สรุปหนังสือ Ultra-Processed People เขียนโดย Chris van Tulleken

บางคนกินเพื่ออยู่, บางคนอยู่เพื่อกิน และบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘กำลังกินอยู่’
.
ขอแสดงความยินดีครับ ถ้าคุณเปิดบทความนี้ตอนกำลังถือขนม แสดงว่าคุณเป็นเป้าหมายหลักของหนังสือเล่มนี้ 100%
.
และถ้าขนมนั้นเป็นของที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย “คริสปี้”, “ช็อกโก”, หรือคำว่า “Lite” ที่ไม่ได้เบาเลยแม้แต่น้อย คุณมาถูกที่แล้วครับ
.
ในโลกของ Ultra-Processed Food รสชาติไม่ใช่แค่เครื่องปรุง แต่มันคืออาวุธ
.
หวานแบบที่ไม่ใช่น้ำตาล, เค็มแบบที่ไม่มีเกลือ, กลิ่นแบบวานิลลาที่ไม่เคยปลูกบนโลก
.
ทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณพูดว่า “อืมม… อร่อยแฮะ” โดยที่ลิ้นคุณเองยังไม่ทันตั้งตัว
.
และสิ่งที่อร่อยเกินไป มักมีราคาที่ร่างกายต้องจ่ายในแบบที่คุณไม่เห็นทันที
.
ความดันเลือดที่สูงขึ้นเล็กน้อย, อารมณ์ที่หงุดหงิดง่ายขึ้นเล็กน้อย
.
ความเหนื่อยล้าที่เหมือนจะไม่มาก… แต่ก็ไม่เคยหาย
.
ทั้งหมดนั้นอาจไม่ได้มาจากอายุ แต่มาจาก “รสชาติ” ที่คุณยอมให้เข้าปากทุกวัน
.
.
===============================
.
1. ไอศกรีมไม่ละลาย กับวิวัฒนาการการกินที่เปลี่ยนเราเป็น “สิ่งมีชีวิตที่บริโภคความสะดวก”
.
Chris van Tulleken เริ่มต้นเล่มด้วยการเล่าเรื่องเบา ๆ แต่แทงใจดำ การนั่งกินไอศกรีมกับครอบครัวในสวนสาธารณะ ซึ่งควรจะเป็นโมเมนต์แห่งความสุขแบบชาวอังกฤษดั้งเดิม แต่แท่งไอศกรีมที่ลูกสาวกินดัน “ไม่ละลาย” ทั้งที่แดดเปรี้ยง มันน่าขำ... ถ้าไม่น่ากลัว
.
เขาหยิบไอศกรีมขึ้นมาดูส่วนผสม และพบว่าเต็มไปด้วยสารเคมีแปลกประหลาด ทั้งคาร์ราจีแนน, ไมโครคริสตัลลีนเซลลูโลส และกลีเซอรีน ซึ่งไม่ใช่ของต้องห้ามทางกฎหมาย แต่ก็ไม่ใช่ของที่เราจะเห็นในครัวของทวดคุณ
.
เขาพาเราไปรู้จัก Paul Hart อดีตผู้บริหารวงในของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ผู้ไขความลับว่าไอศกรีมยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องมีนม ไข่ หรือแม้แต่การละลาย ขอแค่มีเนื้อสัมผัส “เหมือนไอศกรีม” ก็พอ และถ้าทำให้ราคาถูกลง เก็บได้นานขึ้น ขนส่งสะดวกขึ้น = บริษัทก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
.
.
2. UPF คืออะไร
.
คำว่า “Ultra-Processed Food” หรือ UPF คืออาหารที่ไม่ได้แค่ผ่านกระบวนการปรุง แต่ถูกสร้างขึ้นจากการ “ผลิตสารอาหารขึ้นมาใหม่” โดยใช้วัตถุดิบราคาถูกมาก ๆ ที่ผ่านการสกัดแยกปรับแต่ง (เช่น โปรตีนจากถั่วเหลือง, น้ำตาลฟรักโตสไซรัป, ไขมันสังเคราะห์) แล้วปรุงแต่งกลิ่น สี รส สัมผัสด้วยสารเคมีและเทคโนโลยีระดับอุตสาหกรรม
.
นั่นหมายความว่า ไอศกรีม, ขนมปังแผ่น, ไส้กรอก, น้ำผลไม้กล่อง, ชาไข่มุก, เบเกอรี่, ขนมถุง ฯลฯ ล้วนเป็น UPF หรือพูดอีกอย่างคือ ถ้าคุณอ่านฉลากแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอ่านฉลากน้ำยาล้างห้องน้ำอยู่ สิ่งคุณน่าจะถืออยู่ในมือคือ UPF ชัด ๆ
.
