งมันแค่ต้องการคนที่กล้ายอมรับว่า
.
“ขอโทษครับ ขอไปเดินเล่นรอบตึกก่อน แล้วเดี๋ยวกลับมาตอบ”
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters โดย Brian Klaas

Next
Next

สรุปหนังสือ "Ego Is the Enemy" โดย Ryan Holiday หนทางสู่การเอาชนะอัตตา