.
3. อาหารแปรรูปกับความยากจน
.
Chris ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคอังกฤษ (และทั่วโลก) กำลังใช้เงินซื้ออาหารน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้ ซึ่งฟังดูดี... ถ้าอาหารที่เราซื้อถูกลงเพราะ “ดีขึ้น” แต่ในความเป็นจริง มันถูกลงเพราะ “ผลิตง่ายขึ้น” และ “มีสารแทนของจริง” มากขึ้น
.
เช่นเดียวกับที่ “มาการีน” ถูกผลิตขึ้นมาแทนเนยในช่วงสงครามโลก โดยใช้ไขมันสังเคราะห์จากพืชที่ผ่านไฮโดรจีเนชัน แล้วปรุงรสให้เหมือนเนย ทุกวันนี้ของแบบนี้กลับกลายเป็นพื้นฐานของขนมเบเกอรี่ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลก
.
ผู้คนที่ต้องประหยัดค่าอาหาร จึงหนีไม่พ้นการบริโภค UPF และระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเชิงอุตสาหกรรมก็ทำให้มันกลายเป็น “ของปกติ” ในห่วงโซ่ชีวิตประจำวัน
.
.
4. การทดลองกิน UPF 30 วัน
.
Chris ไม่ได้แค่พูดในฐานะหมอหรือนักวิจัย เขาทำการทดลองกินอาหาร UPF ล้วน ๆ นาน 30 วัน เริ่มด้วยซีเรียล Coco Pops ที่ลูกสาวเขาหลงรักเพราะกล่องลายลิง ไม่ใช่เพราะรสชาติ พ่อแม่ทุกคนคงเคยเจอประสบการณ์แบบนี้
.
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ความเบื่อหน่ายและท้องผูก แต่รวมถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความอยากอาหารที่ควบคุมไม่ได้ และอาการคล้ายซึมเศร้าเล็กน้อย
.
เขานำเสนอทฤษฎีว่า UPF ไม่ได้แค่มีพลังงานเยอะ แต่มัน “ออกแบบ” มาให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการกินได้ สมองไม่ได้รับสัญญาณ “อิ่ม” เพราะไม่มีเส้นใยอาหาร ไม่มีเนื้อสัมผัสให้เคี้ยว ไม่มีความซับซ้อนในการย่อย
.
.
5. NOVA ระบบจำแนกอาหาร
.
เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจอาหารแบบใหม่ได้ง่ายขึ้น Carlos Monteiro นักโภชนาการจากบราซิล ได้สร้างระบบที่เรียกว่า NOVA Classification แบ่งอาหารออกเป็น 4 กลุ่ม
.
1. อาหารไม่แปรรูปหรือแปรรูปขั้นต่ำ (ผัก ผลไม้ เนื้อสด)
.
2. ส่วนผสมสำหรับใช้ปรุงอาหาร (น้ำมัน น้ำตาล เกลือ)
.
3. อาหารแปรรูปธรรมดา (ปลาเค็ม ชีส ขนมปัง)
.
4. Ultra-Processed Food (กลุ่มที่เราพูดถึง เต็มไปด้วยสารและกระบวนการอุตสาหกรรม)
.
ระบบ NOVA ถูกนำไปใช้ในการวิจัยระดับนานาชาติ และงานของ Kevin Hall นักวิทยาศาสตร์จาก NIH สหรัฐอเมริกา ก็ช่วยยืนยันว่าการกินอาหาร UPF 100% ทำให้คนกินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวและน้ำหนักเพิ่มเร็วโดยไม่จำเป็นต้องอร่อยกว่า
.
ทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม โดยควบคุมแคลอรีและสารอาหารให้เท่ากัน แต่กลุ่มที่กิน UPF กลับกินมากกว่าราว 500 แคลอรีต่อวัน!
.
.
6. UPF กับวิวัฒนาการของการกิน
.
Chris พาเราย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ 3 ยุคของ “การกิน”
.
1. ยุคแรก: สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่กินหิน กินแร่ธาตุ = การกินเพื่อเอา “พลังงานทางเคมี”
.
2. ยุคสอง: สิ่งมีชีวิตกินกันเอง = นักล่า เหยื่อ พฤติกรรมการหาอาหารแบบมีชีวิตชีวา (และกลไกสมองก็ถูกสร้างขึ้นในยุคนี้)
.
3. ยุคสาม: มนุษย์กินอาหารที่ “ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา” แบบไม่เหมือนอาหารอีกต่อไป = UPF
.
ในยุคสมัยของ UPF นี้ มนุษย์ไม่ได้ใช้ “สัญชาตญาณการกิน” เหมือนสัตว์อื่น ๆ อีกแล้ว แต่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อไม่ให้ถูก “หลอกให้กินของไม่มีสารอาหารแต่กินเพลิน” ทั้งวัน
.
Chris ยกงานวิจัยของ Clara Davis ในช่วงปี 1920s ซึ่งทดลองให้เด็กเล็กเลือกอาหารได้เองจากอาหารแท้ 100% โดยไม่บังคับ พบว่าเด็กสามารถเลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนได้ด้วยสัญชาตญาณบ่งชี้ว่า ถ้าอาหารยัง “เป็นอาหารจริง” มนุษย์จะรู้ว่าควรกินอะไรเท่าไร
.
แต่ในโลก UPF ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้สับสน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สี เสียงสัมผัส การตลาด ทุกอย่างคือ “กลลวงทางประสาทสัมผัส” ที่ออกแบบมาเพื่อขาย ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงชีพ
.
.
7. บทเรียนจากเนยถ่านหิน และขีดจำกัดของมนุษย์
.
หนึ่งในกรณีศึกษาสุดโหดคือ “coal butter” เนยที่ผลิตจากการแปรรูปถ่านหินในเยอรมนียุคนาซี ซึ่ง Chris นำมาเปรียบเปรยว่า มนุษย์กล้าเรียกสิ่งที่ไม่ใช่อาหารว่าอาหารได้เสมอ ถ้ามันขายได้และมีตลาด
.
มันคือบทเรียนว่า เทคโนโลยีและธุรกิจสามารถปั้นสิ่งที่ไม่ควรกิน ให้คนกินได้ถ้ามีอำนาจพอ และเราเองก็กำลังอยู่ในวังวนคล้ายกันนี้
.
.
8. ระบบแคลอรีของร่างกายไม่ใช่เครื่องคิดเลข
.
Chris รื้อความเข้าใจผิดสำคัญ: เรามักคิดว่า “กินเข้าไปเท่าไหร่ - ใช้ออกเท่าไหร่ = น้ำหนัก”
.
แต่จริง ๆ แล้วร่างกายไม่ใช่เครื่องคิดเลข และพลังงานไม่ใช่ตัวแปรคงที่เหมือนในคณิตศาสตร์
.
เขาอธิบายว่า ระบบควบคุมพลังงานของมนุษย์วิวัฒนาการมานับร้อยล้านปี มีการส่งสัญญาณจากฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น leptin (จากไขมัน) เพื่อบอกว่าเราควรหิวไหม อิ่มหรือยัง หรือควรสะสมไขมัน
.
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กลไกเหล่านี้ทำงานได้แม่นยำในสภาพแวดล้อมดั้งเดิมที่เรากินพืช ผัก ผลไม้ โปรตีนจากสัตว์ แต่เมื่อ UPF เข้ามาในระบบ ร่างกาย “โดนหลอก” อย่างเป็นระบบ
.
.
9. อ้วนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ “ระบบสร้างโรคอ้วน” คือของใหม่
.
มนุษย์ในอดีตก็มีความอ้วนอยู่บ้าง (แม้จะไม่มากนัก) โดยเฉพาะในสตรีที่ต้องสะสมไขมันเพื่อการสืบพันธุ์
แต่ตั้งแต่ช่วงปี 1970 เป็นต้นมา อัตราโรคอ้วนพุ่งขึ้นอย่างน่ากลัว โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
.
ทำไม?
.
คำตอบสั้น ๆ ของ Chris คือ: ไม่ใช่น้ำตาล ไม่ใช่แคลอรี ไม่ใช่การไม่วิ่งเล่น แต่คือ “ระบบที่ออกแบบมาให้กินเกิน โดยไม่รู้ตัว”
.
.
10. ไม่ใช่น้ำตาล (อย่างเดียว)
.
Chris โต้แย้งกับแนวคิด “น้ำตาลคือปีศาจ” ซึ่งถูกผลักดันโดยนักเขียนชื่อดัง Gary Taubes ที่เสนอว่า คาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะน้ำตาล เป็นตัวการที่ทำให้เราอ้วนเพราะมันกระตุ้นอินซูลิน แล้วร่างกายก็เก็บไขมันทันที
.
ฟังดูมีเหตุผลใช่ไหม?
.
แต่ Kevin Hall นักวิจัยด้านโภชนาการ (คนเดิมจากข้อ 5) ได้ทำการทดลองเปรียบเทียบ
.
การกินไขมันสูง vs คาร์บสูง พบว่าไม่มีความแตกต่างด้านน้ำหนักระยะยาวที่ชัดเจน
.
แปลว่าไม่ว่าจะกินน้ำตาลหรือไขมัน ถ้าอยู่ในรูปแบบที่ไม่ใช่ UPF ร่างกายก็ยังควบคุมได้
.
สิ่งที่ Chris พยายามบอกคือ อย่าโทษน้ำตาลเพียงอย่างเดียว แล้วหลงดีใจกับ “น้ำตาลเทียม” หรือ “0 แคลอรี” เพราะมันก็คือ UPF แบบใหม่ ที่อาจร้ายยิ่งกว่า
.
.
11. ความเชื่อผิด ๆ เรื่อง “อ้วนเพราะไม่ออกกำลังกาย”
.
เปิดด้วยภาพคนขึ้นบันไดเลื่อนแค่ 3 ขั้นแทนที่จะเดิน แล้วหลายคนก็สรุปทันทีว่า “เห็นไหม? คนยุคนี้มันขี้เกียจ เลยอ้วน”
แต่ Chris สวนกลับด้วยข้อมูลเด็ด ๆ:
.
คนยุคนี้ ไม่ได้ใช้พลังงานน้อยลงมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเมื่อร้อยปีก่อน
.
งานวิจัยของ Herman Pontzer แสดงให้เห็นว่า คนในเผ่าพื้นเมืองที่ออกแรงตลอดวัน กลับเผาผลาญพลังงานใกล้เคียงกับคนทำงานออฟฟิศ
.
เพราะร่างกาย “ปรับ” ระบบเผาผลาญให้สมดุลตามการใช้พลังงาน
.
สรุปคือ การออกกำลังกายสำคัญต่อสุขภาพหัวใจ กล้ามเนื้อ ฯลฯ แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการลดความอ้วน
เพราะถ้าคุณกิน Pringles แล้วออกไปวิ่ง 20 นาที มันก็ไม่ลบสิ่งที่มันทำกับสมองคุณได้
.
.
12. ไม่ใช่เพราะคุณไม่มี “วินัย”
.
Chris หยิบเอาข้อครหาที่เจ็บปวดที่สุด “คนอ้วนไม่มีวินัย” มาตั้งคำถามใหญ่
.
เขาเสนอว่า “การตำหนิคนอ้วนว่าขาดวินัยคือการเพิกเฉยต่อระบบที่ออกแบบให้ล้มเหลว”
.
มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ว่า พันธุกรรมมีผลต่อพฤติกรรมการกิน ไม่ใช่แค่ “หิวง่าย” แต่รวมถึง “ชอบกินของหวาน” หรือ “ตอบสนองต่อกลิ่นอาหารเร็ว”
.
สิ่งแวดล้อมแบบ Food Swamp (พื้นที่ที่มีแต่ร้านอาหารขยะ) และโฆษณาเล็งกลุ่มเป้าหมายเด็ก ก็หล่อหลอมพฤติกรรมโดยที่เราไม่รู้ตัว
.
ความเครียดเรื้อรัง โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อย ทำให้ระบบฮอร์โมนหิว-อิ่มเสียสมดุล
.
Chris เปรียบเทียบว่า:
.
“ถ้าคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีแต่ขนมหวานทุกซอย มีโปสเตอร์แมคโดนัลด์ทุกมุม มีเด็กกินมันฝรั่งทอดในรถเมล์ทุกเช้า... คุณจะไม่รู้สึกอยากขึ้นมาบ้างเลยเหรอ?”
.
.
13. UPF “แฮกสมอง”
.
นี่คือจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนที่สุดในเล่ม Chris เริ่มรู้สึกว่า เขากำลัง “ติด” อาหารบางอย่าง
.
และมันไม่ใช่ความรู้สึก “อยากกินเพราะหิว” แต่มันเหมือน ติดบุหรี่ ติดมือถือ ติดการพนัน
.
เขาเล่าว่าเริ่มรู้สึก “มีความสุขเฉพาะตอนเปิดกล่องอาหารแช่แข็ง แล้วกลิ่นครีมซอสผง ๆ ลอยมา” แต่พอกินเสร็จกลับรู้สึกเศร้า เครียด และผิดหวังกับตัวเอง
.
นักวิทยาศาสตร์ที่เขาคุยด้วยอธิบายว่า UPF ถูกออกแบบโดยใช้โมเดลเดียวกับยาเสพติด
.
มันผสม ความเค็ม + ไขมัน + น้ำตาล + เนื้อสัมผัสนุ่มลื่น + กลิ่นปรุงแต่ง จนเกิด “Hyper-Palatability” = ความอร่อยระดับอัปมงคล ที่ทำให้คุณหยุดไม่ได้
.
การกินอาหารแบบนี้ทำให้โดปามีนหลั่งทันที และบ่อยครั้งโดยไม่ต้องเคี้ยว ไม่ต้องย่อย
.
MRI สมองของ Chris เองแสดงให้เห็นว่าหลังจากกิน UPF สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับรางวัล (reward center) มีการเชื่อมต่อมากขึ้น
.
พูดง่ายๆคือ มันคือการ “ฝึกสมองให้ติด” แต่ถูกกฎหมายและขายในร้านสะดวกซื้อ
.
.
14. UPF ทำให้คุณหิว แม้คุณจะเพิ่งอิ่ม
.
Chris สังเกตว่า ร่างกายเขาเริ่มรู้สึกหิวแม้จะกินไปมากแล้ว และกลายเป็นความรู้สึกคล้าย “อารมณ์หิว” มากกว่า “ร่างกายหิวจริง”
.
เหตุผลที่น่าตกใจคือ
.
UPF มักมีเนื้อสัมผัสนุ่ม ลื่น เคี้ยวง่าย ร่างกายจึงไม่มีเวลาส่งสัญญาณว่าอิ่ม
.
ไม่มีเส้นใย ไม่มีปริมาณพอที่จะทำให้กระเพาะรู้สึกเต็ม
.
ไขมันถูกแยกและแปรรูปจนดูดซึมเร็วเกินไป ทำให้พลังงานมาเร็วแต่หมดเร็ว จนหิวซ้ำ
.
ที่สำคัญคือ สมองไม่รู้ว่าอาหารที่กินเข้าไปคืออะไร เพราะไม่มีรสชาติตรงกับคุณค่าอาหารจริง ๆ
.
เช่น กินโยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รี (แต่ไม่มีสตรอว์เบอร์รีจริง) สมองสับสนว่าควรตอบสนองอย่างไร → ความหิวไม่หาย
.
.
15. UPF กินง่าย เพราะมันถูก “เคี้ยวมาก่อน” แล้ว
.
Chris เปิดเผยข้อเท็จจริงน่าตกใจ
.
อาหารแปรรูประดับสุดขั้ว มักมีลักษณะ “นุ่ม ลื่น เคี้ยวง่าย” เพราะถูกออกแบบมาให้ “กินได้เร็วที่สุด”
.
นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Anthony Fardet อธิบายแนวคิดเรื่อง “Food Matrix” หรือ “โครงสร้างของอาหาร” ซึ่งหมายถึงลักษณะทางกายภาพของอาหารที่ส่งผลต่อการเคี้ยว ย่อย ดูดซึม และความรู้สึกอิ่ม
.
เขายกตัวอย่างงานวิจัยตั้งแต่ปี 1977 ที่เปรียบเทียบ แอปเปิลทั้งลูก vs แอปเปิลปั่น vs น้ำแอปเปิล พบว่า
.
แอปเปิลทั้งลูก → ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้า และอิ่มนาน
.
น้ำแอปเปิล → น้ำตาลพุ่งพรวด และหิวเร็ว
.
นี่คือเหตุผลว่าทำไม กิน Coco Pops ได้ 2 ถ้วย แต่กินข้าวโอ๊ตต้มกับผลไม้แค่ครึ่งจานก็อิ่มแล้ว เพราะโครงสร้างอาหารมันเปลี่ยนไป
.
Chris เรียกสิ่งนี้ว่า “อาหารเคี้ยวล่วงหน้า” (pre-chewed food) ที่ไม่ต้องผ่านการใช้แรงกล้ามเนื้อปาก ไม่กระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ไม่ส่งสัญญาณอิ่ม มันผ่านลำไส้ก่อนที่คุณจะรู้ตัวว่า “พอแล้ว”
.
.
16. กลิ่นหอมที่ไม่ใช่กลิ่นจริง
.
โลกของ “กลิ่น” ประสาทสัมผัสที่ทรงพลังที่สุดในด้านอารมณ์ ความทรงจำ และความอยากอาหาร
.
แต่น่าเสียดาย... มันกลายเป็นเครื่องมือทางอุตสาหกรรม
.
Chris คุยกับนักปรัชญาด้านประสาทสัมผัสชื่อ Barry Smith ผู้อธิบายว่า “รสชาติที่เราสัมผัส ไม่ได้อยู่ที่ลิ้น แต่อยู่ในสมอง”
.
การทดลองหนึ่งที่เขายกคือ
.
เอาไวน์ขาวมาผสมสีแดง → ผู้เชี่ยวชาญไวน์บอกว่า “กลิ่นคล้ายผลไม้แดง” ทั้งที่มันคือไวน์ขาวล้วน ๆ
.
ประเด็นคือ กลิ่นมีอิทธิพลต่อสมองก่อนที่เราจะตักคำแรกเข้าปาก
.
บริษัทอาหารใช้สิ่งนี้อย่างชาญฉลาด เช่น การฉีด “กลิ่นวานิลลา” ลงบนกล่องไอศกรีม หรือใช้ “กลิ่นแฮม” แต่งขนมอบให้รู้สึกอร่อยกว่าเดิม
.
กลิ่นที่ไม่มีสารอาหารจริง ส่งผลให้สมอง “สับสน” และเรากินต่อไปโดยไม่อิ่ม
.
.
17. รสชาติที่ผิดธรรมชาติ กำลังทำให้คุณติดโดยไม่รู้ตัว
.
Chris คุยกับ Andrea Sella นักเคมีที่เชี่ยวชาญเรื่อง “โมเลกุลรสชาติ”
.
เขาอธิบายว่า UPF ใช้ สารเพิ่มรส เช่น กลูตาเมต, ไอโนซิเนต, กวานิเลต ฯลฯ เพื่อขยายรส “อูมามิ” ให้ลึกขึ้นโดยไม่ต้องมีเนื้อสัตว์จริง ๆ
.
สิ่งที่ Chris พบคือ
.
ความหวานที่อ่อนลงเพราะความเปรี้ยวถูกปรับสมดุลไว้ เช่น Coca-Cola มีปริมาณน้ำตาลที่มากจนน่าตกใจ แต่กลับไม่หวานเลี่ยน เพราะมี “กรด” และ “ความซ่า” ช่วยกลบ
.
ความรู้สึกเค็ม เผ็ด มัน ลื่น ถูกปรับอย่างพอดีโดยไม่ต้องมีวัตถุดิบหลัก
.
การผสมผสานรสทำให้ “ร่างกายประเมินคุณค่าของอาหารผิดพลาด”
.
Chris ใช้คำว่า “mismatched sensation” หมายถึง “การรับรู้ผิดพลาด” เช่น กินอะไรหวาน แต่ไม่มีพลังงานจริง (เพราะใช้น้ำตาลเทียม) → สมองเริ่มเสียระบบประเมิน
.
นานวันเข้า มันกลายเป็นการฝึกให้คุณอยากรสจัดขึ้นเรื่อย ๆ และอิ่มยากลงทุกวัน
.
.
18. ความจริงอันซ่อนเร้นของสารเติมแต่ง: เมื่อ “น้ำซุปสุขภาพ” ทำให้ลำไส้ป่วย
.
เปิดด้วยภาพชีวิตประจำวันของ Chris ที่ทำงานในโรงพยาบาล ใกล้ร้าน Pret a Manger ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแบรนด์สุขภาพ
.
เขาซื้อ “ซุปเห็ด” กับ “แซนด์วิชผักย่าง” ที่ดูธรรมชาติ แต่พออ่านฉลากกลับพบว่าเต็มไปด้วยสารแต่งกลิ่น สารกันบูด และสารเพิ่มเนื้อสัมผัส
.
แล้ว Chris ก็เริ่มตั้งคำถาม
.
ทำไม “อาหารสุขภาพ” ถึงมีวัตถุดิบ 36 อย่าง?
.
เขาไปค้นต่อ พบว่าสารที่น่ากังวลที่สุดใน UPF คือ emulsifiers สารที่ทำให้น้ำกับน้ำมันเข้ากัน เช่น Carboxymethylcellulose, Polysorbate 80
.
แม้จะได้รับอนุญาตให้ใช้ แต่มีงานวิจัยในหนูที่แสดงว่า:
.
ทำให้เมือกในลำไส้บางลง
.
ก่อให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร
.
เปลี่ยนแปลงสมดุลจุลินทรีย์ (gut microbiome)
.
และอาจเชื่อมโยงกับโรคอ้วน, เบาหวาน, และ IBS
.
ผลกระทบนี้ Chris เรียกว่า “การทำลายลำไส้แบบช้า ๆ”
.
.
19. ระบบลำไส้
.
Chris พาเราเข้าสู่โลกของ “dysregulatory bodies” หรือ ร่างกายที่สูญเสียการควบคุมตนเอง
.
เขาอธิบายว่าระบบลำไส้มีเซลล์ประสาทกว่า 500 ล้านเซลล์ และส่งสัญญาณกับสมองผ่านเส้นประสาทเวกัส (vagus nerve)
.
มันไม่ใช่แค่ “ย่อยอาหาร” แต่ควบคุมอารมณ์ ภูมิคุ้มกัน และระดับการอักเสบทั่วร่างกาย
.
เมื่อ UPF เข้าไปแทรกแซง:
.
-จุลินทรีย์ดีในลำไส้ถูกฆ่า
.
-การผลิตสารสำคัญ เช่น serotonin (ฮอร์โมนแห่งความสุข) ลดลง
.
-เส้นใยอาหารจากธรรมชาติขาดหาย
.
-ระบบส่งสัญญาณ “อิ่ม-หิว-พอแล้ว” พังลงอย่างเงียบ ๆ
.
Chris อธิบายว่าเราอาจมองว่า “กินแล้วอารมณ์ไม่ดี” เป็นเรื่องไร้สาระ
.
แต่จริง ๆ แล้ว อาหารกำลังส่งผลต่อสมองและจิตใจ ผ่านลำไส้ที่เสียสมดุล
.
.
20. แล้วทำไมเรายังกินอยู่? คำตอบคือ: มันถูกออกแบบให้กินต่อ
.
Ultra-Processed Food ถูกออกแบบมา “เพื่อให้กินเกิน” อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
.
อาหารเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกัน:
.
แคลอรีสูง แต่เส้นใยน้อย → อิ่มช้า
เคี้ยวง่าย นุ่ม กลืนเร็ว → กินได้มาก
มีส่วนผสมของความมัน + เค็ม + หวาน → ติดง่าย
แต่งรสและกลิ่น → หลอกสมองให้คิดว่าได้สารอาหาร
ใช้สารเติมแต่งที่มีผลต่อการดูดซึมสารอาหาร, สมอง, และฮอร์โมน
.
Chris ย้ำว่า มันไม่ใช่แค่ “ขนมขยะ” แต่คือ “ระบบขยะ” ที่มีโมเดลธุรกิจพุ่งเป้าไปที่ความอ่อนแอของมนุษย์
.
.
21. คนที่อยู่หลังอาหารพวกนี้กำลังรวยขึ้น แต่ชาวนา คนจน และผู้บริโภคกำลังแบกต้นทุนแทน
.
Chris ลากเส้นเชื่อมระหว่าง “ผู้ผลิต – ซูเปอร์มาร์เก็ต – ผู้บริโภค – รัฐบาล” และพบว่า:
.
บริษัทอาหารกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี
.
เกษตรกรได้ส่วนแบ่งเงินจากอาหารแค่ไม่ถึง 10%
.
ผู้บริโภคที่ยากจน คือกลุ่มที่กิน UPF มากที่สุด
.
รัฐต้องแบกรับต้นทุนสุขภาพ เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน
.
.
22. การตลาดในอาหารทารก
.
Chris เล่าถึง “การตลาดนมผงทารก” ซึ่งเป็นกรณีตัวอย่างคลาสสิกของการที่บริษัทอาหารสามารถ “เปลี่ยนพฤติกรรมคน” โดยไม่ต้องมีข้อมูลโภชนาการที่ดีกว่าเลย
.
ในยุค 1970s แบรนด์นมผงยักษ์ใหญ่ใช้วิธี
.
แจกตัวอย่างฟรีให้แม่มือใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ยากจน
ส่งตัวแทนขายแต่งตัวคล้ายพยาบาลเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
โฆษณาว่าการใช้นมผง “ทันสมัยและดีกว่า”
.
ผลลัพธ์คือ:
.
แม่หลายคนหยุดให้นมเอง เพราะน้ำนมแห้งจากการไม่ได้ใช้
ครอบครัวในพื้นที่ยากจนที่ไม่มีน้ำสะอาดใช้นมผงผสมน้ำสกปรก
เด็กหลายหมื่นคนเสียชีวิตจากท้องเสีย ภาวะขาดสารอาหาร และการติดเชื้อ
.
นี่คือที่มาของคำว่า “commerciogenic malnutrition” ความขาดแคลนที่เกิดจากการตลาด ไม่ใช่จากภัยธรรมชาติ
.
Chris ยกกรณีนี้มาเพื่อบอกว่า “ถ้าเขาสามารถ ‘ขาย’ นมผงให้แม่ทิ้งนมตัวเองได้ เขาก็ขายอะไรก็ได้... รวมถึง Pringles กับซีเรียลหวานสำหรับเด็ก”
.
.
23. ความตายเงียบที่มาพร้อม “คำแนะนำดูดี”
.
แม้ทุกวันนี้จะมีกฎระเบียบควบคุมการโฆษณานมผงในหลายประเทศ เช่น WHO Code of Marketing of Breastmilk Substitutes
.
แต่ Chris ยืนยันว่าการตลาดยังคงทรงพลังแบบเดิม และอิงกับ “ความไม่มั่นใจของพ่อแม่”
.
เขาเสริมว่าแบรนด์ต่าง ๆ ใช้ “งานวิจัยจากบริษัทเอง” เพื่อโปรโมตสูตรนมที่มี DHA หรือ prebiotic ซึ่งมักไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่เข้มแข็ง
.
พ่อแม่ที่อยากให้ลูกฉลาด เติบโตเร็ว กลายเป็นเป้าหมายหลัก
.
ผลคือ เด็กหลายคนถูกเลี้ยงด้วยอาหารแปรรูปตั้งแต่ก่อนฟันขึ้น
.
Chris เตือนว่า “เราต้องเข้าใจว่า อาหารแปรรูปเริ่มจากความตั้งใจดี แต่จบลงที่ความรับผิดชอบเลือนหายเมื่อกำไรนำหน้าเป้าหมายสุขภาพ”
.
.
24. ข้อเสนอจาก Chris = นโยบายรัฐต้อง “เป็นกลาง” จากอุตสาหกรรม UPF
.
รัฐควร:
.
กำหนดฉลากโภชนาการที่ชัดเจน
.
ห้ามการตลาด UPF สำหรับเด็ก
.
ยุติการรับเงินสนับสนุนจากอุตสาหกรรม UPF
.
เก็บภาษีและควบคุมบรรจุภัณฑ์
.
เขายกกรณีศึกษาของประเทศชิลี ซึ่งบังคับใช้ฉลากเตือนภัย (เหมือนป้ายบุหรี่) บนอาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง
.
ผลลัพธ์ = ยอดขายขนมลดลง การซื้ออาหารสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเด็ก
.
.
25. ถ้าเราอยากหนีจาก UPF ต้องทำอย่างไร
.
1. เริ่มจากการสังเกตตัวเอง
ลองใช้ชีวิตด้วยอาหาร UPF 80% สัก 2–3 วัน แล้วจดอารมณ์, ความอยาก, ความอิ่ม เทียบกับวันที่กินอาหารธรรมชาติ
.
2. ลองทำแบบทดสอบ Yale Food Addiction Scale
ดูว่าคุณมีพฤติกรรมติดอาหารบางประเภทหรือไม่
.
3. คุยกับคนรอบตัว
ครอบครัว เพื่อน หรือผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยสะท้อนพฤติกรรมการกินที่เรามองไม่เห็นเอง
.
4. หาทางลด
บางคนอาจต้องการเลิกทันที
แต่ส่วนใหญ่จะสำเร็จเมื่อ “ค่อย ๆ ตัด” โดยเริ่มจากอาหารที่ทำให้คุณ “กินแล้วหยุดไม่ได้”
.
5. วางแผนล่วงหน้า
Chris แนะนำให้ลองหาหนังสือทำอาหารแบบบ้าน ๆ ที่เน้นสูตรประหยัด ทำง่าย ใช้วัตถุดิบพื้นฐาน
.
6. เปลี่ยนเป้าหมายจาก “ลดน้ำหนัก” → “รู้สึกดี”
หลายคนหลุดจากเป้าหมายเพราะน้ำหนักไม่ลดเร็วอย่างที่หวัง
แต่เป้าหมายจริงของการลด UPF คือการฟื้นคืนความรู้สึกที่ดีต่ออาหารและตัวเอง
.
.
===============================
.
และนี่ก็คือโลกของอาหารแปรรูปขั้นเทพ
ที่ทำให้ขนมถุงหนึ่งฉลาดพอจะเอาชนะปริญญาโทของคุณได้ภายใน 7 วินาที
.
คุณอาจไม่เคยรู้ว่าเบื้องหลังกลิ่นหอมๆนั้น มีนักเคมี, นักจิตวิทยา, และนักการตลาดแอบอยู่
แต่นั่นแหละครับ ถึงแม้คุณจะอ่านบทความนี้ด้วยความเข้าใจทะลุปรุโปร่ง
สุดท้ายคุณก็ยังอาจจบมัน… พร้อม “ถุงขนมในมือ” อยู่ดี
.
แต่ไม่เป็นไรครับ อย่ารู้สึกผิด
.
ขอแค่ครั้งหน้า… ถ้าคุณจะพ่ายแพ้อีก ก็ขอให้พ่ายแพ้อย่างมีสติ
และเลือกรส “สาหร่าย” แทน “เบคอนชีส” อย่างน้อยก็ถือว่าแพ้แบบมีศักดิ์ศรีครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies

Pond Apiwat Atichat

Real Estate Rental Business , Creator , Writer , Law Student

Currently Studying Bachelor of Laws at Chulalongkorn University

First Class Honors in Bachelor of Arts at Ramkhamhaeng University

Previous
Previous

สรุปหนังสือ How to Win Friends and Influence People วิธีผูกใจมิตรและจูงใจคน เขียนโดย Dale Carnegie

Next
Next

สรุปหนังสือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters โดย Brian Klaas